ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Lazy Center : OS , SF — chanbaek ft.EXO

    ลำดับตอนที่ #3 : OS : 1สัปดาห์มี7วัน {end}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.37K
      30
      17 ก.ย. 61





     
         

     
              คุณคิดว่าโหลแก้วหนึ่งใบสามารถใส่อะไรได้บ้าง?

     

    สำหรับผมแล้ว...โหลสีใสใบนี้เอาไว้ใส่เรื่องราวในชีวิตของผมเอง มันเป็นตัวกำหนดว่าวันนี้จะต้องเจอกับอะไรและคลื่นของชีวิตจะเป็นแนวไหน

     

     

    1.วันอาทิตย์สีแดง

     

    เช้าของทุกวันผมจะล้วงมือควานหยิบกระดาษม้วนเล็กในขวดโหล ค่อยๆคลี่มันออกเพื่ออ่านลายมือแสนชุ่ยของตัวเอง

     

     

    'ร้านกาแฟ'

     

     

    แล้วก็ม้วนมันกลับเหมือนเดิมเพื่อหย่อนลงไปในโหลสีทึบอีกใบหนึ่งข้างกัน

     

    เท้ายาวก้าวย่ำไปตามถนนสายหลักที่จะนำไปสู่จุดเริ่มต้นของวันอย่างแท้จริง ท้องฟ้าเปิดโล่งเหมาะกับฤดู มันไม่หนาวเกินไปและไม่ร้อนเกินไป

     

    แสงกระทบระหว่างดวงอาทิตย์กับเสาไฟฟ้าทาบทับเป็นแนวเส้นบนพื้นคอนกรีต

     

    ผู้คนต่างมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ต้องการ บางคนรีบร้อนแต่บางคนก็แวะเวียนร้านค้าระแวกนั้น

     

    เสียงกระดิ่งดังขึ้นเมื่อผมออกแรงผลักประตูร้านเข้าไป กลิ่นกรุ่นของเมล็ดกาแฟคั่วบดทำให้เช้าวันนี้เป็นวันที่ดีวันหนึ่ง

     

    'Park's ChanYeol'

     

    แปลว่าสวนของชานยอล หรือจริงๆแล้วมันมาจากชื่อผม 'ปาร์คชานยอล' นั่นเอง

     

    ผมเปิดกิจการเล็กๆเป็นของตัวเองเมื่อสามปีที่แล้วโดยส่งต่อให้น้องชายต่างสายเลือดเป็นผู้จัดการ และจะแวะเวียนเข้ามาอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น

     

    ...เหมือนเช่นวันนี้

     

     

     

    ร้านที่ผมเป็นคนออกแบบและลงมือสร้างขึ้นมาเองกับมือจะถูกดูแลอยู่เสมอ

     

    พ่อผมเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ ส่วนแม่ก็ชอบดอกไม้สวยงาม แต่ท่านทั้งสองจากไปก่อนที่ผมจะปิ๊งไอเดียร้านออกเพียงแค่หนึ่งเดือน

     

    ถ้าจะบอกว่าร้านนี้มาจากความสูญเสียก็คงไม่ใช่ซะทั้งหมด ผมว่ามันมาจากความรักของพ่อกับแม่จนก่อเกิดเป็นผมซะมากกว่า

     

    "ไค"

     

    เด็กหนุ่มผิวสีเข้มหันขวับเหมือนตกใจ เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกปลดกระดุมสองเม็ดบนเพื่อโชว์แผงอกเซ็กซี่ขยี้ใจสาว

     

    "โอ้วพี่จอห์น"

     

    "ทำไมวันนี้มาเช้าจัง"

     

    "ผมเปลี่ยนมาเข้ากะเช้าแล้ว ตอนเย็นไปรับอีกจ๊อบ หาเงินกันหน่อย"

     

    "มีแฟนหรือไง"

     

    "ชัวร์ ใช่ว่าจะต้องหล่อแบบพี่จอห์นอย่างเดียวถึงจะมีแฟนหรอ ผมก็หล่อในแบบของผมนะ"

     

    ผมส่ายหัวใส่สีหน้ากวนประสาทของรุ่นน้องคนสนิทที่มาของานทำเมื่อหลายเดือนก่อน

     

    ไคเป็นคนมีเสน่ห์เหลือร้ายที่ตนเองไม่รู้ตัว เขาเป็นคนซื่อและตามคนไม่ค่อยทันถึงแม้จะเรียนจบไฮสคูลมาจากเมืองนอก แต่ไม่ได้ติดนิสัยของทางยุโรปกลับมาเอเชียเลย

     

    แถมยังออกเสียงชานยอลไม่ได้จนรวบเสียงกลายเป็นจอห์นซะดื้อๆ แต่ก็เอาเถอะ...จะเรียกผมว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ

     

    "แล้วใครเข้ากะดึกแทนล่ะ"

     

    "คิม"

     

    คงลืมบอกไปว่าไคมีฝาแฝดชื่อคิมจงอิน แต่เป็นฝาแฝดที่เหมือนกันแค่หน้าตาเท่านั้น ไม่ได้ซึมซับนิสัยกันมาเลยสักนิดเดียว

     

     

    ลูกค้าโต๊ะเดียวของร้านในวินาทีนี้นั่งเหม่อมองท้องฟ้าผ่านกระจกใส คาราเมลนมสดถูกวางลืมไว้จนหยดน้ำเกาะพราวเต็มแก้ว

     

    ผมหยิบผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มออกมาจากลิ้นชักแล้วผูกเข้ากับเอว ชงชาเขียวให้ตัวเองแก้กระหายสักนิดก่อนจะเริ่มจัดเรียงก้อนเค้กในตู้

     

    "พี่ ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"

     

    "อืม"

     

    ตอนนี้มีเพียงเสียงเมโลดี้เบาๆเปิดคลอระหว่างรอลูกค้า ร้านผมเปิด24ชั่วโมง ถึงคนจะไม่เต็มร้านแต่ก็มีเข้ามาตลอดเวลา

     

    ร่างบางของลู่หานถือบัวรดน้ำเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ต้นไม้หน้าร้าน ปากหยิบขยับบางเบาไปตามนิสัย

     

    ภาพตรงหน้าทำให้ผมสามารถยกยิ้มได้ไม่ยาก ครั้งใดที่ได้มองลู่หานรดน้ำต้นไม้ผมจะคิดถึงพ่อ และเวลาเห็นเขาร้องเพลงให้ต้นไม้ฟังผมจะนึกถึงแม่

     

     

    ผมไม่ได้จ้างให้เขามาเป็นคนสวนเพราะผมเองเคยมีคนสวนประจำร้านแต่ลุงแกลาออกไปตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว

     

    ในระหว่างที่ผมเปิดรับสมัครคนสวนคนใหม่ก็มีลู่หานนี่แหละที่เดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า 'คุณไม่ต้องจ้างคนสวนหรอกครับ ผมจะดูแลต้นไม้พวกนั้นให้คุณเอง ผมไม่เอาเงินเดือนเพิ่มด้วยนะ'

     

    แล้วลู่หานก็ควบทั้งงานเสิร์ฟและงานคนสวนไปโดยปริยาย

     

     

     

    "โทษนะครับ ผมขอ..." เสียงพูดดังขึ้นเรียกสายตาให้หันไปสนใจ เขาเงียบลงเพื่อใช้ความคิดในขณะที่ไล่นิ้วกับอากาศไปบนเมนู "มอคค่าเย็นกับบานอฟฟี่ครับ"

     

    "รอสักครู่นะครับ" ผมยื่นเครื่องเรียกคิวให้กับลูกค้าคนเดิมที่ปล่อยคาราเมลนมสดละลายจนสีขาวของนมจางลงไปอีก

     

    เขาลากร่างกายหงอยเหงาของตัวเองกลับไปยังโต๊ะเพื่อรอเวลาให้เครื่องกลมๆสั่น จุดวางสายตายังคงเป็นท้องฟ้าเหมือนเดิม

     

    ผมตัดสินใจเดินไปเสิร์ฟเขาถึงที่แล้วถือวิสาสะนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

     

    "เครื่องดื่มไม่อร่อยหรอครับ?"

     

    "อ่า เปล่าครับ ผม...แค่รู้สึกแย่น่ะ"

     

    "ผมเคยเจอคุณที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?"

     

    "ผมพักอยู่แถวนี้แหละครับ" ริมฝีปากบางยกยิ้มแผ่วเบา หยิบแก้วมอคค่าขึ้นดูดแล้ววางลงด้านซ้าย ตักบานอฟฟี่เข้าปากแล้วขยับไปวางทางด้านขวา "โอ๊ะ! เกือบลืมแหนะ ค่าเครื่องดื่มเท่าไหร่ครับ"

     

    "จะว่าอะไรไหมครับถ้าผมจะขอเลี้ยงคุณ"

     

    "เลี้ยงหรอครับ? เนื่องในโอกาสอะไร?"

     

    ผมจ้องแววตาของเขาอย่างสนใจ มันดูงุนงงและอยากรู้เหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ

     

    "นานๆผมจะเข้ามาที่ร้านสักครั้งน่ะครับ"

     

    "ไม่สมเหตุสมผลเลย"

     

    "เอาเป็นว่า...คุณคือลูกค้าคนแรกของผมแล้วกัน"

     

    "..."

     

    "ผมปาร์คชานยอลครับ"

     

    เขายังคงทำหน้าสงสัยขมวดคิ้วจนเป็นปม ผมลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งตรงประตูร้าน เอ่ยต้อนรับลูกค้าคนใหม่ก่อนจะรับออเดอร์

     

     

     

    จนเมื่อตะวันตกดินพนักงานก็เปลี่ยนเป็นอีกชุดนึง

     

    ไคเดินเข้าไปหาฝาแฝดตัวเองจนคิมจงอินต้องไล่ตะเพิดให้ไปไกลๆเพราะเขาขี้รำคาญ

     

    ภาพแบบนั้นหลายคนเห็นจนเริ่มชินตาไปเสียแล้ว จงอินเย็นชาและสายตาของเขาก็แข็งกระด้างไปด้วย แต่นั่นกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนหลงใหลในตัวเขามากที่สุด

     

    "นึกว่าชาตินี้ผมจะไม่ได้เจอพี่แล้วซะอีก"

     

    "แล้วใครใช้ให้เข้ากะดึกล่ะ"

     

    ผู้จัดการร้านทักทายเสียงนิ่งเนิบ แต่เจ็บแสบยิ่งกว่าพริกขี้หนู นี่แหละ 'คยองซู' น้องต่างสายเลือดของผม เขาเป็นรุ่นน้องข้างบ้านสมัยเด็กที่ทั้งเก่งและขยัน

     

    ผมชอบไปเล่นบ้านคยองซูเพราะแม่เขาทำขนมอร่อย ครอบครัวเราสนิทกันตั้งแต่ผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำ

     

    "ผมอยู่กะเดียวกับไคไม่ได้หรอกพี่ก็รู้"

     

    คนโดนพูดถึงยักไหล่แบบไม่รู้ไม่ชี้

     

    ไคมักเป็นตัวปัญหาของร้าน ไม่ใช่ว่าเขานิสัยไม่ดีแต่เป็นเพราะนิสัยชอบแกล้งต่างหาก ยิ่งคนขี้โมโหแบบคยองซูด้วยแล้วถือเป็นอาหารอันโอชะเลยทีเดียว

     

    "ผมขอตัวกลับก่อนนะครับเจ้านาย"

     

    เสียงหวานของลู่หานทำผมใจสั่นทุกครั้ง เขามักทำตัวเหินห่างกับทุกคนและเรียกผมว่าเจ้านายเสมอ โลกส่วนตัวของเขาไม่มีใครสามารถพังเข้าไปได้ทั้งหมด

     

    "กลับยังไง"

     

    "เดิน"

     

    และผมก็ชอบเวลาเห็นพนักงานเป็นห่วงเป็นใยกัน

     

     

     

    ไคกับคยองซูอยู่กะเดียวกันไม่ได้เหมือนกับที่ไคกับจงอินก็อยู่กะเดียวกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นคยองซูจะถูกจับคู่ให้อยู่กับจงอินทุกครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงมนุษย์บ้าพลังอย่างไค

     

    ลู่หานเป็นคนเดียวที่ต้องอยู่กะเช้าเพราะต้องดูแลต้นไม้ในร้าน ส่วนพี่มินซอกที่ต้องคู่กับลู่หานก็ลาป่วยหนึ่งวัน

     

    เซฮุนเดินตามลู่หานออกไปด้านนอกทั้งที่เพิ่งเดินเข้ามา ผมรู้ว่าทั้งสองคนคงมีอะไรบางอย่างที่ต้องพูดคุยกันเพราะดูเหมือนว่าเซฮุนจะเป็นห่วงเกินไปถ้าปล่อยให้ลู่หานเดินกลับคนเดียว

     

    ผมไม่ชอบเห็นใครทำสีหน้าแบบนั้น...สีหน้าที่คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี

     

    "เดินไปส่งลู่หานก่อนก็ได้ ฉันยังไม่กลับหรอก" ผมแสร้งออกไปยืนสูบบุหรี่แถวนั้นเพื่อให้เซฮุนได้เดินไปส่งหนุ่มหน้าหวาน

     

    และเพียงไม่ถึงสิบนาทีเซฮุนก็เดินกลับมาถึงร้าน

     

     

     

    แสงสีส้มตามเสาไฟคงสว่างไม่พอสำหรับตอนนี้ ผมจึงเดินชนเข้ากับร่างหนึ่งจนเขาล้มลงไป

     

    โชคดีที่เราต่างผิดกันทั้งคู่เลยไม่มีใครเอาเรื่องใคร

     

    ผมกลับมายังห้องสี่เหลี่ยมเดิม มองดูทุกอย่างเดิมๆ เพื่อรอให้ถึงเช้าวันใหม่ ...เพราะผมกำลังรอเริ่มต้นใหม่

     

     

     

    2.วันจันทร์ สีเหลือง

     

     

    'ถ่ายรูป'

     

     

    ผมแบกกล้องตัวเก่งออกไปยังสวนสาธารณะไม่ไกลมาก วันนี้ฟ้าไม่โปร่งเหมือนเมื่อวาน ทำให้บริเวณนี้ยังไม่มีคนพลุกพล่าน

     

    อาจจะเป็นเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุด

     

    นกร้องประสานไพเราะดังแว่วอยู่ไกลๆ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าผมได้ยินทำนองมันชัดๆ

     

    เสียงเด็กไม่น่าจะเกินสิบขวบตะโกนแข่งกันอยู่บริเวณสนามเด็กเล่น มันเป็นภาพที่สวยงามถ้าคนรักเด็กได้มองเห็น

     

    ...ซึ่งนั่นไม่ใช่ผม

     

     

    เสน่ห์ของเมืองหลวงอยู่ตรงไหนอันนี้ผมตอบได้แค่ว่าการมีทุกอย่างครบครันและสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย

     

    ซึ่งแตกต่างจากชีวิตในชนบทที่เรียบง่ายและสวยงาม

     

    ผมชอบความเป็นธรรมชาติของผู้คนและสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ให้บ้านนอกยังคงเป็นบ้านนอกทำให้ผมดีใจทุกครั้งที่ได้กลับไป เพราะมันคือสิ่งที่หลายคนในเมืองหลวงโหยหา

     

     

    วันนี้ผมคงต้องกลับไปคิดกิจกรรมใหม่มาแทนที่การถ่ายรูปเสียแล้ว ธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมันไม่งดงามเท่าธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองจริงๆ

     

    "คุณลุงครับ ขอทางหน่อย" เด็กน้อยสะกิดเบาๆตรงบั้นเอวเมื่อผมยืนขวางทางขึ้นกระดานลื่น

     

    ถึงแม้ผมจะไม่ได้โตมาท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรแต่พ่อแม่ของผมมีบ้านหลังเล็กกลางป่า ท่านปลูกไว้ตอนที่พบรักกันใหม่ๆ

     

    ตอนแรกผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นที่นั่น แต่พอได้ไปสัมผัสมันสักครั้งถึงรู้ว่า ...ความสงบที่แท้จริงมันคืออะไร

     

    ผมหลงรักความเป็นธรรมชาติแต่ก็ปฏิเสธความสะดวกสบายเหล่านี้เพื่อย้ายไปอยู่ที่นั่นไม่ได้

     

    ก็ใช้ชีวิตคนเมืองมาตั้งหลายปีนี่นา

     

     

     

    ผมย้ายตัวเองไปยังห้างสรรพสินค้าไกลออกไปตรงโซนสวนหย่อมบนดาดฟ้า ผู้คนบางตากว่าที่คิดซึ่งถือเป็นเรื่องดี

     

    เพียงแค่นี้ก็ทำให้ความรู้สึกก่อนหน้าเลือนหายไป อากาศชั้นบนสุดอาจไม่บริสุทธิ์เท่าออกซิเจนในป่า แต่มลพิษไม่เยอะเท่าด้านล่างแน่นอน

     

    เส้นผมสีบรอนซ์คุ้นตาพริ้วไปตามสายลมเอื่อยเฉื่อย ร่างนั้นยืนเท้าอยู่กับขอบที่กั้น ปล่อยสายตาไปบนท้องฟ้ากว้าง

     

    ผมเผลอยกกล้องขึ้นกดชัตเตอร์ราวกับโดนมนต์สะกด สิ่งตรงหน้านั้นน่าหลงใหลจนไม่อาจละสายตา

     

     

    วินาทีที่คนหน้ากล้องหันกลับมาผมต้องหยีตาลง เพราะก้อนเมฆเคลื่อนออกจากกันจนแสงจ้าของดวงอาทิตย์ส่อง แสงสีขาวเป็นดวงตามจุดโฟกัสจนต้องกระพริบตาถี่

     

    "คุณแอบถ่ายรูปผมหรอ?"

     

    "ครับ ขอโทษนะครับ"

     

    "ผมแค่จะบอกว่ายังไม่ได้ตั้งตัวเลย"

     

    "แค่ปล่อยมันไปตามธรรมชาติครับ ผมชอบแบบนั้น" รอยยิ้มของเขาช่างสดใสราวกับแสงแรกของวัน ของเดือน ของปี

     

    ผมผายมือให้เขานั่งบนม้านั่งข้างๆ ลอบมองใบหน้าหวานเปื้อนรอยยิ้มอ่อนๆราวเกือบนาที เขาหันกลับมาเอียงคอสงสัยก่อนจะจุดยิ้มขึ้นอีกครั้ง

     

    "คุณมองหน้าผม"

     

    "หน้าคุณสวยกว่าท้องฟ้าอีกครับ รู้หรือเปล่า"

     

    "จีบผมหรอ"

     

    อ่า...น่ารักเกินไปแล้ว

     

     

    ร่างเล็กหยัดตัวขึ้นยืนแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวใต้ต้นไม้ใหญ่ ด้านหลังมีรูปปั้นเหล่าบรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อยประดับตกแต่ง มันเหมือนกับนางฟ้าที่คอยปกป้องผืนป่า

     

    ผมคงเปรียบเทียบได้น้ำเน่าเกินไป

     

    อีกครั้งที่นิ้วเรียวกดรัวชัตเตอร์ เขาดึงดูดจนไม่อาจเก็บเป็นความลับได้อีก

     

    "ขอจีบคุณนะ"

     

    "..."

     

    "ผมชื่อปาร์คชานยอลครับ"

     

     

     

    3.วันอังคาร สีชมพู

     

     

    'ออกกำลังกาย'

     

     

    ชีวิตผมไม่ได้มีแค่เดินไร้สาระไปวันๆเท่านั้น ผมเองก็ต้องการความแข็งแรงและความเฟิร์มของหุ่นด้วยนะ

     

    ฟิตเนสตรงหัวมุมถนนเงียบสงบอย่างเคย ที่นี่มีเทรนเนอร์ฝีมือดีหลายคนที่ผมเองก็รู้จัก บางคนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ประถมจนลืมหน้าค่าตากันไปแล้วก็มี

     

    "มาแล้วหรอ" คำทักทายสั้นๆของพี่จุนมยอนเจ้าของที่นี่ดังขึ้นก่อนที่แกจะยื่นขวดน้ำเย็นมาให้

     

    "เป็นไงบ้างพี่"

     

    "เรื่อยๆ ว่าแต่แกเถอะเป็นยังไงบ้าง"

     

    "เหมือนเดิมครับ"

     

    ผมคลายเส้นด้วยการยืดแขนยืดขาเพื่อไม่ให้ปวดกล้ามเนื้อ ผมออกกำลังกายอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น ถึงจะไม่บ่อยอย่างคนอื่นแต่ผมเป็นคนทานน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

     

     

    รองเท้าผ้าใบสีส้มบาดตาสับอยู่บนลู่วิ่งด้านหน้ากระจกใสไม่เร็วมากนัก หูทั้งสองข้างถูกครอบด้วยเฮดโฟนสีน้ำเงิน ลำคอมีผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กพาดไว้

     

    เสียงหายใจหอบหนักเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของฟิตเนส แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเซ็กซี่ขนาดนี้จนถึงขั้นใจกระตุก

     

    เม็ดเหงื่อที่กำลังเตรียมจะหยดอยู่ตรงปลายคางสั่นระริก ผมก้าวเท้าขึ้นไปยืนบนลู่วิ่งอีกตัวติดกัน เปิดที่ความเร็วระดับห้าเพื่อเดินช้าๆ

     

    "ฮู่ว~ ฮู่ว~" ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเหนื่อยเร็วขนาดนี้

     

    ใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสีแดงระเรื่อเป็นธรรมชาติ เสื้อสีชมพูของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อตรงหน้าอกมองดีๆคล้ายรูปหัวใจ

     

    ผมเพิ่มระดับความเร็วได้สักพักแล้ว ส่วนเขาก็กด cool down ลงไปนั่งพักบนโซฟาสีแดง ใช้ผ้าซับเหงื่อบนใบหน้าและท่อนแขน

     

     

    เทรนเนอร์หน้าหล่อสัดส่วนเด่นชัดชวนเขาไปยกบาร์เบลล์และช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด เขาทำได้ดีทีเดียวแต่ไม่นานนักก็บ่นออดๆแอดๆเพราะคงจะเมื่อย

     

    "ชานยอล มานี่หน่อย"

     

    ผมรับผ้าขนหนูมาจากพี่จุนมยอนก่อนจะเดินตามไปยังเครื่องปั่นจักรยานที่มีสาวสวยใช้งานอยู่

     

    "ว่าไงพี่"

     

    "รู้จักบีนี่ไว้สิ เธอเป็นสมาชิกพรีเมี่ยมของที่นี่เลยนะ"

     

    เธอที่ว่าลงมาจากเครื่องออกลังกายหลังจากผมโค้งทักทายให้เล็กน้อย ทรวดทรงองค์เอวแบบที่ผู้ชายต้องมองและผู้หญิงหลายคนอิจฉาล้วนอยู่บนตัวบีนี่หมดเลย ให้ตายสิ

     

    "สวัสดีค่ะคุณชานยอล"

     

    "ยินดีที่ได้รู้จักครับ"

     

    "คุณหน้าตาดีจังเลยนะคะ"

     

    "ชมกันแบบนี้ผมก็เขินแย่สิครับ"

     

    จริงๆมันก็น่าเขินอยู่หรอก แต่เมื่อหลายปีก่อนมีคนๆหนึ่งเข้ามาทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป ผมวางมือจากการเป็นเสือผู้หญิงเพื่อใช้หัวใจไว้รักเขาคนเดียว

     

    เขาเป็นคนที่ผมยินดีจะตกหลุมรักซ้ำๆไปทุกวัน

     

    และเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยสดงดงามอะไรด้วย เพราะเขา...เป็นผู้ชาย

     

     

    ผู้ชายที่เป็นเพศเดียวกันกันผม ไม่ใช่รักแรกพบแต่เขาสามารถทำให้ผมละสายตาไปไหนไม่ได้ เขาไม่จัดอยู่ในสเปคสูงเสียดฟ้าของผมสักนิด

     

    เพราะเขาเป็นผู้ชายธรรมดาที่มัดใจผมได้ภายในเวลาเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น

     

    "โอ๊ะ!"

     

    อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยๆในสถานที่แห่งนี้ได้เกิดขึ้นกับผู้ชายเสื้อสีชมพูรองเท้าสีส้ม

     

    ผมเข้าไปถอดรองเท้าผ้าใบเขาออกเพื่อตรวจข้อเท้าดู

     

    "โอ๊ย"

     

    "เท้าคุณคงแพลงน่ะครับ เจ็บหน่อยนะ"

     

    "โอ๊ย! โอ๊ย!"

     

    ดวงตาเรียวคลอไปด้วยประกายน้ำใส มือเล็กจับแขนผมไว้ราวกับจะไม่ให้ผมยุ่งกับข้อเท้าเขา

     

    "นิดเดียวครับ"

     

    "ผมเจ็บ"

     

    "ทนนิดเดียว"

     

    ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสวยแต่มือก็ยังคงหมุนนวดเบาๆ เสียงร้องโอดโอยของเขาเบาบางไปก่อนจะหยุดกึก

     

    "ห หายแล้ว"

     

    "มาครับ เดี๋ยวผมช่วย"

     

    เขาให้ผมพยุงไปนั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย เส้นผมของเขาหอมหวานเหมือนขนมในวัยเด็กที่ผมชื่นชอบ และทุกครั้งที่ได้กลิ่นมันก็จะผุดความรู้สึกดีขึ้นมาแผ่ซ่านอบอวล

     

    วันนี้ผมรู้สึกเหมือนตกหลุมรักอีกแล้วล่ะสิ

     

    "ขอบคุณมากนะครับ"

     

    "เลี้ยงข้าวผมสักมื้อสิ"

     

    "..."

     

    "ผมชื่อปาร์คชานยอลนะครับ"

     

     

     

    4.วันพุธ สีเขียว

     

     

    'ให้อาหารสัตว์'

     

     

    ผมชอบทำบุญ ไม่ใช่การทำบุญด้วยการหย่อนเงินให้ขอทานหรือใส่ตู้บริจาคตามสถานที่ต่างๆ แต่เป็นการทำบุญให้กับสัตว์ด้วยการให้อาหาร

     

    วันนี้ผมเลือกมาที่สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเพื่อให้อาหารกับนกพิราบ เหมือนว่าที่นี่เพิ่งจัดงานแสดงจบไปเพราะยังหลงเหลือเศษซากจากฝีมือมนุษย์อยู่

     

    คุณลุงอายุเกือบเจ็ดสิบยืนรอให้ผมเดินเข้าไปซื้อข้าวโพด แกส่งยิ้มอบอุ่นที่เห็นสายตาตื่นๆของคนข้างกาย

     

    เขาเดินเข้ามาพร้อมผมในขณะที่ยังมองไปรอบตัว คล้ายจะกล้าแต่ก็กลับกลัวสัตว์ปีกเป็นร้อยๆชีวิตเหล่านี้

     

     

    ผมโปรยเมล็ดข้าวโพดในตะกร้าลงพื้นจนหมดจึงไปหาที่นั่งพักใกล้ๆ หญ้าสีเขียวชอุ่มแผ่ความสงบเป็นวงกว้าง บนนั้นมีเสื่อผืนเล็กผืนใหญ่ทาบทับอีกชั้นด้วยผู้คนที่ออกมารับแสงแดดกับลมหนาว

     

    "คุณขาแพลงมาหรอครับ"

     

    "คิดว่าใช่นะครับ แหะแหะ" คนน่ารักมองข้อเท้าที่พันผ้าพร้อมกับยกมือเกาศีรษะอายๆ ยิ้มกว้างจนตาหยีและปากกลายเป็นรูปสี่เหลี่ยม

     

    "ผมคุ้นหน้าคุณจังเลย"

     

    "หน้าผมคงโหลมั้งครับ"

     

    เขาเดินกระเผลกไปอุดหนุนคุณลุงอีกครั้งแล้วกลับมานั่งที่เดิม โปรยอาหารรอบๆเก้าอี้ที่นั่งอยู่ให้นกบินมาล้อมรอบ

     

    เป็นอีกครั้งที่ความคิดที่ว่าเขาเป็นนางฟ้าปกป้องผืนป่าผุดขึ้นมาในสมอง

     

    สิ่งเหล่านั้นจะไม่มีความหมายเลยถ้าเขาไม่ยิ้มด้วยความยินดีเมื่อโดนโฉบลงบนมือ เขาตกใจแต่ไม่โวยวายให้น่ารำคาญ กลับกันแล้วยังดูชอบที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ที่ไม่เข้าใกล้มนุษย์

     

    จริงๆแล้วเขาเองก็เหมือนนก... พร้อมจะบินหนีเสมอถ้าเข้าไปใกล้

     

    แต่ผมเรียนรู้ที่จะเข้าใกล้นกอย่างทะนุถนอมและระมัดระวัง ผมจะไม่ทำให้นกตัวนั้นต้องกระเจิงหนีไปไหน

     

    อ่า ... ผมคิดว่าการเปรียบเทียบของผมมันน้ำเน่าอีกแล้วล่ะ

     

     

    "คุณชอบสัตว์มั้ยครับ?"

     

    "ชอบ ผมชอบหมา"

     

    "ผมเองก็ชอบหมา" ที่อยู่ในคราบมนุษย์เหมือนคุณ

     

    "..."

     

    "ผมชื่อปาร์คชานยอลนะครับ"

     

     

     

    5.วันพฤหัสบดี สีส้ม

     

     

    'วาดรูป'

     

     

    เช้านี้ผมหนีบกระดานวาดรูปไว้ใต้รักแร้ ไถสเก็ตบอร์ดบนฟุตบาทโล่งสนิทลงไปนั่งริมแม่น้ำสายเล็กๆ

     

    ลมเอื่อยๆกับแสงแดดอ่อนๆสร้างอารมณ์ศิลปินได้ไม่ยาก แต่อีกอารมณ์หนึ่งก็ทำให้อยากเอาเปลมาผูกนอนเสียจริงๆ

     

    ผมนั่งพิงหลังกับต้นไม้ชันเข่าเพื่อวางกระดาน หยิบแว่นสีชาที่เหน็บไว้ตรงคอเสื้อมาใส่กันแสงสะท้อนของผิวน้ำ

     

     

    รอยร่างเบาๆจากดินสอกำลังเข้มขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมเปลี่ยนน้ำหนักมือ ผมไม่ได้วาดรถยนต์บนสะพานเล็กๆทางด้านซ้ายและไม่ได้วาดซองขนมที่กลายเป็นขยะริมแม่น้ำ

     

    ความจริงมักถูกบิดเบือนเสมอ

     

    ทุกคนต่างก็อยากเห็นแต่สิ่งสวยๆงามๆทั้งนั้นใช่มั้ยล่ะ?

     

    ผมใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงกว่าจะเก็บรายละเอียดของพุ่มไม้สะท้อนแสงเงานั่นหมด ไม่รวมถึงประกายระยิบระยับของผืนน้ำ

     

    และตรงมุมขวาของกระดาษมันกลับไม่ใช่ก้อนหินโล่งๆ แต่มันมีร่างของคนๆหนึ่งนั่งสูดอากาศสดชื่นอยู่ แขนทั้งสองข้างกางออกเพื่อโต้ลม

     

    มากไปกว่านั้น...เขากลับทำให้ผมใส่รายละเอียดบนตัวเขามากที่สุด แม้จะเป็นแค่รูปหันหลังแต่มันกลับดูสวยงาม

     

    ผมชักอยากตกหลุมรักเขาซะแล้วสิ

     

    "สนใจเป็นแบบวาดรูปให้ผมมั้ยครับ"

     

    "ผ ผมหรอ?"

     

    "ใช่..." ผมถือวิสาสะนั่งลงข้างๆจนเขาต้องเขถิบถอย "คุณนั่นแหละ"

     

    แก้วตาของเขามีความหมายภายในนั้น มันกำลังแสดงถึงความตื่นกลัวแต่ก็อยากรู้อยากเห็น

     

    แม่เหล็กในใบหน้าเริ่มทำงาน มันดึงดูดให้ผมขยับเข้าใกล้เขาเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ

     

    มือหนาประคองผิวแก้มเนียนละเอียดชวนสัมผัส ลูบไล้และจดจำกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ใจผมเต้นระรัวจนเหมือนจะหลุดลอยออกมา

     

    "อ เอ่อ" เขาลอบกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ กระพริบตาปริบถี่รัว

     

    ผมไม่ใช่คนใจร้าย ผมไม่สามารถทำให้เขาตกใจกลัวได้เพราะมันอาจจะเกิดผลร้ายต่อตัวเอง จึงทำได้แค่จุมพิตเบาๆบนหน้าผากมน

     

    ใบหน้าเขาเห่อร้อนและเปลี่ยนสี จุดวงกลมสีแดงแต้มลงบนแก้มทั้งสองข้าง มันยังดูน่ารักเสมอในสายตาของผม

     

     

    การเริ่มใหม่ในเรื่องเดิมทุกวันอาจไม่ใช่เรื่องยินดีของคนอื่นเท่าไหร่นัก แต่สำหรับผม... ผมเลือกแล้ว และไม่เคยคิดเสียใจด้วย

     

    เพราะถ้ามันทำให้เขาตกหลุมรักกลับได้ ผมก็ยินดี

     

    "เป็นแบบให้ผมอีกสักรูปนะ"

     

    "อีกสักรูปหรอ?"

     

    ผมพาเขาเดินไปยังใต้ต้นไม้ที่มีของวางอยู่ โชว์รูปวาดให้เขาดูก่อนรอยยิ้มเขินจะปรากฏขึ้น

     

    แสงแดดอ่อนเป็นประกายสีส้มจางสะท้อนเสี้ยวหน้าหวานที่นอนอยู่บนตัก ขายาวของผมกลายเป็นหมอนเขาซะแล้วแถมคนหนุนยังหลับตาพริ้มมาได้สักพัก

     

    เขาไม่รู้หรอกว่ายามที่ตนหลับนั้นน่ารักขนาดไหน เหมือนลูกหมาเชื่องๆตัวหนึ่งที่รออ้อมกอดจากเจ้าของ

     

    "ตื่นแล้วหรอครับ" เด็กน้อยขยับกายลุกขึ้น แต่มันก็สายไปซะแล้วเพราะผมวาดรูปเขาเสร็จเรียบร้อย

     

    "ขอโทษนะครับ คุณคงเมื่อยแย่เลย"

     

    "สำหรับคุณ...ไม่เลยครับ"

     

    ทุกคำพูดนั้นมันออกมาจากใจ

     

    "..."

     

    "ผมปาร์คชานยอลครับ"

     

     

     

    6.วันศุกร์ สีฟ้า

     

     

    'เปิดหมวก'

     

     

    ผมหยิบกีตาร์ออกมาจากกระเป๋าหนังสีดำ ปรับสายทั้งหกเส้นแล้ววอร์มกล่องเสียง

     

    อ่า...คิดถึงเสียงร้องระรื่นหูที่มักเป็นคู่ดูโอ้ของผมจัง

     

    หวังว่าถ้าเขาได้ยินเสียงกีตาร์ตัวเดิมเขาจะมีความคิดอยากร้องเพลงให้ผมฟังเหมือนที่ผมอยากเล่นกีตาร์ให้เขาฟังบ้าง มันคงจะดีไม่น้อยถ้าเรากลับมาเป็นแบบนั้นอีก

     

    ใช่ว่าตอนนี้ผมจะไม่มีความสุขนะ เพราะการตกหลุมรักเขาทุกวันคือทั้งหมดของความสุขแล้ว และถ้าหากวันไหนที่ผมไม่ตกหลุมรักเขานั่นอาจจะหมายความว่าผม...จากโลกนี้ไปแล้ว

     

     

    เสื้อยืดสีฟ้าสดใสเฉดเดียวกับท้องฟ้ากลายเป็นจุดรวมสายตาไปซะแล้ว ริมถนนที่มีเพียงเก้าอี้พับตัวเล็กกับกระเป๋ากีตาร์กางอยู่ด้านหน้า

     

    มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยืนจดจ้องผมพร้อมรอยยิ้ม ...รอยยิ้มที่ผมรักษามาตลอด

     

    เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ผมพร้อมจะสละชีวิตให้ เขาที่มีค่ามากกว่าสิ่งไหนบนโลก ผมต้องเป็นบ้าแน่ๆหากต้องเสียเขาไป

     

    "เมื่อเธอหันมาจ้องมองที่ฉันแล้วยิ้มให้ ตอนนั้นฉันเข้าโลกนี้ทุกๆสิ่ง~"

     

    แม้ว่าเขาจะจดจำผมในฐานะคนรักไม่ได้ เพราะอุบัติเหตุร้ายแรงที่ทำให้ต้องสูญเสียความทรงจำ

     

    "ที่ดูสวยมันเพียงแค่ลวงหลอกตา มีแค่เธอตรงหน้าที่เป็นของจริง~"

     

    ผมแค่อยากจะมีเขาไว้ข้างกาย แม้ว่าตื่นมาในทุกเช้าเขาจะลืมเรื่องราวทุกอย่างและต้องเริ่มต้นใหม่ ผมก็ไม่เบื่อเลย

     

    "เพราะชีวิตที่ฉันเคยมีไม่ว่าดีสักเท่าไหร่ มันกลับเทียบกันเลยไม่ได้กับในเวลานี้~"

     

    ผมไม่เบื่อที่จะมอบความรักและพร้อมเสมอที่จะจีบเขาใหม่ทุกวัน ผมยังรอให้เขากลับมาจำได้อีกครั้ง

     

    "ตอนที่ใกล้ๆกันมีอีกคนหนึ่งคนที่ดี...คอยเข้าใจ"

     

    ทุกเช้าของทุกวันผมจะทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้สายตาที่มองมาจะมีแต่ความว่างเปล่า แต่ผมรู้ว่าเขายังมีความคุ้นเคยด้านความรู้สึก

     

    "สิ่งที่ฉันนั้นไม่รู้มาก่อน เธอบอกให้ฉันได้รับรู้ด้วยการสวมกอด~"

     

    ผมเป็นห่วงเขาเกินกว่าจะปล่อยให้เขาออกไปเผชิญกับโลกกว้างเพียงคนเดียวได้ มันคงหนักหนาเกินไปสำหรับคนบอบบางอย่างนั้น

     

    "ว่าสิ่งที่ฉันนั้นค้นหา ที่ชีวิตนี้ไขว่คว้ามาตลอด~"

     

    เขาปรบมือเข้าจังหวะอย่างน่าชังท่ามกลางคนที่เข้ามายืนดูมากขึ้นเรื่อยๆ เขาดูมีความสุขแม้ว่าผมจะเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่งของเขาเท่านั้น

     

    "...ก็คือเธอ~"

     

    ผมสร้างความประทับใจใหม่ทุกวันเพื่อให้เขาได้ตกหลุมรักผมอีกครั้ง เพราะผมคงทำใจไม่ได้ถ้าหากเขาจะลืมผมแล้วยังไม่รักผมอีก

     

     

    ราวครึ่งชั่วโมงที่เสียงเพลงดังไปทั่วถนนเส้นนี้ ผมกางกระเป๋ากีตาร์ให้คนใจบุญวางเศษเหรียญเศษสตางค์เป็นรางวัลเล็กๆน้อยๆ

     

    เขาเองก็เดินเข้ามาหย่อนให้เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ที่แตกต่างจากคนอื่นคือเงินพวกนี้มันจะกลายเป็นมื้ออาหารเย็นของเรานั่นเอง

     

    "หิวหรือยังครับ"

     

    ผมขอบคุณที่เขาเลือกไว้ใจผม

     

    "นิดหน่อย"

     

    "งั้นผมขอเลี้ยงขนมคุณนะ"

     

    "ก ก็ได้ครับ"

     

    "น่ารักจัง"

     

    "><"

     

    "ผมปาร์คชานยอลนะครับ"

     

     

     

    7.วันเสาร์ สีม่วง

     

     

    'เดินเล่น'

     

     

    แล้ววันสุดท้ายของอาทิตย์นี้ก็มาถึง แต่ละวันผ่านไปรวดเร็วเหมือนแค่กระพริบตา

     

    "อรุณสวัสดิ์ครับ" เกือบหกเดือนแล้วที่มันยังเป็นแบบนี้

     

    ข้างกายผมไม่เคยว่างเปล่า เราเข้านอนพร้อมกันหลังจากสร้างความรักขึ้นมาจางๆและตื่นมาพร้อมกันโดยที่ผมรักเขาเพียงฝ่ายเดียว

     

    แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยท้อ เพื่อรอสักวันที่เขาจะกลับมาเป็นของผมอีกครั้ง...คำว่าท้อมันไม่ใช่อุปสรรคเลย

     

    "คุณคือใคร?"

     

    เขาไม่เคยจำผมได้

     

    "ผมเป็นแฟนคุณครับ ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณตกใจ ไว้ใจผมนะ วันนี้เราจะไปเดินเล่นกัน"

     

    เขายังคงยิ้มเหมือนทุกครั้งที่เรายืนอ่านกระดาษชิ้นเล็กๆ เขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อยให้ความสูงมากพอ ยื่นหน้ามาอ่านแล้วแหงนมองหน้าผม

     

    "ไปเดินเล่นกันครับ" ...แล้วทวนประโยคที่ผมเพิ่งพูดไป

     

    ผมโอบอุ้มข้อมือเล็กให้อยู่ในฝ่ามือ เราแกว่งแขนเบาๆแล้วเดินลงไปตามทางของถนน มองไปรอบๆและยิ้มให้กับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา

     

     

    ความรักคืออะไรผมไม่เคยเข้าใจหรอก เพียงแค่อยากดูแลเขาไปในทุกวันถึงแม้ทุกอย่างจะเปราะบางมากแค่ไหน

     

    ผมยืนอยู่บนเส้นด้ายเล็กๆ ถ้าวันไหนตื่นขึ้นมาแล้วเขาเกิดกลัวและต่อต้านผม เขาอาจจะหนีผมไปในที่ที่ไกลเกินกว่าจะหาเจอ และผมจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นเด็ดขาด

     

    "เมื่อไหร่คุณจะจำผมได้ล่ะครับ"

     

    "ผมจำคุณได้ คุณคือคนที่ร้องเพลงเมื่อวานไง" น้ำตาผมร่วงเผาะหยดลงเลอะเสื้อสีเทาจนขึ้นสีชัด มันแสดงให้เห็นว่าความพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของ 'บยอนแบคฮยอน' ไม่ใช่สิ่งที่สูญเปล่า

     

    "ผม ผมชื่อปาร์คชานยอลนะครับ"

     

    ...และผมก็ยินดีที่จะแนะนำตัวเองอย่างไม่เบื่อหน่าย

     

    "อื้อ ผมจำได้"

     

    ให้แบคฮยอนยิ้มทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแนะนำตัวของผม

     

    "ผมตกหลุมรักคุณทุกวันเลยนะแบคฮยอน"

     

    "งั้นผมขอตกหลุมรักคุณด้วยแล้วกันนะครับ"

     

     

    ถ้าโลกของเรามันไม่ได้มีแค่24ชั่วโมงล่ะ?

     

    ...ก็อยากขอให้เราตกหลุมรักกันทุกวันแบบนี้ก็พอแล้วเนอะแบคฮยอน

     

     

    ต่อจากนี้ไปไม่ว่าเขาจะจำได้หรือไม่ ผมก็จะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหน ในเมื่อสิ่งล้ำค่าที่สุดของผมอยู่ตรงนี้แล้ว...อยู่ข้างๆนี่แล้ว

     

    "ผมรักคุณ รักคุณมากจริงๆ"

     

    สำหรับเจ็ดวันที่ผ่านมาไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่เห็นรอยยิ้มของเขา เพราะหลังจากหยิบม้วนกระดาษออกมาจากโหล เขาจะส่งยิ้มให้ผมเหมือนกับว่าพร้อมแล้วกับการที่จะตกหลุมรักผมเช่นกัน

     

    ขอบคุณนะครับคนแปลกหน้าทั้งเจ็ดวันของผม





















     



    #ficlazycenter



    ไฮฮฮฮฮฮฮ
    เรื่องนี้น้องแบคความจำเสื่อม
    ความจำรีเซ็ตทุกวันนะ
    อิอิ

     

     

     

     


     


    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×