คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : หัวไม้ : 27 {100%}
ขายาวของใครบางคนก้าวเดินไปตามทางเดินอย่างเรียบง่าย หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ในมือถือสมุดเล่มหนึ่ง สะพายกระเป๋าเป้สีวอลนัท ใส่เสื้อสเว็ตเตอร์สีเทา กางเกงรัดรูปสีดำ
สองข้างทางที่เดินผ่านประดับประดาไปด้วยสีของดอกทิวลิป ทั้งร้านค้าบ้านเรือนพื้นที่ต่างๆ เป็นบรรยากาศรื่นรมย์และสบายตาสุดๆ ...ชานยอลคิดอย่างนั้น
กริ๊ง~ กริ๊ง~
เด็กหนุ่มเหลียวมองด้านหลังอย่างรู้งานหลังจากได้ยินเสียงกริ่ง รับมันฝรั่งทอดมาจากเพื่อนใหม่ที่แอบฉกชิงจักรยานคันเก่งของเขาไปเที่ยวเล่น
"บาร์ค ฉันจะเข้า coffee shop นายสนใจหรือเปล่า"
"เอาสิ" ชานยอลคิดว่าร้านกาแฟที่นี่ก็ตกแต่งสวยดีเหมือนกัน
...แต่ความสวยมักจะเคลือบยาพิษใช่ไหมล่ะ
ร่างสูงสั่งเค้กไปหนึ่งชิ้นแล้วกางสมุดที่ถืออยู่เพื่ออ่าน คนที่นี่จะมีสมุดจดตารางงานในแต่ละวันราวกับเป็นนักธุรกิจ ชานยอลเองก็มี...แต่ตารางงานของเขามีไม่กี่อย่างหรอก แค่ต้องเข้าห้องสมุดเพื่อหาหนังสืออ่านอย่างน้อยวันละสามชั่วโมงเท่านั้นเอง
"เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ"
"อะไรของนาย"
"กัญชาร้านนี้หอมที่สุดในย่านนี้เลยนะ"
"กัญชา?"
"อย่าบอกนะ...นายไม่รู้หรอว่าcoffee shopที่นี่มันมีกัญชาน่ะ นายบ้ามากเลยบาร์ค"
"ฉันกำลังกินกัญชาหรือเนี่ย" ถึงว่าล่ะทำไมร้านนี้มีกลิ่นแปลกๆ "งั้นนายกินให้หมดนะ เจอกันที่ห้องสมุด"
ชานยอลแค่ไม่อยากให้ความไม่รู้นำพาไปสู่ความอยากลองและเกิดเป็นเรื่องราวบางอย่าง เขาคลุกคลีอยู่กับคนพวกนั้นมานาน ทั้งเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง แต่โชคดีที่จิตสำนึกมันยังคงทำงานอยู่
ป๊าเคยบอกว่าจะกินเหล้าสูบบุหรี่ป๊าไม่ว่าถ้ารู้ลิมิตของตัวเองดีพอ แต่ขออย่าเสพยา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
เด็กหนุ่มนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องสมุดสาธารณะ มันเงียบสงบราวกับหลุดมาในอีกโลก เป็นโลกที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าจะได้พบเจอกับตัวเอง
ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าวันหนึ่งเด็กเกเรนั่งกินนอนกินอย่างเขาจะมีโอกาสได้ออกนอกประเทศเพื่อใช้ชีวิตคนเดียวอย่างนี้
ชานยอลมองออกไปนอกหน้าต่าง ลมกำลังแรงได้ที่เลยล่ะ อย่างน้อยมันก็ทำให้หวนนึกถึงคำพูดของคนสำคัญได้หนึ่งประโยค
'ถ้าใบไม้ไหว แสดงว่าผมคิดถึงพี่อยู่นะ'
ลมไม่มีผลต่อการเติบโตของต้นไม้ แต่ลมมีผลต่อความคิดถึง
ทุกครั้งที่มีความเคลื่อนไหวของสิ่งใด มันมักจะมีตัวการที่ทำให้เกิดอาการแบบนั้นใช่ไหมล่ะ และนั่นแหละ...ความคิดถึงของแบคฮยอนทำให้จิตใจของชานยอลอ่อนไหว
"ฉันมาแล้วบาร์ค"
'บาร์ค' คือชื่อใหม่ของเขา มันไม่ได้เพี้ยนมาจากนามสกุลปาร์คแต่เป็นเพราะคนพวกนั้นออกเสียงคำว่า 'Baek' ผิดพลาดต่างหาก
และเขาก็ไม่ได้เที่ยวบอกใครต่อใครว่าตัวเองชื่อแบคฮยอนนะ เพียงแต่วันที่ใจลอยในวันหนึ่งนั้น...เขาดันเผลอเขียนชื่อแบคฮยอนลงไปในกระดาษรายงานซะได้
"และฉันก็กำลังจะไปแล้ว"
"นายจะไปไหน เดี๋ยวสิเค นาย!" ชานยอลพูดเสียงดังไม่ได้ เขาจึงต้องยอมปล่อยให้เพื่อนตาเยิ้มที่เพิ่งนั่งได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีเดินยิ้มออกจากห้องสมุดไป "เห้อ~"
แล้วคอยทำตัวเองให้วุ่นวายกับตัวหนังสือต่างประเทศมากเกินกว่าจะเอาเวลาทั้งวันมัวแต่ร้องเรียกหาใครบางคนในใจ
ชานยอลรู้แค่ว่าพวกเขาต้องเติบโตด้วยตัวเอง ไม่ใช่เด็กน้อยที่คอยให้พ่อกับแม่มาคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ หรือให้คุณครูมาสอนท่องพยัญชนะแล้ว
ChanHyun
14:50 P.M. นอนซะเด็กดี
ที่นั่นคงจะดึกแล้วใช่ไหม...
เขาทำตัวเหมือนเครื่องตอบรับอัตโนมัติที่ส่งข้อความได้มากสุดแค่วันละสามฉบับตามช่วงเวลาเท่านั้น และไม่ว่าเจ้าของไอดีจะรัวข้อความกลับมาแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถพูดคุยอะไรได้มากกว่านี้
ChanHyun
14:58 P.M. ฝันดีนะ
ชานยอลใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนเพื่อซึมซับคำกล่าวทักทาย วัฒนธรรมเล็กๆน้อยๆรวมถึงอาหารการกินของคนที่นี่ แม้ว่ามันยังน้อยเกินไปที่จะเข้าใจอะไรได้แต่ชานยอลเชื่อว่าเวลาต่อจากนี้มันจะต้องดีขึ้น
...เขาจะต้องปรับทุกอย่างได้
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เริ่มทำความเคยชินกับมันได้แล้ว อันที่จริงไม่ได้เรียกว่าความเคยชินหรอก เพราะมันคือ 'ความจำเป็น' ซะมากกว่า
BaekYeol
15:30 P.M. ผมคิดถึงพี่
...จำเป็นจะต้องทำอย่างที่ใจไม่ต้องการ
ก้อนเนื้อด้านซ้ายปวดหนึบและหวิวโหวง เขาเผลอยกมือลูบหน้าอกเป็นครั้งที่ร้อยของวันแล้ว มันเคยมีความสุขอัดแน่นอยู่ในนี้เต็มไปหมด ความสุขที่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหายไป
BaekYeol
15:32 P.M. คิดถึงจนหัวใจจะเป็นรูอยู่แล้ว
...แต่ตอนนี้หัวใจมันกลับรู้สึกว่างเปล่า
ชานยอลเก็บเครื่องมือสื่อสารไว้ในกระเป๋าหลังจากอ่านข้อความนั้นจบและแอบปาดน้ำตาเงียบๆกับหน้าหนังสือ เขาไม่อยากอ่านความเศร้าโศกของน้องชายตัวเองไปมากกว่านี้แล้ว
"อดทนนะแบคฮยอน"
แบคฮยอนเปรียบเสมือนเลขหนึ่ง ถึงจะมีค่าน้อยกว่าเลขอื่นไปสักหน่อยแต่มันมีค่ามากกว่าเลขศูนย์ ซึ่งชานยอลเปรียบตัวเองเป็นเลขศูนย์
...เพราะฉะนั้น แบคฮยอนสำหรับชานยอลมีค่ามากกว่าชานยอลสำหรับชานยอลซะอีก
"อดทน...เพื่อเราสองคน"
ชานยอลรักแบคฮยอนมากกว่ารักตัวเองซะอีก
การปล่อยให้ความเงียบเหงากัดกร่อนหัวใจอย่างเนิบนาบเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว มันไม่น่าภิรมย์เท่าไหร่แต่กลับเลี่ยงการกระทำนั้นไม่ได้ซะด้วยสิ
เส้นผมที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีชีสพัดพลิ้วไปกับสายลมยามล่องเรือไปตามคูคลอง เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำอะไรแปลกใหม่แล้วคุยกับตัวเองในใจว่า 'ไว้มาทำด้วยกันนะแบคฮยอน'
รั้วเตี้ยถูกแซมด้วยสีเขียวของไม้เลื้อย ชานยอลอาศัยอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามเหล่านี้ แล้วเขาก็มองเห็นแบคฮยอนวิ่งไล่จับกับฝูงผีเสื้อ เด็ดดอกไม้มาเสียบแซมเส้นผม เด็กน้อยยิ้มร่าจนเห็นฟันซี่ขาวอย่างมีความสุข
'ถ้าเป็นเพราะแบคฮยอน...เดี๋ยวป๊าดูแลให้เอง'
...แต่ไม่นานนักเด็กคนนั้นก็หายไป
'ผม...ขอคิดดูก่อนแล้วกันครับ'
ชานยอลพลิกกระดาษหนังสือไปเป็นอีกหน้าหนึ่งเมื่ออ่านจนจบบรรทัดสุดท้าย
'ป๊ารู้นะชานยอล ว่าหนูคิดยังไงกับแบคฮยอนน่ะ'
'...'
'ไม่ใช่ว่าป๊าจะกีดกันหรืออะไรหรอกนะ แต่เรื่องความรักมันยังดูไกลตัวเกินไปสำหรับลูกชายป๊าทั้งสองคน'
'...'
หนังสือที่เริ่มอ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ถูกปิดลง ชานยอลฟุบหน้าลงกับหน้าปกสีขาว ปิดเปลือกตาอ่อนล้าซ่อนความหมายจากดวงตาไว้
'ป๊ายินดีนะถ้าพวกหนูสองคนจะรักและดูแลกันไปตลอดชีวิต...'
'...'
'แต่คนแก่ก็อยากเห็นลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีหลานน่ารักไว้คอยสร้างสีสันให้กับบ้าน'
'...'
ความรวดร้าวของหัวใจที่พยายามซ่อมแซมมันดีขึ้นได้แค่ในช่วงเวลาประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น ชานยอลยังรู้สึกเหมือนกับว่าโลกถล่มอยู่ในตัวเขาทุกวัน ทุกวัน
'หรือถ้าพวกหนูรักกันจริงๆ ก็แสดงให้ป๊าเห็น...'
'...'
'ความรักน่ะ ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันถึงจะรักกันได้หรอกนะ'
เหมือนกับรองเท้า...ถ้าเราผูกเชือกเข้าด้วยกันสักวันหนึ่งเราก็จะล้ม แต่ถ้าให้รองเท้าได้ผูกเชือกตามข้างของมันเอง เราก็จะออกเดินทางไปได้ไกล
เราต้องเว้นพื้นที่ไว้ให้ตัวเองบ้าง
ชานยอลไม่คิดว่าจะไม่มีวันไหนที่เขาไม่คิดถีงแบคฮยอนเลย... ชานยอลจะคิดถึงแบคฮยอนทุกวัน
ความเหี่ยวเฉายิ่งกว่าต้นไม้ถูกปล่อยร้างได้ซึมซับกลายเป็นคนเดียวกันกับแบคฮยอนไปแล้ว เด็กที่เคยร่าเริงในตอนนั้นถูกพรากไปแล้ว
ไม่รู้ต้องเริ่มจับจุดตรงไหนเพื่อให้ชีวิตเข้าที่เข้าทาง แบคฮยอนรู้แค่ว่าการมองไปด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้างแล้วไม่เจอชานยอลมันเป็นอะไรที่ไม่ต้องการ ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย
"โอ้ย!"
"เห้ย! เดินดูทางหน่อยดิวะ"
"ขอโทษครับ" แบคฮยอนโค้งให้คนที่ตนเดินชนไปเก้าสิบองศา
"ขอโทษเหี้ยไร ไอ้แบคฮยอน กูเอง"
และคำว่า 'กูเอง' ก็ทำให้ร่างเล็กแหงนหน้าขึ้นมอง "เซฮุน"
"เออ ละนี่จะไปไหน"
"ไม่รู้" เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนสองคน...
เซฮุนจูงมือเพื่อนตัวเล็กกลับไปทางเดิมเพราะกลัวเหลือเกินว่าคนที่ชนแบคฮยอนเป็นรายต่อไปจะไม่ใช่เขาแต่คือรถสิบล้อบนถนน เขายังไม่อยากไปงานศพใครตอนนี้หรอกนะ โดยเฉพาะเพื่อนโง่เง่าคนนี้น่ะ
ใต้ตาแบคฮยอนดำคล้ำเหมือนคนไม่ได้นอนมาสิบวัน ริมฝีปากซีดเซียวเหมือนเด็กขาดสารอาหาร
"กินข้าวหน่อยเถอะ" เซฮุนเทโจ๊กใส่ถ้วยให้เพื่อนแล้วเอาไปเสิร์ฟให้ถึงบนที่นอน
"ทำไมชานยอลไม่ติดต่อมาเลย"
"มึงให้เวลาเขาปรับตัวหน่อยดิวะ ไปอยู่เมืองนอกนะเว้ย"
"ไม่คิดถึงกูเลยหรอ"
เซฮุนถอนหายใจ ลูบหัวกลมๆของแบคฮยอนด้วยความเอ็นดู ไม่ใช่ว่าเขาจะเข้าข้างชานยอลนะ แต่แบคฮยอนเองก็ต้องเข้าใจด้วย
"กูจะทำยังไงกับมึงดีเนี่ย"
น้ำใสไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้าง ความเป็นแบคฮยอนได้บินตามชานยอลไปแล้ว เหลือแต่ร่างแบคฮยอนที่แทบจะละลายเป็นไอศกรีม
"สองเดือนแล้วนะเซฮุน สองเดือนแล้ว..."
การรอคอยให้ผ่านไปแต่ละวันเป็นห้วงเวลาแห่งความทรมาน มันเทาทะมึนจนบางครั้งก็นึกตำหนิตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงยอมให้ชีวิตเป็นแบบนี้
แบคฮยอนแค่อยากรู้ว่าชานยอลสบายดีไหม ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง อยู่คนเดียวได้นะ อาหารเป็นยังไง เพื่อนรอบข้างนิสัยดีหรือเปล่า เรียนได้ไหม ...แค่นั้นเอง
"บอกว่าอย่าร้องไห้ไง มึงนี่นะ" เซฮุนดึงชายเสื้อขึ้นเช็ดหน้าคนอ่อนแอ แบคฮยอนอ่อนแอเกินไปแล้ว
เขารู้มาว่าที่มหาลัยเพื่อนตัวเล็กก็เอาแต่เหม่อลอยไม่พูดไม่จา ไม่เข้าหาใคร เรียนแทบไม่รู้เรื่อง
"เหมือนจะตายเลย" ขืนเป็นแบบนี้นานๆมีหวังสอบไม่ผ่านแน่
"ตายแบบนี้เสียหมานะกูบอกไว้ก่อน น่าอายมาก" ไอร้อนพวยพุ่งออกจากปลายช้อนเพราะแบคฮยอนไม่ยอมแตะถ้วยโจ๊กสักที เขาจึงต้องสวมบทคนดีป้อนข้าวให้ "อ้า!"
กว่าจะหมดถ้วยเล่นเอามนุษย์ขี้รำคาญต้องนับเลขในใจอยู่หลายหลัก ถ้าไม่ติดว่าคบกันมาตั้งนานนมเซฮุนจะราดโจ๊กในมือใส่หัวแบคฮยอน
เด็กหนุ่มขับรถไปส่งแบคฮยอนถึงหอพักในเมืองจึงทำให้ต้องค้างคืนด้วยกัน เลยถือเอาโอกาสนี้สังเกตพฤติกรรมแบคฮยอนว่าเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าแล้วหรือเปล่า
แบคฮยอนจับโทรศัพท์แทบจะตลอดเวลา พิมพ์ข้อความหาพี่ชายมากมายแต่ก็ไม่มีการตอบกลับสักนิดเดียว "เฮ้อ~"
เขาไม่ท้อ เพราะความท้อไม่ใช่ทางออกของปัญหา
แต่เพราะตั้งใจว่าจะไม่ท้อนี่แหละที่ทำให้ยิ่งรู้สึกเหนื่อย เหมือนแบคฮยอนกำลังพยายามค้นหาคนที่ไม่มีตัวตน
แบคฮยอนกำลังทำให้คนรอบข้างรู้สึกหดหู่ไปด้วยเนื่องจากอารมณ์เหม่อลอยที่เผลอแสดงออกมา ...อย่างเช่นตอนนี้ที่เจ้าตัวเอาแต่ทำหน้านิ่งตอนพี่รหัสชวนคุยเรื่องตลก
ไม่ได้เอาหัวใจมาใส่ใจในเรื่องนี้ หรือไม่ได้สนใจในเรื่องอื่นใดเลย เพราะตอนนี้หัวใจแบคฮยอนมีแต่ความเจ็บปวดอัดแน่นเต็มไปหมด
เขาสร้างกำแพงสูงหนารอบตัวเอง ถ้าไม่มีใครชวนคุยคนตัวเล็กก็จะเอาแต่นั่งเหม่อ ไม่โฟกัสสายตาไปที่อะไรสักอย่าง
"แบคฮยอน..."
"..."
หรือต่อให้พยายามชวนคุยแล้ว
"แบคฮยอน..."
"..."
ก็ยังคงฝังรากแน่นหนาอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง
"แบคฮยอน!..."
"ค ครับ"
เจ้าของดวงตาเรียวเล็กเผลอทำจองชินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามระเหยเป็นไอ หรือไม่ก็ตั้งใจระเหยตัวเองออกไปจากโลกแห่งความเป็นจริง
เหมือนมีลางสังหรณ์อะไรหลายอย่างพุ่งเข้าชนตัวเขาไปมาจนอ่วมนุ่ม มันมีแต่ลางร้ายที่คอยสะกิดต่อมความรู้สึกเศร้า คอยปลุกให้เขาตื่นในยามที่กำลังหลับฝัน
เพื่อให้ตระหนักว่าจะต้องใช้รอยหยักในสมองทุกเส้นมองหาเหตุผลว่าทำไมคนๆหนึ่งถึงหายเงียบไปได้นานขนาดนี้
จริงๆมันก็ไม่ได้เรียกว่าเงียบหายไปเลยหรอก เพียงแต่การทำได้แค่อ่านข้อความสั้นๆวันละไม่กี่ข้อความมันน้อยเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งบอกว่ารักกันอย่างลึกซึ้ง
"พี่จะไม่ดุเรานะแบคฮยอน"
"ขอโทษครับ"
แบคฮยอนต้องพูดคำว่าขอโทษรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้งต่อวัน และยังไม่มีวี่แววว่าอาการจะดีขึ้น ไม่ว่าจะชวนไปสังสรรค์ด้วยกันกับก๊วนสนิท หรือชวนไปออกทริปเที่ยวกันกับเพื่อนในชั้นปี
...แบคฮยอนกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปแล้ว
ไหปลาร้าทั้งสองข้างเด่นนูนขึ้นกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด เพราะน้ำหนักที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ
"ทำไมต้องเป็นผมที่โดนแก้งานล่ะครับ" ร่างเล็กถามคำถามค้างใจหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน
แบคฮยอนตรงดิ่งมายังห้องพักอาจารย์หลังชั่วโมงเรียนครั้งสุดท้ายก่อนสอบปลายภาคในอาทิตย์หน้า เขาโดนอาจารย์ประจำวิชาเรียกพบ เหตุเพราะงานที่ส่งไปมันดันซ้ำกับของเพื่อนคนอื่น
"เพราะคุณส่งมาช้ากว่าของเขา แล้วอีกอย่าง..." อาจารย์หนุ่มประสานมือไว้บนโต๊ะ แววตาหลังกรอบแว่นทำให้หัวใจที่เต้นแผ่วเบาหนักแน่นขึ้น "งานคุณชุ่ยมากบยอนแบคฮยอน ต่อให้งานไม่ซ้ำกับคนอื่นผมก็จะให้คุณส่งมาใหม่อยู่ดี"
"..."
"แก้งานคุณซะ ก่อนที่เกรดจะออกมาแล้วทำให้คุณต้องลงเรียนวิชานี้ใหม่"
"…"
"เข้าใจนะ"
"ครับ"
ร่างเล็กนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่ใต้ต้นไม้ เขาเพียงแค่รู้สึกเหนื่อยทั้งกายทั้งใจเหมือนโดนสูบพลังไปโดยอะไรสักอย่าง และไม่ว่าจะทำใจสู้มากแค่ไหน แขนขามันก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้
BaekYeol
12:45 P.M. ตอบผมหน่อยไม่ได้หรอ
12:46 P.M. ผมแค่อยากรู้ว่าพี่เป็นยังไงบ้างก็แค่นั้นเอง
12:47 P.M. พี่กำลังจะทำให้ชีวิตผมถึงจุดจบนะ
12:48 P.M. ผมกำลังจะสอบตกวิชาวาดรูป
12:48 P.M. ใจร้าย
แบคฮยอนลากจักรยานที่ใช้เป็นพาหนะออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัย เข็นมันไปเรื่อยๆจนสิ้นสุดลงที่ริมแม่น้ำสายหนึ่งไม่ไกลจากที่พักนัก
สูดหายใจเข้าลึกและผ่อนหายใจออกยาว ทำแบบนั้นอยู่หลายครั้งจนเหนื่อยแล้วหยุดไปเอง
สีฟ้าของท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มเรืองรองและจบลงด้วยสีดำสนิท เขานั่งอยู่ตรงนี้มาเกินห้าชั่วโมงโดยไม่ไปไหน ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกหนาว ไม่รู้สึกร้อน ไม่รู้สึกเมื่อย ไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความคิดถึง
ความคิดถึงที่แทรกแซงเข้ามามีบทบาทหลักเกินไปในความสัมพันธ์
"ชานยอล..." มือเล็กเอื้อมไปบนอากาศ "ผมจะเริ่มนับดาวแล้วนะ" แล้ววาดนิ้วชี้ไปตามจุดสีขาวของดวงดาวช้าๆ
ท้องฟ้าที่มองเห็นดวงดาวชัดเจนเพียงไม่กี่ดวงในตอนนี้ แต่เขากลับนับมันให้ครบทุกดวงไม่ได้จนนึกขำตัวเองในใจ ไม่ใช่เพราะมันยากเกินไปหรอก แต่เพราะ...
"ไหนบอกว่าไม่ต้องนับดาวหมดฟ้า พี่ก็จะกลับมาไง"
...เคยมีคนบอกเอาไว้อย่างนี้
"ต่อให้ผมนับมันจนหมดฟ้า พี่ก็ยังกลับมาไม่ได้ใช่ไหม"
แบคฮยอนปั่นจักรยานไปตามถนนสายคดเคี้ยว อ้าแขนสองข้างรับลมหนาวตอนกลางคืน ไม่ต้องกังวลหรอก...เขาน่ะเป็นเซียนปั่นจักรยานเลยนะ การปล่อยมือข้างเดียวมันกระจอกไป
โครม!
ร่างน้อยกลิ้งหลุนตกขอบถนนลงไปตามผืนหญ้าและหยุดลงก่อนจะตกยังลำน้ำเพียงแค่ไม่กี่นิ้ว รองเท้าผ้าใบหลุดไปข้างหนึ่ง และผิวหนังที่โผล่พ้นแขนเสื้อก็เป็นรอยบาดอีกเล็กน้อย
สิ่งมีชีวิตที่เขาพุ่งชนวิ่งลงทางบันใดเกือบสิบขั้นเพื่อมาสำรวจว่าเขายังหายใจอยู่หรือเปล่า
"ไม่เป็นไรนะ..."
"..."
"แบคฮยอน..."
"..."
แบคฮยอนร้องไห้เพราะน้อยใจว่าทำไมเขาถึงไม่กลิ้งตกลงไปในน้ำซะให้มันรู้แล้วรู้รอด บางทีมันอาจจะทำให้อาการอึดอัดได้ผ่อนคลายลงไปบ้าง
เขาคิดถึงชานยอลอีกแล้ว ...จริงๆก็คิดถึงอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ
แต่อุบัติเหตุครั้งนี้มันทำให้เขาคิดถึงคนที่อยู่อีกทวีปมากขึ้น หากชานยอลยังอยู่เขาก็คงไม่ต้องมานอนเป็นหนอนอยู่บนหญ้าแบบนี้หรอก
จะมากไปแล้วนะชานยอล!
"ลุกไหวไหม?" แบคฮยอนแปลกใจที่เห็นคริสอยู่ตรงนี้ยิ่งกว่าตอนอ่านข่าวว่าทำไมนักร้องชายชาวยุโรปคน หนึ่งถึงโดนถ่ายภาพเปลือยในสถานที่ส่วนตัวซะอีก "ซ้อนท้ายฉันไปดีกว่า ขึ้นมาเร็ว"
แบคฮยอนขึ้นคร่อมจักรยานตัวเองแต่เป็นเบาะหลัง เขาจับชายเสื้อคริสไว้กันหล่นและนั่งเงียบจนไปถึงใต้หอทั้งที่ไม่ได้บอกทาง
"รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่"
คนถูกตั้งคำถามกลอกตาซ้ายทีขวาที "เอ่อ เคยเห็นนายเดินออกมาจากที่นี่ไง"
ถึงจะรู้ว่าเขาโกหกแต่แบคฮยอนไม่อยากถามอะไรมากกว่านี้ หากมันจะโยงไปถึงคนที่ขอร้องให้เพื่อนที่กลายเป็นศัตรูมาช่วยดูแลตัวเองอย่างใกล้ชิด
ถ้าชานยอลจะทำขนาดนี้ทำไมเขาถึงไม่ดูแลแบคฮยอนเองไปเลยล่ะ
"ขอบคุณนะครับ"
"เดี๋ยวแบคฮยอน..." คริสรั้งคนตัวเล็กไว้ด้วยการดึงจักรยาน "คืนนี้อย่าออกไปไหนนะ ถ้ามีใครมาเคาะประตูก็ห้ามเปิดนะ มีอะไรฉุกเฉินโทรหาฉันได้ มีเบอร์ใช่ไหม?"
แบคฮยอนพยักหน้าอย่าง งงๆ "มีอะไรหรือเปล่า"
"เปล่า ไปเถอะ"
"มีอะไรก็บอกผมมาสิ"
"เอาหน่า ทำตามที่ฉันบอกก็พอ"
สีหน้าคริสดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นั่นจึงทำให้แบคฮยอนไม่ยอมเดินกลับเข้าไปด้านในและยังคงจ้องหน้าเหมือนจะหาเรื่อง
"ถ้าอยากให้ทำตามก็บอกมาก่อนสิ"
อ่า เจ้าตัวเล็กนี่มันนักเลงเก่าจริงๆเลยนะ
"ก็แค่เรื่องที่ใครบางคนเคยสร้างไว้แล้วเขาจะมาเอาคืนน่ะ"
"ชานยอลหรอ"
"อือ มันเคยมาตีกับเจ้าถิ่นแถวนี้ แล้วพวกนั้นรู้ว่านายเป็นน้องชายมัน..." คริสทำท่าตกใจแล้วยีผมตัวเองเหมือนหลุดพูดอะไรที่ไม่น่าพูดออกมา
"แล้วที่โดนชน ไม่เป็นไรแน่นะ"
"แรงกว่าแมวสะกิดนิดนึง ห่วงตัวเองก่อนเถอะ กลิ้งลงไปขนาดนั้น"
"ผมไม่เป็นอะไร"
"ทายาที่หลังมือด้วย เลือดออกน่ะ"
แบคฮยอนพยักหน้าแบบขอไปที จบบทสนทนาด้วยการเข็นจักรยานเข้าไปจอดแล้วล็อคล้อไว้กับราวเหล็ก เขายังคงเห็นคริสยืนอยู่ที่เดิมจนกระทั่งประตูลิฟต์ปิดลง
แน่นอนว่าเขารีบหยิลอุปกรณ์วาดรูปขึ้นมาทำงานที่ต้องแก้เพราะอาจารย์ไม่ได้ให้เวลามากนัก ไหนยังจะต้องอ่านหนังสือสอบอีก
แค่คิดหัวก็จะระเบิดเอาให้ได้เลย
ผ่านไปเกือบชั่วโมงเสียงท้องก็คำรามดังลั่น ในตู้เย็นไม่มีอะไรเหลือนอกจากน้ำเปล่า แบคฮยอนคิดว่าเขาต้องตายแน่ๆหากไม่ได้กินข้าวมื้อนี้ แต่คำเตือนของคริสยังคงกระเด้งกระดอนอยู่ในหัว
ถ้าให้เลือกระหว่างตายเพราะอดข้าวกับตายเพราะโดนซ้อมแบคฮยอนขอเลือกอย่างหลังดีกว่า ยังไงซะกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องและนักรบก็ต้องตายในสงครามอยู่แล้ว
เขาอาจจะคิดไปเองที่ว่าถนนด้านหน้ามันเปลี่ยว และมินิมาร์ทข้างล่างที่เคยเปิด24ชั่วโมงก็ปิดร้านเงียบราวกับจงใจจะหนีอะไรบางอย่าง
"ไม่มีอะไรหรอก คนขายท้องโตขนาดนั้นสงสัยจะลาคลอด"
ระหว่างทางแบคฮยอนรู้สึกเหมือนมีใครเดินตามแต่พอกันไปก็ไม่เจอใคร มันเหมือนกับหนังฆาตกรรมที่เคยดูเลย
มือเล็กกระชับฮู้ดบนหัวแล้วเดินก้มหน้าต่อไปแกล้งทำเป็นไม่สนใจแต่ข้างในกำลังกรีดร้องอย่างหนัก เขาอยากจะเลี้ยวกลับแต่คิดว่าตอนนี้คงทำไม่ได้
แล้วแบคฮยอนก็เจอเข้ากับทางตันเมื่อพบว่าด้านหน้ามีวัยรุ่นชายสองคนกำลังยืนรอเขาอยู่ มือสองข้างที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนั้นคงไม่ใช่เพราะอุ่นปลายนิ้วอย่างเดียวแน่นอน
เมื่อเท้าทั้งสองข้างหยุดลงก็เจอกับแรงกระแทกจากด้านหลัง ...ใครบางคนที่เดินตามเขามา
หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ มองซ้ายมองขวาไม่เจอตัวช่วยใดๆทั้งสิ้น
เอาวะ!!
และเลือดนักสู้ก็ทำให้เลือกการวิ่งหนี รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น!
แบคฮยอนวิ่งฉีกไปทางด้านข้างแล้วข้ามถนนเมื่อไฟสีเขียวกำลังแจ้งเตือน เขาไม่ได้หันหลังกลับมาเพราะกลัวจะเสียหลักล้มลง
โชคดีที่หยิบโทรศัพท์ติดมือลงมาด้วย
[บอกว่าอย่าออกมาข้างนอกไงเล่า!!] ปลายสายตะคอกขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
"ค คริส อยู่ไหน"
[หาทางวิ่งกลับหอให้ได้เลยนะ!!] แบคฮยอนรู้สึกผิดเพราะคริสดูจะหัวเสียเหลือเกิน
เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยผุดพราวขึ้นตามใบหน้าพร้อมกับความเจ็บแสบที่แล่นวนบริเวณแผลบนหลังมือ แบคฮยอนหลบอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อรอให้สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนสีแล้วจะได้วิ่งข้ามกลับไปอีกฟาก
BaekYeol
21:12 P.M. พี่!
ช่วยผมด้วย!!
แต่คืนนี้คงไม่มีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว
เด็กวัยใสนึกโทษตัวเองที่ชอบดื้อดันแหกกฎจนทำให้ตัวเองต้องมาวิ่งลนลานอยู่อย่างตอนนี้ แถมอากาศยังหนาวขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับความหิวของท้อง
มันอาจจะถึงจุดจบของชีวิตน้อยๆดวงนี้แล้วก็ได้
ขาสั้นก้าวสลับซ้ายขวาเมื่อสัญญาณไฟแดงเปลี่ยนสี แบคฮยอนวิ่งเข้าลิฟต์ตอนที่กลุ่มวัยรุ่นพวกนั้นหันมาพอดี และเขาคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่ก่อนหน้านี้ไม่เลือกสู้
เพราะถ้าเขาสู้...ปลายแหลมสีเงินของมีดด้ามที่เหน็บอยู่ตรงเอวนั้นคงเสียบทะลุชั้นไขมันเข้ามาทะลวงเลือดอย่างแน่นอน
แบคฮยอนหยุดอยู่หน้าประตูห้อง จ้องมองถุงขยะสีดำบนพื้นน่าสงสัยก่อนจะใช้เท้าเขี่ยจนมีอะไรบางอย่างหล่นลงมาจากด้านหลัง
มันทำให้หัวใจหยุดเต้นไปหลายวินาที
-----80%-----
แบคฮยอนย่อตัวลงหยิบกระดาษแผ่นเล็กขึ้นจากพื้น มันเป็นกระดาษพับทบสีครีมเนื้อสากที่มีลายมือคุ้นตาเขียนจ่าหน้าไว้ว่า...
'ถึงบยอนแบคฮยอน'
เขาคลี่กระดาษออกในขณะที่ไหล่เริ่มสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ก้อนสะอื้นตีขึ้นมาจุกอยู่กลางอกจนแสบร้อน มันซ่านไปทั่วใบหน้าก่อนน้ำตาจะเริ่มพรั่งพรูออกมา
'แบคฮยอน...
...พี่ขอโทษนะ'
แล้วเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ชายร่างสูงโปร่งอยู่ในเสื้อผ้าโทนสีเข้ม ท่อนแขนมีมัดกล้ามมากขึ้นกว่าเก่า เส้นผมสีชีสถูกเปลี่ยนกลับไปเป็นสีดำ และวูบหนึ่งที่ลมพัดผ่านมาทางหน้าต่างก็ทำให้กลิ่นสดชื่นประจำกายโชยเข้าจมูก
"ให้อภัยพี่นะ" พร้อมกับโทนเสียงหนักแน่นยิ่งกว่าภูผา ทำให้ค่ำคืนของการรอคอยที่ยาวนานเหมือนชั่วนิรันดร์ ก็พัดพาใครบางคนกลับมา
"ชานยอล!"
ร่างเล็กโผเข้ากอดอีกคนเต็มเหนี่ยว มันแน่นยิ่งกว่าการบีบรัดของอวัยวะตรงกลางหน้าอก แค่สัมผัสได้ว่าชานยอลไม่ใช่ภาพโฮโลแกรม ไม่ใช่ความฝันหรือจินตนาการ ก็เหมือนแบคฮยอนจะโผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
เขาหายใจสะดวกขึ้นแม้ในตอนที่สะอื้นฮักจนเหมือนคนต้องการออกซิเจน และต่อให้น้ำตาจะกำลังไหลพรากแต่มันไม่ได้แสดงออกถึงความเสียใจ
"กลับมาแล้ว"
เป็นเขาจริงๆ เป็นชานยอลคนที่แบคฮยอนคิดถึงจริงๆ
"พี่กลับมาแล้วแบคฮยอน"
หมดสิ้นการตั้งความหวัง เพราะเขาสมหวัง
กุญแจดอกเดียวที่สามารถไขล็อคแล้วปลดปล่อยสัตว์ที่ถูกขังให้ออกมาโผบินสู่อิสระ
"ขอบคุณ"
...คือชานยอล
"ขอบคุณที่กลับมา"
ไม่นึกเสียใจที่อดทนและตั้งหน้าตั้งตารอมาถึงขนาดนี้ ไม่เสียใจที่ยอมเสียใจถึงขนาดนี้ ต่อให้กำลังจะตายก็ไม่เสียใจเลย
"พี่ก็ต้องกลับมาอยู่แล้วสิ" ชานยอลเงียบไปสักพักเพื่อฟังเสียงสะอื้นไห้ แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับฟังมันทั้งรอยยิ้ม เป็นไม่กี่ครั้งที่ชานยอลหลงรักน้ำตาของแบคฮยอน
"ไม่ใช่..." ร่างเล็กส่ายศีรษะแผ่วเบา "หมายถึงขอบคุณที่กลับมาตอนนี้" และทำให้ความพยายามที่จะฝืนเข้มแข็งมลายไป
เหมือนจะมีเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากลำคอ มันเป็นเสียงหัวเราะที่มีความหมายว่าความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู "เหนื่อยไหม เป็นยังไงบ้าง"
"คิดถึง จนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว"
"เหมือนกันเลย" เขาเองก็คิดถึงแบคฮยอนไม่น้อยเลย ต้องพยายามมากแค่ไหนกับการหักห้ามไม่ให้ตัวเองเผลอกดโทรหาแล้วแสดงอาการงอแงเพราะอยากเจอกัน
"เมื่อกี้พวกพี่ใช่ไหม" ชานยอลสลัดร่างเล็กไม่ออกเหมือนที่แบคฮยอนไม่ยอมปล่อยร่างสูงไปไหน แม้กระทั่งตอนไขกุญแจเปิดเข้าไปในห้องทั้งคู่ก็ยังตัวติดกัน
"อือ" ร่างสูงจับเอวคนน้องให้นั่งลงแล้วโอบประสานมือเอาไว้ตรงหน้าท้อง
"มีใครบ้าง ผมจะได้ไปคิดบัญชีทีหลัง"
"เอาเหอะน่า โผล่มาธรรมดามันไม่ตื่นเต้น"
"พี่ทำให้ผมคิดถึงช่วงเวลาแห่งความตายเลยนะ"
"เวอร์ละ เห็นแต่ก่อนก็ชอบหาเรื่องเขาไปทั่ว"
"เลิกแล้วไง"
"ให้มันแน่" ชานยอลยื่นถุงดำที่หยิบเข้ามาด้วยให้ "เปิดดูสิ"
มือเล็กคลายปมถุงดำออกช้าๆพลางสอดสายตาเข้าไปมองด้านในแล้วล้วงมือเข้าไปอย่างระมัดระวัง ถึงมันจะเป็นถุงขยะแต่ชานยอลบอกว่าไม่ได้ใส่ขยะไว้
มันน่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่เมื่อได้เห็นแล้วหยาดน้ำตาจะต้องรื้นขึ้นมาอยู่ตรงขอบ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
แบคฮยอนเปิดกล่องกำมะหยี่เท่าฝ่ามือออก เผยให้เห็นแหวนเกลี้ยงสองวงเสียบอยู่ข้างกัน "นี่อะไร"
"แหวน"
"ใช่ผมรู้ แต่..."
"ถือว่าหมั้นไว้ก่อน"
"..." คิ้วเรียวขมวดเข้ากันแถมหูทั้งสองข้างยังอื้ออึง เหมือนจะยังไม่ค่อยเข้าใจกับประโยคเมื่อสักครู่เท่าไหร่
"ว่าไง"
"หมั้น ที่เขาทำกันก่อนแต่งงานน่ะหรอ"
"ใช่"
"จะแต่งงานกับผมจริงๆหรอ" และเพราะมัวแต่ให้ความสนใจแหวนจนลืมไปเลยว่าตัวเองไม่ได้นั่งอยู่ข้างชานยอล แต่กลับนั่งอยู่บนตักชานยอล
"ถ้าไม่แต่งกับเราพี่จะแต่งกับใครได้อีกล่ะ"
"ก็...ก็" ร่างเล็กรู้สึกสับสน
ชานยอลไม่ได้คิดว่าเขาจะอกตัญญูใส่ป๊ากับม๊า แต่เพราะเขารักแบคฮยอน ต่อให้อยู่ไกลกันคนละทวีป หัวใจเขาก็ยังคงเรียกร้องหาแต่แบคฮยอน
"แต่ในงานจะมีแค่เราสองคนเท่านั้นนะ ไม่มีคนอื่น"
"ทำไมล่ะ"
และแบคฮยอนชอบที่ตัวเองมีความรักแบบนี้ที่สุด ยิ่งความรักที่มอบให้ชานยอลคนเดียวด้วยแล้วเขาก็ยิ่งชอบ มันรู้สึกมีคุณค่า มีความหมายและมีความยิ่งใหญ่
"รักของเราจะไม่มีคนอื่น"
เพราะชานยอลมองเขาเป็นคนสำคัญอยู่เสมอ
ผู้ใหญ่อย่างป๊ากับม๊าอาจจะผ่านอะไรมามากกว่า เห็นอะไรมามากกว่า แต่ชานยอลเชื่อว่าการที่เขายังเด็ก เขาก็ควรจะได้เรียนรู้อะไรด้วยตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องความรักที่เขามั่นใจพอสมควรว่าถ้าเป็นแบคฮยอน
...เขาจะทำมันออกมาดี
"รักของเราจะมีแค่ ชานยอล กับ แบคฮยอน"
"ผมรักพี่"
"พี่ก็รักเรา"
และแค่นี้มันก็เพียงพอที่จะเป็นคำตอบแล้วว่า...ความรักของเขาทั้งสองคนจะเป็นความรักแบบชั่วนิรันดร์
เนิ่นนาน และมั่นคง
TBC.
#หัวไม้ชานแบค
ตอบข้อ4.จ้า
ผิดทุกข้อ
555555555555555555
จะจบแล้ว ไม่ใจร้ายให้น้องมีเรื่องกับใครแล้ว
ยกเว้นชานยอล
คริคริ
เยิฟยู
ความคิดเห็น