ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] ✰ หัวไม้ ' {chanbaek}

    ลำดับตอนที่ #28 : หัวไม้ : 23 {100%}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.31K
      4
      22 ก.ย. 58







    แบคฮยอนเพิ่งโทรกลับมาตอนเช้าว่าเห็นขนมเค้กในตู้เย็นแล้ว เขาโดนโวยวายนิดหน่อยที่ไม่ยอมบอกว่าจะเข้าไปหา มันเป็นการคุยกันครั้งแรกของคนทั้งคู่

     

    ชานยอลไม่แน่ใจว่าอาการแบบนี้มันเรียกว่าอะไร สิ่งที่ติดตาอย่างเดียวตอนนี้คือเปลือกถุงยางที่อยู่ในถังขยะ เขารับได้ถ้าคนตัวเล็กจะมีแฟน แต่คงรับไม่ได้ถ้าจะต้องรับรู้ว่ามีใครคนอื่นแตะต้องร่างกายแบคฮยอนอย่างนั้น

     

    อ่าเจ็บหัวใจชะมัดเลยแฮะ

     

     

    ChanHyun
    18:34 P.M.   แบคฮยอน

     

    BaekYeol
    18:40 P.M.   ว่าไง

     

    ChanHyun

    18:40 P.M.   วันหยุดนี้ไปไหนหรือเปล่า

     

    BaekYeol

    18:41 P.M.   ไม่อ่ะ ว่าง
    18:41 P.M.   ทำไม

     

    ChanHyun

    18:42 P.M.   มาหาที่บ้านหน่อยดิ

     

    BaekYeol

    18:42 P.M.   คิดถึงอ่ะเด้

     

    ChanHyun

    18:43 P.M.   อืม

     

    BaekYeol

    18:43 P.M.   เออๆ เรียนเสร็จแล้วจะรีบกลับไป
    18:44 P.M.   ทำอะไรให้กินด้วยนะ

     

    ChanHyun

    18:45 P.M.   ได้

     

     

              มันมีบางวินาทีที่เกือบจะเดินข้ามเส้นกั้นบางๆระหว่างความกล้ากับความกลัวไปได้ ซึ่งชานยอลยืนอยู่ฝั่งความกลัว

     

              เขายอมอยู่ที่เดิมเพราะคิดว่าอย่างน้อยคนที่เลือกออกไปคงจะเจ็บน้อยกว่า เขาปกป้องแบคฮยอนจากทุกทิศทาง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าบ้านที่ปราศจากแบคฮยอนมันโหดร้ายแค่ไหน เพราะคนที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่อยู่ ไม่ใช่คนที่จากไป

     

              ...แต่ชานยอลเลือกที่จะอยู่ เพราะไม่กล้าพอที่จะมอบความเจ็บปวดนั้นให้แบคฮยอน

     

              แม้แต่ตอนนี้เขายังกลัวแบคฮยอนจะรู้ว่าทุกอย่างมันเลวร้าย มันไม่ได้สวยงามอย่างที่เขาอยากให้มันเป็น

     

     








     

    เลิกเรียนปุ๊บแบคฮยอนรีบกลับหอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าห้างปั๊บ กะว่าจะหาซื้อเสื้อสวยๆไปฝากชานยอลสักหน่อย เขาเองไม่ได้เจอหน้าชานยอลมาสักพักแล้ว วันก่อนแวะมาก็เห็นแต่เค้ก ไม่รู้ด้วยว่าอ้วนขึ้นหรือผอมลง

     

    แต่คนอย่างชานยอลไม่ปล่อยให้ตัวเองผอมแห้งหรืออ้วนฉุหรอก


     

    คนตัวเล็กแหวกเสื้อบนราวแขวนไปเรื่อยๆก็มีผู้ชายร่างถึกสองคนเดินเข้ามายืนข้างๆเขาจึงเขยิบให้ แต่ไม่วายยังโดนเบียดจนเขาต้องเปลี่ยนไปดูเสื้อร้านอื่น

     

    "ตัวเล็ก"

     

    "..." แบคฮยอนไม่ได้เกลียดคำว่าตัวเล็ก มันเป็นคำที่น่ารักซะด้วยซ้ำ แต่เวลาโดนคนไม่รู้จักเรียกมันก็จั๊กจี้แปลกๆอยู่เหมือนกัน

     

    "ไม่สนด้วยแฮะ"

     

    "..."

     

    "หน่วยก้านดูไม่น่าจะอวดเก่งได้นะ"

     

    "..." การยั่วโมโหให้แบคฮยอนโกรธดูไม่น่าจะเป็นผลสำเร็จ อีกคนที่คอยยืนดักอยู่เข้ามาประชิดด้านหลังจนถอดหนีไปไหนไม่ได้

     

    "แต่ถ้าอวดอย่างอื่นน่าจะพอไหว"

     

    "..." คงเป็นเพราะความซวยที่เสื้อผ้าราคาถูกมันดันอยู่ในมุมที่ไม่มีคนพลุกพล่านจึงไม่มีใครสังเกตว่ามีคนกำลังโดนหาเรื่อง

     

    "ไม่พูดเลยอ่ะ ไม่ได้พกปากมาหรอ"

     

    "..." แบคฮยอนเป็นคนชอบกวนตีน เพราะเวลาหาเรื่องโรงเรียนตรงข้ามพวกเขาก็มักจะพูดอะไรทำนองนี้ และรู้ด้วยว่าการกวนตีนของสองคนนี้ยังไม่สิ้นสุด

     

    "หรือพ่อไม่ได้ให้ปากมาตั้งแต่ตอนเป็นอสุจิ"

     

    "..." เขาวางมือจากการต่อยตีมานานมากแล้ว ไม่อยากกลับไปยืนตรงจุดนั้นอีกเพราะมันจะต้องทำให้หลายคนเสียใจ

     

    และแบคฮยอนทำให้คนอื่นเสียใจมามากพอแล้ว

     

    "แม่ก็ไม่ได้ให้ปากมาตั้งแต่ตอนคลอดด้วยสินะ"

     

    "..."

     

    "หรือไม่พ่อกับแม่ก็..."

     
     

    ผลั้ว!!!!!!!


     

    แต่การพูดถึงบุพการีแบบนี้เป็นสิ่งที่สามารถกระตุกต่อมใครหลายคนได้ดีที่สุด รวมถึงแบคฮยอน


     

    หมัดลุ่นๆซัดเข้าแก้มซ้ายของไอ้บึกจนมันเงียบ เด็กแสบเตรียมใจด้วยการนับถอยหลังกับตัวเองพร้อมรับความเจ็บปวดกลับคืน แบคฮยอนไม่ได้ยินเสียงร้องโอดโอยหรือแม้แต่การสวนคืนของกำปั้นจากคนตรงหน้า มันทำแค่การหันหน้ากลับองศาเดิมช้าๆ เช็ดเลือดสีข้นออกจากมุมปาก

     

    "เจ็บจัง"

     

    เสียงเย็นเยือกจนขนอ่อนตรงแนวสันหลังชูชัน มือกร้านแหวกสาปเสื้อคลุมโชว์ตราสถาบันบนหน้าอก แบคฮยอนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อกของตัวเอง

     

    ให้ตาย...อุตส่าห์เก็บนิสัยเดิมไว้ในถังขยะแล้วยังจะกู้คืนขึ้นมาอีกทำไมวะ ซวยแล้ว



     

    คนตัวเล็กโดนหิ้วปีกลากออกไปขึ้นรถตู้สีดำเก่าๆหลังห้าง คลุมหัวด้วยกระสอบทรายแล้วหลังจากนั้นความเจ็บแรกก็กระแทกเข้าใบหน้า

     

    คนฉลาดมักสร้างสถานการณ์ให้คนอื่นเป็นคนผิด เพราะที่ไปซัดเขาน่ะ...แบคฮยอนเริ่มก่อนเต็มๆ

     

    พวกนี้เป็นนักเลงจากมหาลัยใกล้ๆนี่เอง คนแถวนี้รู้จักกันในนามว่า 'มหาลัยสอนโจร'

     

    วันๆนอกจากจะมีเรื่องชกต่อยกับมหาลัยคู่อริไปทั่วก็ไม่ทำอะไรอีกแล้ว พกอาวุธไปเรียนมากกว่าพกหนังสือแถมยังได้วิชาที่มหาลัยอื่นไม่เคยสอน เส้นใหญ่เทียบเท่าผู้กำกับการสถานีตำรวจในโซล เพราะไม่ว่าจะก่อเรื่องสักกี่ครั้งก็ไม่เคยมีใครทำอะไรได้แถมยังสั่งปิดไม่ได้อีกด้วย

     

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วปาก ไม่ต่ำกว่าสามตีนที่เหยียบย่ำอยู่บนลำตัวเขาตอนนี้ แบคฮยอนตัวงอเป็นกุ้งแถมยังจุกจนร้องไม่ออก

     

    คิดว่าเจ็บมากเหมือนกำลังจะตาย

     

    แต่เขาก็แค่สลบ...และฟื้นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดมากกว่าเดิมหลายเท่า


     

    "ไง ไอ้หนู" ใครคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายๆ ล้อมรอบไปด้วยบริวารน้อยใหญ่ ไม่มากนักแต่ก็ไม่น้อยเลย

     

    ในมือของเขาไม่มีดอกไม้ มีแต่ปืนสวมปลอกเก็บเสียง


     

    "หน้าตาน่ารักดีนี่นา เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า"

     

    แบคฮยอนส่ายหน้า ...เราไม่เคยรู้จักกัน

     

    ร่างเล็กนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นฝุ่นหายใจติดขัด ไม่รู้เป็นเพราะโดนอัดหรือในโกดังมีอากาศถ่ายเทไม่เพียงพอกันแน่ ดวงตาพร่ามัวเพราะหยดเลือดไหลซึม สติยังกลับมาไม่ครบ

     

    อีกครั้งแล้วที่ทำให้เขาต้องนึกถึงชานยอล...



     

    คนพวกนี้เป็นใครไม่รู้ แบคฮยอนไม่ใช่เจ้าของถิ่นแถมเพิ่งย้ายมาอยู่ รู้แค่เพียงว่าหลายคนที่กลายเป็นศพถ้าเรื่องมันเกิดเพราะนักเรียนในสถาบันนี้ ข่าวจะถูกปิด

     

    "จบมาจากโรงเรียนอะไร"

     

    "ช่างกลชอ"

     

    "ว้าว ชื่อคุ้นๆแฮะ ที่ปูซานใช่ไหม"

     

    "ครับ"

     

    "แล้วรู้ใช่ไหมว่าพวกฉันเป็นใคร"

     

    "..." แบคฮยอนพยักหน้า

     

    กลัวจับใจ กลัวยิ่งกว่าตอนโดนพวกของคริสจับตัวไปครั้งแรกซะอีก กลัวว่าจะไม่ได้กลับบ้านไปหาชานยอลด้วย ...กลัวจริงๆ

     

    "ปีที่แล้วลูกน้องฉันยิงเด็กในโรงเรียนชอไปคนนึง น่าจะตายด้วยนะ"

     

    ภาพวันฝนตกลอยมา วันที่เขาวิ่งฝ่าสายฝนไปหารุ่นน้องปีสองที่นอนจมกองเลือดในห้องเรียน เสียงหวีดร้องจากห้วงหายใจเฮือกสุดท้ายดังบาดแก้วหู

     

    ไอ้เด็กนั่นไม่ได้ตายเพราะพวกเจ๊กอันนี้แบคฮยอนรู้แล้ว แต่เพิ่งรู้วันนี้นี่แหละว่าคนใจร้ายตัวจริงคือใคร

     

    "แล้วนี่กำลังจะไปไหนหรอ"

     

    "กลับบ้านไปหาพี่ครับ"

     

    "อ๋า~ แย่เลย"

     

    "..." เป็นนักเลงที่เยือกเย็นและใจหินที่สุดเท่าที่แบคฮยอนเคยเจอมา ไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวหรือพูดกระโชกโฮกฮากเหมือนวัยรุ่นใจร้อนทั่วไป

     

    หรือทุกอย่างอาจจะเกิดขึ้นจากความเคยชิน

     

    "แบบนี้พี่ก็รอเก้อเลยสิ" ปลายกระบอกปืนจ่อกลางหน้าผากแบบพอดีองศาไม่ขาดไม่เกิน

     

    แบคฮยอนหลับตาปี๋ หน้าป๊าหน้าม๊าหน้ายายหน้าชานยอลกน้าเพื่อนทุกคนที่พอจะจำได้ลอยเข้ามาในห้วงความคิด

     

    เขาเห็นตัวเองนอนจมกองเลือด มีลูกกระสุนเจาะทะลุสมองจนเป็นรูโบ๋

     

    ไม่นะ...มันต้องไม่จบแบบนี้สิ

     

    ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณใครเลยนะ

     

    "..."

     

    "โอ๋~ ไอ้หนู ไม่ต้องกลัวๆ เห็นว่าหน้าตาน่าเอ็นดูหรอกนะ"

     

    "..."

     

    "วันนี้ฉันจะเก็บปืนไว้ก่อนก็ได้"

     

    "..." ขอบคุณพระเจ้า!

     

    "มีโอกาสแล้วอย่าลืมกลับไปบอกรักพ่อแม่ครอบครัวด้วยล่ะ ต้องเป็นเด็กดีด้วยนะ"

     

    "ครับ"

     

    "แต่ก่อนจะพาไปส่ง...เด็กๆพวกนี้มันชอบความรุนแรงนี่สิ ใช้ไม่ได้เลยเนอะ"

     

    "..."

     

               "ลุกขึ้นสู้ซิ"

     

               "..." แบคฮยอนดันตัวเองอย่างทุลักทุเล เขาล้มลงเหมือนเดิมเพราะร่างกายไม่ไหว แต่มีบางอย่างดลใจให้เขาลุกขึ้นอีกครั้ง

     

    "ขอนิดนึงแล้วกัน"

     

    "..." แต่แบคฮยอนก็สู้คนพวกนี้ไม่ไหว หมัดที่สวนมาทำให้เขาลงไปนอนบนพื้นเช่นตอนแรก

     

    ยอมเจ็บดีกว่ายอมตายล่ะนะ

     
     

    ความมืดเข้าปกคลุมอีกครั้ง แบคฮยอนกลับไปอยู่ในกระสอบ แล้วตามมาด้วยความเจ็บปวดที่มาจากทั้งส้นเท้า ทั้งปลายเท้าของคนจำนวนห้าคน ทำเอาระบมไปทั้งร่างกาย

     

    เขาถูกหิ้วขึ้นรถตู้คันเดิมหลังจากพวกนั้นได้ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายจนสาสม

     

    " 'ชานฮยอน' โทรมา พี่ชายหรือเปล่า?"

     

    "ครับ" เสียงหวานตอบสั่นเครือ

     

    "รับสายนะ พี่ชายคงเป็นห่วงแย่แล้ว" ร่างเล็กพยักหน้า

     

    หนึ่งในนั้นกดรับสายแล้วเปิดลำโพง "ฮัลโหล" เขาพยายามทำเสียงให้ปกติที่สุดแม้จะอยากร้องไห้มากแค่ไหน

     

    [แบคฮยอน อยู่ไหนแล้ว?]

     

    "บนรถ"

     

    [ไหนบอกขึ้นรถแล้วจะโทรมาไง]

     

    "กำลังจะโทรพอดีเลย"

     

    [เออๆ ทำมื้อเย็นไว้ให้แล้วนะ]

     

    "ขอบใจ แค่นี้แหละ ขอนอนแปป"

     

    [ดูแลตัวเองด้วย]

     

    "อืม"

     

    เด็กน้อยโดนลูบหัวแล้วปล่อยให้หลับไปตลอดทาง เมื่อเข้าเขตปูซานก็โดนปลุกให้ตื่น รถตู้ขับเคลื่อนมาถึงหน้าบ้านหลังคุ้นตา พวกมันต่อสายหาชานยอลอีกครั้งเพื่อให้แบคฮยอนบอกให้ร่างสูงเดินออกมารับ

     
     

    สีหน้าชานยอลดูประหลาดใจเมื่อเห็นคนแปลกหน้าผ่านหน้าต่างรถ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ทำให้ยิ่งเห็นแบคฮยอนชัดขึ้น ใบหน้าฟกช้ำจนไม่มีที่เหลือให้วางนิ้วสัมผัส เหมือนกล่องดวงใจเขาถูกบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

    ...กี่ครั้งแล้วที่ชานยอลปล่อยให้แบคฮยอนถูกทำร้าย



     

    "พกอะไรมาด้วยน่ะ เปิดเสื้อขึ้นซิสุดหล่อ"

     

    "..." ชานยอลถอนหายใจแล้วทำตามคำสั่ง เขาหยิบปืนปากกาจากเอวยื่นให้คนที่โผล่หน้ามาคุยด้วย

     

    เป็นครั้งแรกที่ชานยอลยอมแพ้เพราะกลัวว่าเด็กน้อยของเขาจะได้รับอันตรายไปมากกว่านี้

     

    "ปิ้ว~" มันเล็งปลายกระบอกปืนเข้าขมับตัวเองแล้วทำท่าล้อเลียน "ตายเลย"

     

    แบคฮยอนลงมาจากรถหลังจากเสียงเลื่อนประตูดังขึ้น ชานยอลรับร่างเล็กเข้าสู่อ้อมกอดทันทีเพราะเหมือนแบคฮยอนจะยืนด้วยตัวเองไม่ไหว และก่อนพวกมันจะออกรถไปปืนปากกาก็ถูกเหน็บไว้กับเอวเขาอีกครั้ง

     

    "แล้วเจอกันนะ บ๊ายบาย~" รถตู้เลี้ยวกลับออกไปจากหมู่บ้านช้าๆ

     

    ชานยอลพยุงแบคฮยอนไปนั่งบนโซฟา มือเล็กกำชายเสื้อเขาแน่นไม่ยอมปล่อยแถมยังซบใบหน้าเข้ากับหน้าอกไม่ยอมเงยขึ้นมาพูดอะไรเลยสักนิด

     

    ไม่กี่ครั้งที่ความเงียบทำให้เกิดความอึดอัดระหว่างคนทั้งคู่ และครั้งนี้ก็รวมอยู่ในไม่กี่ครั้งนั้นเช่นกัน

     

    "เห้อ~ ทำไงดีล่ะเนี่ย เจ็บขนาดนี้จะกินข้าวไหวไหมน้า" ร่างสูงโยกคนในอ้อมแขนซ้ายทีขวาที ดันให้ร่างเล็กพิงพนักโซฟาแล้วพินิจดวงหน้าหวานชัดๆ


     

    เขาคิดถึงแบคฮยอนแทบแย่ คิดถึงจนเกิดภาพหลอน กินไม่ได้นอนไม่หลับ พอได้เห็นใกล้ๆกลับต้องมีพลาสเตอร์มาบดบังซะอีก น่าเสียดายจริงเชียว

     

    แต่แปลกที่ครั้งนี้แบคฮยอนไม่งอแงเหมือนที่ผ่านมา แค่นั่งนิ่งๆปล่อยให้คนสูงกว่าทำแผลไปช้าๆ ไม่โอดโอยหรือเหวี่ยงเวลาสำลีชุบยาสีแดงแตะแต้มลงบนแผล ดวงตาเรียวแดงก่ำ และชานยอลเองก็ไม่ดุเขาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน

     

    "รู้สึกผิดจัง" พ่อครัวคนเก่งนั่งจ้องคนตัวเล็กหยอดอาหาร เขาต้องทำข้าวต้มให้คนเจ็บเพิ่ม เพราะถ้าขืนปล่อยให้กินข้าวสวยคงลำบากแย่

     

    "เรื่องอะไร?"

     

    "ถ้ากูไม่ตามให้มึงกลับบ้านคงไม่โดนอย่างนี้แน่ๆ"

     

    "นั่นสิ" แบคฮยอนส่งเสียงหัวเราะแต่พยายามเกร็งให้หน้านิ่งที่สุด ยิ่งขยับมุมปากมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น

     

    "ต้องขอโทษอีกแล้ว"

     

    "..."

     

    "กลัวมากไหม"

     

    "..."

     

    "วันหลังจะไม่ทำแบบนี้อีก..."

     

    "..."

     

    "วันหลังจะไม่ให้ไปไหนมาไหนคนเดียวอีกแล้ว"

     

    "..."

     

    "ขอโทษนะแบคฮยอน"

     

    "กูว่าอะไรมึงสักคำแล้วหรอ"

     

    "ไม่ต้องรอให้มึงว่า กูก็ผิดอยู่ดีอ่ะ"

     

    "ก็แล้วแต่" ร่างเล็กยักไหล่ พูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ชานยอลชอบโทษตัวเองเป็นปกติอยู่แล้ว พูดให้น้ำลายแห้งก็ไม่สามารถลบความรู้สึกผิดออกไปได้

     

     



     

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแบคฮยอนคิดถึงบ้านหลังเล็กนี้มากขนาดไหน เขาผูกพันกับที่นี่มาตั้งแต่เกิด ไม่ใช่แค่สถานที่แต่ยังรวมถึงคนตรงหน้านี้ด้วย ที่ไหนที่ไม่มีชานยอลมันดูน่ากลัวไปซะหมดเลย ตั้งแต่ก้าวเท้าออกไปแบคฮยอนก็รู้ว่าโลกใบนี้มันช่างกว้าง มันกว้างจังเลย ...กว้างเกินกว่าที่จะอยู่คนเดียวได้

     

    "สบายดีใช่ไหม?" มันคือความห่างเหินที่เกิดขึ้นในรูปแบบของประโยคคำถาม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกมากขนาดนี้เลย

     

    "อื้ม" โซฟาตัวเดิมเคยเป็นยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น จะเปลี่ยนก็แต่อายุที่มากขึ้น และคุณภาพเสื่อมลงตามกาลเวลา

     

    "เราไม่ได้คุยกันนานมากเลยหรอวะ"

     

    "..."

     

    "กูคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นแล้วซะอีก" ...แต่มันก็แค่เหมือนจะเท่านั้น

     

    "มันดีขึ้นนะชานยอล กูเกรงใจมึงมากขึ้น"

     

    "เพราะกูไม่ใช่คนในครอบครัวมึงอีกแล้วงั้นดิ"

     

    "กูไม่ได้คิดว่ามึงเป็นคนอื่นเลยนะ มึงยังเป็นพี่ชายกูเหมือนเดิม แต่กูแค่สับสน กูรู้ทุกอย่างเป็นคนสุดท้าย มึงไม่ให้เวลากูทำใจบ้างเลยหรอ"

     

    "มึงทำใจโดยการไม่รับสาย ไม่ตอบไลน์ ทั้งๆที่เช้าวันนั้นมึงเพิ่งปลอบใจกูเนี่ยนะ"

     

    "..." ชานยอลไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความคิดแบคฮยอน

     

    "มึงหายเงียบไปทั้งๆที่เพิ่งให้กูนอนหนุนตักแล้วบอกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แล้วก็เพิ่งติดต่อกลับมาหลังจากที่กูแทบเป็นบ้าเนี่ยนะ"

     

    "..."

     

    "ตั้งแต่ตอนไหนวะที่กูกลายเป็นคนไม่สำคัญกับมึงอีกแล้ว"

     

    "..." มันแย่แค่ไหนกับการโดนลดความสำคัญจากคนๆหนึ่งเหลือเพียงแค่ฝุ่นผง เป็นเพียงเศษบางเบาที่ต่อให้ลอยเข้าตาก็โดนขยี้ออก

     

    "มึงเห็นเค้กในตู้เย็นแล้วรู้สึกยังไง รู้สึกอยากเจอกูเหมือนที่กูอยากเจอมึงบ้างไหม รู้สึกเสียดายที่กลับห้องไปไม่ทันกูบ้างไหม"

     

    "..."

     

    "หรือไม่ได้รู้สึกอะไรเลย"

     

    "..." เขาไม่ได้อยากตอกย้ำแบคฮยอน แต่สิ่งที่เขาต้องเผชิญมันโหดร้ายจริงๆ

     

    "ถ้าไม่บอกให้มาหามึงคิดจะกลับมาหากูไหม"

     

    "..." ชานยอลแอบคิดว่ามันดีขึ้น บางครั้งที่ถามคำตอบคำก็คิดว่าทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมแล้ว ทั้งๆที่เขาเองยังไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่ทำให้แบคฮยอนเปลี่ยนไปจนความสัมพันธ์มันถูกตัดทอน

     

    "มึงคิดว่ากูมีใครนอกจากมึงอีกหรอแบคฮยอน"

     

    "..."

     

    "กูพยายามคิดว่ามันจะดีขึ้นเหมือนที่มึงบอก แต่มึงกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลง"

     

    "..." เขาไม่ต้องการให้แบคฮยอนพูดขอโทษ เพราะตอนนี้ความรู้สึกเขาแหลกสลายไปหมดแล้ว มันกู้อะไรคืนมาไม่ทันอีกแล้ว

     

    "มึงเห็นกระดาษสีเหลืองบนผนังบ้านไหม" จากพื้นสีขาวนวลกลายเป็นสีเหลืองตามสีของโพสอิท มันเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ชานยอลเองก็ไม่แน่ใจ แต่เพราะทุกครั้งที่เขาเริ่มมองหาแบคฮยอนเขาก็จะเขียนใส่กระดาษแล้วติดมันไว้

     

    "..."

     

    "กูเขียนแปะไว้ทุกวันว่ามึงไม่ได้อยู่ที่นี่ มึงไปเรียนหนังสือ มึงจะกลับบ้านวันที่มึงว่าง"

     

    "..."

     

    "...มึงจะกลับบ้านมาหากูวันที่มึงคิดถึงกู"

     

    "..."

     

    "แล้วไหนล่ะ?"

     

    "..." …แบคฮยอน

     

    "มึงอยู่ไหน?"

     

    "..." ใบหน้าหล่อเต็มไปด้วยหยดน้ำตา เขาไม่ได้ร้องไห้หนักขนาดนี้มานานแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ได้ฟูมฟายต่อหน้าแบคฮยอนเหมือนตอนนี้ล่ะนะ

     

    "มึงบอกว่าขอเวลาทำใจ แล้วกูไม่ต้องทำใจหรอ"

     

    "..."

     

    "ไม่ใช่กูหรอที่ต้องเสียใจกับเรื่องนี้มากที่สุด"

     

    "..."

     

    "หืม?"

     

    "..."

     

    "ใจร้ายว่ะแบคฮยอน ฮึก มึงใจร้ายมากเลยรู้ตัวหรือเปล่า"

     

    "..."

     

    ชานยอลช้อนมือเล็กขึ้นมาซบ มันยังหอมและนุ่มเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ... เขาเห็นสร้อยข้อมือที่เคยขู่ให้แบคฮยอนอย่าแตะต้องมันอีก ตอนนี้มันกลับมาอยู่ที่เดิมแล้ว แถมยังไม่มีแหวนเกลี้ยงสีเงินที่แบคฮยอนใส่ติดตัวไว้ตลอดบนนิ้วกลางข้างขวาอีกด้วย

     

    ...ไม่มี

     

     

    เขาคงคิดผิดจริงๆนั่นแหละที่อยากให้แบคฮยอนกลับมาหา เพราะเมื่อได้เจอก็ยิ่งรู้ว่าความสัมพันธ์ของเราไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งกันไว้แล้วจริงๆ มีแค่เชือกเส้นเล็กคล้องกันไว้หลวมๆพร้อมจะถอดออกตลอดเวลา

     

    ชานยอลมองข้ามเรื่องที่แบคฮยอนขาดการติดต่อเพราะระหว่างนั้นเขาก็ได้เห็นกับตาว่าแบคฮยอนสบายดี

     

    ชานยอลไม่ปล่อยให้แบคฮยอนหายไปจากชีวิตนานหรอก

     

     

    "กับจองชินน่ะ คบกันแล้วหรอ"

     

    "..." บางทีคำถามนี้อาจจะไม่ต้องการคำตอบก็ได้ แต่ความเงียบมักทำให้มนุษย์เจ็บปวดเสมอ

     

    ชานยอลไม่เคยรู้สึกดีกับคำถามที่ตอบกลับมาด้วยความเงียบเลย เพราะเวลาเขาเข้าใจอะไรด้วยตัวเองทีไร เรื่องนั้นมักจะทำร้ายจนเจ็บเจียนตายตลอด

     

    ไม่ชอบเลย...ชานยอลไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย

     

    สองมือใหญ่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ใครก็ได้กรีดหน้าอกแล้วลูบหัวใจให้เขาที ตอนนี้มันต้องการคนปลอบมากที่สุด

     

    แต่ก็นั่นแหละ...เขาจะต้องการให้ใครคลายความเจ็บนั้นมากเท่าคนที่ทำให้เขาเจ็บได้อีก

     

    "รู้ใช่ไหมว่ากูรักมึง"

     

    "..."

     

    "ตอบหน่อยเถอะ"

     

    "อืม"

     

    ชานยอลรู้แล้วว่าทุกอย่างมันดูเปลี่ยนไปหมดแบบนี้เพราะอะไร

     

    เพราะชานยอลยืนอยู่กับที่ในขณะที่แบคฮยอนเดินห่างออกไปไกลแสนไกล

     

    เพราะชานยอลไม่ยอมเอื้อมมือคว้าไว้ตั้งแต่แบคฮยอนยังไม่ออกเดิน ...เพราะชานยอลไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง

     

    "กูเคยพูดว่าจะรักมึงตลอดไป จำได้ไหม"

     

    "..."

     

    "ตอนนี้มันยังเหมือนเดิมนะแบคฮยอน"

     

    "โลกนี้ไม่มีคำว่าตลอดไปหรอก"

     

    "หรอ..."

     

    "..." หรือจริงๆแล้วเป็นเพราะแบคฮยอนคอยผลักชานยอลออกไปให้ไกลที่สุด

     

    "กูนี่แหละแบคฮยอน กูนี่แหละที่จะรักมึงตลอดไป จำไว้"

     

    ...ไกลเกินกว่าจะเดินย้อนกลับมายืนยังพื้นที่ว่างข้างๆกันได้อีก










     

     

    ไม่มีเช้าวันใดที่พระอาทิตย์ไม่ออกทางทิศตะวันออกและไม่ตกทางทิศตะวันตก ...วันนี้ก็เช่นกัน

     

     

    แบคฮยอนยืนรอให้คนตัวสูงหากุญแจรถจนเริ่มเมื่อยเท้า ชานยอลแค่บอกว่าจะไปส่ง และทั้งสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากกว่านั้น

     

    "เจอแล้ว ไปกันเถอะ"

     

    ถ้าบังคับให้เข็มนาฬิกาเดินช้ากว่านี้ได้ก็คงจะดีเนอะ

     

    แบคฮยอนยังไม่อยากออกจากบ้านเลย ไม่อยากกลับไปอยู่หอคนเดียว จะบอกว่าเป็นเพราะชานยอลก็ได้ ลึกๆแล้วเขาเป็นห่วงความรู้สึกชานยอลมากที่สุด ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกไปเพราะกลัวส่งผลกระทบต่อจิตใจของอีกคน

     

    ชานยอลกำลังเปราะบาง แค่ออกแรงจิ้มเบาๆก็แตกแล้ว

     

    และแบคฮยอนก็ไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น เขาจึงเลือกที่จะเงียบกับทุกคำถาม

     

    เมื่อคืนเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลยก็ว่าได้ ทั้งสีหน้า การตัดพ้อ รวมถึงเสียงสะอื้นคล้ายโน้ตต่ำของเปียโนตัวแรก มันดังซ้ำๆเหมือนคอยกดให้จมอยู่ใต้ผิวน้ำ

     

    แบคฮยอนอยากจะทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นอย่างที่ตั้งใจ แต่เหมือนยิ่งทำมันก็ยิ่งแย่ลง จริงๆเขาพยายามอธิบายชานยอลทุกอย่างแล้ว แต่ชานยอลกลับไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง เขาใช้เวลาทั้งคืนเพื่อบอกเหตุผลว่าทำไมถึงหายเงียบไป และแอบหวังว่าเช้าขึ้นมาชานยอลจะเข้ามาคุยกับเขาเหมือนเดิม

     

    ร่างเล็กถอนหายใจยาวเมื่อในที่สุดรถมอเตอร์ไซด์คันเก่งก็เลี้ยวจอดเทียบหน้าทางเข้าหอพักสูงแปดชั้น ไม่อยากให้ชานยอลกลับเลย ...ทำไงดี

     

    "ชานยอล!" คนตัวเล็กใจหายวาบเผลอตะโกนเรียกอีกคนเสียงดัง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชานยอลจะขับรถไปจากเขาทั้งที่ไม่มีคำบอกลาหลุดออกมาสักคำอย่างนี้

     

    แผ่นหลังกว้างอยู่ห่างออกไปประมาณสองช่วงตึก ทั้งที่มันไม่ได้ไกลมากแต่แบคฮยอนกลับรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน

     

    คนตัวสูงดับเครื่องยนต์หลังจากมีเด็กแสบวิ่งมาตัดหน้ารถ "วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ!" เขาขึ้นเสียงดุอย่างอดไม่ได้

     

    "ลงมาคุยกันก่อนได้ไหม?"

     

    "บอกก่อนว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก"

     

    "จะไม่ทำอีกแล้ว"

     

    "ถ้าเบรคไม่ทันขึ้นมาจะทำยังไง"

     

    "ขอโทษ"

     

    เด็กหนุ่มถอดหมวกกันน็อกมากอดด้วยแขนข้างเดียว วางอีกข้างไว้บนศีรษะกลม เม้มปากเข้าหากันแน่นจนเป็นสีขาว และเหมือนน้ำตามันจะไหลออกมาอีกแล้ว ชานยอลไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยอมใจอ่อนเดินตามร่างเล็กเข้าตึกด้วย ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะรีบขับรถกลับบ้านไปนอนให้เต็มอิ่มชดเชยเมื่อคืน

     

    "พี่ไม่ได้ยินเสียงความคิดผมแล้วหรอ"

     

    "ใช่ ไม่ได้ยินมาสักพักละ..." ถึงว่า เมื่อคืนนอนพูดในใจไปไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมาเลย "ทำไม"

     

    "ไม่มีอะไร" แบคฮยอนนั่งสั่นขาอยู่บนเก้าอี้ ยกมือขึ้นมากัดเล็บเหมือนคนวิกลจริต

     

    "งั้นไปก่อนนะ ดูแลตัวเองดีดี"

     

    "เดี๋ยว! ชานยอล!!" ร่างสูงหน้าแทบคะมำเมื่อจู่ๆแบคฮยอนก็ถลามาสวมกอดจากด้านหลัง "ขอโทษ"

     

    "..."

     

    "ขอโทษที่หายไปโดยไม่คิดถึงความรู้สึกพี่เลย วันนั้นผมกลับมานอนร้องไห้ทั้งวัน ผมไม่รู้ว่าจะต้องคุยกับพี่ยังไง ต้องแทนตัวเองว่าอะไร"

     

    "..."

     

    "ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆนะ มันสับสนไปหมด ผม..." เสียงเด็กน้อยขาดห้วงฝังไปกับแผ่นหลัง

     

    "..." ชานยอลหมุนตัวกลับมามองหน้าคนตัวเล็ก เกลี่ยนิ้วโป้งเช็ดน้ำใสที่ไหลซึมแก้มเนียน ...อ้อนทีไรเป็นต้องน่าเอ็นดูแบบนี้ทุกทีเลยสินะ

     

    "แต่มันจะต้องดีขึ้น ผมสัญญา"

     

    พอแล้ว...แค่นี้ชานยอลก็ใจอ่อนยวบไปหมดแล้ว

     

    ทั้งสองคนยืนเกี่ยวก้อยกันเหมือนเด็กๆไม่แคร์สายตาคนเดินผ่านไปผ่านมา เขาไม่ต้องกังวลอะไรอีกเพราะแค่คนตรงหน้าเข้าใจก็ไม่เหลืออะไรให้ต้องกลัวอีกต่อไป

     

    "มีนัดกับพี่รหัสไม่ใช่หรอ รีบไปเหอะ"

     

    "เข้าใจผมแล้วใช่ไหม"

     

    "อือ ไม่ต้องคิดมากแล้ว พี่ไม่เคยโกรธเราได้นานหรอก"

     

    "อื้อ"

     

    "เรากลับมาแทนตัวเองกันเหมือนเดิมนะ" แบคฮยอนปาดน้ำตาแล้วสวมกอดคนตัวสูงอีกครั้ง

     

    ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เรื่องมันกลับมาดีอย่างนี้ ...ขอบคุณที่ชีวิตนี้ได้มีชานยอลด้วย

     

    "กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวจะค่ำซะก่อน"

     

    "แปปนึงสิ" ชานยอลนั่งยองไปผูกเชือกรองเท้าผ้าใบให้น้องชายอย่างเคยชิน

     

    "ขอบใจนะ"

     

    "รู้แหละน่าว่าชอบให้ผูกเชือกรองเท้าให้"

     

    "ก็มันทำให้ผมเห็นหัวล้านของพี่ชัดที่สุดแล้วนี่"

     

    "จะเอายังไง" ร่างสูงยืดตัวขึ้นเท้าเอวมอง

     

    "ไม่ยังไง แหะๆ ขอบคุณที่รู้ว่าชอบ"

     

    "เราชอบอะไรพี่รู้หมดแหละ" ...ขนาดเราชอบไอ้พี่รหัสหน้าหวานนั่นพี่ยังรู้เลย

     

    ชานยอลส่งยิ้มตอบกลับให้บางๆ หัวใจลอยเคว้งเหมือนปุยนุ่นโดนพายุซัด เพราะพี่ชายที่ดีจะต้องไม่ขัดขวางความรักของน้องชาย แม้จะไม่พอใจตัวเองที่ปล่อยให้คนอื่นเข้ามาทำให้แบคฮยอนยิ้มได้หรือแย่งรอยยิ้มของแบคฮยอนไป แต่การได้ยืนมองความสุขของแบคฮยอนไกลๆก็ยังดีกว่าไม่ได้เห็นเลยไม่ใช่หรอ

     

    "บ๊ายบายนะชานยอล" เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย แบคฮยอนโบกมือโหยงเหยงจนร่างสูงขับรถออกไปไกลลับตาจึงหันตัวกลับเข้าตึก วันนี้เป็นวันที่น่าจดจำวันหนึ่งเลยก็ว่าได้

     

    แบคฮยอนไม่สนใจแล้วว่าชานยอลจะเป็นพี่หรือเป็นน้อง เพราะชานยอลยังเป็นคนเดิมและแบคฮยอนเองก็ยังเป็นคนเดิม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือชานยอลยังอยู่ตรงนี้ ...อยู่ข้างๆแบคฮยอนเหมือนเดิม

     

     

     

     

    "แบคฮยอน ทางนี้" เจ้าของชื่อเดินไปหาเพื่อนผู้ชายสองคนที่โต๊ะหน้าเวที ไม่นานนักจองชินก็เดินมานั่งข้างๆพร้อมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกสองคน ตอนนี้เป็นช่วงดีเจเพราะยังไม่ถึงคิวนักดนตรีเล่นสด เขาชนแก้วเบียร์กับพี่รหัสแล้วยกขึ้นจิบพอเป็นมารยาท เพื่อนจองชินสองคนที่ว่าก็เป็นพี่รหัสของเพื่อนที่นั่งด้วยกันนี่แหละ

     

    ถือโอกาสนี้เลี้ยงสายรหัสร่วมกันไปซะเลย ประหยัดดี

     

    "แต่งตัวน่ารักเชียว"

     

    "ผมก็น่ารักปกตินะ" แบคฮยอนทัดปอยผมแล้วทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมจนทั้งโต๊ะหลุดหัวเราะ คนตัวเล็กมักสร้างความสนุกสนานให้เพื่อนเสมอ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครๆก็อยากสนิทด้วย

     

    "น่ารักทุกวันนั่นแหละ แต่วันนี้น่ารั๊กกกกกกก" คนโดนชมยิ้มจนตาหยี

     

    ครั้งนี้แบคฮยอนไม่ดื่มเยอะเพราะไม่อยากให้ตัวเองไปเป็นภาระของใครอีก และเหมือนว่าตอนนี้เพลงนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายที่นักดนตรีจะเล่นแล้ว มันใกล้ถึงเวลาปิดร้านแล้ว

     

    "สำหรับค่ำคืนพิเศษอย่างนี้พวกเราขออนุญาตมอบเวทีให้กับเพื่อนที่แสนดีของเราหน่อยนะครับ" นักร้องนำพูดเกริ่นจนลูกค้าในร้านปรบมือและโห่ร้องเสียงดังเกรียวกราว

     

    "ขอเชิญอีจองชินขึ้นมามอบบทเพลงสุดท้ายให้กับทุกๆคนด้วยครับ" แบคฮยอนตะลึงที่อยู่ๆพี่รหัสเขาก็ก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนเวที

     

    "อ่า อ่า ..." ความเป็นมืออาชีพฉายชัดขึ้นมาเมื่อมือเขาสัมผัสไมค์ "จริงๆผมเป็นคนขอเวลาห้านาทีสุดท้ายเอาไว้เองน่ะครับ ถ้าผิดพลาดประการใดอยากให้ทุกคนโทษที่ตัวผมคนเดียว อย่าโทษเพื่อนผมเลยนะ" จองชินเป็นคนอบอุ่น แม้แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ยังอบอุ่นไม่แพ้กัน

     

    "สำหรับบทเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ เรามาลากันด้วยเพลง I  want to fall in love กันเถอะครับ"



     
    (กดเล่นเองนะ...เห้อม ความกากนี้)





               เสียงดนตรีดังขึ้นตามลำดับ แบคฮยอนเผลอปรบมือเกรียวตามคนอื่น สายตาประกายจดจ้องมาที่เขาราวกับร่ายมนต์สะกดไม่ให้หลบไปไหน


     

     

    "~ผมต้องออกไปทำงานทุกวัน ในวันหยุดสุดสัปดาห์ผมก็ไปดูหนัง~"

     

    "~แวะไปที่ร้านหนังสือและซึมซับกับสิ่งที่อ่าน โลกที่ไม่คุ้นเคยมีอยู่ในหนังสือนี้ ทำให้ผมตื่นเต้น~"

     

              "~ผมเพิ่งรู้ว่าชีวิตมันดีจริงๆเมื่อออกมาข้างนอก ชีวิตผมดีมากๆนะ แต่แล้วทำไม…~"

     

     แบคฮยอนเหมือนโดนสะกดจิตให้ลุ่มหลงไปกับบทเพลงที่ไม่ได้ออกมาจากแค่ลำโพง …แต่มันออกมาจากหัวใจของคนร้องด้วย

     

    "~ผมเหงาจัง น้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา ทั้งๆที่ชีวิตข้างนอกออกจะดูสวยงาม~"

     

     แบคฮยอนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่รหัสเขาเป็นคนร้องเพลงเพราะได้ขนาดนี้ แค่รู้ว่าเล่นดนตรีเป็นก็เท่มากพอแล้ว ถ้าเขาไม่ใช่แบคฮยอนเขาคงจะตกหลุมรักจองชินไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้วล่ะ คงจะเกิดความหวั่นไหวทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดและได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีไปแล้วล่ะ

     

    "~ความเหงาได้เข้ามาครอบงำและถามผมว่า ตอนนี้คุณมีความสุขแล้วจริงๆน่ะหรอ? ~"

     

    ไม่มีข้อไหนที่จองชินสอบไม่ผ่านเลย ต่อให้ตั้งสเปคไว้สูงขนาดไหนผู้ชายคนนี้ก็สามารถผ่านคุณสมบัติเหล่านั้นไปได้ไม่ยาก จองชินเป็นบุคคลที่ทำให้คนอื่นตกหลุมรักโดยง่าย แบบแทบไม่ต้องเสียเวลาจีบด้วยซ้ำ

     

    "~ยังมีคนอีกมากมายเลยนะที่รักผม มีผู้คนเหล่านั้นแต่แล้วทำไม…~"

     

    ถ้าแบคฮยอนไม่ใช่แบคฮยอน...จองชินคงจะสมหวังไปแล้วล่ะ

     

    "~ผมอยากจะเจ็บปวดเพราะความรัก …อีกสักครั้ง~"

     

     

    แต่เสียดายที่แบคฮยอนเป็นแบคฮยอนน่ะสิ

     























    TBC.
    #หัวไม้ชานแบค


    อ่าว พลิกล็อค

    จริงๆเราหวังว่าจะได้รวมเล่มมากเลยนะ
    แต่ถ้ายอดไม่ถึงก็คงต้องพับเก็บ
    ไ ม่ เ ป็ น ไ ร
    ยังไงเราก็รักทุกคนอยู่แล้ว

    ซีนนี้ทำไมดราม่า?
    มันคือรสชาติชีวิต

    เมื่อไหร่น้องแบคจะรักพี่ชาน?
    เห้อมมมมมมม
    จริงๆคือรักแล้ว

    เมื่อไหร่จะจบ?
    จะไม่ลากให้เกิน25

    ไปด่าได้ทางไหนบ้าง?
    ทวิตเตอร์ไง
    @IYimmm
    ด่าได้




     



    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×