ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หอสมุดต้องห้ามแห่งดาร์คแลนด์

    ลำดับตอนที่ #41 : ยักษ์ในตำนาน:ข้อมูลอ้างอิงการมีอยู่จริงหรือแค่ความเชื่อ!!

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 991
      0
      1 ก.ค. 59

     ยักษ์ในตำนาน:ข้อมูลอ้างอิงการมีอยู่จริงหรือแค่ความเชื่อ!!

                           นักโบราณคดีขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ขนาดใหญ่โตมโหฬาร  ในสถานที่หลายแห่งทั่วโลก  เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ว่า  ครั้งหนึ่งในอดีตเคยมียักษ์อยู่บนโลกจริง

                           หนังสือพิมพ์นิวเนชั่น  ของประเทศบังกลาเทศ  รายงานข่าวการค้นพอโครงกระดูกมนุษย์ขนาดใหญ่กลางทะเลทรายบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศซาอุดิอาราเบีย

                           เจ้าหน้าที่ฝ่ายสำรวจน้ำมันของบริษัทอรามโค  พบโครงกระดูกมนุษย์ยักษย์โดยบังเอิญ  ซึ่งโครวกระดูกของมนุษย์ที่มีความสูงกว่า  10  เมตร  สามารถถอนรากถอนโคนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ได้ด้วยมือเปล่าเพียงข้างเดียว

                           กองทัพซาอุดิอาระเบียนำเฮลิคอปเตอร์มาขนย้ายโครงกระดูกยักษ์ไปเก็บรักษาในที่ปลอดภัย  และสั่งให้ทุกคนเก็บเป็นความลับ  แต่ภาพถ่ายทางอากาศที่ทหารคนหนึ่งบันทึกเอาไว้ระหว่างการขนย้าย  เกิดเล็ดลอดออกสู่สายตาประชาชน  จนกลายเป็นเรื่องที่ฮือฮาอยู่พักหนึ่ง

                           เรื่องราวทั้งหมดเงียบหายไปกับกาลเวลาจนกระทั่งในแ พ. ศ. 2550 มีการค้นพบโครงกระดูกยักษ์อีกแห่งในประเทศอินเดีย  โดยทีมงานของนักสำรวจเนชั่นแนลจีโอกราฟิค  ประจำอินเดีย  กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ตอกย้ำว่า  ครั้งหนึ่งในอดีตเคยมียักษ์เพ่นพ่านอยู่บนดลกมนุษย์.....


                           ขณะที่อีกราย  ขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สูงถึง 12 ฟุต พร้อมฟัน 2 แถว ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  ใกล้ ๆ กับโครงกระดูก ขุดพบเปลือกหอยรูปทรงแปลก ๆ ขวานหินที่ใช้เป็นอาวุธและเศษอาหาร  ประกอบด้วยอาหารทะเลและเนื้อช้างแมมมอธ  ซึ่งสูญพันธุ์ไปจากโลกหลายล้ายปีมาแล้ว

     
                           บนเกาะอีสเตอร์  ในมหาสมุทรแปซิฟิก  มีแท่งหินสลักเป็นใบหน้าและหัวมนุษย์จำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่  ขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ที่สุดสูงถึง 30 ฟุต แต่ละรูปแกะสลักจากหินแข็งมีอายุเก่าแก่ไปจนถึงยุคหิน  ซึ่งมนุษย์ยุดนั้นใช้หินเป็นเครื่องมือ  ขณะที่รูปสลักบางรูปมีที่ตั้งห่างจากแหล่งหินขนาดใหญ่โตมาก

                           ครั้งหนึ่ง  เคยมีการขุดค้นพบแท่งหินสลักเป็นรูปมนุษย์  จมอยู่ในทะเลทรายทางตอนเหนือของประเทศชิลี  เป็นโครงมนุษย์ที่สูงถึง 32 ฟุต   ที่ผนังหินแห่งหนึ่งใกล้กับแดนมหัศจรรย์แกรน์แคนยอน  สหรัฐอเมริกา  มีรูปเขียนโบราณรูปหนึ่ง  เป็นภาพมนุษย์กำลังต่อสู้กับแมมมอธช้างมีขนพันธุ์โบราณบานบุรี  ซึ่งมีรูปร่างใหญ๋โตกว่าช้างธรรมดามาก  สูงราว9-13ฟุต มีงาที่ยาว แต่ภาพเขียนโบราณดังกล่าว  กลับเป็นภาพมนุษย์ต่อสู้กับแมมมอธกันอย่างดุเดือด

                           ส่วนประตูหินในประเทศโบลิเวีย  ก็สร้างโดยใช้หินแต่ละก้อนที่หนักมากถึง 10 ตัน มนุษย์อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ย่อมไม่สามารถนำขึ้นไปเรียงซ้อนกันได้แน่ๆ นอกจากนี้ ยังมีหลีกฐานอีกหลายอย่างชิ้นที่แสดงถึงฝีมือของยักษย์  เช่น บันไดป้อมปราการของมนุษย์ก่อนหน้าเผ่าอินคาในเปรู  สิ่งเหล่านี้ล้วนใหญ่โตเกินกำลังความสามารถของมนุษย์อย่างแน่นอน

                           ร่องรอยของยักษ์ก็ถือเป็นหลักฐานสำคัญ เช่น รอยเท้ามหึมา  ซึ่งมีผิวเรียบเกลี้ยงเกลา  เส้นผ่านศูนย์กลาง 7 ฟุต เหยียบลงบนโคลน  แล้วกลายสภาพเป็นหินในภายหลัง  ก้อนหินขนาดใหญ่เหล่านี้มีจำนวนมากมายกระจัดกระจายกันอยู่  ทั้งใกล้และไกลบนเกาะในประเทศคอสตาริกา

     
                           ดังนั้นจึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า  ในปัจจุบันผู้สร้างร่องรอยเหล่านี้หายไปไหนหมด????

     
                           ข้างต้นเป็นข่าว  และข้อมูลบางส่วนที่เผยแพร่ผ่านทางกระดานข่าวในหน้าอินเตอร์เน็ต  ซึ่งพยยามยกเป็นข้ออ้างอิงพิสูจน์ว่ายักษ์มีจริงหาใช่เป็นเพียงแค่ตำนาน เรื่องเก่าเล่าโคมลอยที่จะมีให้เสพกันอย่างดาษดื่นแถมเคยอยู่บนกน้าหนังสือพิมพ์มาพักหนึ่ง  ก่อนที่จะหายไปเพราะกระแสข่าวอื่น ๆ ซึ่งมาแรงกว่ากลบจนมิดนั่นเอง

                           สำหรับความหมายตามพจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน  ได้ให้นิยามยักษ์ไว้ว่า..."น. อมนุษย์พวกหนึ่ง ถือกันว่ามีรูปร่างใหญ่โตน่ากลัวมีเขี้ยวงอก  ใจดำอำมหิต  ชอบกินมนุษย์  กินสัตว์  โดยมากมีฤทธิ์เหาะได้พวกหนึ่งในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นปรนิมมิตสวัตดี  ชื่อหนึ่งของดาวฤกษ์ศตภิษัช มี 4ดวง ดาวพิมพ์ทอง หรือดาวสตะภิสชะ ก็เรียก ว. ดดยปริยายหมายความว่า  มีลักษณะหรืออาการอย่างยักษ์  เช่น ใจยักษ์  หน้ายักษ์  มีลักษณะใหญ่เป็นพิเศษในพวก  เช่น ปลาหมึดยักษ์

                           ส่วนพจนานุกรมเวอร์ชั่น อ. เปลื้อง ณ นคร ก็ได้นิยามไว้ว่า.."(สก.ยกษ;มค.ยก.ข)น.  พวกดุร้ายพวกหนึ่งไม่ใช่มนุษย์  บางแห่งว่า ได้แก่ ปีศาจ บางแห่งว่า อยู่ในพวกอสูร  ใจดีก็มี ใจร้ายก็มี  ผู้ที่มีคนเซ่นสรวง  หมายเอาภุมเทพ  หรือ วนเทพ หรือบุคคลควรบูชา  โดยทั่วไปแล้ว ยักษ์  หมายถึง  มนุษย์รูปร่างใหญ่โต  เขี้ยวยาวออกมานอกปาก  กินคนและสัตว์ มีฤทธิ์จำแลงตัวได้ในวรรณคดีไทย  ยักษ์มักเป็นศัตรูกับมนุษย์"

                           จะว่าไปแล้ว....ยักษ์จัดเป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งที่มีบทบาทตั้งแต่ทางศาสนาและวรรณคดี  ยักษ์ตามความเชื่อของไทยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ   ในขณะที่ความเชื่อในบริเวณส่วนอื่น ๆ ของโลกก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอมนุษย์ที่มี่ร่างกายใหญ่โตดุราย  ชอบของสดคาว  หรือชอบจับมนุษย์เป็นภักษาหาร  ซึ่งสอดคล้องกับยักษ์ตามความเชื่อของคนไทยเช่นเดียวกัน
     

                           โดยทั่วไปแล้ว   ยักษ์ตามความเชื่ออันหลากหลายก็มีลักษณะที่สอดคล้องกันซึ่งยักษ์ทุกตนนั้นล้วนมีเขี้ยว  ดวงตานั้นลุกโพลงตลิดเวลาและมักจะจ้องมองแบบไม่กระพริบตา  เพราะกระจกตาของยักษ์คล้าย ๆ กับ ดวงตาของสัตว์เลื้อยคลาน   จึงทำให้ไม่รู้สึกระคายเคืองตา   และที่เป็นเครื่องหมายการค้าอีกอย่างคือ  ยักษ์ทุกตนมักจะมีกระบองเป็นอาวุธคู่ใจเสมอ

                           แต่รายละเอียดส่วนอื่น  ทั้งรูปร่าง หน้าตา หรือการแต่งกาย  ยักษืบางตนก็มีเท้าเป็นงู  หรือบางตนก็มีศีรษะเป็นสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างกันออกไปตามความเชื่อตามตำนานของแต่ละท้องถิ่น

                           ส่วนตนไหนมีรูปร่างลักษณะอันแปลกประหลาดเพียงใดหรทอเรื่องราวจะเป็นแบบไหน  มาเริ่มตามไปวัดรอยเท้ากันจากตำนานบทแรกดีกว่า......


     

     
    ขอขอบคุณที่มาจาก
    หนังสือ ตามรอยเท้ายักษ์ข้อมูลทางบรรณษนุกรมของหอสมุดแห่งชาติ
    จุนินยะ    จักพิมโดย  ปราชญ์  สำนักพิมพ์
     
     

     

                                              
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×