ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] ✰ หัวไม้ ' {chanbaek}

    ลำดับตอนที่ #32 : หัวไม้ : 27 {100%}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.04K
      6
      15 พ.ย. 58





     

    ขายาวของใครบางคนก้าวเดินไปตามทางเดินอย่างเรียบง่าย หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ในมือถือสมุดเล่มหนึ่ง สะพายกระเป๋าเป้สีวอลนัท ใส่เสื้อสเว็ตเตอร์สีเทา กางเกงรัดรูปสีดำ

     

    สองข้างทางที่เดินผ่านประดับประดาไปด้วยสีของดอกทิวลิป ทั้งร้านค้าบ้านเรือนพื้นที่ต่างๆ เป็นบรรยากาศรื่นรมย์และสบายตาสุดๆ ...ชานยอลคิดอย่างนั้น

     

    กริ๊ง~ กริ๊ง~

     

    เด็กหนุ่มเหลียวมองด้านหลังอย่างรู้งานหลังจากได้ยินเสียงกริ่ง รับมันฝรั่งทอดมาจากเพื่อนใหม่ที่แอบฉกชิงจักรยานคันเก่งของเขาไปเที่ยวเล่น

     

    "บาร์ค ฉันจะเข้า coffee shop นายสนใจหรือเปล่า"

     

    "เอาสิ" ชานยอลคิดว่าร้านกาแฟที่นี่ก็ตกแต่งสวยดีเหมือนกัน

     

    ...แต่ความสวยมักจะเคลือบยาพิษใช่ไหมล่ะ

     

     

    ร่างสูงสั่งเค้กไปหนึ่งชิ้นแล้วกางสมุดที่ถืออยู่เพื่ออ่าน คนที่นี่จะมีสมุดจดตารางงานในแต่ละวันราวกับเป็นนักธุรกิจ ชานยอลเองก็มี...แต่ตารางงานของเขามีไม่กี่อย่างหรอก แค่ต้องเข้าห้องสมุดเพื่อหาหนังสืออ่านอย่างน้อยวันละสามชั่วโมงเท่านั้นเอง

     

    "เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ"

     

    "อะไรของนาย"

     

    "กัญชาร้านนี้หอมที่สุดในย่านนี้เลยนะ"

     

    "กัญชา?"

     

    "อย่าบอกนะ...นายไม่รู้หรอว่าcoffee shopที่นี่มันมีกัญชาน่ะ นายบ้ามากเลยบาร์ค"

     

    "ฉันกำลังกินกัญชาหรือเนี่ย" ถึงว่าล่ะทำไมร้านนี้มีกลิ่นแปลกๆ "งั้นนายกินให้หมดนะ เจอกันที่ห้องสมุด"

     

    ชานยอลแค่ไม่อยากให้ความไม่รู้นำพาไปสู่ความอยากลองและเกิดเป็นเรื่องราวบางอย่าง เขาคลุกคลีอยู่กับคนพวกนั้นมานาน ทั้งเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง แต่โชคดีที่จิตสำนึกมันยังคงทำงานอยู่

     

    ป๊าเคยบอกว่าจะกินเหล้าสูบบุหรี่ป๊าไม่ว่าถ้ารู้ลิมิตของตัวเองดีพอ แต่ขออย่าเสพยา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

     


     

    เด็กหนุ่มนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องสมุดสาธารณะ มันเงียบสงบราวกับหลุดมาในอีกโลก เป็นโลกที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าจะได้พบเจอกับตัวเอง

     

    ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าวันหนึ่งเด็กเกเรนั่งกินนอนกินอย่างเขาจะมีโอกาสได้ออกนอกประเทศเพื่อใช้ชีวิตคนเดียวอย่างนี้

     

    ชานยอลมองออกไปนอกหน้าต่าง ลมกำลังแรงได้ที่เลยล่ะ อย่างน้อยมันก็ทำให้หวนนึกถึงคำพูดของคนสำคัญได้หนึ่งประโยค

     

    'ถ้าใบไม้ไหว แสดงว่าผมคิดถึงพี่อยู่นะ'

     

    ลมไม่มีผลต่อการเติบโตของต้นไม้ แต่ลมมีผลต่อความคิดถึง

     

     

    ทุกครั้งที่มีความเคลื่อนไหวของสิ่งใด มันมักจะมีตัวการที่ทำให้เกิดอาการแบบนั้นใช่ไหมล่ะ และนั่นแหละ...ความคิดถึงของแบคฮยอนทำให้จิตใจของชานยอลอ่อนไหว

     

    "ฉันมาแล้วบาร์ค"

     

    'บาร์ค' คือชื่อใหม่ของเขา มันไม่ได้เพี้ยนมาจากนามสกุลปาร์คแต่เป็นเพราะคนพวกนั้นออกเสียงคำว่า 'Baek' ผิดพลาดต่างหาก

     

    และเขาก็ไม่ได้เที่ยวบอกใครต่อใครว่าตัวเองชื่อแบคฮยอนนะ เพียงแต่วันที่ใจลอยในวันหนึ่งนั้น...เขาดันเผลอเขียนชื่อแบคฮยอนลงไปในกระดาษรายงานซะได้

     

    "และฉันก็กำลังจะไปแล้ว"

     

    "นายจะไปไหน เดี๋ยวสิเค นาย!" ชานยอลพูดเสียงดังไม่ได้ เขาจึงต้องยอมปล่อยให้เพื่อนตาเยิ้มที่เพิ่งนั่งได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีเดินยิ้มออกจากห้องสมุดไป "เห้อ~"

     

    แล้วคอยทำตัวเองให้วุ่นวายกับตัวหนังสือต่างประเทศมากเกินกว่าจะเอาเวลาทั้งวันมัวแต่ร้องเรียกหาใครบางคนในใจ

     

    ชานยอลรู้แค่ว่าพวกเขาต้องเติบโตด้วยตัวเอง ไม่ใช่เด็กน้อยที่คอยให้พ่อกับแม่มาคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ หรือให้คุณครูมาสอนท่องพยัญชนะแล้ว

     

     

    ChanHyun

    14:50 P.M. นอนซะเด็กดี

     

     

    ที่นั่นคงจะดึกแล้วใช่ไหม...

     

    เขาทำตัวเหมือนเครื่องตอบรับอัตโนมัติที่ส่งข้อความได้มากสุดแค่วันละสามฉบับตามช่วงเวลาเท่านั้น และไม่ว่าเจ้าของไอดีจะรัวข้อความกลับมาแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถพูดคุยอะไรได้มากกว่านี้

     

     

    ChanHyun
    14:58 P.M. ฝันดีนะ



     

    ชานยอลใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนเพื่อซึมซับคำกล่าวทักทาย วัฒนธรรมเล็กๆน้อยๆรวมถึงอาหารการกินของคนที่นี่ แม้ว่ามันยังน้อยเกินไปที่จะเข้าใจอะไรได้แต่ชานยอลเชื่อว่าเวลาต่อจากนี้มันจะต้องดีขึ้น

     

    ...เขาจะต้องปรับทุกอย่างได้

     

    แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เริ่มทำความเคยชินกับมันได้แล้ว อันที่จริงไม่ได้เรียกว่าความเคยชินหรอก เพราะมันคือ 'ความจำเป็น' ซะมากกว่า


     

    BaekYeol
    15:30 P.M. ผมคิดถึงพี่

     

     

    ...จำเป็นจะต้องทำอย่างที่ใจไม่ต้องการ


               ก้อนเนื้อด้านซ้ายปวดหนึบและหวิวโหวง เขาเผลอยกมือลูบหน้าอกเป็นครั้งที่ร้อยของวันแล้ว มันเคยมีความสุขอัดแน่นอยู่ในนี้เต็มไปหมด ความสุขที่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหายไป

     

     

    BaekYeol
    15:32 P.M. คิดถึงจนหัวใจจะเป็นรูอยู่แล้ว

     

     

    ...แต่ตอนนี้หัวใจมันกลับรู้สึกว่างเปล่า

     

     

    ชานยอลเก็บเครื่องมือสื่อสารไว้ในกระเป๋าหลังจากอ่านข้อความนั้นจบและแอบปาดน้ำตาเงียบๆกับหน้าหนังสือ เขาไม่อยากอ่านความเศร้าโศกของน้องชายตัวเองไปมากกว่านี้แล้ว

     

    "อดทนนะแบคฮยอน"

     

    แบคฮยอนเปรียบเสมือนเลขหนึ่ง ถึงจะมีค่าน้อยกว่าเลขอื่นไปสักหน่อยแต่มันมีค่ามากกว่าเลขศูนย์ ซึ่งชานยอลเปรียบตัวเองเป็นเลขศูนย์

     

    ...เพราะฉะนั้น แบคฮยอนสำหรับชานยอลมีค่ามากกว่าชานยอลสำหรับชานยอลซะอีก

     

    "อดทน...เพื่อเราสองคน"

     

    ชานยอลรักแบคฮยอนมากกว่ารักตัวเองซะอีก

     






     

    การปล่อยให้ความเงียบเหงากัดกร่อนหัวใจอย่างเนิบนาบเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว มันไม่น่าภิรมย์เท่าไหร่แต่กลับเลี่ยงการกระทำนั้นไม่ได้ซะด้วยสิ

     

    เส้นผมที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีชีสพัดพลิ้วไปกับสายลมยามล่องเรือไปตามคูคลอง เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำอะไรแปลกใหม่แล้วคุยกับตัวเองในใจว่า 'ไว้มาทำด้วยกันนะแบคฮยอน'

     

     

    รั้วเตี้ยถูกแซมด้วยสีเขียวของไม้เลื้อย ชานยอลอาศัยอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามเหล่านี้ แล้วเขาก็มองเห็นแบคฮยอนวิ่งไล่จับกับฝูงผีเสื้อ เด็ดดอกไม้มาเสียบแซมเส้นผม เด็กน้อยยิ้มร่าจนเห็นฟันซี่ขาวอย่างมีความสุข

     

    'ถ้าเป็นเพราะแบคฮยอน...เดี๋ยวป๊าดูแลให้เอง'

     

    ...แต่ไม่นานนักเด็กคนนั้นก็หายไป

     

    'ผม...ขอคิดดูก่อนแล้วกันครับ'

     

    ชานยอลพลิกกระดาษหนังสือไปเป็นอีกหน้าหนึ่งเมื่ออ่านจนจบบรรทัดสุดท้าย

     

    'ป๊ารู้นะชานยอล ว่าหนูคิดยังไงกับแบคฮยอนน่ะ'

     

    '...'

     

    'ไม่ใช่ว่าป๊าจะกีดกันหรืออะไรหรอกนะ แต่เรื่องความรักมันยังดูไกลตัวเกินไปสำหรับลูกชายป๊าทั้งสองคน'

     

    '...'

     

    หนังสือที่เริ่มอ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ถูกปิดลง ชานยอลฟุบหน้าลงกับหน้าปกสีขาว ปิดเปลือกตาอ่อนล้าซ่อนความหมายจากดวงตาไว้

     

    'ป๊ายินดีนะถ้าพวกหนูสองคนจะรักและดูแลกันไปตลอดชีวิต...'

     

    '...'

     

    'แต่คนแก่ก็อยากเห็นลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีหลานน่ารักไว้คอยสร้างสีสันให้กับบ้าน'

     

    '...'

     

    ความรวดร้าวของหัวใจที่พยายามซ่อมแซมมันดีขึ้นได้แค่ในช่วงเวลาประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น ชานยอลยังรู้สึกเหมือนกับว่าโลกถล่มอยู่ในตัวเขาทุกวัน ทุกวัน

     

    'หรือถ้าพวกหนูรักกันจริงๆ ก็แสดงให้ป๊าเห็น...'

     

    '...'

     

    'ความรักน่ะ ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันถึงจะรักกันได้หรอกนะ'

     

    เหมือนกับรองเท้า...ถ้าเราผูกเชือกเข้าด้วยกันสักวันหนึ่งเราก็จะล้ม แต่ถ้าให้รองเท้าได้ผูกเชือกตามข้างของมันเอง เราก็จะออกเดินทางไปได้ไกล

     

    เราต้องเว้นพื้นที่ไว้ให้ตัวเองบ้าง

     

    ชานยอลไม่คิดว่าจะไม่มีวันไหนที่เขาไม่คิดถีงแบคฮยอนเลย... ชานยอลจะคิดถึงแบคฮยอนทุกวัน




     






     

     

     

     

     

    ความเหี่ยวเฉายิ่งกว่าต้นไม้ถูกปล่อยร้างได้ซึมซับกลายเป็นคนเดียวกันกับแบคฮยอนไปแล้ว เด็กที่เคยร่าเริงในตอนนั้นถูกพรากไปแล้ว

     

     

    ไม่รู้ต้องเริ่มจับจุดตรงไหนเพื่อให้ชีวิตเข้าที่เข้าทาง แบคฮยอนรู้แค่ว่าการมองไปด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้างแล้วไม่เจอชานยอลมันเป็นอะไรที่ไม่ต้องการ ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย

     

    "โอ้ย!"

     

    "เห้ย! เดินดูทางหน่อยดิวะ"

     

    "ขอโทษครับ" แบคฮยอนโค้งให้คนที่ตนเดินชนไปเก้าสิบองศา

     

    "ขอโทษเหี้ยไร ไอ้แบคฮยอน กูเอง"

     

    และคำว่า 'กูเอง' ก็ทำให้ร่างเล็กแหงนหน้าขึ้นมอง "เซฮุน"

     

    "เออ ละนี่จะไปไหน"

     

    "ไม่รู้" เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนสองคน...

     

    เซฮุนจูงมือเพื่อนตัวเล็กกลับไปทางเดิมเพราะกลัวเหลือเกินว่าคนที่ชนแบคฮยอนเป็นรายต่อไปจะไม่ใช่เขาแต่คือรถสิบล้อบนถนน เขายังไม่อยากไปงานศพใครตอนนี้หรอกนะ โดยเฉพาะเพื่อนโง่เง่าคนนี้น่ะ

     

    ใต้ตาแบคฮยอนดำคล้ำเหมือนคนไม่ได้นอนมาสิบวัน ริมฝีปากซีดเซียวเหมือนเด็กขาดสารอาหาร

     

    "กินข้าวหน่อยเถอะ" เซฮุนเทโจ๊กใส่ถ้วยให้เพื่อนแล้วเอาไปเสิร์ฟให้ถึงบนที่นอน

     

    "ทำไมชานยอลไม่ติดต่อมาเลย"

     

    "มึงให้เวลาเขาปรับตัวหน่อยดิวะ ไปอยู่เมืองนอกนะเว้ย"

     

    "ไม่คิดถึงกูเลยหรอ"

     

    เซฮุนถอนหายใจ ลูบหัวกลมๆของแบคฮยอนด้วยความเอ็นดู ไม่ใช่ว่าเขาจะเข้าข้างชานยอลนะ แต่แบคฮยอนเองก็ต้องเข้าใจด้วย

     

    "กูจะทำยังไงกับมึงดีเนี่ย"

     

    น้ำใสไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้าง ความเป็นแบคฮยอนได้บินตามชานยอลไปแล้ว เหลือแต่ร่างแบคฮยอนที่แทบจะละลายเป็นไอศกรีม

     

    "สองเดือนแล้วนะเซฮุน สองเดือนแล้ว..."

     

    การรอคอยให้ผ่านไปแต่ละวันเป็นห้วงเวลาแห่งความทรมาน มันเทาทะมึนจนบางครั้งก็นึกตำหนิตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงยอมให้ชีวิตเป็นแบบนี้

     

    แบคฮยอนแค่อยากรู้ว่าชานยอลสบายดีไหม ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง อยู่คนเดียวได้นะ อาหารเป็นยังไง เพื่อนรอบข้างนิสัยดีหรือเปล่า เรียนได้ไหม ...แค่นั้นเอง

     

    "บอกว่าอย่าร้องไห้ไง มึงนี่นะ" เซฮุนดึงชายเสื้อขึ้นเช็ดหน้าคนอ่อนแอ แบคฮยอนอ่อนแอเกินไปแล้ว

     

    เขารู้มาว่าที่มหาลัยเพื่อนตัวเล็กก็เอาแต่เหม่อลอยไม่พูดไม่จา ไม่เข้าหาใคร เรียนแทบไม่รู้เรื่อง

     

    "เหมือนจะตายเลย" ขืนเป็นแบบนี้นานๆมีหวังสอบไม่ผ่านแน่

     

    "ตายแบบนี้เสียหมานะกูบอกไว้ก่อน น่าอายมาก" ไอร้อนพวยพุ่งออกจากปลายช้อนเพราะแบคฮยอนไม่ยอมแตะถ้วยโจ๊กสักที เขาจึงต้องสวมบทคนดีป้อนข้าวให้ "อ้า!"

     

    กว่าจะหมดถ้วยเล่นเอามนุษย์ขี้รำคาญต้องนับเลขในใจอยู่หลายหลัก ถ้าไม่ติดว่าคบกันมาตั้งนานนมเซฮุนจะราดโจ๊กในมือใส่หัวแบคฮยอน

     

    เด็กหนุ่มขับรถไปส่งแบคฮยอนถึงหอพักในเมืองจึงทำให้ต้องค้างคืนด้วยกัน เลยถือเอาโอกาสนี้สังเกตพฤติกรรมแบคฮยอนว่าเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าแล้วหรือเปล่า

     

    แบคฮยอนจับโทรศัพท์แทบจะตลอดเวลา พิมพ์ข้อความหาพี่ชายมากมายแต่ก็ไม่มีการตอบกลับสักนิดเดียว "เฮ้อ~"

     

    เขาไม่ท้อ เพราะความท้อไม่ใช่ทางออกของปัญหา

     

    แต่เพราะตั้งใจว่าจะไม่ท้อนี่แหละที่ทำให้ยิ่งรู้สึกเหนื่อย เหมือนแบคฮยอนกำลังพยายามค้นหาคนที่ไม่มีตัวตน

     




     

    แบคฮยอนกำลังทำให้คนรอบข้างรู้สึกหดหู่ไปด้วยเนื่องจากอารมณ์เหม่อลอยที่เผลอแสดงออกมา ...อย่างเช่นตอนนี้ที่เจ้าตัวเอาแต่ทำหน้านิ่งตอนพี่รหัสชวนคุยเรื่องตลก

     

    ไม่ได้เอาหัวใจมาใส่ใจในเรื่องนี้ หรือไม่ได้สนใจในเรื่องอื่นใดเลย เพราะตอนนี้หัวใจแบคฮยอนมีแต่ความเจ็บปวดอัดแน่นเต็มไปหมด

     

    เขาสร้างกำแพงสูงหนารอบตัวเอง ถ้าไม่มีใครชวนคุยคนตัวเล็กก็จะเอาแต่นั่งเหม่อ ไม่โฟกัสสายตาไปที่อะไรสักอย่าง

     

    "แบคฮยอน..."

     

    "..."

     

    หรือต่อให้พยายามชวนคุยแล้ว

     

    "แบคฮยอน..."

     

    "..."

     

    ก็ยังคงฝังรากแน่นหนาอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง

     

    "แบคฮยอน!..."

     

    "ค ครับ"

     

    เจ้าของดวงตาเรียวเล็กเผลอทำจองชินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามระเหยเป็นไอ หรือไม่ก็ตั้งใจระเหยตัวเองออกไปจากโลกแห่งความเป็นจริง

     

    เหมือนมีลางสังหรณ์อะไรหลายอย่างพุ่งเข้าชนตัวเขาไปมาจนอ่วมนุ่ม มันมีแต่ลางร้ายที่คอยสะกิดต่อมความรู้สึกเศร้า คอยปลุกให้เขาตื่นในยามที่กำลังหลับฝัน

     

    เพื่อให้ตระหนักว่าจะต้องใช้รอยหยักในสมองทุกเส้นมองหาเหตุผลว่าทำไมคนๆหนึ่งถึงหายเงียบไปได้นานขนาดนี้

     

    จริงๆมันก็ไม่ได้เรียกว่าเงียบหายไปเลยหรอก เพียงแต่การทำได้แค่อ่านข้อความสั้นๆวันละไม่กี่ข้อความมันน้อยเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งบอกว่ารักกันอย่างลึกซึ้ง

     

    "พี่จะไม่ดุเรานะแบคฮยอน"

     

    "ขอโทษครับ"

     

    แบคฮยอนต้องพูดคำว่าขอโทษรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้งต่อวัน และยังไม่มีวี่แววว่าอาการจะดีขึ้น ไม่ว่าจะชวนไปสังสรรค์ด้วยกันกับก๊วนสนิท หรือชวนไปออกทริปเที่ยวกันกับเพื่อนในชั้นปี

     

    ...แบคฮยอนกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปแล้ว

     

    ไหปลาร้าทั้งสองข้างเด่นนูนขึ้นกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด เพราะน้ำหนักที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ



     

    "ทำไมต้องเป็นผมที่โดนแก้งานล่ะครับ" ร่างเล็กถามคำถามค้างใจหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน

     

    แบคฮยอนตรงดิ่งมายังห้องพักอาจารย์หลังชั่วโมงเรียนครั้งสุดท้ายก่อนสอบปลายภาคในอาทิตย์หน้า เขาโดนอาจารย์ประจำวิชาเรียกพบ เหตุเพราะงานที่ส่งไปมันดันซ้ำกับของเพื่อนคนอื่น

     

    "เพราะคุณส่งมาช้ากว่าของเขา แล้วอีกอย่าง..." อาจารย์หนุ่มประสานมือไว้บนโต๊ะ แววตาหลังกรอบแว่นทำให้หัวใจที่เต้นแผ่วเบาหนักแน่นขึ้น "งานคุณชุ่ยมากบยอนแบคฮยอน ต่อให้งานไม่ซ้ำกับคนอื่นผมก็จะให้คุณส่งมาใหม่อยู่ดี"

     

    "..."

     

    "แก้งานคุณซะ ก่อนที่เกรดจะออกมาแล้วทำให้คุณต้องลงเรียนวิชานี้ใหม่"

     

    "…"

     

    "เข้าใจนะ"

     

    "ครับ"

     

    ร่างเล็กนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่ใต้ต้นไม้ เขาเพียงแค่รู้สึกเหนื่อยทั้งกายทั้งใจเหมือนโดนสูบพลังไปโดยอะไรสักอย่าง และไม่ว่าจะทำใจสู้มากแค่ไหน แขนขามันก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้

     

    BaekYeol

    12:45 P.M.   ตอบผมหน่อยไม่ได้หรอ
    12:46 P.M.   ผมแค่อยากรู้ว่าพี่เป็นยังไงบ้างก็แค่นั้นเอง
    12:47 P.M.   พี่กำลังจะทำให้ชีวิตผมถึงจุดจบนะ
    12:48 P.M.   ผมกำลังจะสอบตกวิชาวาดรูป

    12:48 P.M.   ใจร้าย

     

     

    แบคฮยอนลากจักรยานที่ใช้เป็นพาหนะออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัย เข็นมันไปเรื่อยๆจนสิ้นสุดลงที่ริมแม่น้ำสายหนึ่งไม่ไกลจากที่พักนัก

     

    สูดหายใจเข้าลึกและผ่อนหายใจออกยาว ทำแบบนั้นอยู่หลายครั้งจนเหนื่อยแล้วหยุดไปเอง

     

    สีฟ้าของท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มเรืองรองและจบลงด้วยสีดำสนิท เขานั่งอยู่ตรงนี้มาเกินห้าชั่วโมงโดยไม่ไปไหน ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกหนาว ไม่รู้สึกร้อน ไม่รู้สึกเมื่อย ไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความคิดถึง

     

    ความคิดถึงที่แทรกแซงเข้ามามีบทบาทหลักเกินไปในความสัมพันธ์

     

    "ชานยอล..." มือเล็กเอื้อมไปบนอากาศ "ผมจะเริ่มนับดาวแล้วนะ" แล้ววาดนิ้วชี้ไปตามจุดสีขาวของดวงดาวช้าๆ

     

    ท้องฟ้าที่มองเห็นดวงดาวชัดเจนเพียงไม่กี่ดวงในตอนนี้ แต่เขากลับนับมันให้ครบทุกดวงไม่ได้จนนึกขำตัวเองในใจ ไม่ใช่เพราะมันยากเกินไปหรอก แต่เพราะ...

     

    "ไหนบอกว่าไม่ต้องนับดาวหมดฟ้า พี่ก็จะกลับมาไง"

     

    ...เคยมีคนบอกเอาไว้อย่างนี้

     

    "ต่อให้ผมนับมันจนหมดฟ้า พี่ก็ยังกลับมาไม่ได้ใช่ไหม"



     

    แบคฮยอนปั่นจักรยานไปตามถนนสายคดเคี้ยว อ้าแขนสองข้างรับลมหนาวตอนกลางคืน ไม่ต้องกังวลหรอก...เขาน่ะเป็นเซียนปั่นจักรยานเลยนะ การปล่อยมือข้างเดียวมันกระจอกไป

     

     

    โครม!

     

     

    ร่างน้อยกลิ้งหลุนตกขอบถนนลงไปตามผืนหญ้าและหยุดลงก่อนจะตกยังลำน้ำเพียงแค่ไม่กี่นิ้ว รองเท้าผ้าใบหลุดไปข้างหนึ่ง และผิวหนังที่โผล่พ้นแขนเสื้อก็เป็นรอยบาดอีกเล็กน้อย

     

    สิ่งมีชีวิตที่เขาพุ่งชนวิ่งลงทางบันใดเกือบสิบขั้นเพื่อมาสำรวจว่าเขายังหายใจอยู่หรือเปล่า

     

    "ไม่เป็นไรนะ..."

     

    "..."

     

    "แบคฮยอน..."

     

    "..."

     

    แบคฮยอนร้องไห้เพราะน้อยใจว่าทำไมเขาถึงไม่กลิ้งตกลงไปในน้ำซะให้มันรู้แล้วรู้รอด บางทีมันอาจจะทำให้อาการอึดอัดได้ผ่อนคลายลงไปบ้าง

     

    เขาคิดถึงชานยอลอีกแล้ว ...จริงๆก็คิดถึงอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ

     

    แต่อุบัติเหตุครั้งนี้มันทำให้เขาคิดถึงคนที่อยู่อีกทวีปมากขึ้น หากชานยอลยังอยู่เขาก็คงไม่ต้องมานอนเป็นหนอนอยู่บนหญ้าแบบนี้หรอก

     

    จะมากไปแล้วนะชานยอล!

     

     

    "ลุกไหวไหม?" แบคฮยอนแปลกใจที่เห็นคริสอยู่ตรงนี้ยิ่งกว่าตอนอ่านข่าวว่าทำไมนักร้องชายชาวยุโรปคน หนึ่งถึงโดนถ่ายภาพเปลือยในสถานที่ส่วนตัวซะอีก "ซ้อนท้ายฉันไปดีกว่า ขึ้นมาเร็ว"

     

    แบคฮยอนขึ้นคร่อมจักรยานตัวเองแต่เป็นเบาะหลัง เขาจับชายเสื้อคริสไว้กันหล่นและนั่งเงียบจนไปถึงใต้หอทั้งที่ไม่ได้บอกทาง

     

    "รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่"

     

    คนถูกตั้งคำถามกลอกตาซ้ายทีขวาที "เอ่อ เคยเห็นนายเดินออกมาจากที่นี่ไง"

     

    ถึงจะรู้ว่าเขาโกหกแต่แบคฮยอนไม่อยากถามอะไรมากกว่านี้ หากมันจะโยงไปถึงคนที่ขอร้องให้เพื่อนที่กลายเป็นศัตรูมาช่วยดูแลตัวเองอย่างใกล้ชิด

     

    ถ้าชานยอลจะทำขนาดนี้ทำไมเขาถึงไม่ดูแลแบคฮยอนเองไปเลยล่ะ

     

    "ขอบคุณนะครับ"

     

    "เดี๋ยวแบคฮยอน..." คริสรั้งคนตัวเล็กไว้ด้วยการดึงจักรยาน "คืนนี้อย่าออกไปไหนนะ ถ้ามีใครมาเคาะประตูก็ห้ามเปิดนะ มีอะไรฉุกเฉินโทรหาฉันได้ มีเบอร์ใช่ไหม?"

     

    แบคฮยอนพยักหน้าอย่าง งงๆ "มีอะไรหรือเปล่า"

     

    "เปล่า ไปเถอะ"

     

    "มีอะไรก็บอกผมมาสิ"

     

    "เอาหน่า ทำตามที่ฉันบอกก็พอ"

     

    สีหน้าคริสดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นั่นจึงทำให้แบคฮยอนไม่ยอมเดินกลับเข้าไปด้านในและยังคงจ้องหน้าเหมือนจะหาเรื่อง

     

    "ถ้าอยากให้ทำตามก็บอกมาก่อนสิ"

     

    อ่า เจ้าตัวเล็กนี่มันนักเลงเก่าจริงๆเลยนะ

     

    "ก็แค่เรื่องที่ใครบางคนเคยสร้างไว้แล้วเขาจะมาเอาคืนน่ะ"

     

    "ชานยอลหรอ"

     

    "อือ มันเคยมาตีกับเจ้าถิ่นแถวนี้ แล้วพวกนั้นรู้ว่านายเป็นน้องชายมัน..." คริสทำท่าตกใจแล้วยีผมตัวเองเหมือนหลุดพูดอะไรที่ไม่น่าพูดออกมา

     

    "แล้วที่โดนชน ไม่เป็นไรแน่นะ"

     

    "แรงกว่าแมวสะกิดนิดนึง ห่วงตัวเองก่อนเถอะ กลิ้งลงไปขนาดนั้น"

     

    "ผมไม่เป็นอะไร"

     

    "ทายาที่หลังมือด้วย เลือดออกน่ะ"

     

    แบคฮยอนพยักหน้าแบบขอไปที จบบทสนทนาด้วยการเข็นจักรยานเข้าไปจอดแล้วล็อคล้อไว้กับราวเหล็ก เขายังคงเห็นคริสยืนอยู่ที่เดิมจนกระทั่งประตูลิฟต์ปิดลง

     

    แน่นอนว่าเขารีบหยิลอุปกรณ์วาดรูปขึ้นมาทำงานที่ต้องแก้เพราะอาจารย์ไม่ได้ให้เวลามากนัก ไหนยังจะต้องอ่านหนังสือสอบอีก

     

    แค่คิดหัวก็จะระเบิดเอาให้ได้เลย


     

    ผ่านไปเกือบชั่วโมงเสียงท้องก็คำรามดังลั่น ในตู้เย็นไม่มีอะไรเหลือนอกจากน้ำเปล่า แบคฮยอนคิดว่าเขาต้องตายแน่ๆหากไม่ได้กินข้าวมื้อนี้ แต่คำเตือนของคริสยังคงกระเด้งกระดอนอยู่ในหัว

     

    ถ้าให้เลือกระหว่างตายเพราะอดข้าวกับตายเพราะโดนซ้อมแบคฮยอนขอเลือกอย่างหลังดีกว่า ยังไงซะกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องและนักรบก็ต้องตายในสงครามอยู่แล้ว

     

    เขาอาจจะคิดไปเองที่ว่าถนนด้านหน้ามันเปลี่ยว และมินิมาร์ทข้างล่างที่เคยเปิด24ชั่วโมงก็ปิดร้านเงียบราวกับจงใจจะหนีอะไรบางอย่าง

     

    "ไม่มีอะไรหรอก คนขายท้องโตขนาดนั้นสงสัยจะลาคลอด"

     

    ระหว่างทางแบคฮยอนรู้สึกเหมือนมีใครเดินตามแต่พอกันไปก็ไม่เจอใคร มันเหมือนกับหนังฆาตกรรมที่เคยดูเลย

     

    มือเล็กกระชับฮู้ดบนหัวแล้วเดินก้มหน้าต่อไปแกล้งทำเป็นไม่สนใจแต่ข้างในกำลังกรีดร้องอย่างหนัก เขาอยากจะเลี้ยวกลับแต่คิดว่าตอนนี้คงทำไม่ได้

     

    แล้วแบคฮยอนก็เจอเข้ากับทางตันเมื่อพบว่าด้านหน้ามีวัยรุ่นชายสองคนกำลังยืนรอเขาอยู่ มือสองข้างที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนั้นคงไม่ใช่เพราะอุ่นปลายนิ้วอย่างเดียวแน่นอน

     

    เมื่อเท้าทั้งสองข้างหยุดลงก็เจอกับแรงกระแทกจากด้านหลัง ...ใครบางคนที่เดินตามเขามา

     

    หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ มองซ้ายมองขวาไม่เจอตัวช่วยใดๆทั้งสิ้น

     

    เอาวะ!!


               และเลือดนักสู้ก็ทำให้เลือกการวิ่งหนี รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น!

     

     

    แบคฮยอนวิ่งฉีกไปทางด้านข้างแล้วข้ามถนนเมื่อไฟสีเขียวกำลังแจ้งเตือน เขาไม่ได้หันหลังกลับมาเพราะกลัวจะเสียหลักล้มลง

     

    โชคดีที่หยิบโทรศัพท์ติดมือลงมาด้วย

     

    [บอกว่าอย่าออกมาข้างนอกไงเล่า!!] ปลายสายตะคอกขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    "ค คริส อยู่ไหน"

     

    [หาทางวิ่งกลับหอให้ได้เลยนะ!!] แบคฮยอนรู้สึกผิดเพราะคริสดูจะหัวเสียเหลือเกิน

     

    เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยผุดพราวขึ้นตามใบหน้าพร้อมกับความเจ็บแสบที่แล่นวนบริเวณแผลบนหลังมือ แบคฮยอนหลบอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อรอให้สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนสีแล้วจะได้วิ่งข้ามกลับไปอีกฟาก

     

     

    BaekYeol
    21:12 P.M.   พี่!

     

     

    ช่วยผมด้วย!!

     

    แต่คืนนี้คงไม่มีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

     

    เด็กวัยใสนึกโทษตัวเองที่ชอบดื้อดันแหกกฎจนทำให้ตัวเองต้องมาวิ่งลนลานอยู่อย่างตอนนี้ แถมอากาศยังหนาวขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับความหิวของท้อง

     

    มันอาจจะถึงจุดจบของชีวิตน้อยๆดวงนี้แล้วก็ได้


     

    ขาสั้นก้าวสลับซ้ายขวาเมื่อสัญญาณไฟแดงเปลี่ยนสี แบคฮยอนวิ่งเข้าลิฟต์ตอนที่กลุ่มวัยรุ่นพวกนั้นหันมาพอดี และเขาคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่ก่อนหน้านี้ไม่เลือกสู้

     

    เพราะถ้าเขาสู้...ปลายแหลมสีเงินของมีดด้ามที่เหน็บอยู่ตรงเอวนั้นคงเสียบทะลุชั้นไขมันเข้ามาทะลวงเลือดอย่างแน่นอน

     

    แบคฮยอนหยุดอยู่หน้าประตูห้อง จ้องมองถุงขยะสีดำบนพื้นน่าสงสัยก่อนจะใช้เท้าเขี่ยจนมีอะไรบางอย่างหล่นลงมาจากด้านหลัง

     

    มันทำให้หัวใจหยุดเต้นไปหลายวินาที

     


     

     

     

    -----80%-----





     

     

    แบคฮยอนย่อตัวลงหยิบกระดาษแผ่นเล็กขึ้นจากพื้น มันเป็นกระดาษพับทบสีครีมเนื้อสากที่มีลายมือคุ้นตาเขียนจ่าหน้าไว้ว่า...

     

     

     

    'ถึงบยอนแบคฮยอน'
     

    เขาคลี่กระดาษออกในขณะที่ไหล่เริ่มสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ก้อนสะอื้นตีขึ้นมาจุกอยู่กลางอกจนแสบร้อน มันซ่านไปทั่วใบหน้าก่อนน้ำตาจะเริ่มพรั่งพรูออกมา
     

    'แบคฮยอน...

    ...พี่ขอโทษนะ'
     

    แล้วเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ชายร่างสูงโปร่งอยู่ในเสื้อผ้าโทนสีเข้ม ท่อนแขนมีมัดกล้ามมากขึ้นกว่าเก่า เส้นผมสีชีสถูกเปลี่ยนกลับไปเป็นสีดำ และวูบหนึ่งที่ลมพัดผ่านมาทางหน้าต่างก็ทำให้กลิ่นสดชื่นประจำกายโชยเข้าจมูก
     

    "ให้อภัยพี่นะ" พร้อมกับโทนเสียงหนักแน่นยิ่งกว่าภูผา ทำให้ค่ำคืนของการรอคอยที่ยาวนานเหมือนชั่วนิรันดร์ ก็พัดพาใครบางคนกลับมา
     

    "ชานยอล!"
     

    ร่างเล็กโผเข้ากอดอีกคนเต็มเหนี่ยว มันแน่นยิ่งกว่าการบีบรัดของอวัยวะตรงกลางหน้าอก แค่สัมผัสได้ว่าชานยอลไม่ใช่ภาพโฮโลแกรม ไม่ใช่ความฝันหรือจินตนาการ ก็เหมือนแบคฮยอนจะโผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
     

    เขาหายใจสะดวกขึ้นแม้ในตอนที่สะอื้นฮักจนเหมือนคนต้องการออกซิเจน และต่อให้น้ำตาจะกำลังไหลพรากแต่มันไม่ได้แสดงออกถึงความเสียใจ
     

    "กลับมาแล้ว"
     

    เป็นเขาจริงๆ เป็นชานยอลคนที่แบคฮยอนคิดถึงจริงๆ
     

    "พี่กลับมาแล้วแบคฮยอน"
     

    หมดสิ้นการตั้งความหวัง เพราะเขาสมหวัง

     

    กุญแจดอกเดียวที่สามารถไขล็อคแล้วปลดปล่อยสัตว์ที่ถูกขังให้ออกมาโผบินสู่อิสระ

     

    "ขอบคุณ"
     

    ...คือชานยอล
     

    "ขอบคุณที่กลับมา"
     

    ไม่นึกเสียใจที่อดทนและตั้งหน้าตั้งตารอมาถึงขนาดนี้ ไม่เสียใจที่ยอมเสียใจถึงขนาดนี้ ต่อให้กำลังจะตายก็ไม่เสียใจเลย
     

    "พี่ก็ต้องกลับมาอยู่แล้วสิ" ชานยอลเงียบไปสักพักเพื่อฟังเสียงสะอื้นไห้ แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับฟังมันทั้งรอยยิ้ม เป็นไม่กี่ครั้งที่ชานยอลหลงรักน้ำตาของแบคฮยอน
     

    "ไม่ใช่..." ร่างเล็กส่ายศีรษะแผ่วเบา "หมายถึงขอบคุณที่กลับมาตอนนี้" และทำให้ความพยายามที่จะฝืนเข้มแข็งมลายไป
     

    เหมือนจะมีเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากลำคอ มันเป็นเสียงหัวเราะที่มีความหมายว่าความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู "เหนื่อยไหม เป็นยังไงบ้าง"
     

    "คิดถึง จนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว"
     

    "เหมือนกันเลย" เขาเองก็คิดถึงแบคฮยอนไม่น้อยเลย ต้องพยายามมากแค่ไหนกับการหักห้ามไม่ให้ตัวเองเผลอกดโทรหาแล้วแสดงอาการงอแงเพราะอยากเจอกัน
     

    "เมื่อกี้พวกพี่ใช่ไหม" ชานยอลสลัดร่างเล็กไม่ออกเหมือนที่แบคฮยอนไม่ยอมปล่อยร่างสูงไปไหน แม้กระทั่งตอนไขกุญแจเปิดเข้าไปในห้องทั้งคู่ก็ยังตัวติดกัน
     

    "อือ" ร่างสูงจับเอวคนน้องให้นั่งลงแล้วโอบประสานมือเอาไว้ตรงหน้าท้อง
     

    "มีใครบ้าง ผมจะได้ไปคิดบัญชีทีหลัง"
     

    "เอาเหอะน่า โผล่มาธรรมดามันไม่ตื่นเต้น"
     

    "พี่ทำให้ผมคิดถึงช่วงเวลาแห่งความตายเลยนะ"
     

    "เวอร์ละ เห็นแต่ก่อนก็ชอบหาเรื่องเขาไปทั่ว"
     

    "เลิกแล้วไง"
     

    "ให้มันแน่" ชานยอลยื่นถุงดำที่หยิบเข้ามาด้วยให้ "เปิดดูสิ"
     

    มือเล็กคลายปมถุงดำออกช้าๆพลางสอดสายตาเข้าไปมองด้านในแล้วล้วงมือเข้าไปอย่างระมัดระวัง ถึงมันจะเป็นถุงขยะแต่ชานยอลบอกว่าไม่ได้ใส่ขยะไว้
     

    มันน่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่เมื่อได้เห็นแล้วหยาดน้ำตาจะต้องรื้นขึ้นมาอยู่ตรงขอบ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
     

    แบคฮยอนเปิดกล่องกำมะหยี่เท่าฝ่ามือออก เผยให้เห็นแหวนเกลี้ยงสองวงเสียบอยู่ข้างกัน "นี่อะไร"
     

    "แหวน"
     

    "ใช่ผมรู้ แต่..."
     

    "ถือว่าหมั้นไว้ก่อน"
     

    "..." คิ้วเรียวขมวดเข้ากันแถมหูทั้งสองข้างยังอื้ออึง เหมือนจะยังไม่ค่อยเข้าใจกับประโยคเมื่อสักครู่เท่าไหร่
     

    "ว่าไง"
     

    "หมั้น ที่เขาทำกันก่อนแต่งงานน่ะหรอ"
     

    "ใช่"
     

    "จะแต่งงานกับผมจริงๆหรอ" และเพราะมัวแต่ให้ความสนใจแหวนจนลืมไปเลยว่าตัวเองไม่ได้นั่งอยู่ข้างชานยอล แต่กลับนั่งอยู่บนตักชานยอล
     

    "ถ้าไม่แต่งกับเราพี่จะแต่งกับใครได้อีกล่ะ"
     

    "ก็...ก็" ร่างเล็กรู้สึกสับสน
     

    ชานยอลไม่ได้คิดว่าเขาจะอกตัญญูใส่ป๊ากับม๊า แต่เพราะเขารักแบคฮยอน ต่อให้อยู่ไกลกันคนละทวีป หัวใจเขาก็ยังคงเรียกร้องหาแต่แบคฮยอน
     

    "แต่ในงานจะมีแค่เราสองคนเท่านั้นนะ ไม่มีคนอื่น"
     

    "ทำไมล่ะ"
     

    และแบคฮยอนชอบที่ตัวเองมีความรักแบบนี้ที่สุด ยิ่งความรักที่มอบให้ชานยอลคนเดียวด้วยแล้วเขาก็ยิ่งชอบ มันรู้สึกมีคุณค่า มีความหมายและมีความยิ่งใหญ่
     

    "รักของเราจะไม่มีคนอื่น"
     

    เพราะชานยอลมองเขาเป็นคนสำคัญอยู่เสมอ

     

    ผู้ใหญ่อย่างป๊ากับม๊าอาจจะผ่านอะไรมามากกว่า เห็นอะไรมามากกว่า แต่ชานยอลเชื่อว่าการที่เขายังเด็ก เขาก็ควรจะได้เรียนรู้อะไรด้วยตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องความรักที่เขามั่นใจพอสมควรว่าถ้าเป็นแบคฮยอน

    ...เขาจะทำมันออกมาดี
     

    "รักของเราจะมีแค่ ชานยอล กับ แบคฮยอน"
     

    "ผมรักพี่"
     

    "พี่ก็รักเรา"
     

    และแค่นี้มันก็เพียงพอที่จะเป็นคำตอบแล้วว่า...ความรักของเขาทั้งสองคนจะเป็นความรักแบบชั่วนิรันดร์
     

    เนิ่นนาน และมั่นคง

     

     

     























    TBC.
    #หัวไม้ชานแบค

    ตอบข้อ4.จ้า
    ผิดทุกข้อ
    555555555555555555

    จะจบแล้ว ไม่ใจร้ายให้น้องมีเรื่องกับใครแล้ว
    ยกเว้นชานยอล

    คริคริ

    เยิฟยู

     

     


     



    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×