ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Promise พรายนครา

    ลำดับตอนที่ #3 : เรือไม้ลำเก่า

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 204
      0
      23 พ.ค. 59

     


     

     

    มือเรียวงามแกะตลับไม้เก่าแก่ออก ดวงตาสีน้ำผึ้งเบิกขึ้นอย่างพิศวงเมื่อแลเห็นวัตถุล้ำค่าภายใน

     

    กระจกมีด้ามจับขนาดเล็กเท่าฝ่ามือวางคว่ำอยู่ภายในตลับไม้ ด้านหลังของกระจกเป็นลวดลายเสลาสลักจากทองเหลือง ช่างฝีมือบรรจงประดับประดาอัญมณีหลากสีจนแพรวพราว ประดุจรังสรรค์ขึ้นด้วยจิตวิญญาณและความรัก

    ศรันย์ เพื่อนรักของผมไม่ได้มางานแต่งของเรา เลยส่งของขวัญมาฝากแทน คงรู้ว่าอันชอบของเก่าๆ โบราณๆเหมันต์เอ่ยด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดีขณะเฝ้าดูภรรยาของเขากำลังแกะห่อของขวัญแต่ละชิ้นอย่างพินิจตั้งใจ สายลมจากหน้าต่างโบกพัดเส้นผมของเธอให้พลิ้วไหวรุงรังตามแนวหน้าผากเกลี้ยงเกลา โดยที่เจ้าตัวมิได้สนใจปัดมันออกสักนิด

    ภายในห้องซึ่งประกอบด้วยไม้สัก เปลวแดดเล็ดลอดผ่านม่านไหมแพรสีลูกหว้าเข้ามาอาบไล้แสงสีม่วงลงบนกล่องของขวัญมากมายซึ่งวางเรียงรายซ้อนทับกัน ทั้งกริซ(1) เงินด้ามกระดูกปลาวาฬซึ่งสลักอย่างละเอียดจากช่างฝีมือจากปัตตานี เชี่ยนหมากพลูโบราณ(2) อันเป็นเครื่องเงินจากอยุธยา หรือกรอบรูปลายเส้นสตรีล้านนากำลังเกล้ามวยผมจากน่าน และผ้าไหมปูมล้ำค่าจากเขมร ของขวัญทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของเก่าแก่ตามรสนิยมของคู่แต่งงาน

    สวยงามเหลือเกินค่ะอันธิกาในชุดกระโปรงจากผ้าป่านสีเขียวอ่อนนั่งพับเพียบกับพื้น เธอไล้เรียวนิ้วไปตามลวดลายละเอียดลออบนด้ามกระจกแล้วยิ้มแย้ม เป็นรอยยิ้มอันไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยผู้ได้รับของเล่นซึ่งพึงใจ

    อันธิกาคลี่กระดาษจดหมายที่แนบมาในตลับไม้ออกอ่าน

     

    เหมันต์และอันธิกาเพื่อนรัก

    สมบัติเก่าแก่นี้คงถูกใจพวกเธอมิใช่น้อย ฉันได้มากจากลูกค้าซึ่งเป็นนักสะสมของเก่า มันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากนัก แต่มันมีความวิเศษอย่างหนึ่งที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเธอทั้งสองให้ปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวงที่จะมากล้ำกราย สุดท้ายนี้ฉันคงไม่มีคำอวยพรใดให้มากไปกว่าการขออธิษฐานให้พวกเธอจงมีความสุขและครองรักกันด้วยความซื่อสัตย์ภักดีต่อกัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ความรักย่อมไม่ต่างจากลำเรือรอวันอับปาง

    ด้วยรักจากศรันย์

     

    ประกายในดวงตาสีน้ำผึ้งแวววาวด้วยความหลงใหลขณะลูบไล้คันฉ่อง(3) ทองเหลือง แสงของอรุณสะท้อนบานกระจกให้เห็นรอยขุ่นมัวด้วยเป็นของเก่าแก่ผ่านกาลเวลายาวนาน

    หญิงสาวหันบานกระจกเข้าหาตัว คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย คันฉ่องนี้มิได้สะท้อนใบหน้าของเธอ หากแต่แสดงให้เห็นเพียงเงาสลัวมัวหม่นซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นสิ่งใด

    ประหลาดจริง กระจกฝ้ามัวจนมองไม่เห็นอะไรสักอย่างอันธิกายื่นวัตถุเก่าแก่ในมือให้แก่เหมันต์ เขารับมันมาพลิกกับไปมาอย่างสงสัยไม่แพ้กัน ภาพที่สะท้อนจากคันฉ่องเคลื่อนไหวพร่ามัวราวกับมีเงาลึกลับซ่อนแอบอยู่หลังม่านน้ำตก ไม่อาจมองเห็นได้ถนัด

    สงสัยเก่าจนพังแล้วแน่ๆเหมันต์เพ่งมองวัตถุเก่าแก่ในมือด้วยอาการงงงวย หรืออาจไม่ใช่กระจกส่องหน้า

    แต่มันก็สวยมากนะคะ ฝากขอบคุณเพื่อนรักของคุณด้วยอันธิกายิ้มอย่างน่ารักจนเห็นรอยบุ๋มที่แก้มทั้งสอง ก่อนจะหันไปสนใจแกะห่อของขวัญอื่นๆ

    เหมันต์มองที่แววตาของเธอ หญิงสาวไม่สบตาเขาสักนิด เธอคงโกรธเขาอยู่ไม่น้อย อันธิกามีทิฐิอยู่มาก เธอจึงไม่แสดงมันออกมาให้เขาได้เห็น ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ ว่าสิ่งที่ตนเองทำไว้ในอดีตได้ทำร้ายหัวใจของหญิงสาวเพียงไร

    ดวงตาชายหนุ่มอ่อนแสงลง เขารู้ดีว่ากาลเวลาไม่อาจเยียวยาบาดแผลในใจให้จางหาย กาลเวลาเพียงแต่เป็นยาชาให้เฉยชินกับความเจ็บปวดเท่านั้น สิ่งที่เขาทำได้คือถนอมหัวใจของเธอไว้ให้ดีที่สุด

    ดูสิ นี่ห่อใหญ่เบ้อเริ่มเชียว คงไม่ใช่แจกันยักษ์นะคะอันธิกาเหลียวไปสนใจกับกล่องของขวัญทรงสูงขนาดใหญ่ที่ตั้งด้านหลังเธอ หญิงสาวพลิกการ์ดใบเล็กๆ ซึ่งกรุ่นกลิ่นหอมของกุหลาบ เห็นลายเส้นตวัดเป็นระเบียบเขียนสั้นๆ เพียงว่า

     

    ศรันย์เพื่อนยาก

    ฉันและเพื่อนช่างภาพตกใจกับข่าวงานแต่งของนายไม่น้อย

    ดีใจที่ผู้ชายเจ้าสำราญนายพบผู้หญิงในฝันสักที

    มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองให้ฉันอุ้มไว ๆ ล่ะ

    จาก คเชนทร์ เพื่อนรักของแก

    ปล. กล้องถ่ายรูปที่นายยืมฉันไปถ่ายสาวในชุดว่ายน้ำ เมื่อไหร่จะคืนครับเพื่อน?

     

    เหมันต์กระแอมออกมาเมื่ออ่านจดหมายฉบับนั้นจบ ไม่แปลกสักนิด ในสายตาเพื่อนรัก ต่างมองว่าเขาเป็นผู้ชายประเภทที่พร้อมจะหักอกผู้หญิงได้ทุกเมื่อ

    เพื่อนของคุณส่งอะไรมาให้กันนะ ?” อันธิกาว่าพลางรื้อกระดาษห่อสีเงินแล้วเปิดกล่องออก ก่อนจะอุทานออกมาอย่างตื่นใจ แล้วยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ เรียงเป็นระเบียบ

    เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวหันมาสบตาชายหนุ่มในวันนี้

    กีตาร์คลาสสิคนี่เอง...คุณต้องชอบแน่ๆ

     

    เมฆสีแดงฉานเกลื่อนบนท้องฟ้ามองคล้ายเกล็ดปลาอันมีโลหิตซึมไหล

    เหล่านกกาโผบินฉวัดเฉวียนพลางกรีดร้อง อันธิกาขยับแว่นกันแดดสีดำขณะเดินบนบาทวิถี ตึกแถวสองข้างทางเป็นสถาปัตยกรรมแบบเก่า ส่วนมากสร้างจากไม้ แสงยามเช้าไม่ร้อนแรงมากนัก วันนี้หญิงสาวสวมกางเกงขาสั้นให้เห็นช่วงขาเรียวยาวกับรองเท้าแตะสานสีเปลือกไม้ และสวมเสื้อป่านเนื้อบางตัวหลวมสีน้ำตาล ชายผ้าประดับลูกไม้ทิ้งตัวยาวคลุมสะโพก ช่วงแขนสามส่วนทิ้งชายพลิ้วไหวตามลำแขนบอบบาง คอเว้าเป็นสี่เหลี่ยมให้เห็นช่วงลำคอนวลระหง ใต้อกมีลูกไม้รัดไว้แล้วผูกเป็นริบบิ้นไว้ที่ด้านหลัง

    อันธิกาขยับแว่นกันแดดสีดำมองทุกที่ หญิงสาวขบริมฝีปากสีแดงจัดอย่างนึกขัดใจ พวกเขาเพิ่งเดินทางมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งมีท่าน้ำลงสู่เรือล่องโขง ทว่าร้านรวงที่นี่ล้วนปิดสนิท บาทวิถีเงียบกริบไร้สรรพสิ่งมีชีวิต ทุกสถานดูเงียบเชียบราวกับเมืองร้าง มีเพียงกระดาษหนังสือพิมพ์พัดเกลื่อนไปตามถนนหนทาง

    “แปลกจริง...” เหมันต์เดินข้ามถนนมา ผมยาวถึงกลางหลังของเขามัดรวบไว้ที่ท้ายทอย ร่างสูงโปร่งแบกเป้ใบใหญ่และกระเป๋ากีตาร์ตัวใหม่ไว้ด้านหลัง เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะพายกระเป๋ากล้องไว้กับไหล่ ใบหน้าอันเต็มไปด้วยไรหนวดเหลียวมองสถานที่อย่างประหลาดใจ “คนที่นี่ไม่กินข้าวเช้ากันหรือไง ? ทุกร้านปิดสนิทหมดเลย” ดวงตาสีอำพันเต็มไปด้วยความงงงวย

    “แล้วเจ้าของเรือที่คุณนัดไว้ล่ะคะ ?

    “คงจะอยู่ที่ท่าน้ำรอเราอยู่ เมื่อวานผมโทรคุยกับแกไว้แล้ว”

    หญิงสาวดึงหมวกมะหยี่สีเลือดนกประดับกุหลาบผ้าสีแดงมาสวมทับเส้นผมสยายยาวเพื่อกันแดด

    “งั้นรีบไปกันเถอะค่ะ สงสัยวันนี้เป็นวันหยุดราชการ ชาวบ้านถึงได้ปิดร้านกันหมด คราวหน้า อย่าลืมดูปฏิทินก่อนเดินทางด้วยล่ะ” อันธิกาบ่นพลางหิ้วกระเป๋าสะพายหลังเดินนำไป

    ชั่วขณะนั้นมีลมพัดผ่านแผ่วเบา กระดาษหนังสือพิมพ์ภาษาไทยแผ่นหนึ่งว่อนตามแรงลมมาหยุดที่ปลายเท้าของอันธิกา ภาพข่าวอุบัติเหตุรถยนต์คันหรูของเศรษฐีชื่อดังพุ่งตกลงลำน้ำโขงชวนให้สยดสยอง

    “หนังสือพิมพ์สมัยนี้ขายแต่ข่าวน่ากลัวไม่ประเทืองปัญญาทั้งนั้น” หญิงสาวรีบชะล้างภาพเหล่านั้นออกจากสมองแล้วย่ำเท้าจากไป เหมันต์หัวเราะแผ่วเมื่อเห็นภรรยาของเขาออกอาการหงุดหงิด ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากแบกสารพัดกระเป๋าแล้วเดินตามไป

    จนถึงท่าน้ำแล้ว เห็นลำเรือมากมายล้วนแล้วแต่จอดนิ่งอยู่ริมฝั่ง ทั้งเรือโดยสารข้ามฟากลำเล็ก เรือสำราญลำใหญ่ของเอกชน และเรือประมงหาปลาเล็กๆ ของชาวบ้าน แต่กลับไม่มีผู้คนอื่นใดเลยสักคน จนกระทั่งเด็กชายตัวเล็กๆท่าทางมอมแมมคนหนึ่งวิ่งมาสะกิดชายเสื้อเชิ้ตของเหมันต์เบาๆ

    ชายหนุ่มจำได้ทันที

    “ว่ายังไงเจ้าหนู คุณตาอยู่ที่ไหนหรือครับ ?” เหมันต์ย่อตัวลงนั่งเสมอกับเด็กน้อย ใบหน้าของเขาอ่อนโยนลง ดวงตาไร้เดียงสาของเด็กชายจ้องกลับมาด้วยแววใสแป๋ว

    “ตาให้มาบอกว่าวันนี้ตาไม่ออกเรือฮะ ให้พี่มาวันพรุ่งนี้แทน”

    “อะไรกัน! เราเตรียมสัมภาระมาแล้วนะ จะให้แบกของมาเก้องั้นหรือ ?” อันธิกาแหวขึ้นเสียงแหลมจนเด็กน้อยตกใจแทบห่อตัว เหมันต์ตบไหล่เด็กชายเบาๆ อย่างปลอบประโลม

    “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมคุณตาถึงให้มาบอกแบบนี้ ?” ชายหนุ่มถามเสียงอ่อนโยน เด็กชายเหลือบตามองอันธิกาอย่างหวาดกลัว ใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายจะร้องไห้

    “พี่ดูท้องฟ้าวันนี้สิฮะ” เด็กน้อยว่าพลางชี้เมฆสีแดงเกลื่อนฟ้าอันมองคล้ายเกล็ดปลา “คนที่นี่จะไม่ออกจากบ้าน และไม่ออกเดินเรือถ้าฟ้าเป็นแบบนี้หรอกฮะ มันเป็นลางไม่ดี พี่รีบกลับบ้านไปเถอะ”

    เด็กชายอึกอักเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับยืนนิ่งละล้าละลัง

    “ไม่รู้กลัวอะไรกันนักหนา จะพูดอะไรก็พูดมาสิ” อันธิกาบ่น ถึงแม้จะซ่อนแววตาด้วยแว่นกันแดดสีเข้ม แต่เหมันต์รู้ว่าเธอกำลังหงุดหงิดและหน้าบึ้ง

     “ผมเตือนพี่แล้ว ผมไปก่อนนะฮะ” เด็กชายพูดแค่นั้นก็รีบวิ่งจากไปอย่างรวดเร็วแล้วหายลับไปในหมู่กระท่อมเล็กๆ ที่เบียดเสียดกันริมน้ำ

     

    ท้ายที่สุดคู่แต่งงานใหม่จึงต้องหาที่พักค้างคืนในละแวกใกล้เคียงเสียก่อน

    คืนนั้นอันธิกานอนไม่หลับ ก่อนหน้านี้เธอผล็อยหลับและฝันไป ในฝันได้ยินเสียงหญิงสาวคนหนึ่งกรีดร้องขอความช่วยเหลือ เสียงนั้นโหยหวนปนสะอื้นเหมือนคนได้รับความทรมานอย่างหนัก อันธิกาจึงสะดุ้งตื่นและข่มตาหลับไม่ลงอีกเลย

    เธอได้ยินเสียงน้ำไหลจากในห้องน้ำ เหมันต์ยังนอนแช่ฟองสบู่อยู่ในอ่าง หรืออาจกำลังโทรศัพท์คุยอยู่กับใครในห้องน้ำ อันธิกาไม่อยากคาดเดาไปเอง

    วาระนั้นเป็นคืนเดือนแรม 15 ค่ำ(4) ฟ้าจึงมืดสนิทดารดาษด้วยหมู่ดาว หญิงสาวเดินออกมายืนที่ศาลาจุดชมวิวหลังเล็กติดริมลำน้ำโขง ศาลาหลังนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลห้องพักมากนัก แสงไฟจากที่ไกลๆ พอทำให้เห็นอะไรได้บ้าง เธอทอดอารมณ์เฝ้ามองเงาร่างของตัวเองในระลอกสายน้ำสีดำอย่างเงียบงัน คิ้วงามขมวดเข้าหากัน เมื่อสังเกตเห็นวังวนประหลาดอยู่ตรงนั้น คล้ายมีใบหน้าถลน ดวงตาปูดโปนจ้องกลับมา

    ฉับพลัน! นกใหญ่ตัวหนึ่งบินโฉบเธอไปอย่างรวดเร็วและเงียบกริบปานวิญญาณ แต่แรงโฉบของมันแรงนักจนหญิงสาวไม่อาจตั้งตัวได้ แว่วเสียงหัวเราะดังก้อง ดังหนึ่งมีมือประหลาดผลักให้ร่างเซถลาพลัดตกระเบียงลงไป หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียง เสียงน้ำแตกกระเซ็นดังอื้อหู สายน้ำเย็นเฉียบโอบกอดร่างของเธอแล้วฉุดดึงให้ดิ่งลึกลงไปในห้วงอนธการ น้ำไหลทะลักเข้าปอดและจมูก มือและขาปัดป่ายกระเสือกกระสน ทว่าปราศจากที่ยึดเหนี่ยวใดๆ

    คล้ายเห็นเงาร่างของสตรีผู้หนึ่งโอบกอดเธอไว้แน่น แล้วพาดำดิ่งให้ลึกลงไป

    สิ่งสุดท้ายที่อันธิกาสัมผัสได้คือเส้นผมสยายยาวที่แผ่ซ่านใต้สายน้ำ อ้อมกอดแน่นที่ฉุดรั้ง แสงดาววิบวับที่หม่นเศร้าราวไว้อาลัย และเสียงอึกทึกของกลองโบราณ

     

    มหาศักราช(5) 598 แรม 15 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ

    คืนนั้นไร้แสงจันทร์  ทั่วสถานจึงมืดมิดราวกำมะหยี่สีดำแผ่คลุมทั่วท้องราตรี เห็นเพียงหมู่ดาราพิลาสขันแข่งขับแสงระยับอยู่เกลื่อนเวหา

    ปราสาทศิลาเก่าแก่ตั้งตระหง่านแลดูงามพร่างตาท่ามกลางลานดินราวกับภาพมายาจากสรวงสวรรค์ ประทีปชวาลาอาบแสงทุกหนแห่งเป็นสีทองอร่าม สายน้ำจากสระบาราย(6) ไหวเป็นระลอกเมื่อต้องแรงลมเกิดเป็นแสงสะท้อนของคลื่นน้ำวูบไหวอาบทั่วสถานชวนให้นึกถึงเมืองบาดาล

    เสียงกลองดังอึกทึกประสานกับเสียงพิณ และบทสวดเย็นเยียบดังแว่วมา ใบมะตูมและพวงมาลัยไม้ดอกโปรยปรายพร่างพรายในสายลมราวกับสายฝน เพลิงอัคคีลุกโชนโชติสว่างขึ้น เปลวไฟสะบัดไปมาอย่างเหิมเกริมและหิวกระหาย อาบร่างแข็งแกร่งของชายฉกรรจ์ให้เป็นสีทองแดงผุดเหงื่อพร่างพราว เสียงหมู่สัตว์น้อยใหญ่ในกรงขังกรีดร้องราวกับรู้ชะตาแห่งหายนะของตัวเอง แพะขาวตัวหนึ่งพร่ำร้องหาความเมตตา มันถูกชายผู้กักขฬะฉุดกระชากมาวางบนแผ่นหิน ก่อนจะใช้มีดลงอาคมเชือดตรงลำคอปล่อยโลหิตรินไหลลงหลุมบ่อเป็นเครื่องพลีสังเวยแด่เหล่าเทพ ดวงตาของมันเหลือกลานเพ่งตรงมาอย่างปวดทรมานก่อนนิ่งงันไป

    แว่วเสียงสาปแผ่วเบา แล้วทั้งหมดทั้งมวลก็พลันสลายกลายเป็นหมอกควันหนาทึบ

     

    มือเย็นเฉียบและผอมแห้งบีบรัดลำคออันธิกา หญิงสาวกระเสือกกระสนเป็นครั้งสุดท้าย

    ราวเวลาหยุดชะงัก เรี่ยวแรงพลันหมดสิ้น ฟองอากาศผลุดโผล่ใต้สายน้ำ ดวงตางามเบิกกว้าง ร่างทิ้งดิ่งลง...แล้วทุกสิ่งก็เหลือเพียงความเงียบงัน

    “อันธิกา...อันธิกา!

    เสียงเรียกของเหมันต์ดังก้องอยู่ทุกหนแห่ง หญิงสาวรู้สึกตัวเมื่อถูกเขย่าอย่างแรง

    “ช่วยด้วย!” อันธิกาลืมตาเบิกโพลง น้ำไหลออกจากปากและจมูกจนแสบซ่าน มือเกาะเกี่ยวแขนของเหมันต์ไว้แน่น หญิงสาวหอบหายใจอย่างแรงและพยายามตั้งสติ

    “ผมนึกว่าจะต้องเสียคุณไปเสียแล้ว”

    เหมันต์ดึงร่างอันธิกามากอดไว้แน่น หญิงสาวตัวเปียกชื้น เส้นผมเรียบลู่ไปกับใบหน้า ริมฝีปากสั่นระริกและฟันกระทบแรงด้วยหนาวสั่น เธอกอดเขาไว้แน่นไม่แพ้กันปานพยายามซึมซับเอาไออุ่นจากร่างของชายหนุ่ม

    “ต้องขอบคุณเสี้ยวเดือน ขอบคุณเธอจริงๆ เธอช่วยชีวิตอันไว้” เหมันต์ห่มผ้าขนหนูตัวหนาทับให้อันธิกา แล้วหันหน้าไปทางหนึ่ง เห็นแม่สาวน้อยร่างเล็กน่ารักที่นั่งตัวสั่นอยู่ไม่ไกลนัก เส้นผมประบ่าของเจ้าหล่อนเปียกจนชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรง หน้าซีดจนเห็นเส้นเลือดใต้ผิวบาง ปากแทบจะเป็นสีเขียวคล้ำ

    “คุณช่วยชีวิตฉันหรือคะ ? ขอบคุณจริงๆ” อันธิกาเอ่ยออกไปอย่างจริงใจ รู้สึกพิศวงอยู่บ้างที่ตนเองรอดชีวิตมาได้

    “เสี้ยวเดือนมาพักที่นี่อยู่เหมือนกัน เธอเดินเล่นแถวนี้พอดี จึงช่วยชีวิตอันไว้”

    “บุญเก่าค้ำหัวจริงๆ ถึงรอดชีวิตมาได้” เสียงชายวัยกลางคนร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ท่าทางใจดีผู้หนึ่งดังขึ้น “แม่หนูคนนี้กระโดดลงไปช่วยคุณไว้ไม่คิดชีวิตเลย เป็นคนตัวเล็กนิดเดียว แต่ใจกล้าชะมัด จะว่าไป...ไม่น่าเชื่อว่าพวกคุณจะรอดชีวิตมาได้ น้ำโขงอันตรายใช่ย่อย...ระวังหน่อยแล้วกัน” เขาถือกระติกน้ำอุ่นรินใส่แก้วมอบให้หญิงสาวทั้งสอง

    “ขอบคุณครับลุงยาม” เหมันต์รับแก้วน้ำอุ่นจากยามร่างท้วมผู้ใจดีแล้วค่อยๆ ป้อนให้คนรักของเขา อันธิกาละเลียดจิบเอาน้ำอุ่นเข้าไปช้าๆ เธอเหลือบเห็นเสี้ยวเดือนยังนั่งสั่น สองมือกุมแก้วน้ำอุ่นไว้ ดวงตาฉายแววหวาดหวั่นคล้ายพึ่งตื่นจากฝันร้าย...ฝันที่ร้ายกาจและน่าพรั่นพรึงจนน่ากลัวว่ามันจะเป็นจริง

    อันธิกากวาดสายตามองลำน้ำโขง หญิงสาวเห็นเพียงแต่ความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด เธอหวนนึกถึงภาพหลอนใต้สายน้ำ...ใครสักคนพยายามฉุดดึงเธอให้จมดิ่งลงไป แววตาคู่นั้นทั้งอาฆาตและพยาบาท

    หญิงสาวระลึกถึงนิมิตประหลาด มันเลือนรางไม่ต่างจากความฝัน เธอแทบจะจดจำอะไรไม่ได้เลย ราวกับเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำอันลึกที่สุดที่ถูกลืม

    หญิงสาวพยายามจะทบทวนภาพนิมิตนั้นอีกครั้ง...แต่สมองเหนื่อยล้าเกินกว่าจะนึกออก บางครั้งเหมือนจะจำได้ แต่เมื่อหญิงสาวพยายามไขว่คว้า มันกลับวับหายไปเสียดื้อๆ ดั่งหลุดร่วงไปในห้วงเหวลึกทะมึน

    ลุงยามร่างอ้วนท้วนเอ่ยขึ้น

    “ระวังตัวบ้างนะคุณ เมื่อวานก่อนก็มีเศรษฐีนีคนหนึ่งรถคว่ำตกน้ำตาย เป็นข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ ป่านนี้ยังไม่พบศพเลย วิญญาณตายโหงคงยังอยู่ใต้น้ำ เจอแต่ซากรถสีแดงจ้านเลย น่าเสียดายจริงๆ เปอร์โยปี 70 เสียด้วย”

     

    แสงอาทิตย์ใกล้เที่ยงแผดจ้า อันธิกาแทบจะกรีดร้องเต้นเร่าอยู่บนพื้นเหมือนเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจตนเอง

    เหมันต์และอันธิกาผิดหวังอีกครั้ง เมื่อเจ้าของเรือที่พวกเขานัดไว้ในวันนี้ปฏิเสธไม่ออกเดินเรือเช่นเดิม แกอ้างถึงลางสังหรณ์และความเชื่อบางอย่างที่ชายหนุ่มหญิงสาวยุคใหม่ไม่มีทางเข้าใจ

    “เรากลับกันก่อนไหม แล้วค่อยมาใหม่ ?” เหมันต์ออกความเห็น เมื่อทั้งคู่เดินกลางแดดจนเหงื่อไหลปริท่วมตัวมาตลอดยามสายแล้ว

    คำพูดนั้นจุดเชื้อเพลิงโทสะให้หญิงสาว ใบหน้าของเธอแดงจัดด้วยอาการเกรี้ยวกราด

    “ฉันไม่สน! เราขนของกันมาแล้วนะ ยังไงวันนี้ก็ต้องได้ออกเดินทาง ต่อให้เจอพายุหรือผีสางนางไม้ที่ไหนก็ตาม”

    เหมันต์ถอนใจอย่างอ่อนอก อันธิกาเป็นลูกสาวคนเดียว เธอจึงถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจ และนั่นทำให้หญิงสาวเจ้าอารมณ์ออกอาการดื้อรั้นทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจ เขารู้นิสัยข้อนี้ของเธอนับแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน

    ครั้งนั้นเขาเป็นนักเขียนสารคดีที่เทียวไปเทียวมาระหว่างกรุงเทพและหมู่บ้านเล็กๆ ริมฝั่งโขงบ่อยครั้ง เขาพบเธอครั้งแรกในพิพิธภัณฑ์เรือนอีสานโบราณ หญิงสาวอยู่ในชุดผ้าป่านพริ้วไหวสีเขียวยาวกรอมเท้า ดวงตาค่อนข้างเย่อหยิ่งของเธอตรึงสายตาชายหนุ่มไว้ทันที

    อาจจะเป็นเพราะเส้นผมบางละเอียดเส้นเล็กที่ยาวถึงบั้นท้าย หรือเพราะริมฝีปากงามดุจกลีบกุหลาบที่เผยอน้อยๆ อย่างคนเอาแต่ใจ หรือเพราะจมูกเล็กที่รั้นขึ้นอย่างน่ามอง และรอยยิ้มอย่างลืมตัวของเธอที่ดูไร้เดียงสาราวกับรอยยิ้มของเด็กสาวตัวน้อย ที่ทำให้เขาเผอเรอเอาแต่เดินวนเวียนไร้ทิศทางเพียงเพื่อเฝ้ามองโดยไม่ให้เธอได้รู้ตัว

    เขากดชัตเตอร์นับไม่ถ้วนเพื่อบันทึกภาพใบหน้างามปานนางไม้จำแลง แต่หัวใจของเขาแทบหล่นหายเมื่อเธอเหลียวใบหน้างามกระจ่างดุจดวงเดือนหันมามองในชั่ววินาทีที่กำลังกดชัตเตอร์พอดี ดวงตาหญิงสาวฉายแววขึ้งโกรธ เธอจ้องเขาราวจะกินเลือดกินเนื้อ มือเรียวเล็กคว้าหมับที่กล้องถ่ายรูปของชายหนุ่ม

    “รู้ไหมว่าเขาห้ามถ่ายรูปในพิพิธภัณฑ์ ?” สีหน้าของเธอจริงจัง หญิงสาวพร่ำเอ่ยถึงข้อเสียของการถ่ายรูปในสถานที่ต้องห้ามมานับข้อไม่ถ้วน เช่นว่าแสงแฟลชจะรบกวนผู้ชมคนอื่น หรืออาจจะทำให้สมบัติเก่าแก่อันควรถนอมเสียหายได้ เขาได้แต่ใจลอยเฝ้ามองใบหน้าของเธอจนปล่อยให้หญิงสาวยึดเอากล้องในมือไปจากเขา

    ครั้งนั้นเหมันต์จึงได้รู้ว่าเธอเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์เรือนอีสานโบราณหลังนั้นนั่นเอง

    “และถ้าจะถ่ายรูปของฉัน ก็น่าจะขออนุญาตก่อน ฉันจะได้ยิ้มสวยๆ ให้คุณ” ครั้งนั้นเธอปิดกล้องแล้วยื่นคืนให้แก่ชายหนุ่มพลางแย้มยิ้มให้อย่างน่ารัก

    เหมันต์รู้นับแต่นั้นว่าหญิงสาวแสนดื้อรั้นและเอาแต่ใจได้เข้าเป็นนายควบคุมหัวใจของเขาเสียแล้ว เหมันต์มิใช่คนที่ชอบขัดใจใคร โดยเฉพาะหากคนผู้นั้นคือหญิงสาวที่เขารักยิ่งแล้ว

    ในวันนี้ชายหนุ่มจึงได้แต่เหลียวมองลำเรือที่จอดเท้งเต้งแต่ละลำอย่างจนใจ บางทีเขาอาจจะต้องใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อขอร้องคนเรือสักคน

    จวบกระทั่งเสียงหวานกังวานปานระฆังแก้วดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นจำปีหอมฟุ้งในนภากาศ

    “กำลังมองหาเรืออยู่หรือเปล่าคะ ?

    เหมันต์และอันธิกาเหลียวไปยังต้นเสียง หญิงสาวในเสื้อผ้าไหมแขนกระบอกสีนิลเข้ากับซิ่นไหมหมี่ยาวกรอมเท้าสีแดงเลือดนกยืนอยู่กลางเงาแดดรำไร ชายซิ่นปักลวดลายสลับซับซ้อนอย่างบรรจงบ่งบอกฝีมือช่างชั้นสูง ที่น่าประหลาดคือสตรีปริศนาผู้นั้นคลุมศีรษะซ่อนใบหน้าอย่างเร้นลับภายใต้ผ้าแพรผืนใหญ่สีราตรี เผยให้เห็นเพียงดวงตาดำสนิทยิ่งกว่ารัตติกาล

    อันธิกาเหลียวสบตาเหมันต์แล้วกลับมามองสตรีผู้นั้นอย่างลังเล

    “ใช่ค่ะ เรากำลังมองหาเรือ”

    หญิงสาวเจ้าของดวงตาลึกล้ำราวเม็ดนิลน้ำงามเบือนใบหน้าไปยังเรือไม้สองชั้นลำเก่าคร่ำคร่าลำหนึ่งซึ่งจอดห่างออกไปอย่างโดดเดี่ยว เธอเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแว่วหวานคลับคล้ายเสียงขับร้องของวิหคยามเช้าอันชวนฟังไม่รู้เบื่อ

    “เจ้าของเรือลำนั้นชื่อว่าบุญมี แกคงยินดีที่จะไปส่งพวกคุณสู่จุดหมาย”

     

    เรือเก่าแก่ลำใหญ่สองชั้นซึ่งทำด้วยไม้ตลอดทั้งลำ จอดอยู่อย่างแปลกแยกและไกลห่างผู้คน

    เหมันต์และอันธิกาขนสัมภาระเดินตามหญิงลึกลับผู้นั้นมาจนถึงลำเรือ วาระนั้นสีแดงฉานได้แผ่ย้อมเมฆเกล็ดปลาบนฟากนภาจนทั่ว กลิ่นจำปีหอมอบอวล ทุกหนแห่งมืดครึ้มและเงียบวังเวง มีเพียงเสียงสายน้ำไหลดังขับกล่อม

    คู่แต่งงานใหม่หยุดยืนเมื่อเห็นชายชราใบหน้าถมึงทึงยืนอยู่เกือบถึงหัวเรือ ดวงตาของเขาเป็นสีเทาจางและเส้นผมขาวโพลนยาวรุงรังมีผ้าขาวม้าคาดศีรษะอย่างแน่นหนา เสียงแห้งแหบค่อนข้างห้วนตวาดขึ้นเมื่อเห็นเหมันต์และอันธิกายืนนิ่งอยู่

    “ขึ้นไปสิ ประเดี๋ยวจะได้เวลาออกเรือแล้ว”

    “เรายังไม่ได้ตกลงราคากันเลยนะครับ” เหมันต์ถามพลางเกาศีรษะ

    “เหมาคนละแปดพันบาท ค่อยจ่ายตอนขากลับ” แกตอบเสียงห้วนโดยไม่สบตานักเดินทาง ก่อนจะตวาดลั่นจนคู่หนุ่มสาวตกใจแทบสะดุ้งโหยง “เร็วสิ! ขึ้นเรือได้แล้ว”

    อันธิกาเหลือบมองไม้กระดานแผ่นเล็กแคบที่ทอดยาวเป็นบันไดข้ามไปหาเรือ เธอหันมานิ่วหน้ากับเขา

    “ตาลุงแก่นี่หน้าตาไม่รับแขกเอาเสียเลย ฉันไม่ถูกชะตา”

    “ตาบุญมีเป็นคนใจดีแต่ปากร้ายเกรี้ยวกราดไปเท่านั้นเอง แกเดินเรือมาชั่วชีวิตแล้ว...ไว้ใจแกเถอะค่ะ” สตรีลึกลับเอ่ยขึ้นราวกับหยั่งรู้ความคิดของหญิงสาว แรงลมที่โต้มา ทำให้ผ้าคลุมสีดำทิ้งตัวลงมาปรกบ่าของเธอแทน เผยให้เห็นดวงหน้างามกระจ่าง ผมดำขลับที่เกล้ามวยไว้กลางกระหม่อมอย่างเรียบร้อย และรอยยิ้มเจือจางที่ริมฝีปาก “ขึ้นเรือเถอะค่ะ จวนเวลาแล้ว”

    ราวกับมีมนตราหรืออำนาจเร้นลับบางอย่างที่เกินจะต้านทาน ฉุดดึงให้ทั้งเหมันต์และอันธิกาก้าวข้ามสะพานไม้ลำเล็กมายังระเบียงไม้ท้ายเรือ แล้วขึ้นบันไดไปยังห้องโดยสารชั้นดาดฟ้าซึ่งมีหลังคาคลุมกันแดดฝน

    “เรือจะพาพวกเราไปเที่ยวที่ไหนบ้างคะ ?” อันธิกาถามอย่างอารมณ์ดีขึ้น เพราะเมื่อเข้ามาในระเบียงชั้นดาดฟ้า เธอก็รู้สึกชอบใจขึ้นมาทันที แนวระเบียงประดับประดาลวดลายฉลุไม้อย่างงดงาม มีม่านขาวโปร่งบางล้อมรอบเพื่อกันแสงแดด โต๊ะเก้าอี้เข้าชุดอย่างเป็นสัดส่วนกระจัดกระจายตามมุมส่วนตัวต่างๆ  มีนักเดินทางอีกสามคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

    “พาไปสถานที่งดงามที่สายตาพวกคุณไม่เคยได้เห็นมาก่อน” สตรีลึกลับตอบด้วยรอยยิ้มงามชวนพิศวง

    แม้จะนึกเสียดายที่ครั้งนี้มิได้เป็นการฮันนีมูนส่วนตัวอย่างที่หวังไว้ แต่อันธิกากลับชอบใจที่ได้นั่งเรือลำนี้ หญิงสาวรีบพาเหมันต์มานั่งตรงชุดโต๊ะเก้าอี้ชิดระเบียงท้ายเรือ ดวงตาสีน้ำผึ้งซุกซนเที่ยวสอดส่ายสำรวจผู้ร่วมเดินทางอีกสามคนอย่างสนใจ แต่ละคนล้วนแยกกระจัดกระจายตามมุมส่วนตัวของตน

    ตรงชุดเก้าอี้ที่ใกล้หัวเรือที่สุด คือชายหนุ่มผู้ไว้ผมยาวระต้นคอ มีปอยผมเล็กน้อยคลอเคลียหน้าผาก ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาแลดูอ่อนเยาว์ และดวงเนตรใต้แว่นสายตาซึ่งเหม่อมองสมุดบันทึกในมือมีแววเศร้าซึม ถัดมาตรงชุดเก้าอี้หวายกลางเรือคือสตรีวัยกลางคนผู้แต่งหน้าจัดจ้านและสวมโค้ทเดินทางสีแดงราคาแพงลิบลิ่ว เธอสูบมวนบุหรี่พ่นควันลอยฟุ้ง ดวงตาฉายแววเย้ยหยัน  เป็นความงามที่แสนกลวงเฉกเช่นเครื่องสำอางที่เธอฉาบไว้เพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยบนใบหน้า อันธิกาจำได้ว่าเธอเป็นเศรษฐีนีผู้มีข่าวฉาวโฉ่ในหน้านิตยสารอยู่มากทีเดียว

    แต่สิ่งที่จับสายตาของอันธิกาให้แอบมองสาวใหญ่คนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลับเป็นสร้อยเงินรูปสายน้ำไหลที่หญิงวัยกลางคนสวมอยู่ มันสลักเป็นลวดลายมัจฉาแหวกว่าย ราวกับมีวิญญาณสิงสู่ จึงดูละม้ายว่าเหล่าฝูงปลาล้วนมีชีวิตและกำลังเริงเล่นกับสายน้ำอย่างระรื่น

    คนสุดท้ายนั่งโต๊ะข้างๆ อันธิกา เป็นหญิงสาวแรกรุ่นผมยาวประบ่า ใบหน้าอ่อนใสปราศจากเครื่องสำอาง  เธอสะพายย่ามเก่าๆ ย้อมสีอัญชัน สวมโค้ทตัวใหญ่ดูทึมทะมึนกับกางเกงยีนส์ตัวเก่งซึ่งมีรอยขาดตรงหัวเข่า

    อันธิกาจำได้ในทันที แม่เด็กสาวคนนี้นี่เองที่ใจกล้ากระโดดน้ำลงไปช่วยชีวิตเธอได้ทัน หลังจากเมื่อคืนวานที่ทุกคนแยกย้ายกัน พวกเธอสองคนไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย และยามนี้ เจ้าหล่อนผู้นั้นเอาแต่เพ่งมองอันธิกาและเหมันต์ด้วยดวงตาแน่นิ่งไม่ยอมละไปไหน ริมฝีปากพึมพำถ้อยคำบางอย่างเป็นบทสวดแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นที่ชวนขนลุกซู่

    “พระเจ้าแผลงฤทธิ์ ปิดทวารทั้งเก้า หน้ากูเป็นหนัง หลังกูเป็นกระดูก คุณทำมิถูก”

     

    1 กริซ คือ อาวุธจำพวกมีดสั้นที่เกิดจากโลหะหลายชนิดหลอมรวมกัน ใบมีดคดโค้งคล้ายลูกคลื่น เป็นอาวุธดั้งเดิมของชาวมลายู

    2 เชี่ยนหมากพลู ภาชนะสำหรับใส่หมากพลู คนโบราณนิยมนำไปตั้งไว้รับแขก

    3 คันฉ่อง แปลว่า เครื่องใช้ทำด้วยโลหะ ขัดจนเป็นเงา มีด้ามถือ ใช้สำหรับส่องหน้า

    4 แรม 15 ค่ำ คือการนับวันตามปฏิทินจันทรคติ ดวงจันทร์อยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ โดยดวงจันทร์จะหันด้านเงามืดเข้าหาโลก ทำให้มองไม่เห็นดวงจันทร์ในเวลากลางคืน

    5 มหาศักราช การนับศักราชในอดีต โดยนับจากปีครองราชย์ของพระเจ้ากนิษกะ ผู้ปกครองอาณาจักรกุษาณะ การแปลงมหาศักราช เป็นพุทธศักราช ให้เอา 621 บวกปีมหาศักราชนั้นจะได้ปี พุทธศักราช

    6 บาราย มาจากภาษาเขมร หมายถึง สระน้ำ หรือ แหล่งเก็บน้ำ ในวัฒนธรรมเขมรโบราณ ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค การชลประทาน การเกษตร และพิธีกรรมทางศาสนา




     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×