ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Naruto] | "My heart is only for you." |

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.33K
      197
      1 ม.ค. 62

     



    บทนำ

     

     

                ท้องนภาในวันนี้ถูกฉาบด้วยสีมืดดำสนิท ดวงจันทรากลมโตส่องแสงเรืองนวลให้ความสว่างไสวส่องทอลงมา ดวงดารากำลังส่องประกายระยิบระยับแข่งกันส่องแสงอยู่บนฟากฟ้า ทำให้ท้องฟ้าในวันนี้ดูสวยงามกว่าทุกๆวันที่ผ่านมา

                    โคโนฮะงาคุเระ ในค่ำคืนนี้ถูกเสียงหัวเราะและความรื่นเริงจากความสุขของทุกๆคนในหมู่บ้านอาบไล้ไปทั่วทั้งแคว้น แสงไฟสวยงามถูกประดับประดาไปตามสถานที่ต่างๆจนทั่ว  งานเลี้ยงเฉลิมฉลองนี้ถูกจัดขึ้นเนื่องจากเป็นวันงานเทศกาลที่มักจะมีในหมู่บ้านเป็นประจำทุกๆปี   ทั้งร้านค้าและผู้คนต่างก็แสดงถึงความคึกคัก และสนุกสนานกันถ้วนหน้า แม้สายลมที่หนาวเย็นจะเริ่มโชยพัดบ่งบอกสัญญาณถึงฤดูหนาวที่กำลังจะมาเยือน หากแต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับความสุขของชาวโคโนฮะแม้แต่น้อย

     

    แต่ทว่า.. ความสุขนั้นก็ไม่ได้ปกคลุมไปซะทุกที่ในทีเดียว

     

                    “คาถาเปลวเพลิงมรณะ!!!

                    สิ้นคำพูดเปลวเพลิงสีแดงส้มก็ถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากได้รูป อนุภาพของมันส่งผลให้บริเวณด้านหน้าของผู้ใช้คาถากลายเป็นเถ้าถ่านสีเทาหม่นจนเกือบหมด ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลก็ติดไฟจนมันเริ่มลามและลุกท่วมไปยังส่วนอื่นๆเช่นกัน

                    “ชิ!

                    เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มสถบออกมาเบาๆเมื่อพลาดเป้าในการจัดการอีกฝ่าย ดวงตาสีดำดั่งรัตติกาลในค่ำคืนนี้ตวัดสายตามองรอบๆกาย สองหูเงี่ยฟังเสียงของศัตรูที่ซุ่มอยู่ ก่อนที่บางอย่างจะเกิดขึ้น

                    เคร้ง!

                    “ยอมแพ้ซะ! เพราะค่ำคืนนี้ตระกูลของแกต้องพังพินาศ!!!” น้ำเสียงที่แสดงถึงความเย้ยหยันดังขึ้นพร้อมๆกับคุไนที่ปะทะกันระหว่างสองนินจา

                    “นั่นคือสิ่งที่นายต้องการจริงๆรึไง!?” เสียงทุ้มถามอีกฝ่ายกลับ ขณะเดียวกันคุไนที่อยู่ภายในมือทั้งสองข้างทก็กำลังกวัดไกวไปมาปัดคุไนของอีกฝ่ายไปพร้อมๆกัน

                    “หึ..หึ คนฉลาดแบบแกน่าจะรู้เหตุผลที่แท้จริงไม่ใช่รึไง?”

                    ทั้งสองฝ่ายต่างผละออกมาจากกัน สายตาคมดุกร้าวมองศัตรูอย่างระมัดระวัง ดวงตาทั้งสองคู่สบประสานกันราวกับจะลองเชิงอีกฝ่ายไปในตัว เมื่อคำพูดของศัตรูตรงหน้าจบลงไม่นานนัก ดวงตาคู่คมสีดำสนิทก็เบิกกว้างขึ้น และนั่นทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

                    “ฮ่าๆ ๆ ๆ!!! ใช่..ใช่.. แบบนั้นแหละ แบบที่แกคิดนั่นแหละ! คราวนี้ถ้าไม่อยากให้หมู่บ้านนี้จบลงท่ามกลางกองเพลิงเหมือนกับตระกูลแกตอนนี้ละก็... ก็จงยอมจำนนต่อโชคชะตาตอนนี้ซะ!!!

                    เสียงหัวเราะอันน่าเกลียดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณท่ามกลางซากต้นไม้และบ้านเรือนของตระกูลที่พังทลายลงไป เพลิงสีแดงเริ่มลุกโหมกระหน่ำมากขึ้นเมื่อสายลมหนาวเย็นพัดพามาราวกับจะช่วยเป็นเชื้อเพลิงให้กับศัตรู

                    นัยน์ตารัตติกาลนิ่งค้างไปหลายวินาที แขนที่เคยยกขึ้นตั้งการ์ดลู่ตกลงข้างลำตัว ใบหน้าคมเงยขึ้นเหม่อมองท้องฟ้าที่ยังคงฉายแววสีดำสนิท ควันไฟที่ไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาลอยคละคลุ้งบนฟากฟ้าบดบังทัศนวิสัยต่างๆให้ด้อยลง

                    “เอาน่า.. ไม่ต้องทำท่าทางหมดอาลัยตายยากขนาดนั้นก็ได้... ยังไงซะตอนนี้ก็เหลือแค่แกคนเดียวแล้วนะ มาให้ฉันช่วยส่งแกไปหาคนอื่นๆในตระกูลของแกเองดีกว่า” รอยยิ้มชั่วร้ายถูกวาดขึ้นที่ใบหน้าของอีกฝ่าย

    ดวงตาสีดำสนิทหันมาสบกับคนตรงหน้าอีกครั้ง การที่เขาได้รู้เรื่องเมื่อครู่ก็ทำให้เดาได้ไม่ยาก.. ว่าทำไมคนตระกูลของเขาถึงตายลงไปจนหมดทั้งๆที่พวกเขานั้นขึ้นชื่อว่าเป็นตระกูลสุดแกร่งของโคโนฮะ ..ทุกอย่างกำลังจะจบสิ้นลงแล้ว... หากตระกูลของเขาพังพินาศไปจริงๆก็จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโคโนฮะ งาคุเระอย่างร้ายแรง แต่ทว่า.. หากไม่ยอมแพ้ตอนนี้แคว้นนี้ทั้งหมดก็อาจเป็นไปดั่งที่อีกฝ่ายพูดอยู่ดี...

     

    มีทางเลือกอะไรเหลือให้เขาบ้างงั้นเหรอ?..

                   

                    ไม่.. มันยังเหลืออีกทางเลือกหนึ่ง หากแต่ต้องแลกมาซึ่งความเจ็บปวดของเขาและอีกคนหนึ่ง.. แต่เพื่อหมู่บ้านแล้วล่ะก็..

     

                    “ซากุระเริงระบำ!!

                    เสียงหวานที่เคยนุ่มนวลและแสนคุ้นหูสำหรับชายหนุ่มนั้นดังขึ้นด้วยความเกรี้ยวโกรธอย่างสัมผัสได้ทางน้ำเสียงเมื่อครู่ เมื่อสิ้นประโยคนั้น รอบกายของศัตรูตรงหน้าก็เกิดเกลียวลมวายุพัดหมุนขึ้นรอบๆตัวอีกฝ่าย กลีบซากุระที่ควรเป็นสีชมพูอ่อนหวานกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสดราวกับหยาดโลหิต กลีบดอกไม้นั่นพัดหมุนวนไปมารอบกายของเหยื่อคาถานี้เพื่อสร้างรอยบาดแผลที่บาดลึกเข้าไปเกือบถึงกระดูก

     

                    ตุบ!

                    “หนีไปซะพี่!

                    เจ้าของคาถากระโดดลงมายืนขวางหน้าชายหนุ่มและศัตรูเอาไว้ ใบหน้านวลของหญิงสาวปรากฏรอยแผลตามตัวและรอยเลือดต่างๆเต็มตัวของเธอ ในมือเรียวงามถือพัดสีดำแดงเอาไว้ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของหญิงสาวเอง

                    “มิซากิ” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าออกมาเบาๆ คนตรงหน้าที่เป็นถึงน้องสาวในสายเลือดแท้ๆของเขาเอง

                    “ตอนนี้ทุกคนในตระกูลไม่เหลือรอดสักคนแล้ว ฉันรู้ว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นรีบไปทำมันซะ! ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไปจริงๆ” เธอพูดออกมาพลางเหลียวกลับมามองยังพี่ชายของตัวเองด้านหลัง นัยน์ตาสีดำสนิทเช่นเดียวกับพี่ของตนฉายแววแน่วแน่กว่าทุกครั้ง

                    “...”

                    “นี่..” เมื่อเห็นว่าพี่ชายตนเองไม่ตอบอะไรแต่กลับฉายแววเศร้าสร้อยในดวงตาแทนมานั้นทำให้เธออดที่จะถอนหายใจแล้วเอ่ยพูดบางสิ่งกลับพี่ชายตนเองต่อไม่ได้

                    “พี่เคยพูดใช่มั้ยว่าเราทุกคนต่างมีเจตจำนงแห่งไฟที่แตกต่างกัน และพี่ก็ถามฉันว่าเจตจำนงแห่งไฟของฉันคืออะไร  ” หญิงสาวพูดพลางก้าวเดินไปข้างหน้า และเมื่อเห็นว่าคาถาที่ใช้กับอีกฝ่ายอ่อนลงเพียงนิดเดียวเธอก็สะบัดพัดในมืออีกครั้ง ในคราวนี้กลีบดอกซากุระเพิ่มจะจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม

                    ก่อนที่เธอจะใช้มือขวาที่ถือพัดนั้นไว้กางแขนออกมาด้านข้าง นัยน์ตาคู่งามฉายแววเด็ดเดี่ยวและมั่นใจพร้อมกับรอยยิ้มที่วาดขึ้นใบหน้า

                    “เจตจำนงแห่งไฟของฉันก็คือ.. จะปกป้องสิ่งที่รักจนกว่าชีวิตของฉันจะสูญสิ้น!

     

     

    ...........................................................................................................

     

     

                    ก๊อก ก๊อก

                    ชายหนุ่มเรือนผมสีเงินยืนนิ่งอยู่หน้าห้องของโฮคาเงะเพียงชั่วครู่หลังจากเคาะประตูไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านั้น เสียงแก่ๆของชายชราก็ดังออกมาเป็นการอนุญาตให้เปิดประตูเข้าไป

                    “เรียกผมมามีอะไรงั้นหรือครับ”

                    ฮาตาเกะ คาคาชิ เอ่ยขึ้นเมื่อมาหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะตัวใหญ่ของโฮคาเงะรุ่นที่สามแห่งโคโนฮะ ใบหน้าที่เริ่มเหี่ยวชราของคนตรงหน้าฉายแววเคร่งเครียดออกมาอย่างปิดไม่มิด มือทั้งสองข้างของผู้เป็นรุ่นที่สามยกขึ้นมาผสานมือเท้าไว้กับโต๊ะ

                    “ฉันมีเรื่องจะขอร้องเธอหน่อย คาคาชิ” น้ำเสียงที่ฟังดูกังวลถูกเอ่ยออกมา นัยน์ตาสีเถ้าถ่านของคาคาชิฉายแววสงสัยออกมา เหตุใดที่โฮคาเงะถึงต้องถึงกับเอ่ยขอร้องเขาที่เป็นเพียงแค่คนในหน่วยอันบุ หากจะสั่งการสิ่งใดก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องร้องขอความสมัครใจใดๆก็ได้

                    “เรื่องอะไรงั้นเหรอครับ?”

                    ซารุโทบิ ฮิรุเซ็น นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา

                    “เมื่อคืนนี้ตระกูลคาซุกิถูกโจมตีเข้ากลางดึก”

                    คาคาชิเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ความแปลกใจเข้าถาโถมทันที ใครๆต่างก็รู้กันดีว่าตระกูลคาซุกิคือตระกูลที่มีขีดจำกัดทางสายเลือดและขึ้นชื่อว่าเป็นตระกูลสุดแกร่งของแคว้นโคโนฮะ ทำให้ความสงสัยเริ่มก่อตัวมากขึ้น หากเป็นแค่การโจมตีธรรมดามีหรือว่าคนของคาซุกิจะรับมือไม่ได้ แต่ทว่าซารุโทบิผู้เป็นถึงโฮคาเงะรุ่นที่สามเอ่ยปากพูดออกมาแบบนี้เขาเดาได้ลางๆเลยว่าอาจเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างแน่นอน

                    “ตระกูลคาซุกิน่ะเหรอครับ?”

                    “ใช่ คาซุกิถูกนินจากลุ่มหนึ่งเข้าโจมตีโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว แม้แต่ตอนที่ตระกูลคาซุกิต่อสู้กับศัตรูทั้งๆที่มีไฟลุกทั่วบริเวณนั้นแต่ไม่มีใครคนอื่นรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่ตัวฉันเอง”

                    “แล้ว..ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้างแล้วครับ?” คาคาชิถามขึ้น เพราะตัวเขาที่พึ่งกลับจากการปฏิบัติภารกิจของหน่วยลับเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อนหน้านี้ทำให้ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านเลยแม้แต่น้อย

                    “..ทุกคนของตระกูลคาซุกิเสียชีวิตจนหมด..” ใบหน้าของซารุโทบิฉายแววเศร้าสร้อยออกมาชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเสียใจที่ตระกูลอันเป็นกองกำลังหลักของหมู่บ้านล่มสลายไปแต่เพราะว่าหนึ่งในผู้ที่เสียชีวิตของตระกูลนี้ก็เป็นเพื่อนสนิทของเขาเองเช่นกัน

                    ภายในห้องของโฮคาเงะตกอยู่ในความเงียบ ดวงตาสีเถ้าถ่านนิ่งค้างไปหลายนาที คำที่สื่อตรงๆตัวว่าตระกูลคาซุกิตายกันหมดทุกคนยิ่งตอกย้ำว่าเขาเองได้สูญเสียสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งไป

                    คาซุกิ อาคิระ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันเองก็คงเสียชีวิตตามคำบอกเล่าของรุ่นที่สาม หากแต่สิ่งที่ทำให้เขาเสียใจนั้นเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มีพระคุณต่อเขาอย่างมากคนหนึ่ง และเป็นชายหนุ่มที่เขาสนิทด้วย เมื่อนึกถึงอาคิระขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่ภาพของอีกคนหนึ่งจะฉายเข้ามาในหัว

                    “ลูกชาย..ของคุณอาคิระด้วยงั้นเหรอครับ..” คาคาชิเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา ดวงตาที่มีรอยเหี่ยวย่นประดับรอบๆของผู้เป็นโฮคาเงะเงยมาสบตากับเขา

                    “เด็กคนนั้นคือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของคาซุกิ และนั่นคือเหตุผลที่ฉันจะขอร้องเธอ”

                    เมื่อได้ยินว่าคนที่นึกถึงยังรอดชีวิตก็ทำให้เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเล็กน้อย แต่ประโยคหลังของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาเองหยุดชะงักเช่นกัน

                    “อย่างที่ฉันบอกไป.. ตอนนี้ไม่เหลือใครในตระกูลคาซุกิแล้วสักคนนอกจากเด็กคนนั้น คาซุกิเองก็เป็นตระกูลหนึ่งที่มีขีดจำกัดทางสายเลือดและเป็นพลังสำคัญของพวกเขาด้วย ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะให้เด็กคนนั้นเติบโตมาในอนาคตที่ดีได้โดยไม่ยึดติดกับอดีต” โฮคาเงะรุ่นที่สามเอ่ยขึ้นพลางลุกจากเก้าอี้ ชายชราเดินเอามือไขว่หลังแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่

                    “เธอเองก็เป็นคนเดียวในตอนนี้ที่สนิทกับอาคิระผู้เป็นคนนำตระกูลที่สุดด้วย ฉันจึงอยากจะไหว้วานให้เธอช่วยดูแลเด็กคนนั้น” ในประโยคหลังซารุโทบิหันมาสบตากับอันบุหนุ่ม

                    “ผม..น่ะเหรอครับ”

                    “อา..แต่ฉันก็ไม่บังคับเธอหรอกนะถ้าเธอไม่อยากจะทำมัน”

                    นัยน์ตาสีเถ้าถ่านหรี่ลงเล็กน้อย อาคิระเป็นผู้ที่มีพระคุณกับเขาในหลายๆอย่างและช่วยเหลือเขาไว้ในหลายๆเรื่อง ตัวเขาเองก็ยังคงไม่ได้ตอบแทนอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อยแล้วมีหรือที่เขาจะปฏิเสธการที่จะมีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณอีกฝ่ายในครั้งนี้

                    “ครับ ผมจะทำ”

                    เมื่อได้ยินคำตอบของฮาตาเกะ คาคาชิ ผู้เป็นโฮคาเงะก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้

                    “ถ้างั้น.. ฉันขอฝากด้วยนะ คาคาชิ”




    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×