ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent Lalullby ลำนำรัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #16 : บารอนผู้คุมสุสาน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 115
      1
      1 ก.ค. 59


     


      Chapter 15 บารอนผู้คุมสุสาน   


    ดวงตาของเอลันไหวหวั่น หนังสือในมือร่วงลงพื้น

                    ชายหนุ่มก้มลงมองหนังสือที่กางปกคว่ำอยู่บนพื้น ชายผู้น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้านไม่ได้ก้มลงเก็บหนังสือ เขายืนอยู่อย่างนั้น และทอดมองปกสีน้ำเงินกำมะหยี่

    นี่คืออีกวันที่เขายืนอย่างไร้จุดหมายหน้าวิหารร้าง พร้อมกับดอกเดฟโฟดิลเหี่ยวเฉา จำไม่ได้และไม่อยากจำว่ามาเพื่ออะไรหรือรอใคร เขาอาจจะโง่เง่าเกินหาคำตอบ หรืออาจจะขลาดเขลาเกินกว่าจะกล้าไขความลับ

    เหมือนความทรงจำบางอย่างจะอาจหาญหวนคืน ทั้งที่เขาหวาดหวั่นและพยายามหักห้ามห้วงคิดไม่ให้นึกถึง เสียงระฆังโบสถ์ในครั้งนั้นก้องกังวาน และชายหนุ่มหญิงสาวเอ่ยคำสาบานรักออกมาอย่างหนักแน่น วงแหวนทองคำขาวเกลี้ยงถูกสวมที่นิ้วนางของทั้งคู่ เป็นพันธนาการแห่งรักชั่วนิรันดร์

    ชั่วนิรันดร์เช่นนั้นหรือ... เอลันแค่นเสียงหัวเราะออกมา วันนี้เขารู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีเหลือเกิน นานแล้วที่เขาไม่เคยหัวเราะ เพราะเขาเป็นชายที่น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้าน เอลันหัวเราะไม่หยุด เสียงหัวเราะของเขาแห้งเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง และดวงตาสีหมอกหม่นของเขาก็ไม่ได้ฉาบประกายแห่งความสุขแม้แต่น้อย

    ชายหนุ่มเหลียวไปมองสถาปัตยกรรมที่ถูกทอดทิ้งให้เหลือเพียงซาก ตรงกระจกวิหารร้างแห่งนี้ ยังมีรอยลูกบอลเตะทะลุ ชายหนุ่มจำได้ดีในวันที่เขาเข้าไปเก็บลูกฟุตบอลให้เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ได้ยินเสียงร้องไห้ของนางฟ้าสีน้ำเงิน และพบหนังสือนิทานปริศนาในห้องสมุด พบใบหน้าของนางในกระดาษเหลืองนวล

    นิทานเล่าถึงมหาอาณาจักรอันหม่นเศร้าและดำมืดเพราะเสียงสะอื้นของนางฟ้าสีน้ำเงิน ไม่มีใครรู้สาเหตุและวิธีหยุดยั้งความโศกเศร้า นางฟ้าก็เช่นกัน นางคงไม่รู้ว่าจะหยุดร้องไห้อย่างไรดี

    เหมือนเช่นเอลันตอนนี้ ที่ไม่อาจหยุดสายฝนได้

     หยดน้ำหนึ่งร่วงลงกระทบปกกำมะหยี่มันวาวราวท้องฟ้าดารดาษดวงดาว บัดนี้แฉะชุ่มด้วยหยดน้ำนับสิบๆ หยด ที่ร่วงพรูลงมา อักขระสีเงินที่เขาไม่มีทางอ่านเข้าใจสะท้อนประกายวับแวมเมื่อหยดน้ำต้องใส่ เอลันจ้องมองลายเส้นสอดประสานสีเงินเนิ่นนาน มันสลักตวัดเป็นลายเส้นรูปสตรีกำลังพิศชมกลิ่นกุหลาบในมือ หยดน้ำมากมายร่วงหล่นกระทบ ราวกับเกล็ดเพชรวับแวม

    ฝนคงจะตก... ชายหนุ่มบอกตัวเอง เขาค่อยๆ ก้มลงเก็บหนังสือที่ตกบนพื้น

    ฝนคงจะตกหนักจริงๆ ...เพราะหยดน้ำมันไหลอาบไปทั้งสองแก้ม และปิดดวงตาชายหนุ่มให้เลือนรางจนแทบจะมองไม่เห็นอะไร

    เอลันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปาดหยดน้ำฝนที่กระทบดวงตา

    ใช่แล้ว...ฝนตกหนักเสียจริง

     

    แสงเทียนดับพรึบ และกระท่อมทั้งหลังมืดสนิท

    แต่แสงจันทร์ยังสาดสลัวผ่านหน้าต่างบานไม้ที่เปิดอ้า ให้เห็นเงาร่างของเด็กหญิงคนหนึ่งพยายามย่างฝีเท้าแผ่วเบาผ่านห้องโถงแคบๆ ทุกคนในกระท่อมคงหลับหมดแล้ว บรรยากาศเงียบสงัดในกลางดึก แต่เจ้าแสงจันทร์ยังสาดกระทบตามติด ราวจับผิดเด็กสาว

    โรซ่ามองพระจันทร์กลมโตราวขนมพายของพ่ออย่างไม่พอใจนัก เด็กหญิงสบถเบาๆ ขณะเอื้อมมือเปิดประตูห้องนอนเล็กๆ แม้จะพยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้เกิดเสียง แต่ดูเหมือนเจ้าไม้เก่าๆ จะไม่เอาใจช่วยโรซ่าเสียเลย มันส่งเสียงกรีดร้องเอี๊ยดจนใจเด็กสาวแทบหล่นวูบ

    หล่อนหยุดนิ่งพร้อมกลั้นหายใจ มองซ้ายขวาอีกรอบว่านักปราชญ์หนุ่มจะออกมาเจอหรือไม่...เมื่อทุกอย่างยังปกติและเงียบเชียบ โรซ่าก็รีบแทรกตัวผ่านประตูเข้าไป โดยทันที หล่อนแทบผวากรีดร้องเมื่อเห็นเด็กชายหัวหยิกหยองสีเงินนั่งอยู่ ดวงตาใสแวววาวจ้องพี่สาวอย่างไร้เดียงสา

     โรซ่าตบอกตัวเองอย่างโล่งใจ เด็กสาววิ่งไปกอดโรมแล้วเอ่ยเสียงกระซิบกระซาบ

    “ยังไม่หลับอีกหรือ มัวทำอะไรกลางดึก?”

    แม้จะอายุแปดขวบเท่านั้น แต่เด็กชายก็ฉลาดไม่น้อย ดวงตาใสแจ๋วจ้องถามพี่สาว

    “พี่ต่างหากที่แอบไปไหนมา?”

    โรซ่ายิ้มแห้ง ขณะบีบแก้มน้องชายอย่างเอ็นดู ที่นี่เงียบเชียบและมืดเสียจนโรซ่าผวาหวั่นว่าจะมีใครสักคนเฝ้าดูอยู่ เสียงของเด็กสาวจึงกระซิบกระซาบเสียจนแทบจะไม่ได้ยิน

    “พี่ไปพบเฮเลน่ามา...พี่ตามหล่อนไป”

    “เฮเลน่า ดัชเชสผมสีทองแสนสวยหรอครับ” เด็กน้อยถามพี่สาวอย่างอยากรู้อยากเห็น น้ำเสียงฉายความตื่นเต้นใช่น้อย โรซ่ารีบจุ๊ปากให้โรมเบาเสียงลงอีกนิด หล่อนเกรงว่าเจ้าของกระท่อมจะตื่นมาได้ยินเสียก่อน

    “นางสวยหรือ? ไม่เลย ท่านแม่ยังสวยกว่าอีกหลายเท่า” เสียงโรซ่าแข็งขึ้นอย่างไม่พอใจ เด็กสาวขมริมฝีปากตัวเองเบาๆ แล้วพูดต่อ “พี่แอบตามนางไปจนถึงอุทยานปราสาท บางอย่างบอกพี่ว่านางรู้”

    “รู้ว่าท่านพ่อ...” โรมเบิกตากว้างอย่างปรีดา ก่อนที่เขาจะรีบยกมือขึ้นอุดปากตัวเอง เพราะเผลอร้องเสียลั่น เสียงฝีเท้าเบาๆ ของใครคนหนึ่งเดินมาหยุดที่ประตูห้อง โรมยกมือปิดปากตัวเองแน่น โรซ่ากลั้นหายใจอย่างลุ้นระทึก กลัวว่านักปราชญ์หนุ่มจะเคาะประตู

    และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียงเคาะประตูดังในความมืด ตามด้วยเสียงของชายหนุ่ม

    “มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”

    “โรมละเมอเท่านั้นเองค่ะ” เด็กหญิงตะโกนตอบ อีกฝ่ายที่ยืนหลังประตูเงียบไป...เงียบนานจนหัวใจโรซ่าดังสนั่น

    “อืม...” เสียงรับรู้ดังแค่นั้น ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ ของเขาจะห่างออกไป โรซ่ารีบถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก

    “เราจะได้พบเขาจริงๆ ใช่ไหมฮะ!” โรมถามเสียงเบา แต่ดวงตาใสแจ๋วของเด็กชายมีแต่ความตื่นเต้นและรบเร้า เด็กน้อยกระโดดมานั่งบนตักพี่สาวอย่างรอคอยคำตอบ

    ในความเงียบสงัด และเหมือนแสงจันทร์สาดมาเพื่อรอคอยคำตอบ โรซ่าพยักหน้า

    “พี่เชื่อว่าเฮเลน่ารู้ นางรักดยุคเพอริอุส นางรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”

    “แต่นางเป็นลูก...”

    “แค่ลูกเลี้ยง...ลูกเลี้ยงเท่านั้น” โรซ่าเอ่ยย้ำเสียงแผ่ว

    “แล้วนางจะพาเราไปพบเขาหรอครับ เขาอยู่ที่ไหน? นางซ่อนเขาไว้หรือฮะ?” ความสงสัยใคร่รู้ของเด็กชายดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดเมื่อโรซ่าเงียบงันแทนคำตอบ “พี่ฮะ...เราจะได้พบเขาจริงๆ ใช่ไหม”

    เสียงสุดท้ายของโรมเจือสะอื้น โรซ่าดึงน้องชายเข้ามากอด

    “ใช่...เราจะได้พบเขาจริงๆ ดยุคเพอริอุสอยู่ที่สุสาน...”

    “เขาตายแล้วหรือฮะ!” เด็กชายเบิกตากว้าง ใบหน้าขาวซีด โรซ่ารีบส่ายหน้าแล้วดึงน้องชายเข้ามากอดแน่น อย่างปลอบโยน

    “ไม่หรอก...เขายังไม่ตาย เขาเพียงแต่ฝังตัวเองกับขวากหนามกุหลาบ”

    “พรุ่งนี้เราไปสุสานกันนะฮะ...ผมอยากจะพบเขา” โรมกอดพี่สาวแน่น ซุกใบหน้ากับอกราวโหยหาไออุ่น มีบางอย่างที่ทำให้เด็กชายไม่อยากเรียกชื่อของ เขาบางอย่างที่ยอกแสยงใจโรมและโรซ่ามาแสนนาน “ผมอยากจะถามเขาว่าทำไม...ทำไม...ทำไม”

    เสียงโรมเจือสะอื้น และน้ำตามากมายก็พรั่งพรูออกมาจากดวงตาใสอย่างน่าเวทนา โรซ่าเองก็เช่นกัน เด็กสาวหายใจสะท้อนอยู่ในอก น้ำตามากมายไหลหลั่งอาบสองข้างแก้ม หญิงสาวกอดน้องชายแน่น ซุกใบหน้ากับผมหยิกหยอง พยายามกลั้นเสียงสะอื้นอย่างทุกข์ทรมาน

    “พรุ่งนี้เราจะไปสุสานเพื่อตามหาเขา...พี่จะถามเขาเหมือนกันว่า...ทำไม”

     

    ในกระจกเงาบานใหญ่ตั้งติดผนัง สะท้อนแสงเร้นลับชวนพิศวง

    ห้องโถงที่เต็มไปด้วยม่านบางพลิ้วสะบัดตามกระแสลมเย็นเฉียบ แสงวิบวับจากผีเสื้อสีขาวเรืองเรื่อ และหิ่งห้อยวับแวม โผบินไปจับตามละอองเกสรของกลีบกุหลาบสีน้ำเงิน ซึ่งเลื้อยเลาะเกาะตามพื้นและเสาหิน บ้างก็เลี้ยวลดอยู่บนเสาคาน ปล่อยเถาแซมดอกกุหลาบร่วงลงมาเป็นม่านธรรมชาติอันงดงาม และชวนสะพรึง ด้วยคมหนามอันตราย

    เสียง หยดน้ำกระทบแผ่นหิน ดังคลอเคล้าไปกับเสียงสายลมพัดกระดิ่ง เป็นบทเพลงปริศนา กลิ่นหอมอวลอันเร้นลับโชยไปทั่ว และแสงสีน้ำเงินสาดเข้ามาภายในสถานแห่งนี้ กระทบกับบานกระจกเงาติดกำแพง ข้างบานกระจกเงานั้น คือแจกัน แซมช่อดอกกุหลาบสีดำรัตติกาลที่แข่งขันกันชูดอกบานสะพรั่งอัดแน่นอยู่เต็ม แจกัน ราวกับไม่มีวันโรยรา

    ภายในบานกระจกยิ่งพาให้พิศวงงงงวย เมื่อเห็นหญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น...

    ใช่แล้ว...นางเคลื่อนไหวอยู่ในกระจกเงา... ทั้งที่หน้ากระจกมีเพียงช่อดอกกุหลาบสีดำ ไม่มีใครสักคน

    ใบ หน้าของหญิงสาวในบานกระจกหม่นเศร้า ผมของนางเป็นสีดำสนิทยิ่งกว่ารัตติกาล และดวงตาเป็นสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ  ริมฝีปากแดงโลหิตเผยอขยับน้อยๆ คล้ายพยายามเอื้อยเอ่ยคำใดออกมา แล้วกลับเงียบงันราวกับยอมจำนนแพ้พ่าย ดวงตาหม่นเหม่อลอยอย่างเศร้าหมองราวกับรอคอยให้ใครสักคนผ่านขึ้นมาบนนี้ มองเห็นนาง และปลดปล่อยนางไปจากกรงขังกระจกเงาอันเดียวดาย....

     

    เรือไม้พาร่างหญิงสาวในชุดคลุมปกปิดใบหน้าลอยไปตามแม่น้ำไหลหลาก

    ในอุโมงค์น้ำแห่งนี้มืดสลัว แสงจากคบเพลิงวูบไหวไปมาเป็นแนวทาง เสียงไม้พายกระทบสายน้ำดังเป็นจังหวะเอื่อยไหล ตลอดสองข้างทาง มีรูปสลักจากหินเป็นรูปเทพธิดาแห่งความตายใบหน้าหม่นเศร้า ร่างสตรีสูงโปร่งในผ้าคลุมปกปิดใบหน้านั่งอย่างสง่าบนเรือพาย ชายใบหน้าซีดจัดผู้มีผมสีดำสนิทคือคนแจวเรือ

    “นับแต่ นาง ร้องไห้...แม่น้ำสายนี้ก็สูงขึ้น จนจะท่วมทางไปสุสานให้มิด” คนแจวเรือพูด เขาพูดคนเดียวเช่นนี้มาตลอดทางโดยไม่ต้องมีคนถามหรือคนตอบ นั่นเพราะเขาคือบารอนผู้ดูแลสุสาน ชายผู้ปลีกวิเวกออกมาจากผู้คน และสามารถสนทนาพาทีกับความว่างเปล่าได้

    หญิงสาวทอดมองไปตามอุโมงค์น้ำ ไม่ตอบสิ่งใด ในขณะที่อีกฝ่ายยังพูดยาว

    “อีกไม่นาน กระผมเกรงว่าสุสานอาจจะหนีไม่พ้นอุทกภัย ถ้าวันนั้น ซากศพคงลอยเกลื่อน และผู้ฝังตัวเองใต้พื้นพิภพ จะถูกปลุกให้โผล่พ้นขึ้นมา”

    เรือจอดอยู่ริมบันไดหิน ที่มีเทพธิดาแห่งความตายยืนรอรับอยู่ บารอนผู้แจวเรือ ค่อยๆ ผูกเงื่อนปมของเรือไว้กับเสาหลักไม้ ก่อนจะพาสตรีสูงศักดิ์ที่เขาไม่เคยรู้ว่านางคือใคร ขึ้นจากเรือ ดวงตาสีฟ้าของนางเปี่ยมประกายหม่น ขณะทอดมองแนวขั้นบันไดสู่สุสาน หญิงสาวเหลียวมาค้อมศีรษะแสดงความขอบคุณแก่คนแจวเรือ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป ทิ้งให้บารอนผมสีดำยืนอยู่ตรงนั้นลำพังเคียงข้างรูปสลักเทพธิดาแห่งความตาย

     

    บนลานกว้างสุดลูกหูลูกตาจนแลเห็นเส้นขอบฟ้า สว่างจ้าด้วยแสงตะวันยามสาย

    ริมผากว้างบนนครลอยฟ้า ลมพัดรุนแรงโบกเอาผ้าคลุมหลังสีน้ำเงินพลิ้วสะบัดเป็นระลอกคลื่น ผีเสื้อจำแลงโผบินมาและปรากฏเป็นร่างหญิงสาวในชุดผ้าฝ้าเนื้อดี นางวิ่งเริงร่ามาหาจอมมารด้วยรอยยิ้ม เหมือนทุกครั้ง ออโรเรสมักติดตามเขาทุกที่ ดวงตานางสุกสกาวด้วยคำถามมากมาย นางชอบเซ้าซี้ให้เขาเล่าตำนานเทพเจ้า และเรื่องราวเหล่าวีรบุรุษผู้พิชิตแห่งนครของจอมมาร ถามไถ่เขาถึงปริศนาเร้นลับของดินแดนกลางอากาศแห่งนี้ หลายครั้งนางอ้อนวอนขอให้เขาสอนภาษาของชาวนครลอยฟ้า

    ชายหนุ่มถอนหายใจ...นางทำให้ชีวิตแสนสงบของเขาวุ่นวายได้เสมอ อยากจะรู้นักว่านางไม่หวาดกลัวเขาบ้างเลยหรือ

    “วันนี้เจ้ามาสาย” เขาเอ่ยขณะเหลียวกลับมามองหญิงสาวที่กำลังบิดขี้เกียจและหลับตาปี๋รับลมแรง “อันที่จริงเจ้าก็มาสายทุกวัน”

    “อากาศที่นี่ดี และมันทำให้ข้าไม่อยากลุกจากเตียง” หญิงสาวส่งสายตาเปี่ยมยิ้มมายังชายหนุ่ม

    “มีวิธีไหนที่จะปลุกให้ผู้หญิงขี้เซาอย่างเจ้าตื่นได้” เขาเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วถามอย่างไม่สนใจคำตอบมากนัก ดวงตาหญิงสาววาววับอย่างแฝงเล่ห์นัย นางแสร้งเอ่ยเสียงเบาหวือ

    “ยิ้มหวานๆ แล้วกระซิบบอกรักเบาๆ ข้างหูข้าสิ” หญิงสาวยิ้มกว้างท่ามกลางแสงตะวันสาดส่อง “สาบานได้ว่าข้าตื่นแน่นอน” เสียงของนางกลั้วหัวเราะ สายตาวับแวมทีเล่นทีจริงจนไม่อาจคาดเดาได้ถึงความนัยที่แท้จริงของนาง

    จอมมารไม่ได้ตอบอะไรในวันนั้น ...นางก็ ล้อเล่น แบบนี้ประจำ

     

    บนลานกว้างสุดลูกหูลูกตาจนแลเห็นเส้นขอบฟ้า มืดมิดด้วยรัตติกาล

    ครั้งนี้จอมมารยืนอยู่ลำพัง ลมพัดรุนแรงตลอดเวลา รถม้าคันหนึ่งจอดสนิท ม้าสีดำสองตัวสะบัดพวงหางปลายพู่กัน ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ ชุดคลุมสีเดียวกันสะบัดพลิ้วตามแรงลมกรรโชก ดวงตาสีอำพันทอดมองปลายเส้นขอบฟ้า เขารู้ว่า ณ สุดเส้นตรงนั้นคือหายนะ...เหวลึกอันเวิ้งว้างจะไม่ปราณีร่างที่ร่วงลงไป

    นานแล้วที่ผีเสื้อน้อยเลิกติดตามเขา...วันหนึ่งนางก็หายไปจากชีวิตของเขา โดยไม่มีการล่ำลา ไม่มีข่าวคราว และจะด้วยอะไรบางอย่างฉุดรั้งไว้ ชายหนุ่มไม่ได้ตามหานาง เขาพร่ำบอกตัวเองว่า โลกของเขาโดดเดี่ยวและมันควรจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ผู้คนมากมายผ่านมา...และพวกเขาเหล่านั้นก็จากไป มิตรภาพไม่มีอยู่จริง

    จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข่าวว่าผู้นำหญิงแห่งอาณาจักรม่านหมอกร้องไห้และขังตัวเองในสถานที่อันเร้นลับ ไม่เคยมีได้พบนางอีกเลย พวกเขาได้ยินแต่เสียงสะอึกสะอื้น น่ารันทด...เกิดอะไรขึ้นกับนาง นั่นคือปริศนาที่ไม่มีใครหาคำตอบได้ และท้ายที่สุก...ปริศนานั้นก็เรียกเขาให้ไปไข

    “นายกรัฐมนตรีแห่งอาณาจักรม่านหมอก ได้พยายามตามหาสถานที่ลึกลับแห่งนั้น น่าเสียดายที่พวกเขาล้มเหลว” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงขรึม น้ำเสียงของเขาทรงพลัง แม้กระทั่งสายลมแรงก็ไม่อาจกลบเสียงนั้นได้ สารถีหนุ่มที่นั่งกุมบังเหียนอยู่นั้นได้แต่นิ่งฟัง จอมมารพูดต่อ

    “ในนั้นอาจมีความลับที่ใครๆ ก็ปรารถนาจะได้มา น่าสนใจว่า นาง ซ่อนสิ่งใดไว้ในนั้น แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่า...กับความเชื่อของข้าที่ว่า นาง อาจจะอยู่ที่นั่น” ดวงตาสีอำพันไร้แววและเย็นชาจนยากหยั่งถึง เขาเอ่ยออกมาเป็นคำกลอนปริศนา “ย่ำกุหลาบจนชอกช้ำ นางสะอื้นน้ำตาพรม แล้วนางก็ตรอมตรม จมหัวใจใต้ซากดิน

    “นั่นคืออะไร” สารถีแสร้งถาม ดวงตาวับแววด้วยรู้ทันคำตอบแล้ว

    “บทกวีปริศนา ว่ากันว่าเป็นกุญแจนำทางไปสู่สถานที่ลึกลับนั้น”

    “ตีความแล้วนั่นคือสุสาน” สารถีเหลียวมาสบสายตาชายหนุ่ม

    “ใช่...สุสานของกุหลาบ”

    “มีประโยชน์อะไรที่จะหาคำตอบ” สารถีถามด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม ดวงตาของเขาบอกชัดว่ารู้ทันคำตอบของอีกฝ่ายอยู่แล้ว

    ชายหนุ่มดวงตาสีอำพันยิ้มเย็น... นานมาแล้ว นาง เคยปลอมเป็นผีเสื้อจำแลงตามติดเขาไปทุกที่โดยที่เขาไม่รู้ตัว แต่ชายหนุ่มมิใช่คนเขลา ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งรู้สึกถึงการมีอยู่ของผีเสื้อน้อยตัวนั้น ครั้งหนึ่งนางเคยจำแลงเป็นแม่ค้ามาค้าขายถึงบนนครลอยฟ้าแห่งนี้ มีหรือว่าชายหนุ่มจะโง่จนไม่รู้กระทั่งว่าดวงตาของนางเฝ้ามองเขาตลอดเวลา

     “เจ้าคิดว่าดวงวิญญาณของ นาง...จะมีรสชาติหอมหวานเพียงใด”

    “คำตอบจากข้าไม่น่าเย้ายวนเท่าท่านไปแสวงหาเอง” สารถีตอบอย่างแยบยล

    “เช่นนั้นสารถี...จงพาข้าไป”

    สารถีหัวเราะแผ่วในลำคอ ซ่อนใบหน้าใต้ความมืด จนยากจะคาดเดาความคิดของเขา

    “ย่อมได้...จอมมาร”



     




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×