ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent Lalullby ลำนำรัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #9 : จอมโจรสลัดแห่งทะเลทราย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 607
      3
      18 พ.ค. 59

     


    Chapter 7 จอมโจรสลัดแห่งทะเลทราย


     

    ท่ามกลางแสงคบเพลิงวูบไหว ใบหน้าของพวกมันเป็นสีทองแดง

    นายกรัฐมนตรีไอออกมาเบาๆ รู้สึกปวดระบมไปทั่วทั้งตัว เขาเบิกตาขึ้น มองเห็นสีดำสูงสุดขึ้นไปราวไร้ที่สิ้นสุด เสียงฝีเท้าหนักๆกระทบพ้นหินดังกึกก้อง กลิ่นเหม็นเน่าและเสียงหนูตัวเล็กกระจิดวิ่งวนไปมาอย่างลุกลน เปลวไฟจากคบเพลิงทาบเงาใหญ่โตคนคนร่างยักษ์ซึ่งเดินสวนสนามกันในที่อันทึมทึบ

    นายกรัฐมนตรีรู้สึกว่าเขากำลังนอนกองอยู่บนพื้นแข็งกระด้าง เย็นเฉียบ และชื้นแฉะ เขาค่อยๆยันร่างเตี้ยๆของตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง สัมผัสได้ถึงอาการเคล็ดตามแขนและขา ปวดร้าวไปทั่วทั้งตัวเหมือนถูกทุบตีทำร้ายมา ลองแตะตามใบหน้าของตัวเอง รู้สึกคล้ายมีคราบเขม่าขมุกขมัวตามใบหน้าและแขนขา และเหนียวเหนอะหนะเพราะคาวเลือดเกรอะกรัง

    ที่นี่ที่ไหน? นั่นคงเป็นคำถามแรกที่ผู้บริหารระดับประเทศคนนี้ถาม นายกรัฐมนตรีหนุ่มควานหาแว่นบนพื้นของเขาแต่ไม่พบ เขาค่อยๆเอนกายเหลียวหลังก่อนที่จะประจักษ์แก่สายตาว่ามีลูกกรงเหล็กล้อมเขาอยู่

    ท่ามกลางแสงคบเพลิงวูบไหว ใบหน้าและร่างกายอันใหญ่โตกำยำของพวกมันเป็นสีทองแดง ดูเหี้ยมโหด นั่นคือเหล่าผู้คุมคุกมืดแห่งอนธการ

    พิธีแต่งงานไม่ประสบผลสำเร็จ ทุกอย่างพังทลายและวอดวายไม่เป็นชิ้นดี วิหารถูกไฟไหม้ หายนะจากสตรีผู้ร่ำไห้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างพังยับ และตอนนี้เขากำลังนอนในคุกอย่างน่าอดสู แล้วคนอื่นล่ะ? นายกรัฐมนตรีค่อยๆคลานไปแนบใบหน้าติดลูกกรงเหล็ก

    ห้องตรงกันข้าม อาจารย์อมาดอสไม่ได้สติ นอนคว่ำหน้าบนพื้นที่แฉะไปด้วยน้ำเหม็นเน่า ส่งเสียงไอค่อกแค่กเป็นระยะ ข้างในคุกนี้สกปรกและอากาศไม่ดีนัก นักโทษแทบทุกห้องขังแข่งกันไอจามอย่างทรมาน ไม่แปลกที่คนตายกว่าสามในสี่ของอาณาจักรแห่งนี้ มีสาเหตุคือติดโรคร้ายมาจากคุกมืดที่เรียกได้ว่าโสมมที่สุด เพียงคิดแค่นั้นนายกรัฐมนตรีหนุ่มก็รู้สึกหนาวเยือกขึ้นทันที

    หากเขาจะต้องตายที่นี่ล่ะ?

    “พวกท่านทุกคน...สบายดีใช่ไหม” เสียงใสแจ๋วหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น... ซาริน่า อัศวินสาวสวยนั่นเอง หล่อนแนบใบหน้ากับกรง ห้องเยื้องๆจากห้องนายกรัฐมนตรี

    “ข้ารู้สึกว่าแขนขาจะหัก” เสียงคร่ำครวญโอดโอยของท่านหญิงแอนเนโมเน่ดังจากที่ไกลลิบๆ ไม่รู้ว่านางอยู่ที่ห้องขังใด

    “เหล่าดัชเชสรอดพ้นไปได้” ซาริน่าสูดน้ำมูกฟุดฟิด ภายในคุกนี้อากาศหนาวเยือกจนน่าประหวั่น “ต่อจากนี้พวกนางคงต้องอยู่อย่างระวังเป็นที่สุด ขอย้ำว่าระวังเป็นที่สุด ถ้าขืนทำอะไรพิเรนอีก ข้าเชื่อว่า นาง ต้องจัดการเหล่าดัชเชสด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาดแน่”

    “ข้าขอให้พวกนางปลอดภัย” นายกรัฐมนตรีพูดอย่างมีความหวัง “พวกนางอาจจะช่วยพวกเราได้ ข้าเชื่อว่าพวกนางพยายามช่วยพวกเรา”

    “เหล่าดัชเชสควรจะมานอนในคุกเหมือนพวกเรา ข้าว่ามันไม่ยุติธรรม” ท่านหญิงแอนเนโมเน่พึมพำอย่างหัวเสีย พลางสะบัดผมบนหัวที่ยุ่งเหยิงและเหนียวเหนอะหนะอย่างรำคาญใจเป็นที่สุด

    “ความยุติธรรมมีในจักรวาลเสียที่ไหนเล่า อย่าฟุ้งซ่านไปหน่อยเลย” เสียงเย้ยหยันดังจากเจ้าแมวดำที่กำลังเยื้องย่างผ่านมา ดวงตาของมันทอแสงเย็นชาตรวจตราเหล่านักโทษอย่างเยือกเย็น ทุกคนเงียบกริบ มองเจ้าแมวดำค่อยๆเยื้องย่างผ่านไป

    “เป็นเพราะแผนการงี่เง่าของนายกรัฐมนตรีน่าเซ่ออย่างเจ้า” ท่านหญิงแอนเนโมเน่พูดขึ้นทันทีที่เจ้าแมวผู้ตรวจตราคุกผ่านไป

    “ถ้าแผนการนั่นงี่เง่า ทำไมเจ้าไม่คิดหาวิธีที่ดีกว่านี้เล่า” ท่านหญิงเมลิเอล่าตำหนิ นางแนบหน้ากับกรง ผมสีทองที่เคยเป็นคลื่นสลวย ตอนนี้ยุ่งเหยิง และใบหน้าสวยหวานราวนางฟ้า มีแต่คราบขะมุกขะมอมจนน่าขัน

    “แล้วทำไมเจ้าไม่คิดเองเล่า?” ท่านหญิงแอนเนโมเน่ตวัดเสียงอย่างหงุดหงิด

    “หยุดทะเลาะกันซะทีได้ไหม!” ซาริน่าออกเสียงอย่างเหลืออด หล่อนพูดต่อด้วยความรำคาญ “พวกท่านอยู่สภาขุนนางด้วยกันมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมไม่เคยปลองดองกันได้เสียทีนะ” ท่านหญิงสูงศักดิ์ทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมา และมักขัดกันเองตลอด หลายครั้งที่พวกนางชอบพูดจาเสียดสีใส่กันจนน่ารำคาญ

    “ข้าไม่ชอบนาง นางทำตัวอ่อนแอ มองโลกในแง่ดี...ข้าหมั่นไส้” ท่านหญิงแอนเนโมเน่พึมพำอย่างหัวเสีย “โลกไม่ได้สวยงามนะ”

    “ข้าก็ไม่ชอบเจ้า” ท่านหญิงเมนิเอล่าสวนกลับ “ชอบทำตัวเย่อหยิ่งจองหอง ยโสโอหังสิ้นดี”

    “พอกันทีทั้งสองท่าน” นายกรัฐมนตรีปราม “ตอนนี้เราลำบากด้วยกัน มันเป็นเวลาที่เราควรสามัคคีมากกว่าหาเรื่อง”

     “เอาเถอะ...ข้าก็ไม่อยากทะเลาะกับใคร มันไม่ใช่ความผิดใครเลย” ท่านหญิงเมนิเอล่าเอ่ยอย่างสิ้นหวัง “ทุกๆอย่างเป็นเพราะ นาง เศร้าโศกจนตามืดมัวต่างหาก” ว่าแล้วพิงกำลังทอดมองความมืดด้วยดวงตาเหม่อลอย

    นายกรัฐมนตรีหนุ่มแทบหยุดหายใจ... เจ้าหญิงผู้งดงามประหนึ่งนางฟ้า...ยามนี้เส้นผมสีทองเรืองรองของนางกำลังจะกลายเป็นสีเทาแห่งความสิ้นหวัง

    “ฮ่ะฮ่ะ” เสียงหัวเราะแห้งๆขาดหายสลับกับเสียงไอค่อกแค่กของเจ้าหนุ่มห้องข้างๆนายกฯดังขึ้น “ไม่นึกว่าผู้หญิงที่ร้องไห้จนสิ้นสติ จะบ้าคลั่งเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้” เจ้าหนุ่มคนนั้นพูดพลางส่งเสียงหัวเราะขบขัน เขาไม่ได้อยู่ร่วมกระบวนการวิวาห์พาวอดวายกับนายกรัฐมนตรี เห็นได้ชัดว่าเป็นนักโทษอยู่ที่นี่มานาน

    “ข้าชื่อวินด์...เป็นสายลมปลิวว่อนอยู่ที่คุกนี้มานาน” เขาแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มบางๆ ซึ่งมองดูคล้ายเยาะเย้ยเสียมากกว่า “เพราะวันหนึ่งข้าเกิดอารมณ์ดี เลยตัดต้นไม้ในจัตุรัสของอาณาจักรเสียสิ้น ดูเหมือนชาวเมืองจะไม่พอใจ เลยยกข้ามานอนเล่นที่นี่ ฮ่ะๆ”

    นายกรัฐมนตรีครุ่นคิด เขาพอจะจำได้ว่ามีชายบ้าคลั่งคนหนึ่งโค่นต้นไม้แสนรักของ นาง ในจัตุรัสอย่างคนไร้สติ ข่าวนั้นแพร่สะพัดไปทั่วเมืองอยู่นานทีเดียว จนถึงตอนนี้ก็ยังนึกหาแรงจูงใจไม่ออก และนายกรัฐมนตรีก็ไม่คิดจะนึกด้วย เขาไม่มีอารมณ์มานั่งพูดคุยกับนักโทษหรอกนะ

    จะว่าไป ...สภาพตอนนี้นายกรัฐมนตรีก็เป็นนักโทษไม่แพ้กัน

    “เมื่ออิสตรีผิดหวัง นางก็เป็นมารร้ายที่ผลาญทำลายได้ทุกสิ่ง ฮ่ะฮ่า” เจ้าหนุ่มชื่อวินด์พิงกายกับผนังเปียกตะไคร่น้ำอันเย็นเฉียบ พลางหัวเราะเบาๆสลับกับไอค่อกแค่ก จนแยกแยะยากว่าพ่อหนุ่มคนนั้นกำลังไอหรือหัวเราะอยู่

    แต่ที่เขาพูดนั่นก็จริง..ยากจะปฏิเสธเลยทีเดียว นายกรัฐมนตรีรู้สึกสะท้อนอยู่ในอก จำได้ว่า นาง เป็นสตรีที่เริงร่าแสนดี นาง เป็นที่รักของทุกคน แต่อะไรกันนะที่ทำให้นาง กลายเป็นปีศาจร้ายเช่นนี้

    ตั้งแต่วันที่ นาง ร้องไห้ก็ไม่เคยมีใครเข้าพบนาง...ไม่สิ... นาง ไม่ยอมให้ใครเข้าพบเลยต่างหาก

    นอกจากเอาแต่ร้องไห้ และร้องไห้ กักขังตัวเองที่ยอดปราสาทและหลั่งน้ำตาอันเป็นยาพิษ คล้ายม่านฝนแห่งความหม่นหมอง ที่พรมอาณาจักรไปทั่ว เสียงสะอื้นของ นาง ทำให้อาณาจักรเป็นสีเทาและฟ้ามืดครึ้ม ความเศร้าโศกของนาง ทำให้อาณาจักรตกอยู่ในความสิ้นหวังอันโทมนัส

    “ว่าแต่ ...เจ้าเด็กสองคนนั่นล่ะ” ซาริน่ามือสั่นสะท้านขณะเกาะลูกกรง มองสบตาทุกคน “พวกเขาอยู่ที่ไหน... โรมและโรซ่าน่ะ!

     

    โรมขยับตาเบาๆ รู้สึกเหมือนมีเสียงใครเรียกเขาอยู่

    ภาพกรรมกรร่วงลงจากตึกกลับมาหลอกหลอน  เสียงกรีดร้องของผู้คนดังลั่นในหัว โรมสะดุ้งทันทีแล้วหายใจแรง เด็กชายค่อยๆกระพริบเปลือกตา เขาลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือมุมของยอดกระโจมสีเขียวขี้ม้า แล้วใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบเขม่าควันของโรซ่าก็ยื่นมา เด็กสาวยิ้มกว้างแก้มแทบปริ หล่อนร้องตะโกนเสียลั่นกระโจม

    “โรม! โรมฟื้นแล้ว”

    ดวงตาสีฟ้าใสของเด็กชายกระพริบถี่อีกครั้ง เด็กน้อยพยายามยันตัวลุกขึ้น โรซ่ารีบเข้าประคอง หล่อนกอดน้องชายด้วยความรักและห่วงใย

    “โรมหมดสติไปตอนที่เราหนีออกมาจากวิหารสำเร็จ พี่ใจหายแทบแย่ มือของโรมสั่นและเย็นเฉียบเลยตอนนั้น คงกลัวมากเกินไป โธ่! น้องพี่”

    เสียงแหวกประโจมดังขึ้น พร้อมกับสาวน้อยร่างเล็กผมสีทองคนหนึ่งในชุดกระโปรงแดงสายสก๊อตเดินเข้ามา ผมสีทองแดงของหล่อนหยักศกเป็นลอนสวย ดวงตากลมโตใสจ้าอย่างใจดี ในมือของหล่อนถือถาดไม้ที่น่าจะมีขันน้ำและผ้าเช็ดหน้า

    โรมรู้สึกตื่นตกใจเล็กน้อย เมื่ออยู่ๆแม่สาวคนนั้นก็เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเด็กชาย

    “ขอโทษจ๊ะ...พ่อหนูน้อย ฉันชื่อฟร่อน เป็นลูกสาวของท่านผู้นำแห่งคาราวานนี้” สาวน้อยแนะนำตัวพลางเช็ดหน้าให้เด็กชายอย่างอ่อนโยน

    “คาราวาน” โรมเหลียวไปสบตาพี่สาว โรซ่ากำลังยิ้มอย่างเหนื่อยล้า ทำให้ดูเหมือนจะร้องไห้เสียมากกว่า

    “พี่พาเราวิ่งหนีออกนอกเขตเมือง หลบๆซ่อนๆมาจนเจอสามีของท่านฟร่อนที่มาสอดแนมในอาณาจักรเรา เขาพาเราสองพี่น้องมาที่กองคาราวานพระจันทร์เสี้ยว...กลางทะเลทราย”

    โรมเบิกตาโพลง รู้สึกขนลุกชันขึ้นมาทันที เขาจำได้ในนิทานที่พ่อเล่าให้ฟังบ่อยๆก่อนนอน คาราวานพระจันทร์เสี้ยว...คือคาราวานของจอมโจรสลัดแห่งทะเลทราย พวกเขาต่างโหดเหี้ยม ทุกคนล้วนมีอาวุธติดตัว และพร้อมห้ำหั่นศัตรูอย่างไร้ปราณี พ่อค้าและนักเดินทางพากันตกเป็นเหยื่อของพวกเขา หลายคนเดินทางมาถึงอาณาจักรตัวเปล่าเพราะถูกปล้นชิงสิ่งของมีค่า ต่างพากันบอกเล่าต่อกันไปถึงจอมโจรแห่งทะเลทรายผู้น่าเกรงขาม ปล้นสะดมอย่างรวดเร็ว และเหี้ยมเกรียมเกินใครเทียม

    “ทีแรกพวกเขานึกว่าเราเป็นศัตรู พี่อธิบายแทบตายกว่าพวกเขาจะยอมช่วยเราสองคนพี่น้อง....เขาบอกว่ารู้จักกับแม่ของพวกเรา...สนิทเลยล่ะ” โรซ่าเล่าเสียงกระซิบ

    “พ่อของข้าเคยเล่าให้ฟัง” ฟร่อนหวีผมยุ่งเหยิงให้โรมแล้วเล่า “ตอนนั้นแม่ของพวกท่านเป็นเพียงขุนนางชั้นประทวนที่ใช้ชีวิตกับการเขียนอ่านบทกวี เช่นเดียวกัน พ่อของข้าตอนนั้นเป็นกวีสามัญชนในอาณาจักรของพวกท่าน พวกเขาได้อ่านบทกวีของกันและกันโดยบังเอิญ ...วรรณศิลป์นั้นไร้พรมแดน พวกเขาเป็นเพื่อนกันเพราะวรรณศิลป์”

    หลังจากหวีผมให้โรมเสร็จ ฟร่อนก็ยกถ้วยซุบข้าวโพดมาวางไว้ให้เด็กชาย โรมรู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะกลืนอะไรลงท้อง เด็กชายเบือนหน้าหนี

    “เด็กน้อย ดวงตาใสๆของเจ้าดูอิดโรย...ต้องทานอาหารหน่อยนะจ๊ะ”

    “เป็นข้าวโพดพันธ์ดีที่สุดที่เราปล้นมาได้จากพ่อค้าหน้าเลือดเมืองไกล” ชายคนหนึ่งในชุดขนสัตว์แหวกกระโจมเข้ามา เขาเป็นชายร่างสูง ผมสั้นประบ่า ดวงตาคมคายเป็นประกายฉายเสน่ห์บุรุษเพศ “ถ้าไม่กินจะเสียของเอาได้ ต้องใช้แรงงานเรี่ยวแรงเสียเลือดเนื้อคนไปเท่าไหร่กว่าจะได้มันมา” เสียงของเขาดูดุดัน และดวงตาเริ่มไร้ประกาย

    “นั่นคือเกรยอน สามีของข้า” ฟร่อนแนะนำให้ทุกคนรู้จัก เขาออกจะดุและอารมณ์ร้อนง่าย แต่จริงๆเป็นชายที่ใจดีทีสุดในกองคาราวานแห่งนี้

    “ที่รัก เจ้ายอข้ามากไป” ชายหนุ่มยิ้มแก้มปริ ขนาดหันมาสบตาเด็กชาย “กินซุบเสียให้หมดนะพ่อหนุ่มน้อย ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะตัวเตี้ยเป็นเจ้าหนู ไม่รู้จักโตแบบนี้ตลอดไป” ว่าพลางยกมือขย้ำศีรษะโรมเสียงยุ่งเหยิง ฟร่อนรีบตบมือสามีแรง

    “ข้าเพิ่งหวีผมให้เขานะ”

    “โทษทีที่รัก...ข้าทนเห็นผมเด็กเป็นไม่ได้ จะรู้สึกหมั่นไส้จนต้องขยี้ให้เละเทะ...”

    โรมยกมือขึ้นลูบผมตัวเอง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพวกผู้ใหญ่ชอบยุ่งกับศีรษะของเด็กกันจริง พวกผู้หญิง เช่นแม่ของเขา หรือโรซ่า ชอบพยายามทำให้มันเรียบแปล้หน้าเกลียด ในขณะที่พวกผู้ชาย เช่น พ่อ และ เจ้าหนุ่มเกรยอน มักพยายามขยี้มันให้ยุ่งเหยิงจนน่าขัน

    โรมตักซุบข้าวโพดเข้าปาก ยอมรับว่ารสชาติดีมาก ดีกว่าฝีมือโรซ่าเป็นหลายเท่าตัว และดีกว่าฝีมือแม่ของเขาด้วย แต่อย่างไรก็ตาม...ซุบข้าวโพดฝีมือพ่ออร่อยกว่านี้นัก

    น้ำตาเริ่มปริ่มที่ขอบตาเด็กชาย  เขารู้สึกคล้ายจะสะอื้นเบาๆ เมื่อพบว่าตัวเองต้องมาระหกระเหเร่ร่อนแบบนี้

    “กินให้หมดเกลี้ยงอย่าให้เหลือเลยล่ะ ที่นี่มีธรรมเนียมว่าหากกินเหลือจะต้องโดนฆ่าปาดคอ ห้อยประจานหน้ากองคาราวาน” เกรยอนพูดน้ำเสียงหยอกเย้าแต่สายตาจริงจัง จนเด็กน้อยรู้สึกเสียววูบ เขาเงยหน้าขึ้นสบตาทุกคนทั้งที่ซุบข้าวโพดยังเปรอะแก้ม ฟร่อนเพียงแต่ยิ้ม ไม่ขยายความว่าธรรมเนียมนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องล้อเล่น โรมรู้สึกเย็นๆที่ลำคอตัวเองเล็กน้อย เด็กชายสบตาเจ้าหนุ่มเกรยอนอย่างไม่ชอบใจนัก ก่อนจะรีบยกถ้วยซุบเข้าซดจนหมดอย่างน่าขัน

    “เอาล่ะ ท่านชีคและท่านชีคคา รออยู่ก่อนแล้ว รีบออกไปพบพวกเขาซะ” ชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางแหวกกระโจมออกไป ไม่วายเหลียวกลับมายิ้มมุมปากส่งให้โรม

    “นึกว่าจะได้ปาดคอเด็กเสียแล้วล่ะ”

     

    พวกเขาอยู่กลางทะเลทราย แต่เป็นทะเลทรายที่หนาวเยือก!

    ท้องฟ้ามืดครึ้มและส่งเสียงคำรณคำรามตลอดเวลา เม็ดทรายซึ่งควรจะเป็นสีทอง กลับเป็นสีเทาหม่นเศร้า ไอหนาวห่มคลุมไปทั่ว ทุกสถานที่มืดเสียจนต้องปักคบเพลิงแวดล้อมโดยทั่ว เหล่าชายฉกรรจ์ในชุดขนสัตว์ร่างกำยำเดินตรวจตรากันขวักไขว่ ที่นี่ตั้งประโจมสีเขียวขี้ม้าเป็นครึ่งวงกลมคล้ายเสี้ยววงเดือน ตรงกลางวงล้อมของเหล่ากระโจมทั้งปวง เป็นกะโจมสีทองที่ใหญ่โตที่สุดตั้งอยู่ วาดลวดลายเรขาคณิตน่าทึ่งทั้งสีแดง เขียว เหลืองเป็นรูปสัตว์และวิถีแห่งนักล่า

    กองไฟที่หน้ากระโจมสว่างช่วงโชติ เหล่าสตรีในชุดขนสัตว์ห้อยลูกปัดและประดับขนนกอินทรี ชายหนุ่มบางพวกพากันตีกลองหนังสัตว์ เสียงหัวเราะร้องรำทำเพลงคละเคล้ากันไป ปะปนกับเสียงกวางน้อยกรีดร้องเพราะถูกเชือดคอเป็นอาหารมื้อใหญ่ พวกโจรสลัดทะเลทรายดูเริงร่าพากันเต้นรำสนุกสนาน ผิดแผกไปจากสภาพอากาศมืดครึ้มชวนหม่นเศร้าของทะเลทราย

    “ทะเลทรายนี้เป็นเขตอาณาจักรม่านหมอก... เหมือนอำนาจความเศร้าของ นาง จะรุนแรงมากพอที่จะทำให้ทะเลทรายอันร้อนระอุ กลายเป็นเย็นเยือก” เกรยอนบอก พลางเหม่อสายตามองไปยังเขตกำแพงอาณาจักรไกลลิบลิ่ว เขาชี้ให้โรมและโรซ่าเห็นว่านั่นคือกำแพงอาณาจักรม่านหมอกของเด็กๆ

    โรซ่าอุ้มโรมเพื่อมองดูเมืองของพวกเขา... ดวงตาสีฟ้าใสของเด็กชายหม่นหมอง ทั้งอาณาจักรมีหมอกและเมฆครึ้มอันน่าเกลียดห่มคลุมอยู่

    เกรยอนและฟร่อน พาเด็กชายหญิงเข้าไปในกระโจมของท่านชีคแห่งพระจันทร์เสี้ยว

    ภายในเสียงหัวเราะดังลั่นทั่วกองคาวานและเสียงเริงระบำของเหล่าหญิงสาวชายหนุ่มดังครึกครื้น กลิ่นไวน์องุ่นฟุ้งไปทั่วทั้งกระโจม โรมและโรซ่ามองโดยรอบอย่างตื่นตา ความงดงามอันมีชีวิตชีวาประจักษ์แก่สายตาของพวกเขา หลังจากที่เด็กๆต้องตกอยู่ในความดำมืดอันน่ารังเกียจมานานแสนนาน

    รอบกระโจมตกแต่งด้วยผ้าปักลายเรขาคณิต และลูกปัดประดับอัญมณีหินสีโยงยางอย่างตระกาลตา เหล่านางระบำแต่งหน้าฉูดฉาดโยกย้ายส่ายสะโพกไปมาตามจังหวะกลอง อัญมณีและผ้าบางพลิ้วประดับด้ายเงินด้ายทองตกแต่งด้วยลูกปัด พลิ้วไหวไปตามเรือนร่างอรชร บนพื้นเต็มไปด้วยผลไม้เรียงรายเกลื่อนกลาด ทั้งพวงองุ่นลูกโตสีม่วงแดง ลูกอินทผลัม แตงโมหวานฉ่ำ ผลส้มจากนครเมืองเหนือสีสดตา ไก่งวงย่างนอนอยู่บนจานขอบทองยักษ์ ปะปนกับขนมปังแห้งกรอบราดซอส ข้างๆขวดไวน์และแก้วทองคำกระจัดกระจาย  

    เกรยอนฉวยถั่วเม็ดหนึ่งโยนเข้าปากตัวเอง แขนอีกข้างโอบกอดฟร่อนไปด้วย เหล่าสาวๆที่กำลังเริงระบำพากันแหวกทางให้พวกเขาเดินผ่านไป โรซ่าอุ้มโรมไว้ ทุกสายตาเหมือนจะมองที่เด็กทั้งสองอย่างสงสัย ...ก็แน่ล่ะ...พวกเขาเป็นเด็กๆแปลกหน้านี่น่ะ กระทั่งเสื้อผ้าก็แตกต่างกันแล้ว โรซ่าอยู่ในชุดผ้าฝ้ายเนื้อหนาสีแดงบานยาวเข้ารูปทิ้งตัวลงมากรอมเท้า ปักเส้นไหมสีทองที่อกเป็นลายเถาวัลย์อย่างเรียบง่าย

    ที่สุดกระโจมยักษ์ มีแท่นที่นั่งท่ามกลางม่านสีทองโปร่งสะบัด และท่ามกลางความบันเทิงซึ่งรายล้อม ชายหนุ่มดวงตาคมคายคิ้วหนาเข้มกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนโอบกอดสาวร่างอ้อนแอ้นไว้แนบอก

    นั่นคือชีคและชีคคาแห่งพระจันทร์เสี้ยว

     






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×