ลำดับตอนที่ #41
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #41 : ยักษ์ในตำนาน:ข้อมูลอ้างอิงการมีอยู่จริงหรือแค่ความเชื่อ!!
ยักษ์ในตำนาน:ข้อมูลอ้างอิงการมีอยู่จริงหรือแค่ความเชื่อ!!
นักโบราณคดีขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ขนาดใหญ่โตมโหฬาร ในสถานที่หลายแห่งทั่วโลก เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ว่า ครั้งหนึ่งในอดีตเคยมียักษ์อยู่บนโลกจริง
หนังสือพิมพ์นิวเนชั่น ของประเทศบังกลาเทศ รายงานข่าวการค้นพอโครงกระดูกมนุษย์ขนาดใหญ่กลางทะเลทรายบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศซาอุดิอาราเบีย
เจ้าหน้าที่ฝ่ายสำรวจน้ำมันของบริษัทอรามโค พบโครงกระดูกมนุษย์ยักษย์โดยบังเอิญ ซึ่งโครวกระดูกของมนุษย์ที่มีความสูงกว่า 10 เมตร สามารถถอนรากถอนโคนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ได้ด้วยมือเปล่าเพียงข้างเดียว
กองทัพซาอุดิอาระเบียนำเฮลิคอปเตอร์มาขนย้ายโครงกระดูกยักษ์ไปเก็บรักษาในที่ปลอดภัย และสั่งให้ทุกคนเก็บเป็นความลับ แต่ภาพถ่ายทางอากาศที่ทหารคนหนึ่งบันทึกเอาไว้ระหว่างการขนย้าย เกิดเล็ดลอดออกสู่สายตาประชาชน จนกลายเป็นเรื่องที่ฮือฮาอยู่พักหนึ่ง
เรื่องราวทั้งหมดเงียบหายไปกับกาลเวลาจนกระทั่งในแ พ. ศ. 2550 มีการค้นพบโครงกระดูกยักษ์อีกแห่งในประเทศอินเดีย โดยทีมงานของนักสำรวจเนชั่นแนลจีโอกราฟิค ประจำอินเดีย กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ตอกย้ำว่า ครั้งหนึ่งในอดีตเคยมียักษ์เพ่นพ่านอยู่บนดลกมนุษย์.....
ขณะที่อีกราย ขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สูงถึง 12 ฟุต พร้อมฟัน 2 แถว ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ใกล้ ๆ กับโครงกระดูก ขุดพบเปลือกหอยรูปทรงแปลก ๆ ขวานหินที่ใช้เป็นอาวุธและเศษอาหาร ประกอบด้วยอาหารทะเลและเนื้อช้างแมมมอธ ซึ่งสูญพันธุ์ไปจากโลกหลายล้ายปีมาแล้ว
บนเกาะอีสเตอร์ ในมหาสมุทรแปซิฟิก มีแท่งหินสลักเป็นใบหน้าและหัวมนุษย์จำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่ ขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ที่สุดสูงถึง 30 ฟุต แต่ละรูปแกะสลักจากหินแข็งมีอายุเก่าแก่ไปจนถึงยุคหิน ซึ่งมนุษย์ยุดนั้นใช้หินเป็นเครื่องมือ ขณะที่รูปสลักบางรูปมีที่ตั้งห่างจากแหล่งหินขนาดใหญ่โตมาก
ครั้งหนึ่ง เคยมีการขุดค้นพบแท่งหินสลักเป็นรูปมนุษย์ จมอยู่ในทะเลทรายทางตอนเหนือของประเทศชิลี เป็นโครงมนุษย์ที่สูงถึง 32 ฟุต ที่ผนังหินแห่งหนึ่งใกล้กับแดนมหัศจรรย์แกรน์แคนยอน สหรัฐอเมริกา มีรูปเขียนโบราณรูปหนึ่ง เป็นภาพมนุษย์กำลังต่อสู้กับแมมมอธช้างมีขนพันธุ์โบราณบานบุรี ซึ่งมีรูปร่างใหญ๋โตกว่าช้างธรรมดามาก สูงราว9-13ฟุต มีงาที่ยาว แต่ภาพเขียนโบราณดังกล่าว กลับเป็นภาพมนุษย์ต่อสู้กับแมมมอธกันอย่างดุเดือด
ส่วนประตูหินในประเทศโบลิเวีย ก็สร้างโดยใช้หินแต่ละก้อนที่หนักมากถึง 10 ตัน มนุษย์อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ย่อมไม่สามารถนำขึ้นไปเรียงซ้อนกันได้แน่ๆ นอกจากนี้ ยังมีหลีกฐานอีกหลายอย่างชิ้นที่แสดงถึงฝีมือของยักษย์ เช่น บันไดป้อมปราการของมนุษย์ก่อนหน้าเผ่าอินคาในเปรู สิ่งเหล่านี้ล้วนใหญ่โตเกินกำลังความสามารถของมนุษย์อย่างแน่นอน
ร่องรอยของยักษ์ก็ถือเป็นหลักฐานสำคัญ เช่น รอยเท้ามหึมา ซึ่งมีผิวเรียบเกลี้ยงเกลา เส้นผ่านศูนย์กลาง 7 ฟุต เหยียบลงบนโคลน แล้วกลายสภาพเป็นหินในภายหลัง ก้อนหินขนาดใหญ่เหล่านี้มีจำนวนมากมายกระจัดกระจายกันอยู่ ทั้งใกล้และไกลบนเกาะในประเทศคอสตาริกา
ดังนั้นจึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า ในปัจจุบันผู้สร้างร่องรอยเหล่านี้หายไปไหนหมด????
ข้างต้นเป็นข่าว และข้อมูลบางส่วนที่เผยแพร่ผ่านทางกระดานข่าวในหน้าอินเตอร์เน็ต ซึ่งพยยามยกเป็นข้ออ้างอิงพิสูจน์ว่ายักษ์มีจริงหาใช่เป็นเพียงแค่ตำนาน เรื่องเก่าเล่าโคมลอยที่จะมีให้เสพกันอย่างดาษดื่นแถมเคยอยู่บนกน้าหนังสือพิมพ์มาพักหนึ่ง ก่อนที่จะหายไปเพราะกระแสข่าวอื่น ๆ ซึ่งมาแรงกว่ากลบจนมิดนั่นเอง
สำหรับความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้นิยามยักษ์ไว้ว่า..."น. อมนุษย์พวกหนึ่ง ถือกันว่ามีรูปร่างใหญ่โตน่ากลัวมีเขี้ยวงอก ใจดำอำมหิต ชอบกินมนุษย์ กินสัตว์ โดยมากมีฤทธิ์เหาะได้พวกหนึ่งในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นปรนิมมิตสวัตดี ชื่อหนึ่งของดาวฤกษ์ศตภิษัช มี 4ดวง ดาวพิมพ์ทอง หรือดาวสตะภิสชะ ก็เรียก ว. ดดยปริยายหมายความว่า มีลักษณะหรืออาการอย่างยักษ์ เช่น ใจยักษ์ หน้ายักษ์ มีลักษณะใหญ่เป็นพิเศษในพวก เช่น ปลาหมึดยักษ์
ส่วนพจนานุกรมเวอร์ชั่น อ. เปลื้อง ณ นคร ก็ได้นิยามไว้ว่า.."(สก.ยกษ;มค.ยก.ข)น. พวกดุร้ายพวกหนึ่งไม่ใช่มนุษย์ บางแห่งว่า ได้แก่ ปีศาจ บางแห่งว่า อยู่ในพวกอสูร ใจดีก็มี ใจร้ายก็มี ผู้ที่มีคนเซ่นสรวง หมายเอาภุมเทพ หรือ วนเทพ หรือบุคคลควรบูชา โดยทั่วไปแล้ว ยักษ์ หมายถึง มนุษย์รูปร่างใหญ่โต เขี้ยวยาวออกมานอกปาก กินคนและสัตว์ มีฤทธิ์จำแลงตัวได้ในวรรณคดีไทย ยักษ์มักเป็นศัตรูกับมนุษย์"
จะว่าไปแล้ว....ยักษ์จัดเป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งที่มีบทบาทตั้งแต่ทางศาสนาและวรรณคดี ยักษ์ตามความเชื่อของไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ ในขณะที่ความเชื่อในบริเวณส่วนอื่น ๆ ของโลกก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอมนุษย์ที่มี่ร่างกายใหญ่โตดุราย ชอบของสดคาว หรือชอบจับมนุษย์เป็นภักษาหาร ซึ่งสอดคล้องกับยักษ์ตามความเชื่อของคนไทยเช่นเดียวกัน
โดยทั่วไปแล้ว ยักษ์ตามความเชื่ออันหลากหลายก็มีลักษณะที่สอดคล้องกันซึ่งยักษ์ทุกตนนั้นล้วนมีเขี้ยว ดวงตานั้นลุกโพลงตลิดเวลาและมักจะจ้องมองแบบไม่กระพริบตา เพราะกระจกตาของยักษ์คล้าย ๆ กับ ดวงตาของสัตว์เลื้อยคลาน จึงทำให้ไม่รู้สึกระคายเคืองตา และที่เป็นเครื่องหมายการค้าอีกอย่างคือ ยักษ์ทุกตนมักจะมีกระบองเป็นอาวุธคู่ใจเสมอ
แต่รายละเอียดส่วนอื่น ทั้งรูปร่าง หน้าตา หรือการแต่งกาย ยักษืบางตนก็มีเท้าเป็นงู หรือบางตนก็มีศีรษะเป็นสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างกันออกไปตามความเชื่อตามตำนานของแต่ละท้องถิ่น
ส่วนตนไหนมีรูปร่างลักษณะอันแปลกประหลาดเพียงใดหรทอเรื่องราวจะเป็นแบบไหน มาเริ่มตามไปวัดรอยเท้ากันจากตำนานบทแรกดีกว่า......
หนังสือพิมพ์นิวเนชั่น ของประเทศบังกลาเทศ รายงานข่าวการค้นพอโครงกระดูกมนุษย์ขนาดใหญ่กลางทะเลทรายบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศซาอุดิอาราเบีย
เจ้าหน้าที่ฝ่ายสำรวจน้ำมันของบริษัทอรามโค พบโครงกระดูกมนุษย์ยักษย์โดยบังเอิญ ซึ่งโครวกระดูกของมนุษย์ที่มีความสูงกว่า 10 เมตร สามารถถอนรากถอนโคนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ได้ด้วยมือเปล่าเพียงข้างเดียว
กองทัพซาอุดิอาระเบียนำเฮลิคอปเตอร์มาขนย้ายโครงกระดูกยักษ์ไปเก็บรักษาในที่ปลอดภัย และสั่งให้ทุกคนเก็บเป็นความลับ แต่ภาพถ่ายทางอากาศที่ทหารคนหนึ่งบันทึกเอาไว้ระหว่างการขนย้าย เกิดเล็ดลอดออกสู่สายตาประชาชน จนกลายเป็นเรื่องที่ฮือฮาอยู่พักหนึ่ง
เรื่องราวทั้งหมดเงียบหายไปกับกาลเวลาจนกระทั่งในแ พ. ศ. 2550 มีการค้นพบโครงกระดูกยักษ์อีกแห่งในประเทศอินเดีย โดยทีมงานของนักสำรวจเนชั่นแนลจีโอกราฟิค ประจำอินเดีย กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ตอกย้ำว่า ครั้งหนึ่งในอดีตเคยมียักษ์เพ่นพ่านอยู่บนดลกมนุษย์.....
ขณะที่อีกราย ขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สูงถึง 12 ฟุต พร้อมฟัน 2 แถว ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ใกล้ ๆ กับโครงกระดูก ขุดพบเปลือกหอยรูปทรงแปลก ๆ ขวานหินที่ใช้เป็นอาวุธและเศษอาหาร ประกอบด้วยอาหารทะเลและเนื้อช้างแมมมอธ ซึ่งสูญพันธุ์ไปจากโลกหลายล้ายปีมาแล้ว
บนเกาะอีสเตอร์ ในมหาสมุทรแปซิฟิก มีแท่งหินสลักเป็นใบหน้าและหัวมนุษย์จำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่ ขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ที่สุดสูงถึง 30 ฟุต แต่ละรูปแกะสลักจากหินแข็งมีอายุเก่าแก่ไปจนถึงยุคหิน ซึ่งมนุษย์ยุดนั้นใช้หินเป็นเครื่องมือ ขณะที่รูปสลักบางรูปมีที่ตั้งห่างจากแหล่งหินขนาดใหญ่โตมาก
ครั้งหนึ่ง เคยมีการขุดค้นพบแท่งหินสลักเป็นรูปมนุษย์ จมอยู่ในทะเลทรายทางตอนเหนือของประเทศชิลี เป็นโครงมนุษย์ที่สูงถึง 32 ฟุต ที่ผนังหินแห่งหนึ่งใกล้กับแดนมหัศจรรย์แกรน์แคนยอน สหรัฐอเมริกา มีรูปเขียนโบราณรูปหนึ่ง เป็นภาพมนุษย์กำลังต่อสู้กับแมมมอธช้างมีขนพันธุ์โบราณบานบุรี ซึ่งมีรูปร่างใหญ๋โตกว่าช้างธรรมดามาก สูงราว9-13ฟุต มีงาที่ยาว แต่ภาพเขียนโบราณดังกล่าว กลับเป็นภาพมนุษย์ต่อสู้กับแมมมอธกันอย่างดุเดือด
ส่วนประตูหินในประเทศโบลิเวีย ก็สร้างโดยใช้หินแต่ละก้อนที่หนักมากถึง 10 ตัน มนุษย์อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ย่อมไม่สามารถนำขึ้นไปเรียงซ้อนกันได้แน่ๆ นอกจากนี้ ยังมีหลีกฐานอีกหลายอย่างชิ้นที่แสดงถึงฝีมือของยักษย์ เช่น บันไดป้อมปราการของมนุษย์ก่อนหน้าเผ่าอินคาในเปรู สิ่งเหล่านี้ล้วนใหญ่โตเกินกำลังความสามารถของมนุษย์อย่างแน่นอน
ร่องรอยของยักษ์ก็ถือเป็นหลักฐานสำคัญ เช่น รอยเท้ามหึมา ซึ่งมีผิวเรียบเกลี้ยงเกลา เส้นผ่านศูนย์กลาง 7 ฟุต เหยียบลงบนโคลน แล้วกลายสภาพเป็นหินในภายหลัง ก้อนหินขนาดใหญ่เหล่านี้มีจำนวนมากมายกระจัดกระจายกันอยู่ ทั้งใกล้และไกลบนเกาะในประเทศคอสตาริกา
ดังนั้นจึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า ในปัจจุบันผู้สร้างร่องรอยเหล่านี้หายไปไหนหมด????
ข้างต้นเป็นข่าว และข้อมูลบางส่วนที่เผยแพร่ผ่านทางกระดานข่าวในหน้าอินเตอร์เน็ต ซึ่งพยยามยกเป็นข้ออ้างอิงพิสูจน์ว่ายักษ์มีจริงหาใช่เป็นเพียงแค่ตำนาน เรื่องเก่าเล่าโคมลอยที่จะมีให้เสพกันอย่างดาษดื่นแถมเคยอยู่บนกน้าหนังสือพิมพ์มาพักหนึ่ง ก่อนที่จะหายไปเพราะกระแสข่าวอื่น ๆ ซึ่งมาแรงกว่ากลบจนมิดนั่นเอง
สำหรับความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้นิยามยักษ์ไว้ว่า..."น. อมนุษย์พวกหนึ่ง ถือกันว่ามีรูปร่างใหญ่โตน่ากลัวมีเขี้ยวงอก ใจดำอำมหิต ชอบกินมนุษย์ กินสัตว์ โดยมากมีฤทธิ์เหาะได้พวกหนึ่งในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นปรนิมมิตสวัตดี ชื่อหนึ่งของดาวฤกษ์ศตภิษัช มี 4ดวง ดาวพิมพ์ทอง หรือดาวสตะภิสชะ ก็เรียก ว. ดดยปริยายหมายความว่า มีลักษณะหรืออาการอย่างยักษ์ เช่น ใจยักษ์ หน้ายักษ์ มีลักษณะใหญ่เป็นพิเศษในพวก เช่น ปลาหมึดยักษ์
ส่วนพจนานุกรมเวอร์ชั่น อ. เปลื้อง ณ นคร ก็ได้นิยามไว้ว่า.."(สก.ยกษ;มค.ยก.ข)น. พวกดุร้ายพวกหนึ่งไม่ใช่มนุษย์ บางแห่งว่า ได้แก่ ปีศาจ บางแห่งว่า อยู่ในพวกอสูร ใจดีก็มี ใจร้ายก็มี ผู้ที่มีคนเซ่นสรวง หมายเอาภุมเทพ หรือ วนเทพ หรือบุคคลควรบูชา โดยทั่วไปแล้ว ยักษ์ หมายถึง มนุษย์รูปร่างใหญ่โต เขี้ยวยาวออกมานอกปาก กินคนและสัตว์ มีฤทธิ์จำแลงตัวได้ในวรรณคดีไทย ยักษ์มักเป็นศัตรูกับมนุษย์"
จะว่าไปแล้ว....ยักษ์จัดเป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งที่มีบทบาทตั้งแต่ทางศาสนาและวรรณคดี ยักษ์ตามความเชื่อของไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ ในขณะที่ความเชื่อในบริเวณส่วนอื่น ๆ ของโลกก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอมนุษย์ที่มี่ร่างกายใหญ่โตดุราย ชอบของสดคาว หรือชอบจับมนุษย์เป็นภักษาหาร ซึ่งสอดคล้องกับยักษ์ตามความเชื่อของคนไทยเช่นเดียวกัน
โดยทั่วไปแล้ว ยักษ์ตามความเชื่ออันหลากหลายก็มีลักษณะที่สอดคล้องกันซึ่งยักษ์ทุกตนนั้นล้วนมีเขี้ยว ดวงตานั้นลุกโพลงตลิดเวลาและมักจะจ้องมองแบบไม่กระพริบตา เพราะกระจกตาของยักษ์คล้าย ๆ กับ ดวงตาของสัตว์เลื้อยคลาน จึงทำให้ไม่รู้สึกระคายเคืองตา และที่เป็นเครื่องหมายการค้าอีกอย่างคือ ยักษ์ทุกตนมักจะมีกระบองเป็นอาวุธคู่ใจเสมอ
แต่รายละเอียดส่วนอื่น ทั้งรูปร่าง หน้าตา หรือการแต่งกาย ยักษืบางตนก็มีเท้าเป็นงู หรือบางตนก็มีศีรษะเป็นสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างกันออกไปตามความเชื่อตามตำนานของแต่ละท้องถิ่น
ส่วนตนไหนมีรูปร่างลักษณะอันแปลกประหลาดเพียงใดหรทอเรื่องราวจะเป็นแบบไหน มาเริ่มตามไปวัดรอยเท้ากันจากตำนานบทแรกดีกว่า......
ขอขอบคุณที่มาจาก
หนังสือ ตามรอยเท้ายักษ์ข้อมูลทางบรรณษนุกรมของหอสมุดแห่งชาติ
จุนินยะ จักพิมโดย ปราชญ์ สำนักพิมพ์
หนังสือ ตามรอยเท้ายักษ์ข้อมูลทางบรรณษนุกรมของหอสมุดแห่งชาติ
จุนินยะ จักพิมโดย ปราชญ์ สำนักพิมพ์
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น