คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : หัวไม้ : 23 {100%}
แบคฮยอนเพิ่งโทรกลับมาตอนเช้าว่าเห็นขนมเค้กในตู้เย็นแล้ว เขาโดนโวยวายนิดหน่อยที่ไม่ยอมบอกว่าจะเข้าไปหา มันเป็นการคุยกันครั้งแรกของคนทั้งคู่
ชานยอลไม่แน่ใจว่าอาการแบบนี้มันเรียกว่าอะไร สิ่งที่ติดตาอย่างเดียวตอนนี้คือเปลือกถุงยางที่อยู่ในถังขยะ เขารับได้ถ้าคนตัวเล็กจะมีแฟน แต่คงรับไม่ได้ถ้าจะต้องรับรู้ว่ามีใครคนอื่นแตะต้องร่างกายแบคฮยอนอย่างนั้น
อ่า…เจ็บหัวใจชะมัดเลยแฮะ
ChanHyun
18:34 P.M. แบคฮยอน
BaekYeol
18:40 P.M. ว่าไง
ChanHyun
18:40 P.M. วันหยุดนี้ไปไหนหรือเปล่า
BaekYeol
18:41 P.M. ไม่อ่ะ ว่าง
18:41 P.M. ทำไม
ChanHyun
18:42 P.M. มาหาที่บ้านหน่อยดิ
BaekYeol
18:42 P.M. คิดถึงอ่ะเด้
ChanHyun
18:43 P.M. อืม
BaekYeol
18:43 P.M. เออๆ เรียนเสร็จแล้วจะรีบกลับไป
18:44 P.M. ทำอะไรให้กินด้วยนะ
ChanHyun
18:45 P.M. ได้
มันมีบางวินาทีที่เกือบจะเดินข้ามเส้นกั้นบางๆระหว่างความกล้ากับความกลัวไปได้ ซึ่งชานยอลยืนอยู่ฝั่งความกลัว
เขายอมอยู่ที่เดิมเพราะคิดว่าอย่างน้อยคนที่เลือกออกไปคงจะเจ็บน้อยกว่า เขาปกป้องแบคฮยอนจากทุกทิศทาง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าบ้านที่ปราศจากแบคฮยอนมันโหดร้ายแค่ไหน เพราะคนที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่อยู่ ไม่ใช่คนที่จากไป
...แต่ชานยอลเลือกที่จะอยู่ เพราะไม่กล้าพอที่จะมอบความเจ็บปวดนั้นให้แบคฮยอน
แม้แต่ตอนนี้เขายังกลัวแบคฮยอนจะรู้ว่าทุกอย่างมันเลวร้าย มันไม่ได้สวยงามอย่างที่เขาอยากให้มันเป็น
เลิกเรียนปุ๊บแบคฮยอนรีบกลับหอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าห้างปั๊บ กะว่าจะหาซื้อเสื้อสวยๆไปฝากชานยอลสักหน่อย เขาเองไม่ได้เจอหน้าชานยอลมาสักพักแล้ว วันก่อนแวะมาก็เห็นแต่เค้ก ไม่รู้ด้วยว่าอ้วนขึ้นหรือผอมลง
แต่คนอย่างชานยอลไม่ปล่อยให้ตัวเองผอมแห้งหรืออ้วนฉุหรอก
คนตัวเล็กแหวกเสื้อบนราวแขวนไปเรื่อยๆก็มีผู้ชายร่างถึกสองคนเดินเข้ามายืนข้างๆเขาจึงเขยิบให้ แต่ไม่วายยังโดนเบียดจนเขาต้องเปลี่ยนไปดูเสื้อร้านอื่น
"ตัวเล็ก"
"..." แบคฮยอนไม่ได้เกลียดคำว่าตัวเล็ก มันเป็นคำที่น่ารักซะด้วยซ้ำ แต่เวลาโดนคนไม่รู้จักเรียกมันก็จั๊กจี้แปลกๆอยู่เหมือนกัน
"ไม่สนด้วยแฮะ"
"..."
"หน่วยก้านดูไม่น่าจะอวดเก่งได้นะ"
"..." การยั่วโมโหให้แบคฮยอนโกรธดูไม่น่าจะเป็นผลสำเร็จ อีกคนที่คอยยืนดักอยู่เข้ามาประชิดด้านหลังจนถอดหนีไปไหนไม่ได้
"แต่ถ้าอวดอย่างอื่นน่าจะพอไหว"
"..." คงเป็นเพราะความซวยที่เสื้อผ้าราคาถูกมันดันอยู่ในมุมที่ไม่มีคนพลุกพล่านจึงไม่มีใครสังเกตว่ามีคนกำลังโดนหาเรื่อง
"ไม่พูดเลยอ่ะ ไม่ได้พกปากมาหรอ"
"..." แบคฮยอนเป็นคนชอบกวนตีน เพราะเวลาหาเรื่องโรงเรียนตรงข้ามพวกเขาก็มักจะพูดอะไรทำนองนี้ และรู้ด้วยว่าการกวนตีนของสองคนนี้ยังไม่สิ้นสุด
"หรือพ่อไม่ได้ให้ปากมาตั้งแต่ตอนเป็นอสุจิ"
"..." เขาวางมือจากการต่อยตีมานานมากแล้ว ไม่อยากกลับไปยืนตรงจุดนั้นอีกเพราะมันจะต้องทำให้หลายคนเสียใจ
และแบคฮยอนทำให้คนอื่นเสียใจมามากพอแล้ว
"แม่ก็ไม่ได้ให้ปากมาตั้งแต่ตอนคลอดด้วยสินะ"
"..."
"หรือไม่พ่อกับแม่ก็..."
ผลั้ว!!!!!!!
แต่การพูดถึงบุพการีแบบนี้เป็นสิ่งที่สามารถกระตุกต่อมใครหลายคนได้ดีที่สุด รวมถึงแบคฮยอน
หมัดลุ่นๆซัดเข้าแก้มซ้ายของไอ้บึกจนมันเงียบ เด็กแสบเตรียมใจด้วยการนับถอยหลังกับตัวเองพร้อมรับความเจ็บปวดกลับคืน แบคฮยอนไม่ได้ยินเสียงร้องโอดโอยหรือแม้แต่การสวนคืนของกำปั้นจากคนตรงหน้า มันทำแค่การหันหน้ากลับองศาเดิมช้าๆ เช็ดเลือดสีข้นออกจากมุมปาก
"เจ็บจัง"
เสียงเย็นเยือกจนขนอ่อนตรงแนวสันหลังชูชัน มือกร้านแหวกสาปเสื้อคลุมโชว์ตราสถาบันบนหน้าอก แบคฮยอนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อกของตัวเอง
ให้ตาย...อุตส่าห์เก็บนิสัยเดิมไว้ในถังขยะแล้วยังจะกู้คืนขึ้นมาอีกทำไมวะ ซวยแล้ว
คนตัวเล็กโดนหิ้วปีกลากออกไปขึ้นรถตู้สีดำเก่าๆหลังห้าง คลุมหัวด้วยกระสอบทรายแล้วหลังจากนั้นความเจ็บแรกก็กระแทกเข้าใบหน้า
คนฉลาดมักสร้างสถานการณ์ให้คนอื่นเป็นคนผิด เพราะที่ไปซัดเขาน่ะ...แบคฮยอนเริ่มก่อนเต็มๆ
พวกนี้เป็นนักเลงจากมหาลัยใกล้ๆนี่เอง คนแถวนี้รู้จักกันในนามว่า 'มหาลัยสอนโจร'
วันๆนอกจากจะมีเรื่องชกต่อยกับมหาลัยคู่อริไปทั่วก็ไม่ทำอะไรอีกแล้ว พกอาวุธไปเรียนมากกว่าพกหนังสือแถมยังได้วิชาที่มหาลัยอื่นไม่เคยสอน เส้นใหญ่เทียบเท่าผู้กำกับการสถานีตำรวจในโซล เพราะไม่ว่าจะก่อเรื่องสักกี่ครั้งก็ไม่เคยมีใครทำอะไรได้แถมยังสั่งปิดไม่ได้อีกด้วย
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วปาก ไม่ต่ำกว่าสามตีนที่เหยียบย่ำอยู่บนลำตัวเขาตอนนี้ แบคฮยอนตัวงอเป็นกุ้งแถมยังจุกจนร้องไม่ออก
คิดว่าเจ็บมากเหมือนกำลังจะตาย
แต่เขาก็แค่สลบ...และฟื้นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดมากกว่าเดิมหลายเท่า
"ไง ไอ้หนู" ใครคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายๆ ล้อมรอบไปด้วยบริวารน้อยใหญ่ ไม่มากนักแต่ก็ไม่น้อยเลย
ในมือของเขาไม่มีดอกไม้ มีแต่ปืนสวมปลอกเก็บเสียง
"หน้าตาน่ารักดีนี่นา เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า"
แบคฮยอนส่ายหน้า ...เราไม่เคยรู้จักกัน
ร่างเล็กนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นฝุ่นหายใจติดขัด ไม่รู้เป็นเพราะโดนอัดหรือในโกดังมีอากาศถ่ายเทไม่เพียงพอกันแน่ ดวงตาพร่ามัวเพราะหยดเลือดไหลซึม สติยังกลับมาไม่ครบ
อีกครั้งแล้วที่ทำให้เขาต้องนึกถึงชานยอล...
คนพวกนี้เป็นใครไม่รู้ แบคฮยอนไม่ใช่เจ้าของถิ่นแถมเพิ่งย้ายมาอยู่ รู้แค่เพียงว่าหลายคนที่กลายเป็นศพถ้าเรื่องมันเกิดเพราะนักเรียนในสถาบันนี้ ข่าวจะถูกปิด
"จบมาจากโรงเรียนอะไร"
"ช่างกลชอ"
"ว้าว ชื่อคุ้นๆแฮะ ที่ปูซานใช่ไหม"
"ครับ"
"แล้วรู้ใช่ไหมว่าพวกฉันเป็นใคร"
"..." แบคฮยอนพยักหน้า
กลัวจับใจ กลัวยิ่งกว่าตอนโดนพวกของคริสจับตัวไปครั้งแรกซะอีก กลัวว่าจะไม่ได้กลับบ้านไปหาชานยอลด้วย ...กลัวจริงๆ
"ปีที่แล้วลูกน้องฉันยิงเด็กในโรงเรียนชอไปคนนึง น่าจะตายด้วยนะ"
ภาพวันฝนตกลอยมา วันที่เขาวิ่งฝ่าสายฝนไปหารุ่นน้องปีสองที่นอนจมกองเลือดในห้องเรียน เสียงหวีดร้องจากห้วงหายใจเฮือกสุดท้ายดังบาดแก้วหู
ไอ้เด็กนั่นไม่ได้ตายเพราะพวกเจ๊กอันนี้แบคฮยอนรู้แล้ว แต่เพิ่งรู้วันนี้นี่แหละว่าคนใจร้ายตัวจริงคือใคร
"แล้วนี่กำลังจะไปไหนหรอ"
"กลับบ้านไปหาพี่ครับ"
"อ๋า~ แย่เลย"
"..." เป็นนักเลงที่เยือกเย็นและใจหินที่สุดเท่าที่แบคฮยอนเคยเจอมา ไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวหรือพูดกระโชกโฮกฮากเหมือนวัยรุ่นใจร้อนทั่วไป
หรือทุกอย่างอาจจะเกิดขึ้นจากความเคยชิน
"แบบนี้พี่ก็รอเก้อเลยสิ" ปลายกระบอกปืนจ่อกลางหน้าผากแบบพอดีองศาไม่ขาดไม่เกิน
แบคฮยอนหลับตาปี๋ หน้าป๊าหน้าม๊าหน้ายายหน้าชานยอลกน้าเพื่อนทุกคนที่พอจะจำได้ลอยเข้ามาในห้วงความคิด
เขาเห็นตัวเองนอนจมกองเลือด มีลูกกระสุนเจาะทะลุสมองจนเป็นรูโบ๋
ไม่นะ...มันต้องไม่จบแบบนี้สิ
ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณใครเลยนะ
"..."
"โอ๋~ ไอ้หนู ไม่ต้องกลัวๆ เห็นว่าหน้าตาน่าเอ็นดูหรอกนะ"
"..."
"วันนี้ฉันจะเก็บปืนไว้ก่อนก็ได้"
"..." ขอบคุณพระเจ้า!
"มีโอกาสแล้วอย่าลืมกลับไปบอกรักพ่อแม่ครอบครัวด้วยล่ะ ต้องเป็นเด็กดีด้วยนะ"
"ครับ"
"แต่ก่อนจะพาไปส่ง...เด็กๆพวกนี้มันชอบความรุนแรงนี่สิ ใช้ไม่ได้เลยเนอะ"
"..."
"ลุกขึ้นสู้ซิ"
"..." แบคฮยอนดันตัวเองอย่างทุลักทุเล เขาล้มลงเหมือนเดิมเพราะร่างกายไม่ไหว แต่มีบางอย่างดลใจให้เขาลุกขึ้นอีกครั้ง
"ขอนิดนึงแล้วกัน"
"..." แต่แบคฮยอนก็สู้คนพวกนี้ไม่ไหว หมัดที่สวนมาทำให้เขาลงไปนอนบนพื้นเช่นตอนแรก
ยอมเจ็บดีกว่ายอมตายล่ะนะ
ความมืดเข้าปกคลุมอีกครั้ง แบคฮยอนกลับไปอยู่ในกระสอบ แล้วตามมาด้วยความเจ็บปวดที่มาจากทั้งส้นเท้า ทั้งปลายเท้าของคนจำนวนห้าคน ทำเอาระบมไปทั้งร่างกาย
เขาถูกหิ้วขึ้นรถตู้คันเดิมหลังจากพวกนั้นได้ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายจนสาสม
" 'ชานฮยอน' โทรมา พี่ชายหรือเปล่า?"
"ครับ" เสียงหวานตอบสั่นเครือ
"รับสายนะ พี่ชายคงเป็นห่วงแย่แล้ว" ร่างเล็กพยักหน้า
หนึ่งในนั้นกดรับสายแล้วเปิดลำโพง "ฮัลโหล" เขาพยายามทำเสียงให้ปกติที่สุดแม้จะอยากร้องไห้มากแค่ไหน
[แบคฮยอน อยู่ไหนแล้ว?]
"บนรถ"
[ไหนบอกขึ้นรถแล้วจะโทรมาไง]
"กำลังจะโทรพอดีเลย"
[เออๆ ทำมื้อเย็นไว้ให้แล้วนะ]
"ขอบใจ แค่นี้แหละ ขอนอนแปป"
[ดูแลตัวเองด้วย]
"อืม"
เด็กน้อยโดนลูบหัวแล้วปล่อยให้หลับไปตลอดทาง เมื่อเข้าเขตปูซานก็โดนปลุกให้ตื่น รถตู้ขับเคลื่อนมาถึงหน้าบ้านหลังคุ้นตา พวกมันต่อสายหาชานยอลอีกครั้งเพื่อให้แบคฮยอนบอกให้ร่างสูงเดินออกมารับ
สีหน้าชานยอลดูประหลาดใจเมื่อเห็นคนแปลกหน้าผ่านหน้าต่างรถ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ทำให้ยิ่งเห็นแบคฮยอนชัดขึ้น ใบหน้าฟกช้ำจนไม่มีที่เหลือให้วางนิ้วสัมผัส เหมือนกล่องดวงใจเขาถูกบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
...กี่ครั้งแล้วที่ชานยอลปล่อยให้แบคฮยอนถูกทำร้าย
"พกอะไรมาด้วยน่ะ เปิดเสื้อขึ้นซิสุดหล่อ"
"..." ชานยอลถอนหายใจแล้วทำตามคำสั่ง เขาหยิบปืนปากกาจากเอวยื่นให้คนที่โผล่หน้ามาคุยด้วย
เป็นครั้งแรกที่ชานยอลยอมแพ้เพราะกลัวว่าเด็กน้อยของเขาจะได้รับอันตรายไปมากกว่านี้
"ปิ้ว~" มันเล็งปลายกระบอกปืนเข้าขมับตัวเองแล้วทำท่าล้อเลียน "ตายเลย"
แบคฮยอนลงมาจากรถหลังจากเสียงเลื่อนประตูดังขึ้น ชานยอลรับร่างเล็กเข้าสู่อ้อมกอดทันทีเพราะเหมือนแบคฮยอนจะยืนด้วยตัวเองไม่ไหว และก่อนพวกมันจะออกรถไปปืนปากกาก็ถูกเหน็บไว้กับเอวเขาอีกครั้ง
"แล้วเจอกันนะ บ๊ายบาย~" รถตู้เลี้ยวกลับออกไปจากหมู่บ้านช้าๆ
ชานยอลพยุงแบคฮยอนไปนั่งบนโซฟา มือเล็กกำชายเสื้อเขาแน่นไม่ยอมปล่อยแถมยังซบใบหน้าเข้ากับหน้าอกไม่ยอมเงยขึ้นมาพูดอะไรเลยสักนิด
ไม่กี่ครั้งที่ความเงียบทำให้เกิดความอึดอัดระหว่างคนทั้งคู่ และครั้งนี้ก็รวมอยู่ในไม่กี่ครั้งนั้นเช่นกัน
"เห้อ~ ทำไงดีล่ะเนี่ย เจ็บขนาดนี้จะกินข้าวไหวไหมน้า" ร่างสูงโยกคนในอ้อมแขนซ้ายทีขวาที ดันให้ร่างเล็กพิงพนักโซฟาแล้วพินิจดวงหน้าหวานชัดๆ
เขาคิดถึงแบคฮยอนแทบแย่ คิดถึงจนเกิดภาพหลอน กินไม่ได้นอนไม่หลับ พอได้เห็นใกล้ๆกลับต้องมีพลาสเตอร์มาบดบังซะอีก น่าเสียดายจริงเชียว
แต่แปลกที่ครั้งนี้แบคฮยอนไม่งอแงเหมือนที่ผ่านมา แค่นั่งนิ่งๆปล่อยให้คนสูงกว่าทำแผลไปช้าๆ ไม่โอดโอยหรือเหวี่ยงเวลาสำลีชุบยาสีแดงแตะแต้มลงบนแผล ดวงตาเรียวแดงก่ำ และชานยอลเองก็ไม่ดุเขาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
"รู้สึกผิดจัง" พ่อครัวคนเก่งนั่งจ้องคนตัวเล็กหยอดอาหาร เขาต้องทำข้าวต้มให้คนเจ็บเพิ่ม เพราะถ้าขืนปล่อยให้กินข้าวสวยคงลำบากแย่
"เรื่องอะไร?"
"ถ้ากูไม่ตามให้มึงกลับบ้านคงไม่โดนอย่างนี้แน่ๆ"
"นั่นสิ" แบคฮยอนส่งเสียงหัวเราะแต่พยายามเกร็งให้หน้านิ่งที่สุด ยิ่งขยับมุมปากมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น
"ต้องขอโทษอีกแล้ว"
"..."
"กลัวมากไหม"
"..."
"วันหลังจะไม่ทำแบบนี้อีก..."
"..."
"วันหลังจะไม่ให้ไปไหนมาไหนคนเดียวอีกแล้ว"
"..."
"ขอโทษนะแบคฮยอน"
"กูว่าอะไรมึงสักคำแล้วหรอ"
"ไม่ต้องรอให้มึงว่า กูก็ผิดอยู่ดีอ่ะ"
"ก็แล้วแต่" ร่างเล็กยักไหล่ พูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ชานยอลชอบโทษตัวเองเป็นปกติอยู่แล้ว พูดให้น้ำลายแห้งก็ไม่สามารถลบความรู้สึกผิดออกไปได้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแบคฮยอนคิดถึงบ้านหลังเล็กนี้มากขนาดไหน เขาผูกพันกับที่นี่มาตั้งแต่เกิด ไม่ใช่แค่สถานที่แต่ยังรวมถึงคนตรงหน้านี้ด้วย ที่ไหนที่ไม่มีชานยอลมันดูน่ากลัวไปซะหมดเลย ตั้งแต่ก้าวเท้าออกไปแบคฮยอนก็รู้ว่าโลกใบนี้มันช่างกว้าง มันกว้างจังเลย ...กว้างเกินกว่าที่จะอยู่คนเดียวได้
"สบายดีใช่ไหม?" มันคือความห่างเหินที่เกิดขึ้นในรูปแบบของประโยคคำถาม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกมากขนาดนี้เลย
"อื้ม" โซฟาตัวเดิมเคยเป็นยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น จะเปลี่ยนก็แต่อายุที่มากขึ้น และคุณภาพเสื่อมลงตามกาลเวลา
"เราไม่ได้คุยกันนานมากเลยหรอวะ"
"..."
"กูคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นแล้วซะอีก" ...แต่มันก็แค่เหมือนจะเท่านั้น
"มันดีขึ้นนะชานยอล กูเกรงใจมึงมากขึ้น"
"เพราะกูไม่ใช่คนในครอบครัวมึงอีกแล้วงั้นดิ"
"กูไม่ได้คิดว่ามึงเป็นคนอื่นเลยนะ มึงยังเป็นพี่ชายกูเหมือนเดิม แต่กูแค่สับสน กูรู้ทุกอย่างเป็นคนสุดท้าย มึงไม่ให้เวลากูทำใจบ้างเลยหรอ"
"มึงทำใจโดยการไม่รับสาย ไม่ตอบไลน์ ทั้งๆที่เช้าวันนั้นมึงเพิ่งปลอบใจกูเนี่ยนะ"
"..." ชานยอลไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความคิดแบคฮยอน
"มึงหายเงียบไปทั้งๆที่เพิ่งให้กูนอนหนุนตักแล้วบอกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แล้วก็เพิ่งติดต่อกลับมาหลังจากที่กูแทบเป็นบ้าเนี่ยนะ"
"..."
"ตั้งแต่ตอนไหนวะที่กูกลายเป็นคนไม่สำคัญกับมึงอีกแล้ว"
"..." มันแย่แค่ไหนกับการโดนลดความสำคัญจากคนๆหนึ่งเหลือเพียงแค่ฝุ่นผง เป็นเพียงเศษบางเบาที่ต่อให้ลอยเข้าตาก็โดนขยี้ออก
"มึงเห็นเค้กในตู้เย็นแล้วรู้สึกยังไง รู้สึกอยากเจอกูเหมือนที่กูอยากเจอมึงบ้างไหม รู้สึกเสียดายที่กลับห้องไปไม่ทันกูบ้างไหม"
"..."
"หรือไม่ได้รู้สึกอะไรเลย"
"..." เขาไม่ได้อยากตอกย้ำแบคฮยอน แต่สิ่งที่เขาต้องเผชิญมันโหดร้ายจริงๆ
"ถ้าไม่บอกให้มาหามึงคิดจะกลับมาหากูไหม"
"..." ชานยอลแอบคิดว่ามันดีขึ้น บางครั้งที่ถามคำตอบคำก็คิดว่าทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมแล้ว ทั้งๆที่เขาเองยังไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่ทำให้แบคฮยอนเปลี่ยนไปจนความสัมพันธ์มันถูกตัดทอน
"มึงคิดว่ากูมีใครนอกจากมึงอีกหรอแบคฮยอน"
"..."
"กูพยายามคิดว่ามันจะดีขึ้นเหมือนที่มึงบอก แต่มึงกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลง"
"..." เขาไม่ต้องการให้แบคฮยอนพูดขอโทษ เพราะตอนนี้ความรู้สึกเขาแหลกสลายไปหมดแล้ว มันกู้อะไรคืนมาไม่ทันอีกแล้ว
"มึงเห็นกระดาษสีเหลืองบนผนังบ้านไหม" จากพื้นสีขาวนวลกลายเป็นสีเหลืองตามสีของโพสอิท มันเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ชานยอลเองก็ไม่แน่ใจ แต่เพราะทุกครั้งที่เขาเริ่มมองหาแบคฮยอนเขาก็จะเขียนใส่กระดาษแล้วติดมันไว้
"..."
"กูเขียนแปะไว้ทุกวันว่ามึงไม่ได้อยู่ที่นี่ มึงไปเรียนหนังสือ มึงจะกลับบ้านวันที่มึงว่าง"
"..."
"...มึงจะกลับบ้านมาหากูวันที่มึงคิดถึงกู"
"..."
"แล้วไหนล่ะ?"
"..." …แบคฮยอน
"มึงอยู่ไหน?"
"..." ใบหน้าหล่อเต็มไปด้วยหยดน้ำตา เขาไม่ได้ร้องไห้หนักขนาดนี้มานานแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ได้ฟูมฟายต่อหน้าแบคฮยอนเหมือนตอนนี้ล่ะนะ
"มึงบอกว่าขอเวลาทำใจ แล้วกูไม่ต้องทำใจหรอ"
"..."
"ไม่ใช่กูหรอที่ต้องเสียใจกับเรื่องนี้มากที่สุด"
"..."
"หืม?"
"..."
"ใจร้ายว่ะแบคฮยอน ฮึก มึงใจร้ายมากเลยรู้ตัวหรือเปล่า"
"..."
ชานยอลช้อนมือเล็กขึ้นมาซบ มันยังหอมและนุ่มเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ... เขาเห็นสร้อยข้อมือที่เคยขู่ให้แบคฮยอนอย่าแตะต้องมันอีก ตอนนี้มันกลับมาอยู่ที่เดิมแล้ว แถมยังไม่มีแหวนเกลี้ยงสีเงินที่แบคฮยอนใส่ติดตัวไว้ตลอดบนนิ้วกลางข้างขวาอีกด้วย
...ไม่มี
เขาคงคิดผิดจริงๆนั่นแหละที่อยากให้แบคฮยอนกลับมาหา เพราะเมื่อได้เจอก็ยิ่งรู้ว่าความสัมพันธ์ของเราไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งกันไว้แล้วจริงๆ มีแค่เชือกเส้นเล็กคล้องกันไว้หลวมๆพร้อมจะถอดออกตลอดเวลา
ชานยอลมองข้ามเรื่องที่แบคฮยอนขาดการติดต่อเพราะระหว่างนั้นเขาก็ได้เห็นกับตาว่าแบคฮยอนสบายดี
ชานยอลไม่ปล่อยให้แบคฮยอนหายไปจากชีวิตนานหรอก
"กับจองชินน่ะ คบกันแล้วหรอ"
"..." บางทีคำถามนี้อาจจะไม่ต้องการคำตอบก็ได้ แต่ความเงียบมักทำให้มนุษย์เจ็บปวดเสมอ
ชานยอลไม่เคยรู้สึกดีกับคำถามที่ตอบกลับมาด้วยความเงียบเลย เพราะเวลาเขาเข้าใจอะไรด้วยตัวเองทีไร เรื่องนั้นมักจะทำร้ายจนเจ็บเจียนตายตลอด
ไม่ชอบเลย...ชานยอลไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย
สองมือใหญ่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ใครก็ได้กรีดหน้าอกแล้วลูบหัวใจให้เขาที ตอนนี้มันต้องการคนปลอบมากที่สุด
แต่ก็นั่นแหละ...เขาจะต้องการให้ใครคลายความเจ็บนั้นมากเท่าคนที่ทำให้เขาเจ็บได้อีก
"รู้ใช่ไหมว่ากูรักมึง"
"..."
"ตอบหน่อยเถอะ"
"อืม"
ชานยอลรู้แล้วว่าทุกอย่างมันดูเปลี่ยนไปหมดแบบนี้เพราะอะไร
เพราะชานยอลยืนอยู่กับที่ในขณะที่แบคฮยอนเดินห่างออกไปไกลแสนไกล
เพราะชานยอลไม่ยอมเอื้อมมือคว้าไว้ตั้งแต่แบคฮยอนยังไม่ออกเดิน ...เพราะชานยอลไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง
"กูเคยพูดว่าจะรักมึงตลอดไป จำได้ไหม"
"..."
"ตอนนี้มันยังเหมือนเดิมนะแบคฮยอน"
"โลกนี้ไม่มีคำว่าตลอดไปหรอก"
"หรอ..."
"..." หรือจริงๆแล้วเป็นเพราะแบคฮยอนคอยผลักชานยอลออกไปให้ไกลที่สุด
"กูนี่แหละแบคฮยอน กูนี่แหละที่จะรักมึงตลอดไป จำไว้"
...ไกลเกินกว่าจะเดินย้อนกลับมายืนยังพื้นที่ว่างข้างๆกันได้อีก
ไม่มีเช้าวันใดที่พระอาทิตย์ไม่ออกทางทิศตะวันออกและไม่ตกทางทิศตะวันตก ...วันนี้ก็เช่นกัน
แบคฮยอนยืนรอให้คนตัวสูงหากุญแจรถจนเริ่มเมื่อยเท้า ชานยอลแค่บอกว่าจะไปส่ง และทั้งสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากกว่านั้น
"เจอแล้ว ไปกันเถอะ"
ถ้าบังคับให้เข็มนาฬิกาเดินช้ากว่านี้ได้ก็คงจะดีเนอะ
แบคฮยอนยังไม่อยากออกจากบ้านเลย ไม่อยากกลับไปอยู่หอคนเดียว จะบอกว่าเป็นเพราะชานยอลก็ได้ ลึกๆแล้วเขาเป็นห่วงความรู้สึกชานยอลมากที่สุด ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกไปเพราะกลัวส่งผลกระทบต่อจิตใจของอีกคน
ชานยอลกำลังเปราะบาง แค่ออกแรงจิ้มเบาๆก็แตกแล้ว
และแบคฮยอนก็ไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น เขาจึงเลือกที่จะเงียบกับทุกคำถาม
เมื่อคืนเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลยก็ว่าได้ ทั้งสีหน้า การตัดพ้อ รวมถึงเสียงสะอื้นคล้ายโน้ตต่ำของเปียโนตัวแรก มันดังซ้ำๆเหมือนคอยกดให้จมอยู่ใต้ผิวน้ำ
แบคฮยอนอยากจะทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นอย่างที่ตั้งใจ แต่เหมือนยิ่งทำมันก็ยิ่งแย่ลง จริงๆเขาพยายามอธิบายชานยอลทุกอย่างแล้ว แต่ชานยอลกลับไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง เขาใช้เวลาทั้งคืนเพื่อบอกเหตุผลว่าทำไมถึงหายเงียบไป และแอบหวังว่าเช้าขึ้นมาชานยอลจะเข้ามาคุยกับเขาเหมือนเดิม
ร่างเล็กถอนหายใจยาวเมื่อในที่สุดรถมอเตอร์ไซด์คันเก่งก็เลี้ยวจอดเทียบหน้าทางเข้าหอพักสูงแปดชั้น ไม่อยากให้ชานยอลกลับเลย ...ทำไงดี
"ชานยอล!" คนตัวเล็กใจหายวาบเผลอตะโกนเรียกอีกคนเสียงดัง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชานยอลจะขับรถไปจากเขาทั้งที่ไม่มีคำบอกลาหลุดออกมาสักคำอย่างนี้
แผ่นหลังกว้างอยู่ห่างออกไปประมาณสองช่วงตึก ทั้งที่มันไม่ได้ไกลมากแต่แบคฮยอนกลับรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน
คนตัวสูงดับเครื่องยนต์หลังจากมีเด็กแสบวิ่งมาตัดหน้ารถ "วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ!" เขาขึ้นเสียงดุอย่างอดไม่ได้
"ลงมาคุยกันก่อนได้ไหม?"
"บอกก่อนว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก"
"จะไม่ทำอีกแล้ว"
"ถ้าเบรคไม่ทันขึ้นมาจะทำยังไง"
"ขอโทษ"
เด็กหนุ่มถอดหมวกกันน็อกมากอดด้วยแขนข้างเดียว วางอีกข้างไว้บนศีรษะกลม เม้มปากเข้าหากันแน่นจนเป็นสีขาว และเหมือนน้ำตามันจะไหลออกมาอีกแล้ว ชานยอลไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยอมใจอ่อนเดินตามร่างเล็กเข้าตึกด้วย ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะรีบขับรถกลับบ้านไปนอนให้เต็มอิ่มชดเชยเมื่อคืน
"พี่ไม่ได้ยินเสียงความคิดผมแล้วหรอ"
"ใช่ ไม่ได้ยินมาสักพักละ..." ถึงว่า เมื่อคืนนอนพูดในใจไปไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมาเลย "ทำไม"
"ไม่มีอะไร" แบคฮยอนนั่งสั่นขาอยู่บนเก้าอี้ ยกมือขึ้นมากัดเล็บเหมือนคนวิกลจริต
"งั้นไปก่อนนะ ดูแลตัวเองดีดี"
"เดี๋ยว! ชานยอล!!" ร่างสูงหน้าแทบคะมำเมื่อจู่ๆแบคฮยอนก็ถลามาสวมกอดจากด้านหลัง "ขอโทษ"
"..."
"ขอโทษที่หายไปโดยไม่คิดถึงความรู้สึกพี่เลย วันนั้นผมกลับมานอนร้องไห้ทั้งวัน ผมไม่รู้ว่าจะต้องคุยกับพี่ยังไง ต้องแทนตัวเองว่าอะไร"
"..."
"ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆนะ มันสับสนไปหมด ผม..." เสียงเด็กน้อยขาดห้วงฝังไปกับแผ่นหลัง
"..." ชานยอลหมุนตัวกลับมามองหน้าคนตัวเล็ก เกลี่ยนิ้วโป้งเช็ดน้ำใสที่ไหลซึมแก้มเนียน ...อ้อนทีไรเป็นต้องน่าเอ็นดูแบบนี้ทุกทีเลยสินะ
"แต่มันจะต้องดีขึ้น ผมสัญญา"
พอแล้ว...แค่นี้ชานยอลก็ใจอ่อนยวบไปหมดแล้ว
ทั้งสองคนยืนเกี่ยวก้อยกันเหมือนเด็กๆไม่แคร์สายตาคนเดินผ่านไปผ่านมา เขาไม่ต้องกังวลอะไรอีกเพราะแค่คนตรงหน้าเข้าใจก็ไม่เหลืออะไรให้ต้องกลัวอีกต่อไป
"มีนัดกับพี่รหัสไม่ใช่หรอ รีบไปเหอะ"
"เข้าใจผมแล้วใช่ไหม"
"อือ ไม่ต้องคิดมากแล้ว พี่ไม่เคยโกรธเราได้นานหรอก"
"อื้อ"
"เรากลับมาแทนตัวเองกันเหมือนเดิมนะ" แบคฮยอนปาดน้ำตาแล้วสวมกอดคนตัวสูงอีกครั้ง
ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เรื่องมันกลับมาดีอย่างนี้ ...ขอบคุณที่ชีวิตนี้ได้มีชานยอลด้วย
"กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวจะค่ำซะก่อน"
"แปปนึงสิ" ชานยอลนั่งยองไปผูกเชือกรองเท้าผ้าใบให้น้องชายอย่างเคยชิน
"ขอบใจนะ"
"รู้แหละน่าว่าชอบให้ผูกเชือกรองเท้าให้"
"ก็มันทำให้ผมเห็นหัวล้านของพี่ชัดที่สุดแล้วนี่"
"จะเอายังไง" ร่างสูงยืดตัวขึ้นเท้าเอวมอง
"ไม่ยังไง แหะๆ ขอบคุณที่รู้ว่าชอบ"
"เราชอบอะไรพี่รู้หมดแหละ" ...ขนาดเราชอบไอ้พี่รหัสหน้าหวานนั่นพี่ยังรู้เลย
ชานยอลส่งยิ้มตอบกลับให้บางๆ หัวใจลอยเคว้งเหมือนปุยนุ่นโดนพายุซัด เพราะพี่ชายที่ดีจะต้องไม่ขัดขวางความรักของน้องชาย แม้จะไม่พอใจตัวเองที่ปล่อยให้คนอื่นเข้ามาทำให้แบคฮยอนยิ้มได้หรือแย่งรอยยิ้มของแบคฮยอนไป แต่การได้ยืนมองความสุขของแบคฮยอนไกลๆก็ยังดีกว่าไม่ได้เห็นเลยไม่ใช่หรอ
"บ๊ายบายนะชานยอล" เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย แบคฮยอนโบกมือโหยงเหยงจนร่างสูงขับรถออกไปไกลลับตาจึงหันตัวกลับเข้าตึก วันนี้เป็นวันที่น่าจดจำวันหนึ่งเลยก็ว่าได้
แบคฮยอนไม่สนใจแล้วว่าชานยอลจะเป็นพี่หรือเป็นน้อง เพราะชานยอลยังเป็นคนเดิมและแบคฮยอนเองก็ยังเป็นคนเดิม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือชานยอลยังอยู่ตรงนี้ ...อยู่ข้างๆแบคฮยอนเหมือนเดิม
"แบคฮยอน ทางนี้" เจ้าของชื่อเดินไปหาเพื่อนผู้ชายสองคนที่โต๊ะหน้าเวที ไม่นานนักจองชินก็เดินมานั่งข้างๆพร้อมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกสองคน ตอนนี้เป็นช่วงดีเจเพราะยังไม่ถึงคิวนักดนตรีเล่นสด เขาชนแก้วเบียร์กับพี่รหัสแล้วยกขึ้นจิบพอเป็นมารยาท เพื่อนจองชินสองคนที่ว่าก็เป็นพี่รหัสของเพื่อนที่นั่งด้วยกันนี่แหละ
ถือโอกาสนี้เลี้ยงสายรหัสร่วมกันไปซะเลย ประหยัดดี
"แต่งตัวน่ารักเชียว"
"ผมก็น่ารักปกตินะ" แบคฮยอนทัดปอยผมแล้วทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมจนทั้งโต๊ะหลุดหัวเราะ คนตัวเล็กมักสร้างความสนุกสนานให้เพื่อนเสมอ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครๆก็อยากสนิทด้วย
"น่ารักทุกวันนั่นแหละ แต่วันนี้น่ารั๊กกกกกกก" คนโดนชมยิ้มจนตาหยี
ครั้งนี้แบคฮยอนไม่ดื่มเยอะเพราะไม่อยากให้ตัวเองไปเป็นภาระของใครอีก และเหมือนว่าตอนนี้เพลงนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายที่นักดนตรีจะเล่นแล้ว มันใกล้ถึงเวลาปิดร้านแล้ว
"สำหรับค่ำคืนพิเศษอย่างนี้พวกเราขออนุญาตมอบเวทีให้กับเพื่อนที่แสนดีของเราหน่อยนะครับ" นักร้องนำพูดเกริ่นจนลูกค้าในร้านปรบมือและโห่ร้องเสียงดังเกรียวกราว
"ขอเชิญอีจองชินขึ้นมามอบบทเพลงสุดท้ายให้กับทุกๆคนด้วยครับ" แบคฮยอนตะลึงที่อยู่ๆพี่รหัสเขาก็ก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนเวที
"อ่า อ่า ..." ความเป็นมืออาชีพฉายชัดขึ้นมาเมื่อมือเขาสัมผัสไมค์ "จริงๆผมเป็นคนขอเวลาห้านาทีสุดท้ายเอาไว้เองน่ะครับ ถ้าผิดพลาดประการใดอยากให้ทุกคนโทษที่ตัวผมคนเดียว อย่าโทษเพื่อนผมเลยนะ" จองชินเป็นคนอบอุ่น แม้แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ยังอบอุ่นไม่แพ้กัน
"สำหรับบทเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ เรามาลากันด้วยเพลง I want to fall in love กันเถอะครับ"
(กดเล่นเองนะ...เห้อม ความกากนี้)
เสียงดนตรีดังขึ้นตามลำดับ แบคฮยอนเผลอปรบมือเกรียวตามคนอื่น สายตาประกายจดจ้องมาที่เขาราวกับร่ายมนต์สะกดไม่ให้หลบไปไหน
"~ผมต้องออกไปทำงานทุกวัน ในวันหยุดสุดสัปดาห์ผมก็ไปดูหนัง~"
"~แวะไปที่ร้านหนังสือและซึมซับกับสิ่งที่อ่าน โลกที่ไม่คุ้นเคยมีอยู่ในหนังสือนี้ ทำให้ผมตื่นเต้น~"
"~ผมเพิ่งรู้ว่าชีวิตมันดีจริงๆเมื่อออกมาข้างนอก ชีวิตผมดีมากๆนะ แต่แล้วทำไม…~"
แบคฮยอนเหมือนโดนสะกดจิตให้ลุ่มหลงไปกับบทเพลงที่ไม่ได้ออกมาจากแค่ลำโพง …แต่มันออกมาจากหัวใจของคนร้องด้วย
"~ผมเหงาจัง น้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา ทั้งๆที่ชีวิตข้างนอกออกจะดูสวยงาม~"
แบคฮยอนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่รหัสเขาเป็นคนร้องเพลงเพราะได้ขนาดนี้ แค่รู้ว่าเล่นดนตรีเป็นก็เท่มากพอแล้ว ถ้าเขาไม่ใช่แบคฮยอนเขาคงจะตกหลุมรักจองชินไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้วล่ะ คงจะเกิดความหวั่นไหวทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดและได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีไปแล้วล่ะ
"~ความเหงาได้เข้ามาครอบงำและถามผมว่า ตอนนี้คุณมีความสุขแล้วจริงๆน่ะหรอ? ~"
ไม่มีข้อไหนที่จองชินสอบไม่ผ่านเลย ต่อให้ตั้งสเปคไว้สูงขนาดไหนผู้ชายคนนี้ก็สามารถผ่านคุณสมบัติเหล่านั้นไปได้ไม่ยาก จองชินเป็นบุคคลที่ทำให้คนอื่นตกหลุมรักโดยง่าย แบบแทบไม่ต้องเสียเวลาจีบด้วยซ้ำ
"~ยังมีคนอีกมากมายเลยนะที่รักผม มีผู้คนเหล่านั้นแต่แล้วทำไม…~"
ถ้าแบคฮยอนไม่ใช่แบคฮยอน...จองชินคงจะสมหวังไปแล้วล่ะ
"~ผมอยากจะเจ็บปวดเพราะความรัก …อีกสักครั้ง~"
แต่เสียดายที่แบคฮยอนเป็นแบคฮยอนน่ะสิ
TBC.
#หัวไม้ชานแบค
อ่าว พลิกล็อค
จริงๆเราหวังว่าจะได้รวมเล่มมากเลยนะ
แต่ถ้ายอดไม่ถึงก็คงต้องพับเก็บ
ไ ม่ เ ป็ น ไ ร
ยังไงเราก็รักทุกคนอยู่แล้ว
ซีนนี้ทำไมดราม่า?
มันคือรสชาติชีวิต
เมื่อไหร่น้องแบคจะรักพี่ชาน?
เห้อมมมมมมม
จริงๆคือรักแล้ว
เมื่อไหร่จะจบ?
จะไม่ลากให้เกิน25
ไปด่าได้ทางไหนบ้าง?
ทวิตเตอร์ไง
@IYimmm
ด่าได้
ความคิดเห็น