ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Naruto] | "My heart is only for you." |

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 |..หนังสือเล่มนั้น..|

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.41K
      152
      8 ม.ค. 62

     

     

    บทที่ 3

    “หนังสือเล่มนั้น”

     

     

                    “วันนี้เราจะเรียนนอกห้องเรียนกัน เพราะครูจะสอนการเล็งเป้าและการขว้างดาวกระจายรวมถึงคุไนให้แม่นยำขึ้น” อิรุกะเอ่ยบอกนักเรียนเสียงดังฟังชัดหลังจากที่พาเด็กๆออกมายังสถานที่ฝึกสอนแล้ว

                    แสงแดดที่มาจากดวงอาทิตย์กลมโตดวงใหญ่ด้านบนฟ้ากำลังแผ่ความร้อนอบอ้าวได้ที่ บริเวณด้านหน้าของนักเรียนฝึกหัดนินจาทุกคนคือท่อนไม้อันใหญ่ที่ตั้งเรียงกันหลายอันและจุดปาเป้าวงกลมอันใหญ่ที่ทำจากไม้ ตรงกลางมีจุดแดงๆอยู่หนึ่งจุด

                    “เอาล่ะ ฟังให้ดีนะ จากนี้ครูจะอธิบายให้ฟัง”

                    เวลาล่วงเลยไปสิบห้านาทีกว่าๆที่อิรุกะอธิบายข้อมูลเบื้องต้นให้นักเรียนของตนเองฟัง โดยส่วนมากนั้นก็เข้าใจกันเป็นอย่างดี บางคนเข้าใจได้อย่างชัดเจนแต่บางคนก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ เว้นเสียจะมีแต่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง.. ที่ไม่เข้าใจอะไรเลย

                    “อืม....”

                    ดวงตาสีฟ้าสว่างหรี่ลงจนเกือบจะถูกปิด ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงมองสิ่งของด้านหน้าสลับกับมองไปยังคุณครูของตน

                   

                    ..ไม่เข้าใจอะไรเลยแฮะ แล้วฉันจะทำได้มั้ยเนี่ย!..

     

                    มือสีน้ำผึ้งถูกยกขยี้ผมตัวเองแรงๆอย่างเคร่งเครียด ก่อนที่เสียงของจูนินหนุ่มจะเอ่ยขึ้น

                    “งั้นครูจะลองให้ทุกคนได้ฝึกกันดูนะ ให้เวลาสิบห้านาที” เมื่อสิ้นคำประกาศเด็กๆก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปจับจองจุดที่ตนเองจะฝึกกันด้วยความกระตือรือร้น

                    นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มหันมองคนอื่นๆอย่างเงียบๆ เขาไม่เข้าใจนักว่าทำไมเด็กคนอื่นๆถึงดูสนุกสนานกันมากขนาดนั้น ในเมื่อสิ่งที่ครูให้ทำก็แค่การปาดาวกระจายและคุไนให้ตรงเป้าเท่านั้นเอง

                    “ฮึ่ม เอาเถอะ ไปลองมั่งดีกว่า” เสียงพึมพำเบาๆดังมาจากเด็กหนุ่มผมทองที่อยู่ๆก็ลุกพรวดขึ้นทั้งๆที่เมื่อครู่ยังนั่งทำท่าทางเคร่งเครียดอยู่แท้ๆ

                    ฟีนิกซ์มองตามนารูโตะที่เดินไปยังหลักท่อนไม้ในจุดไกลกว่าเพื่อนด้วยความสงสัย จากการที่เขาสังเกตมาในวันนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายนั้นไม่มีเพื่อนสักคนเดียว แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ยังไงซะมันก็เพียงแค่ความสงสัยเล็กๆเขาจึงเลือกที่จะเบือนหน้าหนีแล้วเดินไปหาจุดของตัวเองมั่ง ถึงจะดูน่าเบื่อ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยชีวิตในโรงเรียนอาจน่าเบื่อกว่าเดิมก็ได้

                   

                    ฟิ้ว.. ฟิ้ว!

                    “แฮ่ก..แฮ่ก.. ทำไมไม่โดนสักทีเนี่ย” นารูโตะปาดเหงื่อที่ไหลซึมตามใบหน้าออกอย่างลวดๆ ดวงตาสีฟ้าสว่างหันมองคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขาเท่าไหร่นัก

                   

                    ปั่ก! ปั่ก!

                    ดาวกระจายสี่อันในมือถูกคลี่ออกจากกันราวกับมันเป็นเพียงไพ่ธรรมดาๆก่อนที่มือแกร่งจะเขวี้ยงมันออกไปยังท่อนไม้ใหญ่ด้านหน้า ส่งผลให้สิ่งที่ถูกเขวี้ยงออกเมื่อครู่ปักเรียงกันเป็นแถวตรงอย่างน่าทึ่ง เสียงกรีดร้องอย่างชื่นชมและหลงใหลดังมาจากเด็กสาวคนอื่นๆที่ยืนดูเหตุการณ์เช่นเดียวกับเขา

                    “ฟีนิกซ์คุง เท่มากเลย กริ๊ด–––––!

                    คนถูกเอ่ยชื่อยกมือขึ้นเกาหัวเบาๆอย่างลืมตัวด้วยความสงสัย ยังไงซะเขาก็ยังคงไม่ชินกับการที่อยู่ๆก็มีคนมากริ๊ดกร๊าดใส่เขาแบบนี้ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจเดินเบี่ยงตัวไปที่อื่นเพื่อหวังว่าเสียงของเพื่อนสาวในห้องจะหยุดลง

                    “ถ้าแบบนี้ซาสึเกะคุงก็จะมีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อแล้วน่ะสิ!” เสียงเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นจนคนอื่นๆหันไปมอง

                    “นั่นสินะ แบบนี้ต้องตัดสินใจแล้วล่ะว่าจะเชียร์ใครดี!” ราวกับเป็นหัวข้อสนทนาใหม่ในห้องนักเรียนนินจาปีนี้ จากเดิมที่ว่าเสียงดังอยู่แล้วระดับเสียงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมาอีก จนนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มได้แต่กระพริบตาปริบๆอย่างสงสัยอีกครั้งในรอบที่ร้อยของวัน

                    ชีวิตในโรงเรียนคงเป็นเรื่องที่เขาต้องเรียนรู้อีกเยอะ

     

                    ..ตอนเย็นลองกลับไปถามคุณคาคาชิดูดีมั้ยนะ..

     

                    “เฮ้อ.. น่ารำคาญจริงๆพวกผู้หญิงเนี่ย” น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายกับคนพึ่งตื่นนอนดังมาจากด้านข้าง ฟีนิกซ์จึงต้องหันไปมอง

                    เด็กหนุ่มเรือนผมสีดำที่อ่อนกว่าเขานั่งทำหน้าซังกะตายอยู่บนพื้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงยมองท้องฟ้าด้วยความเบื่อหน่าย ถ้าเขาจำไม่ผิดอีกฝ่ายชื่อ นารา ชิกามารุ เด็กหนุ่มที่มักจะทำหน้าตาเบื่อหน่ายโลกตลอดเวลา แถมบางทีก็หลับในห้องเรื่องอีกตะหาก

                    “ถามอะไรหน่อยได้มั้ย” ฟีนิกซ์เอ่ยขึ้นทำให้ดวงตาที่แสดงถึงความเบื่อหน่ายอย่างที่สุดตวัดมามองเขา

                    “อะไรล่ะ?”

                    “ทำไมพวกผู้หญิงต้องกริ๊ดแบบนั้นด้วยงั้นเหรอ”

                    “หา?! นี่นายไม่รู้จริงๆน่ะเหร๊อ”

                    “ฉันก็ไม่เห็นว่ามีอะไรให้น่าส่งเสียงดังแบบนั้นนี่” คำตอบของฟีนิกซ์ทำให้เด็กหนุ่มที่ฟังอยู่ถึงกับเอามือตบหน้าผากตัวเอง

     

                    ..เฮ้อ! นี่เด็กตระกูลคาซุกิเป็นแบบนี้ทุกคนรึไงเนี่ย!..

     

                    “นี่ ฟังนะ.. ที่พวกผู้หญิงนั่นกริ๊ดๆกันอ่ะ ก็เพราะว่านายหล่อไง แน่นอนเจ้าซาสึเกะนั่นก็ด้วย ผู้หญิงก็งี้แหละ เจอคนหล่อๆก็กริ๊ดๆกัน ยิ่งคนหล่อทำอะไรเท่ๆเก่งๆก็ยิ่งกริ๊ดแตกใหญ่” ชิกามารุว่าพลางหันไปมองภาพตรงหน้าที่มีเด็กสาวยืนจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนานก่อนเบือนสายตาไปยังบุคคลที่ถูกลืมคนหนึ่งด้านข้างสุดสถานที่ฝึก

                   

                    ..ส่วนเจ้านารูโตะก็ยังไม่เอาอ่าวเหมือนเดิม..

     

                    ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองตามไปยังที่สายตาชิกามารุกำลังจับจ้องอยู่ ดาวกระจายตกอยู่เต็มพื้นโดยที่มีเพียงไม่กี่อันเท่านั้นถูกปักบนท่อนไม้ด้านหน้า เด็กหนุ่มผมทองได้แต่ยืนหอบหายใจ มือทั้งสองข้างถูกกำหมัดแน่น ยามที่ได้ยินเสียงเด็กสาวคนอื่นๆต่างชื่นชมเด็กหนุ่มอีกสองคนในห้อง

                    “ฮึ่ม! ฉันจะไม่ยอมแพ้หรอก เพราะฉันจะเป็นโฮคาเงะ!” นารูโตะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะหยิบดาวกระจายขึ้นมาและเขวี้ยงมันไปอีกครั้ง

                    ฟีนิกซ์ได้แต่มองภาพตรงหน้าเงียบๆ ถึงจะดูเป็นคนไม่มีพรสวรรค์และความสามารถเลยสักนิดแต่อีกฝ่ายก็ดูจะเป็นคนที่มีความพยายามไม่น้อยเลยทีเดียว

                    “เอ้า เด็กๆ หมดเวลาแล้วมารวมกันได้” เสียงของจูนินหนุ่มดังขึ้นเรียกความสนใจของทุกๆคนให้หันไปมองและรีบเดินกลับไปยังที่เดิมอย่างเมื่อสิบห้านาทีก่อนหน้านี้

                    อิรุกะอธิบายอะไรบางอย่างนิดหน่อยต่อพร้อมกับบอกว่าพรุ่งนี้ช่วงบ่ายจะมีการทดสอบการปาคุไนและดาวกระจายส่งผลให้มีเด็กบางส่วนที่ยังไม่แม่นในเรื่องนี้ส่งเสียงร้องออดโอยออกมาทันที

                    “ยังไงวันนี้ก็พอแค่นี้ล่ะกัน เจอกันพรุ่งนี้แล้วอย่าลืมไปฝึกการปาให้ตรงเป้ามาด้วยล่ะ” สิ้นเสียงทุกๆคนต่างก็ลุกขึ้นกันอย่างรวดเร็วเพื่อหวังที่จะกลับบ้านกัน

                    “เฮ้ๆ วันนี้เราไปหาอะไรกินก่อนกลับบ้านกันมั้ย”

                    “เอาดิๆ ฉันก็รู้สึกหิวๆนะเนี่ย”

                    หลายๆคนเริ่มที่จะเดินออกไปจากโรงเรียน นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมองตามคนอื่นๆที่ค่อยๆทยอยออกไปจากสถานที่ฝึก แต่ไม่ทันไรก็มีเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเดินมาหาเขาพร้อมกับเอ่ยประโยคชักชวนออกมา

                    “ฟีนิกซ์คุง วันนี้เดินกลับบ้านด้วยกันมั้ย?”

                    “หือ.. ไม่ล่ะ” คำตอบสั้นๆทำเอาเด็กสาวรู้สึกห่อเหี่ยวทันที ไม่นานนักพวกเธอก็เดินจากไปด้วยอาการคอตก

                   

                    ..แวะร้านหนังสือก่อนกลับบ้านดีมั้ยนะ..

     

                    เมื่อนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มละสายตาจากกลุ่มเด็กสาวเมื่อครู่เขาก็ยืนนิ่งครุ่นคิดกับตนเองพักหนึ่ง และเมื่อตกลงกับตัวเองได้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้จึงหมุนตัวเดินไปยังประตูทางออกของโรงเรียนทันที

                    ดวงตะวันยังคงส่องแสงแดดแก่ๆและดูท่าว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงดวงอาทิตย์ก็คงจะแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม ฟีนิกซ์เดินเลี้ยวเข้าไปในร้านหนังสือร้านหนึ่ง สายตาเรียบนิ่งไล่มองหน้าปกและสันปกหนังสือที่วางเรียงกันอัดแน่นในตู้ชั้นวาง ภายในร้านมีลูกค้าคนอื่นๆอยู่เพียงไม่กี่คนจึงทำให้ร้านนี้เงียบสนิทเพราะต่างคนต่างก็สนใจแค่สิ่งที่ตัวเองกำลังมองอยู่เท่านั้น

                   

                    [ชีวิตมันเป็นยังไง]

                   

                    ประโยคใจความสั้นๆกับหน้าปกที่เป็นภาพวาดเสมือนจริงของวิวทิวทัศน์ในมุมมองจากหน้าผาซึ่งด้านล่างเป็นผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์หากแต่เป็นช่วงเวลากลางคืน ท้องฟ้าในภาพนั้นจึงเป็นสีดำสนิทและถูกประดับประดาด้วยดวงดาวนับร้อยดวง

                    เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาก่อนพลิกดูด้านหน้าและหลัง เมื่อไล่มองรายละเอียดภายนอกครบถี่ถ้วนเขาจึงเริ่มเปิดหน้าแรกออกเพื่ออ่านเนื้อหาด้านใน

     

                    [.. ว่ากันว่าคนเรานั้นเลือกเกิดไม่ได้ ..]

                                    [ บางคนมีชีวิตที่ดีแต่เกิดมาบนผืนโลกนี้ บางคนต้องดิ้นรนอย่างสุดชีวิตถึงจะมีชีวิตที่ดี แต่ทว่า.. บางคนไม่ว่าจะทำอย่างไรชีวิตก็ไม่มีทางพบเจอสิ่งดีๆอย่างคนอื่นๆ]

     

                    ฟีนิกซ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่ออ่านหน้าแรกของหนังสือได้เพียงไม่กี่ประโยค แต่เขาก็ปัดความคิดหนึ่งในหัวทิ้งไปก่อนจะไล่สายตาลงมาที่บรรทัดต่อไป

     

                                    [ แต่รู้รึเปล่าว่า..การที่พยายามดิ้นรนอย่างไร ก็ยังไม่พบเจอสิ่งดีๆและได้รับชีวิตที่ดีอย่างคนอื่นมันเป็นเพราะอะไร ]

                                    [.. มันไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะตัวเราเองมากกว่า ..]

                   

                    “อ้าว ฟีนิกซ์ หวัดดีจ้ะ บังเอิญจังที่เจอที่ร้านหนังสือแบบนี้”

                    เขาอ่านไปได้เกือบจะจบหน้าเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้นทำให้เขาต้องละสายตาออกจากหน้ากระดาษหันไปมอง เรือนผมสีชมพูที่ยาวถึงกลางโดยมีโบว์สีแดงสดผูกอยู่ที่หัวเป็นจุดเด่นไม่ยากที่จะทำให้เขาจดจำได้

                    “อือ สวัสดีซากุระ”

                    “ฟีนิกซ์ชอบมาร้านหนังสืองั้นเหรอ” เด็กสาวเอ่ยถามราวกับชวนคุยตามประสาเพื่อนร่วมห้องธรรมดาๆ

                    “อือ ปกติก็มาบ่อยๆ”

                    “เหรอจ้ะ ว่าแต่อ่านอะไรอยู่เหรอ?” ในประโยคหลังซากุระชะโงกหน้ามามองหน้าปกหนังสือในมือของเด็กหนุ่ม ดวงตาสีมรกตฉายแววสงสัยเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อเรื่องหนังสือของอีกฝ่าย

                    “ก็นะ” ฟีนิกซ์ยักไหล่เล็กน้อยก่อนหันมาถามเด็กสาวบ้าง

                    “แล้วเธอล่ะ?”

                    “หืม? อ๋อ พอดีมาซื้อของกับแม่น่ะ แล้วเห็นเธออยู่ในร้านนี้เลยเดินมาทักน่ะจ้ะ”

                    ฟีนิกซ์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้เล็กน้อย ไม่นานนักเด็กสาวก็โบกมือลาแล้วเดินออกไปจากร้าน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเบือนมามองที่หนังสือในมืออีกครั้ง

     

                    ..ซื้อไปอ่านหน่อยก็ดี..

     

     

    ...........................................................................................................

     

     

                | หลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ |                      

                “ให้ตายเถอะ คาคาชิมาช้าอีกแล้วเหรอเนี่ย!”

                    เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น เธอยืนกอดอกด้วยใบหน้าบูดบึ้งเมื่อต้องทนยืนรอใครบางคนมาเกือบชั่วโมงเศษๆได้ มือเรียวข้างขวายกขึ้นขยี้หัวตัวเองเบาๆด้วยความหงุดหงิด ส่งผลให้เรือนผมสีน้ำตาลประกายแดงฟูขึ้นจากเดิมเล็กน้อย

                    “ฮ่าๆ เจ้าคาคาชิก็งี้แหละนะ”

                    ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขบขัน ริมฝีปากคล้ำพ่นควันสีเทาหม่นออกมา ก่อนจะคีบม้วนบูหรี่ในปากออกแล้วหันไปมองเพื่อนร่วมทีมภารกิจในครั้งนี้อีกคน

                    “ว่าแต่ไอดะ นายได้ซื้อบุหรี่มาเพิ่มมั้ย?”

                    “อ๋อ เอามาสิ” ทาเคโนริ ไอดะ พยักหน้าหงึกหงักก่อนล้วงมือเอาไปที่กระเป๋ากางเกงควักเอากล่องม้วนบุหรี่ที่อีกคนถามหาออกมา

                    “นายเองก็เพลาๆเรื่องสูบบุหรี่มั่งซิ๊ ฉันว่านายอาจไม่ได้ตายเพราะทำหน้าที่นินจาแต่อาจจะตายเพราะสูบบุหรี่มากเนี่ยแหละ” ไอดะบ่นเบาๆก่อนโยนบุหรี่กล่องเล็กส่งให้อีกฝ่าย

                    “น่าๆ อย่าบ่นเป็นคนแก่ไปหน่อยเลย” ซารุโทบิ อาสึมะ โบกมือปัดๆพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะเก็บกล่องบุหรี่เข้ากระเป๋ากางเกงไป

                    สุกิยามะ อายาเมะ ยืนมองชายหนุ่มสองคนที่เริ่มพูดหยอกล้อกันตามประสาเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย หญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มหันมองไปยังเส้นทางที่บุคคลอีกคนหนึ่งควรจะมาได้แล้วในเวลานี้ด้วยความหงุดหงิดมากกว่าเก่า แดดร้อนไม่พอยังต้องเสียเวลามายืนรอคนคนเดียวอีกตะหาก

     

                    ..มาเมื่อไหร่จะซัดให้น่วมเลย..

     

                    “มาแล้วจ้า โทษทีๆ พอดีเมื่อกี้เจอแมวนอนขวางทางน่ะ” พอนึกถึงไม่ทันไรตัวปัญหาที่ทำให้เสียเวลาก็มาแถมยังไม่มีความเร่งรีบอีกตะหาก

                    คาคาชิโบกไม้โบกมือปัดไปมาเชิงขอโทษพร้อมคำแก้ตัวที่กี่คนที่ได้ฟังก็ถึงกับต้องทำหน้าเอือมระอาเป็นแถวๆ หญิงสาวเพื่อนร่วมทีมในภารกิจครั้งนี้ถึงกับคิ้วกระตุกทันที

                    “แมวนอนขวางทางแล้วเกี่ยวอะไรกัน ห๊ะ! เจ้าบ้าคาคาชิ!!!” ไม่ว่าเปล่ามือเรียวข้างขวาถึงกับยกขึ้นมาทำท่าทางจะชกเขาทันที

                    “น่าๆ ใจเย็นๆเถอะ ไหนๆคาคาชิก็มาแล้วรีบไปกันดีกว่า” ไอดะชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีตลอดเดินมาอยู่ระหว่างกลางของทั้งคู่พร้อมหันไปห้ามทัพฝั่งเพื่อนสาวตน

                    เมื่อความคิดของไอดะดูจะเข้าท่าที่สุดทุกคนจึงพยักหน้าตกลงก่อนจะเริ่มเดินทางกันไปยังสถานที่ปฏิบัติภารกิจทันที

     

                    ตึก! ฟิ้ว–––

                    เสียงของปลายเท้าที่แตะลงบนกิ่งไม้ใหญ่ดังขึ้นเป็นช่วงๆ โจนินทั้งสี่คนเริ่มที่จะเร่งฝีเท้ามากขึ้นเมื่อพระอาทิตย์เริ่มที่จะคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ

                    “นี่ คาคาชิ ฉันถามอะไรหน่อยสิ” อายาเมะหันไปมองหน้าอดีตเพื่อนร่วมทีมสมัยเกะนินที่อยู่ข้างๆ นัยน์ตาสีแดงโกเมนสบเข้ากับดวงตาสีเถ้าถ่านเพียงข้างเดียว

                    “อะไรงั้นเหรอ?”

                    “เรื่องของเด็กที่อยู่ในความดูแลของนายน่ะ”

                    “หืม.. ฟีนิกซ์น่ะเหรอ? ทำไมล่ะ”

                    “ก็นะ.. แค่อยากรู้ว่าตอนนี้เป็นไงมั่งแล้วน่ะ”

                    เมื่อได้ยินคำถาม คาคาชิจึงเบนสายตากลับมามองด้านหน้าอีกครั้งหนึ่ง เขานิ่งเงียบไปไม่กี่วินาทีก่อนจะตอบหญิงสาวออกไป

                    “วันนี้ก็เป็นวันแรกที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนนินจาล่ะนะ ตอนนี้เขาก็ปกติดีเหมือนเด็กทั่วๆไป แต่ดูเหมือนจะแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆนิดหน่อย”

                    “แตกต่างนิดหน่อยเหรอ? เรื่องอะไรล่ะ?”

                    “..ไม่รู้สิ มันเป็นแค่ความรู้สึกน่ะ อ่อ แล้วก็รู้สึกจะเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือมากๆด้วย ปกติถ้าไม่เห็นกำลังฝึกก็จะอ่านหนังสือหรือไม่ก็ฟังเพลงล่ะนะ”

                    “เฮ้ๆ หวังว่านายคงไม่ได้เอาหนังสือสวรรค์รำไรอะไรนั่นให้เด็กนั่นอ่านหรอกนะ” อาสึมะหันกลับมามองเพื่อนของตนที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าขำขัน

                    “จะบ้ารึไง..”

                    “ฮ่าๆ ว่าแต่เด็กคนนั้นฝีมือระดับไหนเหรอ เห็นว่าเป็นเด็กตระกูลคาซุกินี่” ไอดะเอ่ยขึ้นเมื่อฟังเพื่อนทั้งสามคนกำลังพูดถึงเด็กหนุ่มผมสีดำอยู่

                    “ก็นะ.. เก่งใช้ได้เลย แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ฝีมือพัฒนาไปขั้นไหนแล้วเพราะไม่ค่อยมีเวลาไปฝึกให้น่ะ”

                    “ถ้านายพูดขนาดนี้คงไม่มีอะไรน่าห่วงในเรื่องโรงเรียนนินจาหรอกมั้ง” อาสึมะพูดขึ้นพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าด้านบน กลุ่มเมฆกำลังเคลื่อนตัวออกจากดวงอาทิตย์ส่งผลให้ความร้อนเริ่มกลับมาอีกครั้ง

                    “แต่ไอ้เรื่องเป็นห่วงน่ะมันก็มีอยู่” คำพูดของชายหนุ่มทำให้อายาเมะหันมามองหน้าเขาด้วยความสงสัย

                    “เรื่องอะไรเหรอ?”

                    “ก็.. เรื่องเพื่อนไง เด็กคาซุกิน่ะตั้งแต่เกิดมาก็จะถูกฝึกและถูกเลี้ยงดูแต่ในตระกูล การไปโรงเรียนก็ทำให้พบเจอคนหลายๆแบบรวมถึงเพื่อนร่วมห้อง ฉันก็เป็นห่วงไอ้ตรงนี้แหละนะ”

                    “เจ้าหนูฟีนิกซ์ไม่เหมือนนายตอนเด็กหรอกน่า ห่วงทำไม”

                    “ฮ่าๆ ๆ”

                    คำพูดกัดแซะของอาสึมะทำให้ทั้งไอดะและอายาเมะถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ชายหนุ่มผมเงินจึงได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับทำหน้าเบื่อหน่าย

                    แต่ว่ามันก็จริงแบบที่อีกฝ่ายพูด ฟีนิกซ์ถึงจะเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาเท่าไหร่แต่เด็กคนนั้นก็ไม่ได้หยิ่งทะนงตนเองเหมือนกับเขาในวัยเด็ก.. และนั่นทำให้เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะสามารถใช้ชีวิตแบบเด็กคนอื่นๆได้ภายในรั้วโรงเรียนนินจาจนกว่าจะเรียนจบและสามารถเป็นเกะนินได้อย่างเต็มภาคภูมิ..

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×