ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Carnival of Love เกมรักราตรีเลือด

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอน รถไฟผีสิง โดย 1.4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 360
      0
      23 พ.ค. 59




    Carnival of love เกมรักราตรีเลือด

    รถไฟผีสิง โดย 1.4


    ในสายตาของละอองฝน...โลกใบนี้ฉาบไว้ด้วยสีเทาหม่น

    เธอไม่เห็นสีฟ้าสดใสของท้องฟ้า ไม่รู้สึกถึงสีเขียวอ่อนของใบหญ้า และไม่อาจรับรู้ถึงสีเหลืองสดใสของดอกทานตะวัน ทุกอย่างถูกย้อมให้เหลือเพียงสีขาวและดำ ไม่ต่างอะไรกับความเงียบเหงาของท้องถนนภายใต้ละอองฝนที่เยียบเย็น

    แสงอาทิตย์สีเงินลอดผ่านกระจกหน้าต่าง ผ้าม่านผืนโปร่งพริ้วไหวราวระลอกคลื่น เงามืดสลับแสงสว่างระบายบนใบหน้าของเด็กสาวยามที่สายลมพัดผ่าน แสงนั้นเองที่ปลุกละอองฝนให้ลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเธอฉายเพียงความว่างเปล่า เด็กสาวยกมือขึ้นบังแสง แต่ก็พบว่าข้อมือระโยงระยางด้วยสายพลาสติกใสๆ รอบกายของเธอรายล้อมด้วยเพดานสีขาว เตียงนอนสีขาว และผนังห้องสีขาว แม้กระทั่งคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็สวมชุดขาว นอกเหนือจากสีขาวที่ราบเรียบจืดชืด ทุกอย่างก็มีสีเทาที่หดหู่และหม่นหมอง...

    ละอองฝนลุกขึ้นนั่ง หันไปมองรอบกาย ผู้คนกำลังชุลมุนวุ่นวาย และพูดคุยกันโดยที่ไม่มีใครสนใจเธอ เรียวปากของเด็กสาวเผยอออกเล็กน้อย ก่อนที่เสียงเล็กๆ หากแหบพร่าจะดังขึ้น

    “มีใครเห็นโอม เอ่อ..อนุชิตไหมคะ ?”

                    กลุ่มคนชุดขาวหยุดชะงัก หันไปมองหน้ากัน ก่อนจะส่ายศีรษะให้เธอช้าๆ

                    “อนุชิต ผู้ชายที่ตัวสูงๆ ผิวขาวๆ...” ละอองฝนพยายามอธิบาย “คนที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนใจดี”

                    คนพวกนั้นเงียบไปอึดใจ ก่อนจะตอบ “พวกเราพยายามติดต่อญาติของคุณแล้ว แต่ไม่มีใครติดต่อกลับเลยค่ะ”

                    ละอองฝนอ้าปากจะถามอีก ทว่าเสียงเล็ดลอดออกไปกลับเป็นเสียงสะอื้น เธอกัดริมฝีปากสกัดกั้นมันไว้ หากไม่อาจหยุดยั้งกระแสความรู้สึกที่ท่วมท้นได้ เด็กสาวงอตัวลง ตลอดทั้งร่างสั่นสะท้าน ผ้าปูที่นอนถูกขยำจนบิดเบี้ยว เตียงก็คล้ายจะยุบลงไป ร่างของเธอจมดิ่งลงสู่ความมืดอนธการไร้ที่สิ้นสุด ละอองฝนพยายามยื่นมือออกไปข้างหน้า ไขว่ขว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่สุดท้ายก็คว้าได้เพียงอากาศไร้ตัวตน และได้ยินเพียงเสียงของตัวเองกรีดร้องซ้ำไปซ้ำมาว่า...ขนาดเธอยอมฆ่าตัวตาย โอมก็ยังไม่กลับมาเลย

     

    ถนนดินลูกรังทอดตัวยาวขนานไปกับแผ่นฟ้า ทุกสรรพเสียงถูกกลบด้วยเสียงของเม็ดฝน บ่อน้ำสะท้อนภาพกลุ่มเมฆหนาที่กำลังเคลื่อนตัว หากภาพนั้นบิดเบี้ยวด้วยเม็ดฝนที่ตกลงมากระทบอย่างไม่ขาดสาย เงาของเด็กสาวคนหนึ่งเดินตัดผ่านภาพที่บิดเบี้ยวนั้น ตลอดทั้งร่างของเธอเปียกปอน เสื้อสีขาวชุ่มน้ำจนแนบร่าง เช่นเดียวกับเรือนผมสีดำสนิทที่ทิ้งตัวยาว บดบังใบหน้าซีดเซียวของเธอ ละอองฝนปล่อยสายตาให้ทอดไปไกล นัยน์ตาสีน้ำตาลของเด็กสาวเข้มเอ่อล้นด้วยน้ำ หากไม่อาจแยกออกว่าเป็นหยดน้ำจากฟากฟ้า หรือเป็นหยดน้ำที่กลั่นมาจากหัวใจ

    นางพยาบาลเล่าว่ามีคนเห็นเธอสลบไสลกลางถนน จึงพามาส่งโรงพยาบาล พวกเขาพยายามพูดให้กำลังใจเธอ ทว่าละอองฝนไม่ค่อยได้ยินเสียงของพวกเขา สิ่งที่เด็กสาวทำได้มีเพียงพยักหน้ารับไปอย่างไม่ชีวิตจิตใจ จนในที่สุดพวกเขาก็อนุญาตให้เธอกลับบ้าน เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร

    หลังจากออกจากโรงพยาบาลในตัวเมือง ละอองฝนก็ขึ้นรถกลับอำเภอของตน จากนั้นก็เดินเตร็ดเตร่บนถนนเพียงลำพังอย่างเลื่อนลอย เด็กสาวเหลือบมองแผลบนข้อมือของตัวเอง หยาดฝนทำให้ผ้าพันแผลกลายเป็นสีเทาเข้ม เธอแกะผ้าที่พันข้อมือออกช้าๆ รอยกรีดหลายเส้นปรากฎชัดบนผิวขาวสะอาด เด็กสาวไล้ปลายนิ้วลงบนแผล เพิ่มแรงสัมผัสให้รุนแรงขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งน้ำสีเข้มไหลซึมออกมา...

    ละอองฝนมองเลือดสีดำที่ไหลรวมกับน้ำในแอ่งอย่างไร้ความรู้สึก

    กดนิ้วลงซ้ำ ย้ำให้ลึกถึงด้านใน ก็ยังรู้สึกด้านชาอยู่อย่างนั้น ความหนาวเย็นจากละอองฝนแทรกซึมผ่านผิวหนัง ทิ่มแทงหัวใจจนรวดร้าว เรียวปากสีซีดกัดแน่นจนเลือดแทบจะซึมออกมา

    ก่อนหน้านี้ เมื่อไหร่ที่ฝนตกหนัก อนุชิตจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ

     

    ฤดูฝนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว โลกทั้งใบก็ปกคลุมด้วยม่านฝนดังเช่นวันนี้

    อนุชิตเล่าว่าเขาเจอเธอเมื่อฝนหยดแรกร่วงลงจากฟากฟ้า เวลานั้นเธอเป็นเจ้าหนูสกปรก ผมสีดำของเธอยุ่งเหยิงเหมือนรังนก ร่างเล็กๆ ขดกลมเหมือนหนอนน้อยที่ไม่ยอมออกจากรังไหม อนุชิตนึกว่าเด็กเกเรข้างบ้านเล่นพิเรนทร์มาทิ้งขยะที่หน้าบ้านเขาด้วยซ้ำ กำลังอยากจะโวยวาย ก็เห็นขยะดำๆ กลมๆ ก้อนนั้นขยับตัว เมื่อชะโงกหน้าเข้าไปดูให้ชัด จึงสะดุดตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลสดใสที่ปรือขึ้นท่ามกลางความสกปรกโดยรอบ พิจารณาดูอีกครั้งก็พบว่าเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง อายุประมาณสามถึงสี่ปี

    ตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเธอชื่ออะไร มาจากไหน ไม่มีใครรู้ที่มาของเธอเช่นกัน กระทั่งคำพูดเธอยังพูดติดๆ ขัดๆ ด้วยซ้ำ อนุชิตคุยกับเธอแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร เขาพยายามถามเพื่อนบ้านแถวนั้น แต่ก็ไม่พบเบาะแส เขาจึงตั้งใจจะดูแลเธอชั่วคราว อนุชิตจับเด็กน้อยลงอ่างอาบน้ำ เทน้ำยากลิ่นฉุนๆ ใส่ศีรษะของเธอ ตัดผมที่พันกันยุ่งออก ใช้ฟองน้ำขัดขี้ไคลดำๆ จนเห็นผิวขาวสะอาดภายใน พริบตาที่สิ่งสกปรกหลุดออก เด็กน้อยจำได้ว่านัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของอนุชิตเบิกกว้าง เมื่อเห็นหน้าของเธอชัดเจนเป็นครั้งแรก...

    อนุชิตไม่อยากให้เธอไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า เขาพยายามหาครอบครัวที่จะรับอุปการะ แต่โชคร้ายที่ไม่มีใครสนใจเด็กจรจัดอย่างเธอ ในที่สุดอนุชิตก็ล้มเลิกความคิดนั้น เขาไม่ได้ไล่เธอไปไหน เธอก็ไม่คิดจะไปไหน พวกเขาจึงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างเรียบง่ายตั้งแต่นั้นมา

    เด็กหญิงที่มาพร้อมกับฝน ใสบริสุทธิ์เหมือนน้ำฝน อนุชิตจึงตั้งชื่อให้เธอว่า ละอองฝน

    บ้านหลังน้อยของอนุชิตอยู่ในย่านชนบท รายล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีและความเงียบสงบของเทือกเขาสลับซับซ้อน เขาชอบนั่งริมหน้าต่าง วางกระดานวาดรูปบนหน้าขา พู่กันและจานสีพร้อมสรรพในมือ อนุชิตมักจะฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีระหว่างปาดพู่กันลงบนผืนผ้าใบ ท่วงทำนองนุ่มหวานเหมือนขนมดังกังวานไปทั่วบ้าน ละอองฝนจะเกาะขาของอนุชิต จ้องสิ่งที่เขาทำด้วยนัยน์ตาใสแจ๋ว เงี่ยหูฟังเสียงของเขาอย่างตั้งใจ

    อนุชิตในสายตาของละอองฝนเวลานั้นช่างเหมือนพ่อมด เด็กน้อยแปลกใจเสมอว่ามือของคนธรรมดาคนหนึ่งจำลองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าลงบนผืนผ้าใบได้สวยงามเช่นนั้นได้อย่างไร เธอชอบภาพที่เขาวาด เห็นตัวตนของเขาแทรกซึมในทุกอณูของภาพ เธอชอบกลิ่นดินสอ กลิ่นของกระดาษ ชอบแม้กระทั่งกลิ่นกายของอนุชิตเวลาที่เขาตั้งใจทำงาน สายตาสีน้ำตาลเข้มที่จับจ้องเพียงภาพตรงหน้า เรียวปากที่คลี่ออกเป็นรอยยิ้มเมื่อเห็นภาพมีสีสันเพิ่มขึ้นทีละน้อย พู่กันที่จรดลงบนผืนผ้าใบขยับไหวราวปีกผีเสื้อ การเคลื่อนไหวของมือ ทุกส่วนของกล้ามเนื้อบนร่างของเขา และลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอ ละอองฝนชอบทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นผู้ชายที่ชื่อว่าอนุชิต และใช้เวลาทั้งวันจ้องมองเขาเช่นนั้น ขณะที่ในใจรู้สึกว่าอนุชิตช่างเป็นคนที่พิเศษเหลือเกิน

    เมื่อละอองฝนโตขึ้นอีกเล็กน้อย เธอก็ขอให้อนุชิตสอนวาดภาพบ้าง อนุชิตอุ้มเด็กน้อยออกไปนอกบ้าน วางเธอลงบนคานไม้ ชี้ให้ดูทุ่งดอกทานตะวันบนภูเขาอีกลูก แล้วจับนิ้วเล็กๆ ของเธอจุ่มลงในสีเย็นๆ

    “ทุ่งหญ้าสีเขียวสดชื่น” เขากระซิบเบาๆ ระหว่างที่ประคองนิ้วของเธอแต่งแต้มสีสันลงบนผืนผ้าใบ ภาพทุ่งหญ้าผุดขึ้นบนกระดาษสีขาวที่ว่างเปล่าอย่างอัศจรรย์ “ดอกทานตะวันสีเหลืองสดใส” กลีบเล็กๆ ของดอกทานตะวันแทบจะไหวระริก มีชีวิตชีวาขึ้นมา ยามเขาใช้นิ้วของเธอแตะสีเหลือง แต่งแต้มสีสันให้มัน “และท้องฟ้าสีครามสว่าง”

    หัวใจเธอเต้นระรัวอย่างประหลาด ยามที่มืออุ่นๆ ของเขาทาบลงมา ประกบนิ้วเล็กๆ ของเธอนิ้วต่อนิ้ว ชักนำเธอให้ระบายผืนฟ้าสีคราม

    เมื่อภาพนั้นเสร็จสิ้น อนุชิตก็กอดละอองฝนไว้แน่น บอกกับเธออย่างดีใจว่า เธอทำให้เขากลับมาวาดภาพที่เต็มไปด้วยสีสันสดใสได้อีกครั้ง ละอองฝนไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเธอทำอะไร แต่เธอก็กอดเขากลับ แย้มยิ้มร่าเริง ดีใจที่อนุชิตดูมีความสุข

                    เวลาที่ละอองฝนเรียกเขาว่าพี่ชาย เขาจะทำหน้ายุ่ง บอกว่านั่นฟังดูแย่ ดูแก่ เขาขอให้เธอเรียกเขาว่า โอมเท่านั้น เธอในเวลานั้นน่าเวทนานัก ความใสซื่อทำให้เชื่อทุกคำพูดของเขาโดยสนิทใจ ไม่รู้เลยว่าการที่เขาอยากให้เธอเรียกว่าโอมมีความนัยแอบแฝงบางประการ

                    อนุชิตมีความลับ บ้านหลังนั้นมีความลับ และห้องแห่งนั้นก็คือห้องแห่งความลับ

                    หลังบ้านของอนุชิตจะมีห้องเล็กๆ ที่สร้างแยกจากตัวบ้าน อนุชิตไม่เคยพาเธอเข้าไป ไม่เคยกล่าวถึง ราวกับสถานที่แห่งนั้นเขาไม่ได้เป็นเจ้าของ ความอยากรู้ทำให้ละอองฝนเดินเข้าไปสำรวจอย่างสงสัย เด็กหญิงเดินออกจากบ้านหลัก มุดใต้ไม้แท่งยาวๆ ที่กองระเกะระกะหน้าห้อง จนไปหยุดอยู่ที่บานประตูที่ทำด้วยไม้ มือเล็กๆ ยกกลอนไม้ขึ้นเพื่อเปิดประตูอย่างนึกสนุก ทว่าอนุชิตก็รั้งมือเธอไว้เสียก่อน

                    “ซนใหญ่แล้วนะเรา” เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นระหว่างที่เธอดิ้นรนไม่พอใจ มือเล็กๆ ยังไขว่คว้าไปข้างหน้า ด้วยความอยากรู้ว่าเมื่อเปิดประตูแล้วเธอจะพบสิ่งใด “ไม่มีอะไรหรอก แค่ห้องเก็บของธรรมดาๆ น่ะ”

    อนุชิตหมุนตัวละอองฝนให้หันมาหาเขา แล้วปั้นสีหน้าเคร่งเครียด

    “แต่ถ้าเด็กๆ อย่างฝนเข้าไป จะมีปีศาจร้ายโผล่ออกมา พวกนั้นชอบแกล้งเด็กตัวเล็กๆ อย่างฝนนักล่ะ!

                    ละอองฝนผงะเล็กน้อย ก่อนจะแบะปากร้องไห้ด้วยความกลัว สิ่งที่อนุชิตพูดช่างน่าหวาดผวา ในมโนภาพของเด็กน้อยมีปีศาจร้ายมากมายโผล่ออกมาจากประตู แต่ละตัวมีเขี้ยวยาวเฟื้อย แถมยังน้ำลายไหลยืด เล็บที่กำลังกรีดกรายก็แสนคม ไหนจะนัยน์ตาสีแดงก่ำที่จ้องเธอไม่วางตานั่นอีกล่ะ น่ากลัวเหมือนสัตว์ร้ายในภาพยนตร์ที่เพิ่งดูจบไปไม่ผิด เด็กน้อยกลัวจนไม่กล้าย่างกรายไปที่นั่นอีก กระทั่งเดินผ่านเธอยังงอแงขอให้อนุชิตไปเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ

                    ทว่ามีวันหนึ่งที่อนุชิตไม่อยู่บ้าน  วันนั้นเธอวิ่งเล่นนอกบ้านตามปกติ ความเพลิดเพลินทำให้ละอองฝนวิ่งผ่านหน้าห้องเก็บของแห่งนั้นโดยไม่รู้ตัว ระหว่างที่วิ่งนั่นเอง ละอองฝนสะดุดก้อนหินบนพื้นจนล้มไปโดนคานไม้ที่วางระเกะระกะหน้าห้อง คานไม้เหล่านั้นดันบานประตูให้เปิดออก ร่างของเธอกลิ้งล้มเข้าไปข้างในอย่างไม่คาดคิด

                    ละอองฝนร้องไห้จ้า เธอเจ็บไปทั้งตัว ในห้องแห่งนั้นมีของมากมาย แต่เธอหลับตาปี๋ ไม่กล้าลืมตามองว่ามันคือปีศาจร้ายตนใด ได้กลิ่นเพียงฝุ่นที่ฟุ้งกระจายทั่วห้อง พอมองไม่เห็นก็เลยวิ่งชนนู่นชนนี่สะเปะสะปะ ของหล่นโครมคราม ละอองฝนล้มลุกคลุกคลานหลายครั้ง แต่ก็ยังวิ่งหาทางออกไม่หยุด จนกระทั่งวิ่งไปชนกับกระดานแข็งๆ อย่างหนึ่ง เด็กน้อยเผลอลืมตาขึ้นอย่างตกใจ

                    แวบแรกละอองฝนนึกว่าตนวิ่งชนกระจก

                    หากเมื่อเอื้อมมือไปสัมผัส กลับพบว่าเป็นกระดาษ

                    ภาพวาด?

    สิ่งที่อยู่ตรงหน้าละอองฝนเป็นภาพวาดของหญิงสาวคนหนึ่ง สายตาของหล่อนที่จ้องมองมาสะกดให้เด็กน้อยลืมเลือนว่ากำลังกลัวผีร้าย ไม่ห่างจากกันมีกระจกบานยาว ละอองฝนเหม่อมองเงาสะท้อนใบหน้าของตัวเอง ภาพหญิงสาวที่เพิ่งเห็นวนเวียนอยู่ในความคิด หากเธอโตขึ้นกว่านี้อีกสักนิด หากแขนขาเธอยาวกว่านี้อีกสักหน่อย ใบหน้าขาวสะอาด เรือนผมสีดำสนิทที่ยาวตรงถึงแผ่นหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน และริมฝีปากสีเชอร์รี่คู่นี้ก็จะ...เหมือนกัน ไม่มีอะไรที่แตกต่าง

    ใบหน้าของเธอและหล่อนเหมือนกันราวกับพิมพ์!

    ความสับสนถาโถมเข้าสู่จิตใจของเด็กน้อยทันที เธอสงสัย...คนที่อยู่ในภาพคือใคร คนที่ยืนอยู่ตรงนี้คือใคร เธอเป็นใคร สำหรับอนุชิตแล้วเธอเป็นอะไร ละอองฝนรู้สึกเหมือนตัวตนของตัวเองกำลังจะถูกคนในภาพกลืนกิน จนเธอไม่อาจมีที่ยืนอีกต่อไป ละอองฝนไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนั้น แต่เธอก็กลัวเหลือเกิน กลัวจนร้องไห้จ้า เธอผลักรูปนั้นไปให้พ้นตัว ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีทันที

    ละอองฝนวิ่งไปชนอนุชิตที่เพิ่งกลับบ้านพอดี เขาโกรธจัดเมื่อเห็นเด็กน้อยบุกรุกเข้าไปในห้องนั้น อนุชิตไม่สนใจสักนิดว่าเธอกำลังร้องไห้ เขากระชากร่างเด็กน้อยออกจากห้องเก็บของ เดินเข้าห้องนอน ปิดประตูใส่หน้าเธอโครมใหญ่ แล้วขังตัวเองในห้องเนิ่นนาน

                    อนุชิตไม่ยอมพูดกับเธอ ไม่ยอมให้เธอมุดใต้ผ้าห่มไปนอนข้างๆ อย่างที่เคยทำเป็นประจำ เขาล็อกประตูห้องนอน กันเธอออกจากโลกของเขา ละอองฝนปืนต้นไม้ขึ้นไปหาอนุชิตบนระเบียงบ้าน เกาะหน้าต่างด้วยมือเล็กๆ อ้อนวอนให้เขาปล่อยเธอเข้าไป แต่อนุชิตไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาดึงม่านมาบังหน้าต่าง ปิดบังทุกอย่างไว้ ละอองฝนไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไรภายในห้องนั้น

    ความวังเวงยามค่ำคืน เสียงกรีดร้องของสายลม และเงามืดที่ไหววูบบนพื้นทำให้เธอกลัวจนตัวสั่น เด็กน้อยลิ้มรสความโดดเดี่ยวที่จู่โจมเธอเป็นครั้งแรก และไม่รู้เลยว่าจะผ่านค่ำคืนที่น่าสะพรึงกลัวไปโดยไม่มีอ้อมกอดของเขาได้อย่างไร ละอองฝนเคาะหน้าต่างเรียกเขาอย่างร้อนรน ไม่เข้าใจว่าอนุชิตทำแบบนี้ทำไม ยิ่งไม่เข้าใจว่าเธอทำอะไรผิด เด็กน้อยได้แต่ตะโกนร้องไห้สุดเสียง ร้องจนไม่มีน้ำตาให้ไหลอีกต่อไป แต่ถึงจะหวาดกลัวเท่าไหร่ ถ้าอนุชิตไม่ยอมให้อภัย เธอก็จะเฝ้ารอเขาอยู่ตรงนั้น

    ล่วงถึงคืนที่สอง ฝนตกหนักไม่หยุด ตลอดทั้งร่างของเด็กน้อยเปียกโชก ละอองฝนหนาวจนตัวสั่นราวลูกนก เธอรู้สึกว่าภาพข้างหน้าพร่าเลือน ลมหายใจร้อนผ่าวผิดปกติ ละอองฝนนึกว่าเขาจะไม่มีวันให้อภัยเธออีกแล้ว แต่แล้วอนุชิตก็ยอมเปิดประตูออกมา โอบอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนแข็งแรงคู่นั้น...

    ละอองฝนจำฝังใจว่าห้ามไปเข้าไปในห้องนั้นอีกเด็ดขาด เธอผลักเรื่องนั้นไว้ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหวาดกลัวว่าหากวันใดมันผุดขึ้นมา อนุชิตจะโกรธเธอดังเช่นวันนั้นอีก หากความสงสัยก็ฝังลึกลงในใจของเธอเช่นกัน

    เมื่อละอองฝนเติบโตขึ้นเป็นเด็กสาว เธอก็ได้รับคำตอบโดยไม่คาดคิด

    วันหนึ่งคุณป้าข้างบ้านแวะมาบอกข่าวกับอนุชิต ละอองฝนจับใจความได้ว่า เมื่อหลายปีก่อนอนุชิตเคยมีคนรัก หล่อนอาศัยอยู่กับอนุชิต เคยยืนในที่ที่ละอองฝนยืนอยู่ เคยนอนในห้องที่ละอองฝนนอน เคยใช้ชีวิตร่วมกับอนุชิตในทุกทางที่ละอองฝนทำอยู่ในปัจจุบัน แต่แล้ววันหนึ่งหล่อนก็หนีเขาไปคบกับชายอื่นที่มีฐานะดีกว่า นับตั้งแต่นั้นมาอนุชิตกับผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก ความสัมพันธ์ของพวกเขาจบลงง่ายๆ แบบนั้น

    แต่ผู้หญิงคนนั้นเลิกกับชายคนรักแล้ว และหล่อนมาถามข่าวคราวของอนุชิตจากคุณป้า

    อนุชิตเงียบไปมาก เสียงเพลงหายไปจากบ้าน สายตาของเขามองออกนอกหน้าต่าง ฝ่าถนนดินลูกรังที่ทอดตัวยาวไปหาใครบางคน หลายครั้งที่อนุชิตถือพู่กันค้างไว้โดยไม่ทำอะไร กระทั่งจานสีหกเลอะขา เขาก็ยังไม่รู้สึกตัว

    หัวใจของละอองฝนปวดแปลบ เด็กสาวเดินเข้าไปใกล้เขา ซบใบหน้าบนไหล่กว้าง เมื่อนั้นอนุชิตถึงได้สติ เอื้อมมือมาขยี้ศีรษะเธอเบาๆ ก่อนจะดึงร่างของเธอให้เดินมาข้างหน้า แหงนหน้าขึ้นมองเธอให้ชัด...

    “เราอายุเท่าไหร่แล้วนะ ?”

    ละอองฝนตอบเบาๆ “สิบเจ็ดแล้ว”

    “โตแล้วนี่นะ...เราควรจะเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีๆ ได้แล้ว” อนุชิตขยี้ศีรษะเธออีก แล้วจู่ๆ เขาก็เฉไฉเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหัน

    ความเงียบยังปกคลุมบ้านหลังนั้นไปอีกหลายวัน เช่นเดียวกับที่ความหวาดกลัวเยื้องกรายเข้ามาครอบงำหัวใจของละอองฝนช้าๆ จนในที่สุด...เรื่องที่ละอองฝนกังวลก็กลายเป็นจริง

    ในคืนที่ฝนตกหนัก จู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็ปรากฏตัวหน้าบ้าน เดรสสีดำที่ตัดกับสีขาวของผิวกายเน้นให้หล่อนดูคล้ายมัจจุราช เรียวปากของหล่อนสีแดงสดเหมือนนางมารร้าย หล่อนชะเง้อมองหาคนในบ้านผ่านหน้าต่างไม่หยุด ละอองฝนซ่อนตัวอยู่หลังผ้าม่านอย่างสับสน เธอดึงสายโทรศัพท์ออก ปิดโทรศัพท์ของอนุชิต เมินเฉยต่อเสียงออดหน้าบ้าน ปิดกั้นทุกอย่างจากโลกภายนอก อนุชิตหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน อาจจะกำลังใส่หูฟัง ถ้าเธอไม่เรียก เขาคงไม่รู้...

    เวลานั้นหัวใจของเธอคงถูกสีดำมืดกลืนกินไปทั้งดวงกระมัง

    อากาศเย็นลงจนอุณหภูมิแทบจะติดลบ หยาดฝนโปรยปรายจนกระทั่งตกหนักเป็นพายุ ละอองฝนนั่งกอดตัวเองอย่างเหน็บหนาว ราวกับอากาศภายนอกจะแทรกซึมเข้ามาแทงทะลุจิตใจของเธอไปด้วย ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเห็นว่าไฟในบ้านเปิดอยู่ หล่อนจึงยังไม่ยอมไป ไม่ว่าอย่างไรหล่อนก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ยอมเปียกฝนเพื่อเจออนุชิตให้ได้...

    ละอองฝนนึกถึงวันที่เธอรออนุชิตอยู่นอกบ้าน ผู้หญิงคนนั้นคงทรมานเหมือนกับเธอในเวลานั้น ความคล้ายคลึงทั้งหน้าตาและนิสัยทำให้เด็กสาวแทบคลั่ง ละอองฝนพึมพำซ้ำๆ เหมือนคนบ้า

    “ไปให้พ้นนะ กลับไป อย่ามาที่นี่อีก คุณทิ้งอนุชิตไปแล้ว อย่ามายุ่งกับเขาอีกเลย...”



    อ่านตอนนี้ต่อในรูปเล่มเต็ม ที่นี่



     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×