ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent Lalullby ลำนำรัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #7 : คำสาปวิวาห์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 470
      2
      18 พ.ค. 59

     


    Chapter 6 คำสาปวิวาห์

     


    ความเงียบเข้าปกคลุมอย่างกะทันหัน ทุกคนปิดปากสนิทและจ้องมองนายกรัฐมนตรีแห่งอาณาจักรเป็นสายตาเดียวกัน  “เชิญท่านนายกฯพูดมาเถอะ” อาจารย์อมาดอสผู้นำการประชุมในครั้งนี้ เอ่ยขึ้น ทว่าใบหน้าของชายหนุ่มผู้สวมแว่นกลับแดงจัด อาจจะเพราะทุกสายตาต่างจ้องมองไปที่เขาราวกับคาดหวังสุนทรพจน์ที่ดีเยี่ยม

    นายกรัฐมนตรีขยับแว่นให้เข้าที่อย่างขัดเขิน พยายามทำสีหน้าขรึม แล้วพูด

    “เป็นที่ทราบดีว่า...อาณาจักรของพวกเราถูก นางสาปให้เป็นดินแดนไร้รักและสิ้นหวัง” เขาพูดเนิบช้าอย่างเป็นทางการ แต่เสียงสั่นจนน่าขบขัน “จะด้วยเหตุผลอะไรนั้นก็ยากเกินคาดเดา...แต่เราควรจะร่วมมือกันต้านทานคำสาป ข้าจึงขอเสนอให้”

    นายกรัฐมนตรีหนุ่มหยุดพูดแล้วยกมือขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้า ทุกคนล้วนจ้องไปที่เขา ความเงียบเกาะกุมทุกสรรพสิ่งไปทั่ว มันเงียบราวกับรอคอยประโยคที่ดีที่สุดจากนายกรัฐมนตรีผู้ได้รับความไว้วางใจให้บริหารอาณาจักร ชายสวมแว่นหยิบผ้าซับเหงื่อเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงด้วยมือสั่น ก่อนจะพูด

    “ข้าเสนอให้จัดพิธีแต่งงานให้แก่คู่รักทั่วทั้งอาณาจักร เพื่อสังเวยแด่เทพเจ้า ...”

    ฉับพลันนั้นก็เหมือนเสียงวิพากษ์วิจารณ์จะดังระงม เห็นด้วยบ้าง เห็นแย้งบ้าง นายกฯหนุ่มรีบพูดเสียงรัวเร็ว “ข้าเชื่อว่าอำนาจความรักของพวกเขาทั้งหลายจะต้านทานคำสาปของสตรีนางเดียว... มันอาจจะดูเพ้อเจ้อ แต่ความรักเป็นพรพิเศษที่ทำให้มนุษย์มีความหวัง...ที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคน”

    “เป็นความคิดที่ดี...แต่ นางสาปให้ดินแดนของเราไร้ความรัก” เสียงของท่านหญิงผู้สวมแว่นโตดังขึ้น “ทุกคู่รักล้วนผิดหวังและร้องไห้ ไม่เท่านั้นนางยังห้ามไม่ให้มีการแต่งงาน”

    “แต่หนูเห็นด้วยกับท่านนายก!” ทันใดนั้นโรซ่าก็ยกมือขึ้น เสียงของหล่อนกล้าหาญและเข้มแข็ง ดวงตามุ่งมั่นจนทุกคนเหลียวมามองหล่อนเป็นตาเดียวกัน “มันอาจจะฟังดูเพ้อเจ้อ...แต่มันก็เป็นความหวัง”

    “แม่หนูน้อย...เก็บความคิดเพ้อเจ้อของเจ้าไว้ในหนังสือนิทานปรัมปราเถอะ และจำไว้ว่าความคิดเพ้อเจ้อไม่ใช่ความคิดของคนมีหวัง” ใครคนหนึ่งพูดขัดขึ้นด้วยสำเนียงติดตลก ตามด้วยเสียงหัวเราะลั่นของคนเกือบทั้งโต๊ะ โรมเกาะแขนพี่สาวไว้แน่น เขาสัมผัสได้ว่าหัวใจของโรซ่าเต้นแรง อาจจะเพราะ โรซ่าตื่นเต้นที่ได้ออกความเห็นในที่ประชุม หรือไม่...ก็เป็นเพราะหล่อนกำลังโกรธ

    “มีข่าววงในบอกว่า นางอาจจะออกคำสั่งให้พรากทุกคู่รัก ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีพิธีวิวาห์” ใครสักคนในหมู่ผู้ฟังพูดขึ้น เสียงพูดคุยถกเถียงดังสับสนไปทั่ว จนฟังไม่ออกว่าเสียงใครเป็นใคร นายกรัฐมนตรีหนุ่มขยับแว่นอย่างลุกลน พยายามสรรหาวิธีควบคุมสถานการณ์ และทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจโพล่งขึ้นมาเสียงดังลั่น จนทุกคนพากันนิ่งชะงัก

    “ข้าจะจัดพิธีวิวาห์ให้เหล่าคู่รัก!!!” ทุกคนเงียบอย่างตกตะลึงอีกครั้ง และนายกรัฐมนตรีหนุ่มก็พูดเสียงเข้มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ข้าจะทำให้คนที่รักกันได้สมหวัง...เพื่อต่อต้านคำสาปของนาง นั่นอาจเป็นความหวังเดียว...และหนทางเดียว ที่จะฉุดรั้งไม่ให้อาณาจักรของพวกเราจมลงไปในความสิ้นหวัง เอาล่ะ...” นายกรัฐมนตรีหนุ่มเหลียวไปโดยรอบ “ใครเห็นด้วยกับข้า เชิญลุกขึ้นยืน”

    ทุกคนนิ่งเงียบอึดใจใหญ่...ต่างมองตากันและกันราวกับพยายามคาดเดาการตัดสินใจของแต่ละคน...พวกเขาต่างนั่งนิ่งติดเก้าอี้เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานแสนนาน

    นายกรัฐมนตรีถอดแว่นตาและถอนหายใจเฮือกใหญ่... และโรซ่าก็อุ้มโรมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้...

    ผู้บริหารหนุ่มรีบสวมแว่นตาดังเดิมเพื่อเพ่งมองให้ถนัด และทันใดนั้นใครอีกคนก็ลุกขึ้นตาม

    ตามด้วยใครอีกหลายคน...

    ท้ายที่สุด...ทุกคน...ลุกขึ้นยืน

    “จัดงานวิวาห์ให้เอิกเกริกไปเลย!

    ใครสักคนพูดขึ้นอย่างมั่นใจ ...และทุกคนปรบมืออย่างเห็นด้วย

     

    ม่านโปร่งสะบัดใต้เงาสีน้ำเงินมืดสลัว

    กลีบกุหลาบมายา ปลิวว่อนไปในสายลม ท่ามกลางเหล่าผีเสื้อปีกสีขาวเรืองเรื่อ ที่โผบินปล่อยละอองเกสรของดอกไม้คว้างไปในลมอ่อน กลิ่นหอมอบอวลชวนหลงใหลละล่องไปในนภากาศ หลังม่านโปร่งสะบัด มีเงาของสตรีนางหนึ่งเดินผ่าน เรียวนิ้วมือของนางกรีดไล้ไปตามริ้วผ้า  

    เสียงสายน้ำไหลดังแผ่วคล้ายกระซิบกระซาบกับโขดหิน  ยามหยดน้ำกระทบแผ่นหิน ส่งเสียงก้องกังวานคล้ายเครื่องดนตรีชวนพิศวง บนฟากฟ้าอัดแน่นด้วยละอองขนนกสีดำ ณ อุทยานชวนเคลิ้มฝันแห่งนี้ ละลานตาด้วยเถาวัลย์ประหลาดที่ผลิดอกกุหลาบเป็นสีน้ำเงินน่ายล... คล้ายได้ยินเสียงร่ำไห้แผ่วเบา

    “จงไร้รัก...จงไร้รัก...ข้าขอสาป...ให้พวกเจ้า...จงไร้รัก”

    ฉับพลัน เงาดำของสตรีหลังม่านโปร่ง ก็ทรุดฮวบล้มลง... ราวกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง ร่างนั้นสะท้านเฮือก สั่นโยน สะอึกสะอื้นร่ำไห้...น่าเวทนายิ่งนัก 

     

    เอลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาและเบิกตาโพลง

    เขารู้สึกเหมือนถูกฉุดให้ตื่นจากความฝันเพราะเสียงร่ำไห้ของนางฟ้าสีน้ำเงิน...เมื่อสักครู่ชายวัยกลางคนเผลอหลับไปบนหน้าหนังสือนิทาน ดวงตาสีหมอกหม่นมองไปด้านนอกหน้าต่าง ฟ้าระบายสีชมพูระเรื่อแห่งอรุณรุ่ง หยดน้ำขังจากฝนตกเมื่อคืนยังคงไหลรดจากกระเบื้องหลังคา ชุดคลุมนอนของเพื่อนบ้านปลิวมาติดยอดต้นแอปเปิ้ลที่หน้าประตูรั้วของเขา กิ่งไม้สองสามกิ่งนอนแช่น้ำอยู่กลางทางเดินเข้าบ้าน และต้นส้มสามต้นหักโค่น รังนกยุ่งเหยิงหล่นกระจาย

    เอลันเอารีโมทโทรทัศน์คั่นหน้าหนังสือไว้ ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูและเดินเข้าไปในห้องน้ำ เป็นอีกวันที่เขาเริ่มต้นใช้ชีวิตเป็นชายที่น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้าน

    เขางีบหลับไปนานพอควร และฝันเห็นนางฟ้าสีน้ำเงินเหมือนทุกคืน...นางฟ้าในฝันร้องไห้เช่นเดียวกับคืนที่ผ่านมา นางสะอึกสะอื้นอย่างทุกข์ทรมาน...เอลันค้นพบว่าตัวเองเกลียดเสียงผู้หญิงร้องไห้

    ภรรยาของเขาเคยไปต่างประเทศ...และเขียนจดหมายกลับมา...เป็นกระดาษชุ่มน้ำตาบรรยายความเศร้าโศกแทบขาดใจที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวห่างไกลคนรัก

    ตอนนั้นเอลันไม่เชื่อว่าภรรยาของเขาจะร้องไห้ได้มากมายขนาดนั้น เขาไม่เห็นสาเหตุที่หล่อนต้องเสียน้ำตา เอลันจะร้องไห้ก็ต่อเมื่อต้องสะเทือนใจอย่างถึงขีดสุดเท่านั้น เช่น ตอนที่แม่ของเขาเสียชีวิต หรือตอนที่เขาพบความจริงบางอย่างอันสุดปวดร้าวจนเขาจำไม่ได้และไม่อยากจำว่าคืออะไร  ...เอลันเชื่ออย่างแรงกล้าว่ามนุษย์ไม่ควรปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างพร่ำเพรื่อ และเขาก็บอกภรรยาไปอย่างนั้นในจดหมาย

    นั่นเป็นสาเหตุให้เอลันได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศ ภรรยาของเขาร้องไห้ผ่านสายสัญญาณ เสียงสะอึกสะอื้นสะท้อนใจของชายหนุ่มยิ่งนัก หล่อนตัดพ้อต่อว่าเขานานา ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงถึงร้องไห้ได้มากมายขนาดนั้นกับเรื่องที่เขาไม่เห็นว่ามันจะน่าเศร้าสักนิด

    จนกระทั่งตอนนี้...เอลันพบว่า แม้แต่เรื่องที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของเขา...เขาก็ไม่มีน้ำตาสักหยด

    ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทรมานเหลือเกินสำหรับชายหนุ่ม ราวกับเป็นคำสาปร้ายซึ่งพระเจ้าลงโทษ ข้อหาที่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงต้องร้องไห้

    หลังจากทำธุระประจำยามเช้าเสร็จ ชายหนุ่มก็หยิบหนังสือนิทาน ใช้นิ้วคั่นหน้าที่เขาอ่านค้างไว้ แล้วเดินออกจากบ้าน...เหยียบผ่านกองใบไม้และน้ำขังไปอย่างไม่ใยดีที่จะเก็บกวาดมัน แล้วมุ่งตรงไปซื้อดอกเดฟโฟดิลช่อหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงไปยังหุบเขาไกลโพ้น...โดยไม่รู้ว่าไปทำอะไร

    ชีวิตของชายที่น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้านเป็นเช่นนี้ทุกวัน...เพียงแต่วันนี้แปลกไป

    เพราะในมือของเขา...มีหนังสือนิทานประหลาดติดมาด้วย

     

    เสียงฟืนแตกในเตาผิงดังเปรี๊ยะและแสงไฟส่องสลัวทั่วห้อง

    เด็กๆได้ห้องพักใหม่ที่แสนอบอุ่นในบ้านดินของอาจารย์อมาดอส บ้านหลังนี้ตั้งตรงชายป่าด้านหลังปราสาทกลาง...เงียบสงบ และสันโดษ

    ภายในห้องที่สะอาดสะอ้าน บนเตียงไม้มีฟูกนุ่มและหน้าเตาผิงมีเก้าอี้โยก โรซ่าห่มผ้าให้น้องชาย คืนนี้อากาศหนาวและฝนยังตกพรำๆ ฟ้ามืดหมองจนแยกกลางคืนกลางวันไม่ออก พวกเขาปิดหน้าต่างสนิท

     “พ่อแม่ของพวกเธอเป็นใคร”

    สตรีในชุมคลุมสีหม่นยืนตรงประตู สวมหมวกปกคลุมปิดบังใบหน้าที่พันด้วยผ้าลินินจนเห็นดวงตาเพียงข้างเดียว ...อาจารย์อมาดอส

    โรซ่าลูบศีรษะน้องชายที่หลับไปนานแล้วอย่างอ่อนโยน ก่อนจะขยับตัวลุกลงจากเตียงนอน

    “หนูเชื่อว่าคุณรู้...เราเคยพบกัน...”

    “...เมื่อนานมาแล้ว” อาจารย์ผู้ลึกลับต่อประโยคให้จนจบ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าเสียใจที่เสนอความเห็นแบบนั้นไปในที่ประชุม”

    โรซ่าเหลียวไปมองน้องชายที่หลับสนิทบนเตียง...

    “บางทีเราก็ต้องตัดสินใจทำอะไรที่ขัดความรู้สึกของตัวเองค่ะ” โรซ่าเหลียวมาตอบด้วยใบหน้ายิ้มอย่างสงบ แสงไฟจากเตาผิงอาบใบหน้าของเด็กสาวให้เป็นสีเหลืองนวลและซึกหนึ่งตกอยู่ภายใต้เงามืดสลัว “ท่านอาจารย์คงเข้าใจ...สาเหตุที่หนูตามดัชเชสทั้งสี่มาที่นี่”

    “ข้าเข้าใจดีที่สุด” อาจารย์ยื่นมือที่พันไปด้วยผ้าลินินสีขาวมาลูบผมเด็กสาวเบาๆ “พักผ่อนเสียเถอะคืนนี้ และอยู่ที่นี่ทำตัวตามสบายเหมือนเป็นบ้านของพวกเจ้าเอง พรุ่งนี้เช้าเรามีภาระมากมายต้องทำ”

    “หนูจะช่วยให้ถึงที่สุดค่ะ” โรซ่า เด็กหญิงวัยสิบสี่ขวบ พูดด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งและสีหน้าแววตามุ่งมั่นจนดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว อาจารย์ผู้ลึกลับชะงักไปชั่วอึดใจ...โรซ่าเพ่งมองสตรีตรงหน้าอย่างพยายามคาดเดาความรู้สึก แต่เพราะผ้าคลุมที่ปิดบังใบหน้าซ่อนแววตาของนางไว้ใต้เงามืดสลัว ทำให้ไม่อาจมองลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายได้

    “ราตรีสวัสดิ์”

    อาจารย์อมาดอสเอ่ยลาในค่ำคืนนี้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผ้าคลุมหลังสะบัดปลิวหายลับไปในความมืดที่นอกประตู

     

    การโฆษณาชวนเชื่อเริ่มต้นขึ้นทั่วตัวเมือง

    ป้ายประกาศรูปนายกรัฐมนตรีใส่แว่น  ถูกแปะเรียงเป็นแถบตามถนนและซอกตึกอย่างเอิกเกริก ตัวอักษรสีชมพูปรี๊ดแปะอยู่บนหัวของท่านนายกฯ เขียนข้อความเชื้อเชิญให้ทุกคู่รักจับมือเข้าประตูวิวาห์เพื่อต้านคำสาป เหล่าหนุ่มสาวมากมายพากันเบียดเสียดออตามป้ายประกาศ สีหน้าแววตาแต่ละคนทั้งตกตะลึงและสนใจ

    “แต่คนรักของข้าเพิ่งทอดทิ้งข้าไปอย่างไม่ใยดี...ทุกอย่างมันน่าสิ้นหวัง” สตรีสาวนางหนึ่งปล่อยโฮขึ้นขณะอ่านแผ่นป้ายนั้น “ข้ารอคอยเข้าอย่างว้าเหว่...เขาทอดทิ้งข้าโดยไม่ลาสักคำ” ผมของหล่อนเป็นสีเทาหม่น ใบหน้าที่ควรจะสาวกลับเต็มไปด้วยริ้วรอย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสภาพความสิ้นหวังที่โอบล้อมโดยทั่ว หรือเป็นเพราะหล่อนร่ำไห้และเศร้าตรมเกินไป

    “เนออน...หยุดฟูมฟายเสียที ท่านนายกฯ ต้องการให้พวกเรามีความหวัง!” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น ผมของเขาส่วนหนึ่งแซมสีเทาแก่ แต่ดวงตายังคงเป็นประกายเจิดจ้า “ข้าจะไปหาคนรักและขอนางแต่งงาน”

    “ซานโด้ เจ้าอาจจะผิดหวังและสิ้นหวังในท้ายที่สุด” ชายหนุ่มอีกคนที่ใบหน้านิ่งซึมพูด ขณะละสายตาจากแผนประกาศ และปลีกตัวออกจากฝูงคนอย่างเงียบงัน

    “ข้าไม่เหมือนเจ้านี่...คิด! ที่ปล่อยคนรักให้หลุดลอยมือไปอย่างคนสิ้นหวัง!

    “งั้นรึ...” คิดพึมพำแผ่ว... ก่อนจะปลีกตัวเดินออกไป...ไม่ได้สนใจเหลียวหลังกลับมา ผมของเขาทั้งศีรษะแม้แต่เสื้อผ้าก็กลายเป็นสีเทา...และเขาก็เดินฝ่าละอองฝน ผ่านผู้คนใบหน้าหมองที่เดินกันขวักไขว่...ก่อนที่ทั้งร่างจะจมหายไปกับหมอกฝนสีเทาหม่น

    ซานโด้ส่ายหน้าขณะมองตาม...เจ้านั่นก็เป็นเช่นเดียวกับคนอื่นในอาณาจักร...ที่ถูกความสิ้นหวังดูดกลืนจิตวิญญาณ...ชายหนุ่มคิดขณะเหลียวกลับมามองประกาศ แล้วลมหายใจของเขาก็ชะงักงันไป สัมผัสได้ถึงลางแห่งมหันตภัยที่ปกคลุมอยู่

    แม้แต่ตัวอักษรสีชมพูบนป้ายประกาศ...ก็กำลังถูกสีเทาเข้าฉาบทา!!! ราวกับว่าเงาแห่งความสิ้นหวังกำลังเข้าคืบคลาน เพื่อกลืนกินทุกสรรพสิ่งในอาณาจักรอย่างเงียบงัน

    และเยือกเย็น...

     

    นายกรัฐมนตรียืนนิ่งเงียบ มองจำนวนรายนามผู้ลงนามวิวาห์

    ในห้องทำงานขนาดใหญ่เต็มไปด้วยกองเอกสาร และลูกโลก พร้อมแผนที่มากมายเรียงรายอัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก

    ชายร่างเตี้ยและผอมเกร็งยืนอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตาใต้แว่นเหม่อมองไปด้านนอก เห็นหมอกหม่นและสายฝนห่มคลุมไปทั่ว ในมือของเขาถือกระดาษประทับตราแผ่นยาวแผ่นหนึ่ง

    มีหนุ่มสาวสามสิบคน นับรวมเป็นสิบห้าคู่รักที่ลงนามเข้าร่วมวิวาห์ ถึงจะเป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับคนทั้งอาณาจักร แต่พวกเขาทุกคนล้วนมีความรัก...และความหวัง

    ชายหนุ่มถอนหายใจ พลางถอดแว่นออกวางบนโต๊ะอย่างเหนื่อยล้า ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกว่าตัวเองแก่เกินไปและอยากจะพักผ่อน บางทีเขาพบว่าภาระตัวเองมากเกินไป และเขาหมดเรี่ยวแรงทำงานเสียแล้ว... ฉับพลันนั้นนายกรัฐมนตรีก็เบิกตากว้าง...

    เขากำลังปล่อยให้ความรู้สึกสิ้นหวังเข้าครอบงำตัวเอง...ซึ่งไม่ควรยิ่ง

    นายกฯเดินไปมองกรอบรูปขอบทอง...เป็นรูปของหญิงสาวผู้นำสูงสุดแห่งอาณาจักร นั่งบนบัลลังก์อย่างสง่างาม ผมสีทองสวมมงกุฎระยับ และในมือถือคทาทรงอำนาจ ห่มผ้าคลุมขนสัตว์สักลายเลื่อมเงินเลื่อมทอง เป็นตราสูงส่ง น่าเศร้าที่นางละเรื่องการเมืองและตรงเข้าถือศีลอยู่อย่างสมถะในปราสาทเล็กๆที่ชนบทอันไกลโพ้น ที่ซึ่งจะไม่มีใครไปรบกวน นางมอบอำนาจทั้งหมดให้พี่สาว...

    อำนาจของผู้ควบคุมทุกสรรพสิ่งในอาณาจักร...

    นายกฯหนุ่มถอนหายใจยาว...เขาเองก็อยากพักเหมือนกับท่านหญิงผู้นำสูงสุด เพียงแต่ภาระหน้าที่ยังไม่จบสิ้น ผู้นำไม่อาจวางงานได้กลางครัน หน้าที่ของเขาคือทำให้สำเร็จโดยดี

    ดวงตาที่กลายเป็นสีเทาของนายกรัฐมนตรีเหลือบเห็นเงาของตัวเองในกระจกกรอบรูป...ให้ตายสิ!! ผมของเขา...เปลี่ยนเป็นสีเทาเสียแล้ว

    เสียงหัวเราะอันเย็นยะเยือกดังแผ่วมา...นายกรัฐมนตรีละสายตาจากกรอบรูปแล้วหันหลังไป

    และดวงตาของชายหนุ่มก็พลันเบิกกว้างขึ้นอย่างหวั่นผวา!






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×