ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Lazy Center : OS , SF — chanbaek ft.EXO

    ลำดับตอนที่ #14 : OS : Alarm Clock {end}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.58K
      17
      18 เม.ย. 60


    os : alarm clock





     

     

    ผมเป็นโรคกลัวนาฬิกาปลุก ทำให้ทุกการนอนหลับไม่ค่อยสมบูรณ์สักเท่าไหร่นัก ถ้าหากก่อนเข้านอนในคืนนั้นผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ล่ะก็... แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าสักแค่ไหน ผมก็ไม่เคยหลับได้อย่างสนิทเลย

    ผมจะปลุกตัวเองให้ตื่นทุกครั้งเพียงแค่รู้ว่ากำลังนอนหลับ เพราะจะไม่ยอมให้เจ้านาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือมันมีสิทธิ์ได้ทำหน้าที่ของมัน

     

    06:29 น.

    ร่างสูงสะดุ้งตื่นก่อนจะคว้าเจ้ามือถือข้างกายมาดูเวลา เขาตื่นก่อนเสียงนาฬิกาปลุกเพียงแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น ...หนึ่งนาทีก่อนความกลัวจะทำงาน

    ทุกวันเขาจะตื่นมาทำอาหาร รดน้ำให้กับต้นไม้เล็กๆที่แขวนไว้ตรงระเบียงบ้าน จัดอาหารกลางวันไปกินที่ทำงาน ก่อนจะขึ้นคร่อมเจ้าจักรยานสีเขียวอ่อนขนาดพอดีตัวไปยังหน้าปากซอย

    ล็อคล้อรถไว้กับราวเหล็กกันถูกขโมย หยิบสูทที่พาดไว้กับบ่ามาเหวี่ยงเพื่อสอดแขนใส่ แล้วเดินไปอีกนิดเพื่อยืนรอรถยังป้ายรถเมล์

    มันเป็นภาพที่หาชมไม่ได้ทั่วไปในโลกปัจจุบัน จะมีอาจารย์สอนระดับอุดมศึกษาสักกี่คนกันที่เอาเวลาเร่งรีบในชีวิตมาแย่งขึ้นรถประจำทางที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ แถมมลพิษยังมากมายขนาดนี้

    "รังสิตครับรังสิต~ ไม่ขึ้นคันนี้คันหลังอีกนานนะครับ~" เสียงใสแจ๋วของเด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกิน20ปีตะโกนมาจากที่นั่งประจำตัวด้านหน้า

    กระเป๋ารถเมล์ตัวเล็กเป็นเพียงสีสันเดียวที่ทำให้อาจารย์หนุ่มยิ้มได้ในเช้าวันนี้ สอดส่องสายตาเพื่อเลือกที่นั่งด้านหน้าแล้วรอจนกว่าเสียงแก๊บๆของกระบอกตั๋วย้อนกลับมาถึงเขา

    "เท่าไหร่ครับ?"

    "แปดบาทตลอดสายครับผม"

    นั่นคือวิธีชวนคุยของชายหนุ่มอายุเกือบขึ้นเลขสามงั้นหรือ?

    ทำไมเขาถึงคิดว่าตัวเองน่าขันนักกับเรื่องแบบนี้ "ไม่ต้องทอนนะ"

    "หูย~ ไม่ได้หรอกครับ มันผิดกฎ" มือเล็กฉีกตั๋วยื่นให้พร้อมกับเงินทอน

    "งั้นเก็บไว้ ผมให้คุณเป็นติ๊ปไง"

    "ขอบคุณนะครับคุณน้าสุดหล่อ" ร่างสูงยกมือเกาหัวหลังจากกระเป๋ารถเมล์ยกมือไหว้แล้วเรียกตนว่าคุณน้า

    ทรงตัวกลับไปยังที่นั่งตัวเดิมด้วยสกิลสูงปรี๊ด หยิบกล่องโฟมสีขาวบรรจุหมี่ผัดขึ้นมาคีบเข้าปากคำโต ตามด้วยดูดน้ำจากกระติกใหญ่ที่คาดว่าจะหนักจนยกไม่ขึ้นจึงต้องยกตัวขึ้นไปดูดจากหลอดแทน

    "พ่อ คุณน้าคนนั้นเขาให้ติ๊ปผมด้วยแหละ ตั้งสองบาทแหน่ะ" ชายวัยกลางคนมองผ่านกระจกตามที่ลูกชายตัวแสบบอกเล่า

    "แล้วแกก็ไปเอาของเขาเนี่ยนะ"

    "ผมปฏิเสธเขาไปแล้วนะ แต่เขายัดใส่มือผมเอง"

    "แกนี่มันจริงๆเลยนะ"

    "ผมคนจริงไงพ่อ ผมจะเก็บเหรียญนี้ไปหยอดกระปุกหัวเตียง พ่อห้ามแคะของผมด้วย คราวก่อนผมรู้นะว่าพ่อแอบหยิบแบงค์สีแดงผมไปอ่ะ"

    "เขาเรียกยืม"

    "แล้วเมื่อไหร่พ่อจะคืนล่ะ" เสียงโหวกเหวกจากสองพ่อลูกดังลั่นรถ มันกลายเป็นเรื่องปกติซะยิ่งกว่าปกติเสียอีก

    แต่โชคดีที่รถเมล์ของสองพ่อลูกคันนี้ขับอย่างมีมารยาท แถมความน่ารักของคนลูกยังทำเอาไม่มีใครกล้ารำคาญได้ลง

    แก้มย้วยๆที่กลายเป็นสีชมพูอ่อนจากความเผ็ดร้อนของอาหารเช้า ปากบางคว่ำแต้มไปด้วยสีแดงน่าสัมผัส ดวงตาน่าเอ็นดูเหมือนสัตว์เลี้ยงเชื่องๆมีน้ำใสหล่อเลี้ยง เนื้อตัวขาวผุดผ่องเกินกว่าจะบอกว่าเป็นประชากรที่เติบโตมาพร้อมแสงแดดแผดเผาประเทศขนาดนี้

    "พ่อเลี้ยงแกหมดไปกี่แสนกี่ล้าน แค่เงินร้อยเดียวทวงอย่างกับพ่อไปเฉือนกระจู๋แกนั่นแหละ"

    "หึ่ย พ่ออย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นซี่" กระเป๋ารถเมล์ส่งผัดหมี่เข้าปากก่อนจะคาบตะเกียบค้างไว้เพื่อลดมือไปปิดเป้ากางเกง "ผมยอมให้พ่อทั้งกระปุกเลยถ้าพ่อจะเฉือน..." ทำท่าชะโงกไปดูสิ่งที่อยู่ภายใต้กางเกง "น้องแบงค์ขุ"

    "แบงค์ขุบ้าบออะไรไอ้แบงค์ ชอบตั้งชื่อสรรพสิ่งบนโลกไปทั่วเหมือนแม่แกไม่มีผิด"

    "พ่อไม่มีความละมุนในจิตใจเอาซะเลย" ว่าจบก็วางกล่องโฟมเปล่าไว้บนเบาะข้างๆแล้วชะโงกหน้าออกไปทางหน้าต่างเมื่อเทียบเข้าป้ายรถเมล์ถัดไป

    "รังสิตครับรังสิต~ ไม่ขึ้นคันนี้ต้องรออีกนานนะครับพ้ม~"

    อาจารย์หนุ่มนั่งมองข้างทางสลับกับกระเป๋ารถเมล์ไปจนถึงป้ายที่ต้องลง เขาหันกลับไปยิ้มให้เด็กผิวขาวอีกครั้งก่อนจะก้าวลงจากบันได

     

     

    "สวัสดีครับอาจารย์ฌอห์น" ร่างสูงเดินเข้ามาในห้องพัก วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมายังประตูที่มีผู้มาเยือน

    "นึกว่าสัปดาห์นี้จะไม่ได้เจอคุณแล้วซะอีก เชิญนั่งก่อนครับ" ร่างสูงดึงเก้าอี้อีกฝั่งของโต๊ะให้คุณหมอส่วนตัว เคลียร์ข้าวของเอกสารไปกองไว้บนตู้เหล็ก

    "พอดีผมมีกำหนดกลับกะทันหันน่ะครับ เลยมาหาอาจารย์เป็นคนแรก"

    "ผมควรจะยินดีใช่ไหมครับเนี่ย" อาจารย์หนุ่มยกยิ้มทั้งใบหน้า ส่งประโยคล้ออารมณ์ก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญ

    เขาสอดประสานมือทั้งสองข้างวางไว้บนโต๊ะตามความเคยชินเหมือนเวลาคุยกับลูกศิษย์ ราวสามนาทีเลยทีเดียวที่ทั้งห้องเงียบไปเพื่อฟังเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศ

    ตอนนี้ยังเช้าเกินไปที่ทางมหาลัยจะใส่เวลาลงในตารางเรียน ฌอห์นไม่ชอบเป็นฝ่ายไปหาอีกคนก่อน เพราะฉะนั้นถ้าถึงกำหนดวันที่ต้องเจอกัน 'หมอเซน' จะเป็นคนเข้ามาหาเขาถึงห้องพัก

    "จากที่เราคุยค้างกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว..." คุณหมอหน้าหล่อเป็นคนเริ่มบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบ "ผมบอกคุณไปว่าจะลองใช้สิ่งนี้กับคุณ"

    เสียงป๊อกแป๊กจากตัวล็อคของกระเป๋าดังขึ้น เมื่อเปิดออกก็พบกับสิ่งไม่มีชีวิตที่สามารถทำให้มีชีวิตได้โดยการใส่ถ่านก้อนเล็กให้มันเดิน นอนหงายอยู่สามตัวในนั้น

    "ผมจะตั้งนาฬิกาปลุกแล้วแอบไว้ในห้อง ให้คุณเป็นคนหาเพื่อจัดการปิดมัน"

    อาจารย์ฌอห์นกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เขากำลังพยายามรักษาโรคกลัวนาฬิกาปลุกให้กับตัวเอง จริงๆก็ลองมาหลายวิธีแล้วล่ะ รวมถึงวิธีนี้ก็ด้วย เพียงแต่ไม่ใช่กับจิตแพทย์คนนี้ก็เท่านั้น

    "แล้วถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ"

    "มันไม่ได้ผลหรอก..." จิตแพทย์หนุ่มปิดกระเป๋าแล้วล็อคมันกลับอีกครั้ง "แต่อย่างน้อยเราก็ยังได้พยายามนะ"

    หมอเซนขอตัวกลับหลังจากการทดลองไม่ได้ผล อาจารย์ฌอห์นหานาฬิกาปลุกเจอก่อนมันจะส่งเสียงดังซะอีก เขาไม่ได้เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำที่จะกลัวการวนเวียนของเสียง

    อาจารย์ฌอห์นไม่ได้กลัวเสียงนาฬิกาปลุก แต่เขาไม่ชอบให้นาฬิกามันได้ทำหน้าที่ปลุก

    อาจจะมีเรื่องฝังใจอะไรสักอย่างเกี่ยวกับมัน ซึ่งตอนนี้เรามีเวลาไม่มากพอที่จะทดลองในวิธีต่อไป

    จิตแพทย์เคยเอาเพลงโปรดเขามาตั้งเป็นเสียงเตือนและตั้งปลุกโดยที่เขาไม่รู้ตัว ตอนนั้นอาจารย์ยังท่องเนื้อเพลงได้เป็นทำนองยาวๆเลย แต่พอเฉลยว่ามันคือนาฬิกาปลุก ความกลัวก็ทำให้เขาใจสั่น




     

    "หัวลำโพงครับหัวลำโพง~ ไม่ขึ้นคันนี้จะเสียใจนะครับ หัวลำโพง~"

    เสียงใสแจ๋วจากเด็กชายคนเดิมทำให้เจ้าของร่างสูงต้องเงยหน้าขึ้นจากปลาย รองเท้าเพื่อเตรียมขึ้นรถ เขาสะบัดมือสองถึงสามครั้งหลังจากบานหน้าต่างหล่นลงมาทับนิ้วโป้งข้างซ้าย

    ในตอนที่เด็กชายคนนั้นเดินมานั่งเก้าอี้ว่างข้างๆพอดี

    "เป็นอะไรไหมครับ" ขอบคุณเหลือเกินที่เวลานี้ไม่มีผู้โดยสารมากนัก "ผมเห็นน้าทุกวันเลย พ่อบอกว่าน้าน่าจะเป็นอาจารย์"

    แต่การโดนเรียกว่าน้านี่มัน ... เห้อ~

    "ไม่เป็นอะไรครับ"

    "ว่าแต่ น้าเป็นอาจารย์จริงๆใช่ไหมครับ"

    "ใช่ ทำไมหรอ"

    "เยี่ยมเลย แล้วบ้านน้าห่างจากป้ายรถเมล์ที่น้าลงเยอะไหมครับ"

    "ก็พอสมควรนะ ทำไมหรอ"

    "ถ้าเดินเท้า ใช้เวลากี่นาทีหรอครับ"

    "ก็ ... สิบห้าล่ะมั้ง ทำไมหรอ"

    "บ้านน้าหลังใหญ่ไหมครับ เอางี้ หน้าบ้านมีอะไรวางไว้หรอครับ"

    "ก็มีต้นไม้เยอะๆ ทำไมหรอ"

    "โอเคเลย!"

    เด็กน้อยคนนี้ไม่คิดจะตอบคำถาม 'ทำไมหรอ' ของอาจารย์หนุ่มเลยสักครั้ง เอาแต่ตั้งคำถามที่ไม่รู้ว่าจะถามไปทำไมเหมือนกัน

    ไม่นานนักกระเป๋ารถเมล์ตัวน้อยก็ลุกไปทำหน้าที่ตัวเอง จนท้ายที่สุดก็ถึงป้ายรถเมล์ที่ชายหนุ่มต้องลง เขาหันไปมองเด็กคนนั้นเล็กน้อยเพื่อพบว่าโดนมองมาอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน

    "บ๊ายบายครับ" เพียงแค่นั้น... การเดินทางกลับบ้านของใครบางคนก็เรียกรอยยิ้มได้อย่างประหลาด

    ร่างสูงหยิบเอกสารขึ้นมาเตรียมการสอนในวันพรุ่งนี้ ทั้งที่ทำเป็นประจำทุกวัน แต่วันนี้กลับโดนรบกวนความคิดด้วยท่าทีน่ารักของเด็กชายบนรถเมล์เสียได้

    เขาเคยคิดว่าการใช้ชีวิตอิสระกับตัวเองอย่างเรียบง่ายไปแต่ละวันคือสิ่งที่หัวใจต้องการ ...แต่หากตอนนี้มันเปลี่ยนไป

    อาจารย์หนุ่มแอบคิดว่าปล่อยให้ตัวเองอยู่คนเดียวมานานแค่ไหนแล้ว อดทนกับความเหงาที่ก่อขึ้นแล้วกดมันไว้นานแค่ไหนแล้ว แค่คิดว่าชีวิตคนเราจะมีลมหายใจไปได้อีกนานเท่าไหร่กันเชียว และหากเขาอยากจะลองเติมความชุ่มชื้นดูบ้าง ... ลองดู

    แต่คิดไปก็เท่านั้น ในเมื่อตัวเขาเองแทบไม่มีอารมณ์จะอยากออกไปเจอผู้คน แน่ล่ะว่าด้วยงานที่ต้องเจอเด็กรุ่นอ่อนกว่า ก็มีที่ถูกตาต้องใจอยากทำความรู้จักบ้าง แต่ก็เท่านั้น

    เช้าวันนี้ไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วอย่างที่เคยเป็น กระเป๋ารถเมล์คนใหม่กลับเป็นผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เด็กชายคนเก่าแม้จะมีคนขับคุ้นตาก็ตาม

    "เจ้าแบงค์มันงอนผมน่ะครับ ขี้เกียจง้อ เลยปล่อยให้มันนอนเล่นอยู่บ้านซะเลย" คนเป็นพ่อพูดขึ้นหลังเห็นสีหน้าอาจารย์หนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

    และณอห์นก็ทำเพียงแค่ก้มหัวรับคำเท่านั้น

    จริงๆแล้วมันออกจะแปลกประหลาดเสียหน่อยที่วันนี้ร่างสูงไม่ได้ตื่นเต้นกับ การขึ้นรถเมล์ ก็นั่นล่ะ เพราะเขารู้ว่ายังไงซะ ขากลับก็จะไม่ได้เจอเจ้าเด็กคนนั้นอยู่ดี

    ผ่านไปเกือบอาทิตย์ ดูเหมือนทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ แต่มันผิดปกติตรงที่เขาไม่ได้เจอกระเป๋ารถเมล์คนเดิมอีกเลย กลายเป็นใครต่อใครมากมายที่ผลัดเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่ และมันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาดื้อๆ

    "ช่วงนี้คุณชอบฟังเพลงอะไรอยู่หรอครับ"

    "อย่าคิดเอาเพลงโปรดผมไปตั้งเสียงปลุกเลยเชียว"

    เสียงขู่โทนต่ำของอาจารย์หนุ่มเรียกเสียงหัวเราะกลั้วลำคอจากหมอส่วนตัวได้ เสมอ และหมอเซนก็ชอบนักล่ะที่จะหาวิธีทำให้คนตรงหน้าหยุดสนใจสิ่งอื่นแล้วหันมา สนใจเพียงเขา

    "ทำนองยังไงหรอครับ ช้าหรือเร็ว"

    "ผมไม่มีวันบอกคุณแน่ๆ"

    "งั้นเอางี้ ผมจะแอบเปลี่ยนเวลาปลุก..."

    "ไม่!" เหมือนได้ยินเสียงฟู่จากขนแขนที่พร้อมใจกันตั้งชัน อาจารย์ฌอห์นเพียงแค่ไม่อยากทำให้ตัวเองต้องกลัวอีกก็เท่านั้น "ผมต้องเข้าคลาสแล้วครับคุณหมอ เชิญครับ ประตูอยู่ทางนั้น ขอบคุณมาก ลาก่อน"

    "ไว้ว่างๆผมจะมาหาอีกนะครับ"

    ฌอห์นถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่อยากเข้ารับการรักษาอีกแล้ว โรคนี้มันแปลกขนาดนั้นเชียวหรอ มันก็ไม่ใช่โรคติดต่อสักหน่อยนี่นา ถ้าไม่สนิทกันจริงก็ไม่รู้หรอก

    วันนี้ถือเป็นการจบสัปดาห์การสอนที่แสนเหนื่อยอ่อน ร่างกายกำยำเหมือนจะเป็นไข้เสียให้ได้ ในขณะที่ปั่นจักรยานอยู่ในซอยบ้านเขาเห็นเด็กคนหนึ่งกับแมวตัวหนึ่งกำลังออด อ้อนกันอย่างสนุกสนาน

    แต่หากจะหันกลับไปมองอีกครั้ง ก็เหลือเพียงแค่แมวตัวเดียวเสียแล้ว

    แล้วค่ำคืนที่อากาศกำลังเคลื่อนไหว ของเหลวสีแดงในเทอร์โมมิเตอร์ที่ติดไว้หน้าบ้านลดลงช้าๆ ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาหา

    เสียงกุกกักดังขึ้นต่อเนื่องจนอาจารย์หนุ่มต้องย่องเบาอยู่ในบ้านตัวเอง เห็นเงาตะคุ่มหน้ารั้วแล้วนึกสงสัยว่าถ้าเป็นโจรจริงๆทำไมถึงไม่ปีนเข้ามา

    "น้า!!!"

    "เห้ย!!!"

    แม้จะทำใจดีสู้เสือแต่เด็กชายตัวน้อยที่เห็นทุกวันบนรถเมล์กำลังยืนยิ้มอยู่ ตรงหน้าเขา เนื้อตัวมอมแมมเหมือนวิ่งคลุกดินมาเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร ก็ทำเอาขายาวพับลงจนบั้นท้ายกระแทกกับพื้นปูนสากๆ

    อาจารย์ฌอห์นพูดอะไรไม่ออก แม้กระทั่งจะยันตัวลุกขึ้นเขายังหลงลืมวิธีการ แต่เพราะเด็กชายที่ชื่อแบงค์บอกว่าปวดฉี่ ทำท่าทางเร่งเร้าจนต้องยอมพาเข้าบ้านทั้งอาการมึนงง

    "บ้านน้าน่าอยู่มาก แต่เดินไกลกว่าที่ผมคิดไว้นิดหน่อย"

    "มา มาทำอะไรแถวนี้"

    "ผมทะเลาะกับพ่อ"

    "หนีออกจากบ้านหรอ!" ร่างสูงเผลอเสียงดังจนตัวเองยังตกใจ เขารู้ว่าเด็กแบงค์อะไรนี่อายุยังไม่ถึง16ปีด้วยซ้ำ กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ต้องการคนเข้าใจและการดูแลเป็นพิเศษ

    "ฟังก่อนซี่ ผมทะเลาะกับพ่อ แล้วไม่อยากเห็นหน้า"

    "นั่นแหละ หนีออกจากบ้านล่ะ"

    "ผมรู้ว่าผมผิด..." เด็กชายตัวน้อยก้มหน้าคอตกยอมรับ สีหน้าสลดลงในทันที และรับรู้ได้ว่าไหล่ห่อนั้นกำลังสั่น "แต่เพราะผมไม่อยากให้พ่อกับแม่ลำบาก"

    "..." อาจารย์ฌอห์นไม่เข้าใจว่าเด็กตรงหน้าเป็นอะไร แต่จากที่แอบสังเกตมาตลอดก็พอจะรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กเลวร้าย ไม่ใช่เด็กเกเร ออกจะดื้อไปเสียหน่อย แต่ไม่ได้หัวแข็งหัวรั้นขนาดนั้น

    "ผมอยากเรียนหนังสือ แต่ที่บ้านไม่มีเงิน ผมก็แค่อยากจะทำงานช่วยที่บ้านไปก่อน เอาจริงๆผมไม่เรียนก็ได้ แต่พ่อกับแม่จะต้องไม่เหนื่อยอย่างนี้"

    "ทะเลาะกับพ่อเรื่องนี้หรอ"

    "ครับ" เด็กน้อยตอบเสียงอ่อน

    "น้าขอพูดในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่นะ ไม่รู้เราจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหนเหมือนกัน..." เด็กชายแบงค์เงยหน้ามองคนหนุ่มด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ "พ่อกับแม่น่ะ ยอมทำทุกอย่างให้ลูกนั่นแหละ ที่เราคิดน่ะดีแล้วนะ จะได้เข้าใจว่าพ่อกับแม่เหนื่อย แต่ถ้ายอมเรียนตอนนี้ จะได้รีบเรียนจบแล้วทำงานเลี้ยงพ่อแม่ไง ท่านรอและก็หวังในตัวเราอยู่"

    "ครับ"

    "รู้ว่ายังไม่เข้าใจหรอก เอาเถอะ กินอะไรมาหรือยัง"

    "ยังครับ"

    "ออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อไหร่" จู่ๆก็รู้สึกเป็นห่วงเด็กดีคนนี้ขึ้นมาเสียดื้อๆ ตอนเขาอายุเท่านี้ ก็ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรมากขนาดนี้เลย อาจเป็นเพราะต้นทุนชีวิตที่ไม่เท่ากันล่ะมั้ง

    "เมื่อวาน"

    "แล้วเมื่อวานไปอยู่ไหน"

    "หน้าบ้านน้านี่แหละ"

    "แล้วนอนยังไง อาบน้ำที่ไหน ทำไมไม่เข้ามา แล้ว... แล้วได้กินอะไรหรือเปล่า"

    "ไม่ครับ"

    "เห้ย! ไม่หิวแย่หรอ"

    "หิวครับ"

    อาจารย์หนุ่มเกิดรู้สึกผิดเพียงแค่รับรู้ว่าเด็กน้อยคนนี้นั่งอยู่หน้าบ้าน ไม่กล้าเรียก ไม่กล้ารบกวน รู้สึกโกรธที่เด็กน้อยคิดว่าเขาไม่ต้อนรับ และรู้สึกขอบคุณที่เด็กน้อยไว้ใจ และคิดว่าเขาพึ่งพิงได้

    "อย่างนี้จะเอาอะไรไปเลี้ยงสมองล่ะ หืม?"

    "..." แต่ความรู้สึกเอ็นดูมันกลับตีชนะมากกว่า

    "เดี๋ยวน้าทำอะไรให้กินแล้วกัน ชอบกินอะไร"

    "อะไรก็ได้ครับ"

    "แสดงว่าหิวมากสิเนี่ย"

    "ครับ"

    เด็กน้อยนั่งกินอาหารเรียบง่ายอย่างเงียบๆโดยมีเจ้าของบ้านนั่งมองอยู่ฝั่ง ตรงข้าม ตอนนี้ดึกแล้ว และเขาคิดว่าเด็กชายแบงค์คงไม่ยอมกลับบ้านตอนนี้แน่ๆ

    "ที่นั่งเล่นแมวเมื่อตอนเย็นน่ะ เราใช่ไหม"

    "ครับ"

    "เด็กดื้อจังนะเราเนี่ย"

    "..." ร่างสูงทำเพียงดุเล็กน้อยแล้วยกจานข้าวไปวางตรงอ่าง

    "งั้นคืนนี้นอนที่นี่แล้วกัน ไปอาบน้ำนะ เดี๋ยวน้าหาชุดนอนให้"

    "..." เด็กน้อยจ้องหน้าตาแป๋ว แม้ว่าความแป๋วจะมีอยู่น้อยนิดก็ตาม

    "กลัวหรอ น้าไม่ทำอะไรเราหรอกน่า"

    บางที ... การเลือกเผชิญสิ่งใหม่ๆก็อาจนำพาสิ่งที่ใช่เข้ามาก็ได้ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าชอบอะไรจนกว่าจะได้ลองชอบอะไรสักอย่าง






     

    -ต่อ-


     

     

    อาจารย์ฌอห์นตื่นก่อนเสียงนาฬิกาปลุกห้านาที และพบว่าเด็กชายที่นอนข้างๆเมื่อคืนนั้นไม่อยู่บนเตียงแล้ว จึงคิดว่าจะลงไปหาชั้นล่าง แต่เพียงเท้าแตะบันใดขั้นแรก กลิ่นหอมของมื้อเช้าก็ลอยเข้าจมูกทันที

    "ทำอาหารเป็นด้วยหรอเรา"

    "นิดหน่อยครับ น้าลองชิมดูสิ แล้วชมผมด้วยนะ"

    เจ้าของบ้านนั่งลงหน้าถ้วยโจ๊กหมูไข่ลวกร้อนกรุ่นที่เด็กมัธยมวางไว้ให้ ตักชิมเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มพอใจแก่คนที่รอคำตอบ

    "ชม"

    "โหยน้า ชมว่าอร่อยสิ ผมตื่นมาทำตั้งแต่เช้าเลยนะเนี่ย"

    เขารู้สึกพอใจกับสีหน้าอ้อนออด นึกอยากแกล้งต่ออยู่เหมือนกันหรอก แต่ก็กลัวใจจะอิ่มก่อนท้องนี่สิ "อื้อ อร่อย"

    เด็กชายปรบมือเสียงลั่น "งั้นน้าอยากกินอะไรอีกบอกผมได้นะ ผมจะทำให้"

    "ได้ แต่น้าขออะไรอย่าง..." เด็กชายกลอกตาซ้ายขวาท่าทางลังเล "กลับบ้านเหอะ ป่านนี้พ่อเราเป็นห่วงแย่แล้ว"

    "น้า"

    "อย่าดื้อเลย ลูกหายไปทั้งคนไม่มีใครไม่เป็นห่วงหรอก"

    "แต่ผมยังไม่อยากกลับตอนนี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่วันนี้ นะครับ"

    ในใจอาจารย์หนุ่มพยักหน้าไปเรียบร้อยแต่ความเป็นจริงเขากำลังพยายามไม่ใจอ่อนเกินไป ไม่อยากให้เด็กคนนี้คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้นถูกต้อง แต่ก็ไม่อยากจะดุเพราะกลัวจะหนีไปที่อื่นอีก

    "งั้นอยู่ที่นี่จนกว่าจะอยากกลับบ้าน โอเคไหม"

    "ครับ" เด็กชายแบงค์ยิ้มสุดปาก เพียงเท่านั้นดวงตาที่เล็กเท่าเมล็ดข้าวก็ปิดลงไปทั้งดวง

    "ออกไปซื้อของกัน"

    "ครับ"

    เด็กน้อยว่านอนสอนง่าย ชี้นกก็เป็นนก ชี้ไม้ก็เป็นไม้ ฌอห์นที่ชินกับเด็กโตมากกว่าเพราะสอนแต่นักศึกษากลับรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับเด็กมัธยมคนนี้

    เขาเองก็เคยอายุเท่าแบงค์ แต่ก็ไม่ได้เชื่อฟังผู้ใหญ่ขนาดนี้ หนำซ้ำแบงค์ยังมองโลกในแง่ดีไม่มีวี่แววว่าจะเกเร ไม่งอแง ไม่ก้าวร้าว เป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงดูและสั่งสอนมาอย่างดี

    "อยากได้อะไรอีกไหม" ร่างสูงเอ่ยปากถามเมื่อเห็นว่าได้ของครบตามที่คิดไว้แล้ว

    "แค่นี้ก็พอแล้วครับ ผมคงไม่อยู่บ้านน้านานขนาดนั้นหรอก"

    "ขออะไรอย่างสิ"

    "ได้ครับ สำหรับน้าแล้วผมยอมทำทุกอย่าง"

    "เรียกพี่ได้ไหม โดนเรียกน้าแล้วมันแปลกๆอ่ะ"

    เด็กชายระเบิดหัวเราะ "ขอโทษครับ"

    "ยังไง ได้ไหม"

    "ได้ครับ"

    "ดีมาก" มือหนายีลงบนกลุ่มผมเด็กตัวเล็ก "ต่อไปนี้เรียกพี่ว่าพี่ฌอห์น หรือพี่เฉยๆก็ได้ โอเคนะ"

    "ครับ พี่ฌอห์น"

    ก่อนถึงมื้อเย็นอาจารย์หนุ่มโกหกว่าจะออกไปทำธุระ แต่จริงๆแล้วเขาเพียงแค่ออกไปยืนที่ป้ายรถเมล์เวลาเดียวกับตอนเลิกงานและนั่งไปหนึ่งป้ายเพื่อบอกคนขับรถคนนั้นว่าไม่ต้องเป็นห่วงลูกชายที่หายไป

    "ผมฝากเจ้าแบงค์มันด้วยนะครับ ผมผิดเอง"

    "ยังไงผมจะพยายามพูดให้น้องกลับบ้านเร็วๆนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วง"

    "ขอบคุณนะครับ และขอโทษที่ลูกผมไปรบกวนคุณด้วย"

    "ไม่เป็นไรครับ อยู่กับผมสบายใจได้"

    แกปล่อยน้ำตาออกมาเมื่อรู้แบบนั้น อย่างน้อยก็ทำให้ความหนักอกหนักใจหายไปเกินครึ่ง เขากินไม่ได้ นอนไม่หลับ ถามจากเพื่อนลูกชายที่พอรู้จักทั้งหมดแล้วแต่ก็ไม่เจอ เจ้าเด็กนั่นไม่เคยหนีออกจากบ้านมาก่อน เลยไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน

    "ฝากด้วยนะครับ ผมเป็นห่วงมากจริงๆ" ร่างสูงก้มมองมือที่ถูกรั้งไว้เมื่อรถจอดตรงป้าย ธนบัตรสีม่วงถูกยัดเข้ามาโดยคนเป็นพ่อ "แม้มันจะดูน้อย แต่อย่าปฏิเสธเลยนะครับ อย่างน้อยผมจะได้สบายใจว่าเจ้าแบงค์มันมีเงินซื้อข้าวกิน"

    อาจารย์หนุ่มเดินย้อนกลับมาหนึ่งป้าย ในมือถือธนบัตรหนึ่งใบไว้แน่น นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้รู้สึกว่าเงินแค่นี้มีค่ามากมายเหลือเกิน อย่างน้อยก็มีค่าเท่ากับความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีต่อลูก

    "ปกติอยู่บ้านพี่ทำอะไรหรอครับ"

    "ก็ดูทีวี อ่านหนังสือ นอน เรื่อยเปื่อย"

    "ไม่ออกไปเที่ยวหรอครับ"

    "ไม่ค่อยชอบที่คนเยอะๆ ทำไม หรือว่าอยากไปไหน"

    เด็กน้อยส่ายหน้า "ผมก็ไม่ชอบที่คนเยอะๆเหมือนกัน เจอคนจนเบื่อละ"

    พูดแค่นั้นก็เคี้ยวขนมที่ซื้อมาเมื่อกลางวันต่อ เวลาผ่านไปเรื่อยๆโดยรู้สึกช้าบ้าง ไวบ้าง รู้ตัวอีกทีเด็กมัธยมข้างกายก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว

    ร่างสูงช้อนคนตัวเล็กขึ้นไปนอนชั้นสอง มันคงจะดีกว่านี้หากชีวิตเขามีสีสันไม่ทำให้คนรอบตัวเบื่อหน่าย คิดได้อย่างนั้นก็คว้าโทรศัพท์ต่อสายหาเพื่อนสนิททันที

     

    ฌอห์นไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ แต่การที่เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มตื่นตากับสิ่งที่พบก็คงตอบคำถามในใจได้

    "พี่ครับ มานั่งข้างผมเร็ว" แบงค์กวักมือเรียก เด็กน้อยไม่เคยเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกมาก่อน มากสุดก็แค่ไกวชิงช้าในสนามเด็กเล่นให้สูงแล้วกระโดดลอยตัวลงมา

    "นั่งดีๆ"

    "พี่ดุเหมือนผมเป็นเด็กๆเลย"

    "ก็เด็กไง"

    แบงค์ยู่หน้าใส่ เขาจับสังเกตได้ว่าคนข้างๆมีสีหน้าไม่สู้ดีนักแต่ยังทำไก๋ไม่ยอมบอกว่ากลัว

    จนเมื่อเครื่องเล่นเริ่มขยับ ชายหนุ่มมีอาการแตกตื่นมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นจนเด็กตัวเล็กๆต้องยื่นมีไปจับมือใหญ่ที่กุมเข้าหากันแน่นก่อนจะหัวเราะร่วน

    มันกินเวลายาวนานที่สุดในชีวิตอาจารย์คนหล่อ มันแทบจะเป็นช่วงที่อยู่ใกล้ความตายเพียงเสี้ยว

    "พี่กลัว?"

    "ใครบอก"

    "ไม่เห็นต้องมีคนบอกผมก็รู้ว่าพี่กลัว ดูซิ หน้าซีดเชียวครับ"

    ฌอห์นตรงดิ่งไปตรงม้านั่ง แสร้งทำเป็นว่าอากาศร้อนก่อนจะยื่นเงินให้แบงค์ไปซื้อผ้าเย็น

    "จะไปเล่นอะไรก็ไปนะ พี่ร้อนมาก ขี้เกียจไปไหน"

    "พี่ครับ บอกผมมาสิว่าพี่กลัว คำเดียวเลย"

    "เปล่า"

    "..." เด็กน้อยจ้องหน้าเขม็ง

    "เออ กลัว เยี่ยวจะราดแล้วเนี่ย"

    "แล้วจะพาผมมาที่น่ากลัวแบบนี้ทำไมกันครับ"

    "ก็กลัวเราเบื่อ"

    ร่างเล็กก้มหน้า "ผมมาทำให้พี่ลำบากจริงๆด้วย"

    "อย่าคิดงั้น"

    "..."

    "เงยหน้า"

    "..."

    "แบงค์"

    "..."

    "นี่"

    "ผมขอโทษ"

    "เอ้า ร้องไห้" อาจารย์หนุ่มดึงเด็กข้างๆมาซบหน้าอก "เห้ย คนมองใหญ่แล้ว เดี๋ยวเขาก็คิดว่าพี่รังแกเราหรอก"

    "ฮือ"

    "ไปๆ เดี๋ยวพาไปกินขนม อยากกินอะไร เร็วๆ"

    อย่างน้อยน้ำตาจากดวงตาเรียวเล็กนั้นก็ทำให้อาการพะอืดพะอมของฌอห์นหายเป็นปลิดทิ้ง เขาพาเด็กตัวเล็กไปซื้อไอศครีมโคนแล้วพาไปนั่งในร้านที่มีเครื่องปรับอากาศ

    แบงค์หายงอแง

    "ผมไม่รู้ว่าลูกที่ดีต้องเป็นยังไง รู้แค่ว่าตอนนี้ผมกลายเป็นลูกที่ไม่ดีไปซะแล้ว"

    "คิดมาก เดี๋ยวก็กลับไปขอโทษพ่อซะ พ่อไม่โกรธหรอก"

    เด็กน้อยเงียบจนนึกหวั่นใจ จนกระทั่งเล่นเครื่องเล่นก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง แต่ร่าเริงในที่นี้คือการได้หัวเราะ(เยาะ)มนุษย์ร่างกำยำหน้าตาซีดเซียวเหงื่อแตกซกน่ะนะ

    ฌอห์นเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะหมดพลังไปแล้วทั้งวัน ต่างจากเด็กน้อยวัย15ที่อาสาทำงานบ้านให้ทุกอย่างตั้งแต่ ปัดกวาดเช็ดถู และขณะนี้เพิ่งจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเยื้องย่างเข้ามาในห้องนอน

    อุณหภูมิเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศทำให้คนตัวเล็กอยากซุกเข้าไปในผ้าห่มแบบทันที แต่สิ่งที่เขาทำก่อนจะล้มตัวลงนอนคือการเตรียมชุดทำงานให้เจ้าของบ้านสำหรับวันพรุ่งนี้

    มันคือสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เด็กชายอยากทำให้เพื่อแทนคำขอบคุณ

     

     

     

    06 : 27 น.

    อาจารย์หนุ่มปลุกตัวเองขึ้นจากฝัน เขาอาจจะชินกับการตื่นเวลานี้เสียแล้วก็เป็นได้ และสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจต่อจากการไม่พบเจอเด็กน้อยข้างๆนั้นคือชุดทำงานที่แขวนอยู่นอกตู้เสื้อผ้า มันคือชุดที่เขาคิดไว้เมื่อคืนว่าจะใส่ไปทำงาน

    "แบงค์"

    ภายในบ้านเงียบเชียบราวกับไร้สิ่งมีชีวิต

    "แบงค์" หรือว่าจะกลับบ้านไปแล้ว ... นั่นคือสิ่งที่ร่างสูงคิด

    แต่ก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิดเมื่อเห็นเด็กตัวน้อยยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ข้างบ้านด้วยท่าทางมีความสุข ปากเล็กๆขยับไปมาเปล่งเนื้อเพลง

    "แบงค์"

    "น้า!!" คิ้วร่างสูงขยับขึ้นฉับ "พี่"

    อาจารย์หนุ่มพยักหน้า "เดี๋ยวโดน"

    "ผมชินนี่นา พี่ตื่นก็ดีแล้วครับ ผมปิ้งขนมปังไว้เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน"

    เด็กชายแบงค์เดินไปหมุนปิดก็อกน้ำแล้วเช็ดมือกับกางเกง เป็นมื้อเช้าง่ายๆที่ผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะน้อยๆ เจื้อยแจ้วอย่างที่ฌอห์นชอบฟังระหว่างทางไปกลับมหา'ลัย วันนี้กลับได้ฟังใกล้ๆ ใกล้ชนิดที่ว่าอยู่ตรงหน้าจนเอื้อมมือออกไปจับถึง

    "วันนี้พี่ไปทำงาน เราจะทำอะไร"

    "ผมก็จะกินๆนอนๆ ทำงานบ้านให้พี่ด้วย"

    "ชอบทำงานบ้านหรือไงเราน่ะ"

    "ไม่ชอบหรอก แต่มาอาศัยอยู่บ้านคนอื่นก็ต้องขยันสิครับ"

    ฌอห์นออกไปทำงานเหมือนปกติ นั่นคือการปั่นจักรยานไปจอดไว้แล้วขึ้นรถเมล์ เขาเล่าพฤติกรรมเด็กชายให้ผู้เป็นพ่อฟัง ระหว่างเล่าใบหน้าหล่อเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เด็กคนนั้นไม่ได้ทำให้เขาอึดอัด ไม่ได้ทำให้ลำบากใจ

    กลับกัน ... เขาสบายใจจนคิดเห็นแก่ตัวไม่อยากปล่อยให้เด็กคนนั้นกลับบ้านเสียเลย

    อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุย เพื่อนกิน เพื่อนนอน

    คิดอย่างนั้นทั้งวันก็ตีตัวเองทั้งวันจนเลิกงาน

    "ฝากเจ้าเด็กดื้อนั่นอีกทีนะครับอาจารย์ฌอห์น"

    ชายหนุ่มรับคำแล้วลงรถเมล์เมื่อจอดเทียบป้าย ปั่นจักรยานกลับบ้านเช่นปกติ ทั้งที่ในใจยังกร่นด่าตัวเองไม่หยุด

    "กลับมาแล้ว"

    "กลับมาแล้วหรอครับ นั่งเลย เดี๋ยวผมทำกับข้าวให้"

    เจ้าของบ้านยิ้มร่า เปิดทีวีดูรายการวาไรตี้เพลินๆ

    เพล้ง!!

    "แบงค์!!"

    ร่างสูงลุกออกจากโซฟาหน้าทีวีก้าวขายาวๆเพื่อเข้าไปในครัว หลังจากเด็กตัวเล็กบอกว่าจะเข้าไปทำมื้อเย็นเพียงสามนาที

    "พี่ฌอห์น โทษที มือผมลื่น"

    "เป็นอะไรมากหรือเปล่า ไหนดูซิ"

    "พี่ พี่ครับ" เขาสำรวจร่างกายผู้อาศัยอย่างละเอียด โดยไม่ทันสังเกตว่าใต้ฝ่าเท้าของเขานั้นคือเศษกระเบื้องของจานที่ตัวน้อยเพิ่งทำหล่นแตก "พี่"

    "ไม่ได้โดนบาดใช่ไหม"

    "พี่!" เสียงเล็กเปล่งออกมาคล้ายเสียงตวาด นั่นทำให้อาจารย์หนุ่มรู้สึกตัวและก้มมองเท้าช้าๆ สีแดงของเลือดเปรอะไปทั่วบริเวณ "ทำไมเดินเข้ามาไม่ดูเลยล่ะครับ เห็นไหมเนี่ย เจ็บตัวเลย"

    ตัวน้อยบ่นกระปอดกระแปด ลากเก้าอี้มาให้ร่างสูงนั่ง เก็บกวาดเศษซากที่ตัวเองทำแตก วิ่งวุ่นหากล่องยาก่อนจะนั่งลงเช็ดแผล

    "..."

    "เจ็บไหมครับ วันหลังจะทำอะไรระวังหน่อยสิ ดีนะเนี่ยที่ไม่เป็นอะไรมาก ถ้าแผลลึกกว่านี้มีหวังต้องเข้าโรงพยาบาลแน่ หรือว่าจะไปโรงพยาบาล ไปไหมครับ เดี๋ยวผมพาไป"

    "เป็นห่วง"

    "ห้ะ?"

    "...เป็นห่วง" มือใหญ่ดึงคนตัวเล็กข้างหน้าให้ลุกขึ้น "พี่เป็นห่วงเราจนจะบ้าอยู่แล้วแบงค์"

    เจ้าของชื่อโดนดึงจนถลาเข้าอ้อมกอด ศีรษะที่ซุกอยู่ระหว่างหน้าท้องนั้นทำให้จั๊กจี๋

    "ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย"

    "ดีแล้ว อย่าเป็นอะไรนะ ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด"

    เด็กน้อยอมยิ้ม "รู้แล้วครับ"

    อาจารย์หนุ่มลางานสองวัน ในสองวันนั้นเขาไม่ต้องตื่นเช้า และพบว่าเมื่อไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก เขาก็ไม่ได้ตื่นก่อนนาฬิกาจะปลุกอย่างที่คิดไว้ กลายเป็นว่าสองวันที่ผ่านมาเขาตื่นด้วยเสียงใสของเด็กชายที่เข้ามาพร้อมมื้อเช้าและยาหลังอาหาร

    มันค่อนข้างลำบากแต่ก็ได้อีกคนช่วยเอาไว้ตลอด

    แต่วันนี้แบงค์กลับบ้านไปแล้ว กลับไปพร้อมกับธนบัตรสีม่วงที่คนเป็นพ่อยัดใส่มือเขาวันก่อน เพราะเขาเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้กลับไปทำหน้าที่ลูกที่ดี

    และเจ้าตัวน้อยสัญญา ... สัญญาว่าจะกลับมาช่วยดูแลคนเจ็บที่เดินเหินลำบากอย่างเขา

    เขาอดทนรอไปสองวันเต็มๆ เป็นสองวันที่ต้องไปทำงานทั้งขายังเจ็บ และสองวันที่ต้องอยู่อย่างลำบาก ไม่มีมื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น ไม่มีเพื่อนกิน เพื่อนนอน เพื่อนคุย

     

    06 : 30 น.

    กริ๊งงง~

    เป็นเช้าวันเสาร์ที่แสนเปล่าเปลี่ยว เขาสะดุ้งสุดตัวเพราะเจ้านาฬิกาข้างเตียง หัวใจดวงเท่ากำปั้นสั่นระรัว นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ยินเสียงนี้ วันนี้เขาปิดมันไม่ทัน ทำให้มือใหญ่ชื้นเหงื่ออยู่ในอุณหภูมิ25องศา

    เขาร้องไห้ ... ร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัว มันเป็นเพราะอาการกลัวที่แสดงออกผ่านหยดน้ำตา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นเพราะอะไร มันเหมือนตกใจจนโดนกระชากไปอีกทางอย่างนั้น

    "พี่"

    "..." เด็กชายขึ้นมาพร้อมอาหารเช้า ที่เจ้าของบ้านเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่

    "ร้องไห้หรอครับ เกิดอะไรขึ้น เจ็บแผลหรอ"

    "เปล่า"

    "หรือว่าฝันร้าย"

    "ไม่มีอะไรหรอก แล้วเราล่ะ เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่"

    "ผมมาสักพักแล้วครับ ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกพอดีเลยขึ้นมา คิดว่าพี่คงจะตื่น"

    อาจารย์หนุ่มยื่นมือไปจับมือเล็ก "ขอบคุณนะ"

    คืนนั้นเป็นคืนแรกที่เขานอนตะแคงเข้าหาอีกคน จ้องมองใบหน้ายามหลับจนผล็อยหลับไป เด็กน้อยไร้พิษภัยคนนี้ตามเข้ามาสร้างรอยยิ้มถึงในฝัน

     

    06 : 30 น.

    กริ๊งงง~

    เป็นอีกเช้าที่ร่างสูงตื่นขึ้นมานั่งร้องไห้ ตอบคำถามเดิมกับเด็กน้อยที่ขึ้นมาพร้อมมื้อเช้าและยาหลังอาหาร

    "พี่ฝันร้ายใช่ไหมครับ บอกผมมาเถอะ"

    "เปล่า"

    "ผมเป็นห่วงพี่นะ เผื่อว่ายาตัวนี้จะแรงเกินไปจนทำลายระบบประสาทอะไรทำนองนั้นผมจะได้บอกหมอไง"

    "รู้ดีนะเราน่ะ มานั่งนี่เลย" ชายหนุ่มนอนหนุนตักเล็กๆ ก่อนมือเรียวจะลูบผมเขาราวปลอบประโลม เขารู้สึกดีขึ้น มันไม่ถึงกับดีมาก แต่ก็ดีขึ้นมาก

    จนอดแปลกใจไม่ได้ว่าเด็กคนนี้ท่องคาถาอะไรใส่เขา

     

    06 : 30 น.

    กริ๊งงง~

    อาจารย์หนุ่มนึกสงสัยว่าทำไมช่วงนี้เขาปล่อยให้โดนนาฬิกาปลุกทำร้ายอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่เพราะเด็กคนนี้เฉลยว่าฤทธิ์ยาทำให้เขาหลับลึกกว่าปกติแล้วล่ะก็

    "ผมคุยกับพ่อแล้ว"

    "พ่อว่าไง"

    "พ่อบอกว่าไม่อยากให้ผมหยุดเรียนเพราะกลัวจะขี้เกียจ"

    คนหนุ่มกว่ายกยิ้ม "ก็ถูกของพ่อ"

    "และผมหางานช่วงเย็นทำได้แล้วด้วย"

    "ทำอะไร ที่ไหน"

    "ร้านขายของแถวบ้านครับ ลุงแกอยากได้คนช่วยอยู่พอดี"

    "ทำถึงกี่โมง"

    "ก็น่าจะห้าโมงถึงห้าทุ่ม"

    "ทุกวันเลยหรือเปล่า"

    "ไม่ครับ สลับกับพี่อีกคน" ในขณะที่พูดคุยนั้นร่างเล็กก็ทำงานบ้านไปด้วย

    "แล้วจะมาที่นี่ทุกวันหรือเปล่า"

    "ทำไมหรอครับ พี่รำคาญผมแล้วหรอ" เด็กชายปล่อยไม้กวาดในมือลง "เบื่อผมแล้วหรอครับ"

    "...เปล่า"

    "แล้วทำไมถามแบบนั้นล่ะ ผมกลัวนะ"

    "พี่อยากให้เรามาทุกวันเลย ได้ไหม"

    "ได้สิครับ ถ้าวันไหนไม่น็อคซะก่อนนะ"

    "พี่จ้างละกัน จ้างมาทำงานบ้าน ทำกับข้าว มาแค่ตอนเช้าก็ได้"

    เด็กชายพยักหน้า...

     

    06 : 30 น.

    กริ๊งงง~

    มันเป็นอีกเช้าที่อาจารย์หนุ่มกดปิดนาฬิกาปลุกด้วยใจระรัว แต่ก็ได้ไม่เท่าไหร่เพราะเขารู้ว่าหลังจากเสียงนี้จะมีใครบางคนปรากฏตัวเพื่อเข้ามาปลอบใจเสมอ

    แบงค์ตื่นเช้ามาทำอาหารให้อาจารย์หนุ่มทุกวัน บางวันก็นอนค้างบ้าง แต่ไม่บ่อยนักเพราะต้องไปทำงานช่วงเย็น

    บางวันเด็กชายก็เข้ามาก่อนนาฬิกาจะปลุก และทำตัวเป็นนาฬิกาปลุกโดยการสัมผัสผิวแก้มเบาๆ และแน่นอนว่าเป็นการสัมผัสด้วยจมูก

    มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไหลไปช้าๆในรูปแบบที่ไม่ได้แสดงออกด้วยคำพูด แต่เป็นการแสดงออกด้วยการกระทำมากกว่า เพราะหากใครสักคนจะรักใครสักคนแสดงว่าต้องไว้ใจและให้ใจในระดับหนึ่ง

    ฌอห์นรู้ว่าด้วยช่วงอายุที่แตกต่างมันทำให้เขาปรึกษาปัญหาบางเรื่องไม่ได้ แต่ถึงเด็กชายคนนี้จะแก้ปัญหาให้เขาไม่ได้แต่ก็ไม่เคยเอาปัญหามาให้ และสิ่งที่ทำให้ฌอห์นภูมิใจว่าเลือกทางไม่ผิดคือการที่ได้เห็นเด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

    ฌอห์นเสนอว่าจะช่วยออกค่าเล่าเรียนให้หากเข้ามหาลัย แต่นั่นคงไกลไปและยังใช้เวลาอีกตั้งหลายปี ข้อเสนอนั้นจึงโดนปฏิเสธ

    "ปีหน้าปีสุดท้ายแล้วนี่เรา คิดหรือยังว่าอยากเรียนต่อที่ไหน" จนมาถึงวันที่ข้อเสนอเก่าเกือบได้ใช้ วันนี้เด็กชายแบงค์โตขึ้นแล้ว

    "ผมอยากเป็นทนาย"

    "อันนี้ความฝันพ่อหรือความฝันเราเอง"

    "ผมครับ พ่อเห็นด้วย"

    อาจารย์หนุ่มที่อายุเข้าเลขสามหยกๆพยักหน้า "งั้นพี่ก็เห็นด้วย"

    "ขอบคุณครับ"

    "ปิดเทอมเราอยากไปเที่ยวไหนบอกได้เลยนะ พี่จะเป็นคนพาเราไปเอง"

    "งั้น...ผมขออะไรอย่างหนึ่งก่อนได้ไหมครับ"

    "ว่ามา"

    "เลิกแทนผมว่าเราได้ไหมครับ" คนฟังทำหน้าฉงน "ผมอยากให้คำว่าเรามีความหมายว่าพี่กับผม"

    "..."

    "ไม่ใช่หมายถึงผม แต่มันหมายถึงพี่กับผมน่ะครับ"

    อาจารย์หนุ่มโน้มลงไปประกบปากเด็กตัวน้อยเบาๆ "แล้วให้แทนว่าอะไร"

    "นั่นสิ"

    "แทนว่าเรานี่ล่ะ เพราะเรามีความหมายทั้งพี่ทั้งเราอยู่ในคนเดียวกัน"

    "บ้า"

    "เอ้า หน้าแดงทำไม"

    "พอเลย"

    ชายหนุ่มกอดนาฬิกาปลุกของตัวเองแน่น เขาไม่คิดรักษาโรคกลัวนาฬิกาปลุกอีกต่อไป ในเมื่อทุกครั้งที่เกิดอาการกลัว เด็กน้อยของเขาคนนี้ก็จะเดินเข้ามาปลอบใจเสมอ

    กลายเป็นนาฬิกาปลุกที่คอยทำให้สบายใจอยู่ทุกครั้ง แม้จะหวาดระแวงแค่ไหน แต่เมื่อรู้ว่าเพราะต้องตื่นขึ้นมารักใครสักคนที่ก็รักเขาเหมือนกัน ... แค่นั้นมันก็สุขใจแล้ว

    "พอเรียนจบมหาลัยแล้วแต่งงานกับพี่นะ"

    "อีกตั้งหลายปีแหนะ"

    "ก็ดีสิ เราจะได้อยู่กับพี่อีกนานๆไง"

    เด็กน้อยพยักหน้า...

    เขาให้อาจารย์หนุ่มเป็นรักครั้งแรกและรักครั้งเดียว เพราะในเมื่อมันเป็นรักที่ดีที่สุดจนไม่ต้องไปหาใครอีกแล้ว เขาเชื่อว่าอาจารย์คนนี้จะไม่ทำให้เขาต้องหักหลังความคิดตัวเองเพื่อไปหารักครั้งอื่น


               ... และเขาจะไม่มีรักครั้งอื่น


     

     






    #ficlazycenter

    ไม่มีการบอกรักใดๆทั้งสิ้น
    เย่

     

     

    ©
    t
    h
    e
    m
    y
    b
    u
    t
    t
    e
    r
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×