คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : OS : 1สัปดาห์มี7วัน {end}
สำหรับผมแล้ว...โหลสีใสใบนี้เอาไว้ใส่เรื่องราวในชีวิตของผมเอง มันเป็นตัวกำหนดว่าวันนี้จะต้องเจอกับอะไรและคลื่นของชีวิตจะเป็นแนวไหน
1.วันอาทิตย์สีแดง
เช้าของทุกวันผมจะล้วงมือควานหยิบกระดาษม้วนเล็กในขวดโหล ค่อยๆคลี่มันออกเพื่ออ่านลายมือแสนชุ่ยของตัวเอง
'ร้านกาแฟ'
แล้วก็ม้วนมันกลับเหมือนเดิมเพื่อหย่อนลงไปในโหลสีทึบอีกใบหนึ่งข้างกัน
เท้ายาวก้าวย่ำไปตามถนนสายหลักที่จะนำไปสู่จุดเริ่มต้นของวันอย่างแท้จริง ท้องฟ้าเปิดโล่งเหมาะกับฤดู มันไม่หนาวเกินไปและไม่ร้อนเกินไป
แสงกระทบระหว่างดวงอาทิตย์กับเสาไฟฟ้าทาบทับเป็นแนวเส้นบนพื้นคอนกรีต
ผู้คนต่างมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ต้องการ บางคนรีบร้อนแต่บางคนก็แวะเวียนร้านค้าระแวกนั้น
เสียงกระดิ่งดังขึ้นเมื่อผมออกแรงผลักประตูร้านเข้าไป กลิ่นกรุ่นของเมล็ดกาแฟคั่วบดทำให้เช้าวันนี้เป็นวันที่ดีวันหนึ่ง
'Park's ChanYeol'
แปลว่าสวนของชานยอล หรือจริงๆแล้วมันมาจากชื่อผม 'ปาร์คชานยอล' นั่นเอง
ผมเปิดกิจการเล็กๆเป็นของตัวเองเมื่อสามปีที่แล้วโดยส่งต่อให้น้องชายต่างสายเลือดเป็นผู้จัดการ และจะแวะเวียนเข้ามาอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น
...เหมือนเช่นวันนี้
ร้านที่ผมเป็นคนออกแบบและลงมือสร้างขึ้นมาเองกับมือจะถูกดูแลอยู่เสมอ
พ่อผมเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ ส่วนแม่ก็ชอบดอกไม้สวยงาม แต่ท่านทั้งสองจากไปก่อนที่ผมจะปิ๊งไอเดียร้านออกเพียงแค่หนึ่งเดือน
ถ้าจะบอกว่าร้านนี้มาจากความสูญเสียก็คงไม่ใช่ซะทั้งหมด ผมว่ามันมาจากความรักของพ่อกับแม่จนก่อเกิดเป็นผมซะมากกว่า
"ไค"
เด็กหนุ่มผิวสีเข้มหันขวับเหมือนตกใจ เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกปลดกระดุมสองเม็ดบนเพื่อโชว์แผงอกเซ็กซี่ขยี้ใจสาว
"โอ้วพี่จอห์น"
"ทำไมวันนี้มาเช้าจัง"
"ผมเปลี่ยนมาเข้ากะเช้าแล้ว ตอนเย็นไปรับอีกจ๊อบ หาเงินกันหน่อย"
"มีแฟนหรือไง"
"ชัวร์ ใช่ว่าจะต้องหล่อแบบพี่จอห์นอย่างเดียวถึงจะมีแฟนหรอ ผมก็หล่อในแบบของผมนะ"
ผมส่ายหัวใส่สีหน้ากวนประสาทของรุ่นน้องคนสนิทที่มาของานทำเมื่อหลายเดือนก่อน
ไคเป็นคนมีเสน่ห์เหลือร้ายที่ตนเองไม่รู้ตัว เขาเป็นคนซื่อและตามคนไม่ค่อยทันถึงแม้จะเรียนจบไฮสคูลมาจากเมืองนอก แต่ไม่ได้ติดนิสัยของทางยุโรปกลับมาเอเชียเลย
แถมยังออกเสียงชานยอลไม่ได้จนรวบเสียงกลายเป็นจอห์นซะดื้อๆ แต่ก็เอาเถอะ...จะเรียกผมว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ
"แล้วใครเข้ากะดึกแทนล่ะ"
"คิม"
คงลืมบอกไปว่าไคมีฝาแฝดชื่อคิมจงอิน แต่เป็นฝาแฝดที่เหมือนกันแค่หน้าตาเท่านั้น ไม่ได้ซึมซับนิสัยกันมาเลยสักนิดเดียว
ลูกค้าโต๊ะเดียวของร้านในวินาทีนี้นั่งเหม่อมองท้องฟ้าผ่านกระจกใส คาราเมลนมสดถูกวางลืมไว้จนหยดน้ำเกาะพราวเต็มแก้ว
ผมหยิบผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มออกมาจากลิ้นชักแล้วผูกเข้ากับเอว ชงชาเขียวให้ตัวเองแก้กระหายสักนิดก่อนจะเริ่มจัดเรียงก้อนเค้กในตู้
"พี่ ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"
"อืม"
ตอนนี้มีเพียงเสียงเมโลดี้เบาๆเปิดคลอระหว่างรอลูกค้า ร้านผมเปิด24ชั่วโมง ถึงคนจะไม่เต็มร้านแต่ก็มีเข้ามาตลอดเวลา
ร่างบางของลู่หานถือบัวรดน้ำเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ต้นไม้หน้าร้าน ปากหยิบขยับบางเบาไปตามนิสัย
ภาพตรงหน้าทำให้ผมสามารถยกยิ้มได้ไม่ยาก ครั้งใดที่ได้มองลู่หานรดน้ำต้นไม้ผมจะคิดถึงพ่อ และเวลาเห็นเขาร้องเพลงให้ต้นไม้ฟังผมจะนึกถึงแม่
ผมไม่ได้จ้างให้เขามาเป็นคนสวนเพราะผมเองเคยมีคนสวนประจำร้านแต่ลุงแกลาออกไปตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว
ในระหว่างที่ผมเปิดรับสมัครคนสวนคนใหม่ก็มีลู่หานนี่แหละที่เดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า 'คุณไม่ต้องจ้างคนสวนหรอกครับ ผมจะดูแลต้นไม้พวกนั้นให้คุณเอง ผมไม่เอาเงินเดือนเพิ่มด้วยนะ'
แล้วลู่หานก็ควบทั้งงานเสิร์ฟและงานคนสวนไปโดยปริยาย
"โทษนะครับ ผมขอ..." เสียงพูดดังขึ้นเรียกสายตาให้หันไปสนใจ เขาเงียบลงเพื่อใช้ความคิดในขณะที่ไล่นิ้วกับอากาศไปบนเมนู "มอคค่าเย็นกับบานอฟฟี่ครับ"
"รอสักครู่นะครับ" ผมยื่นเครื่องเรียกคิวให้กับลูกค้าคนเดิมที่ปล่อยคาราเมลนมสดละลายจนสีขาวของนมจางลงไปอีก
เขาลากร่างกายหงอยเหงาของตัวเองกลับไปยังโต๊ะเพื่อรอเวลาให้เครื่องกลมๆสั่น จุดวางสายตายังคงเป็นท้องฟ้าเหมือนเดิม
ผมตัดสินใจเดินไปเสิร์ฟเขาถึงที่แล้วถือวิสาสะนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"เครื่องดื่มไม่อร่อยหรอครับ?"
"อ่า เปล่าครับ ผม...แค่รู้สึกแย่น่ะ"
"ผมเคยเจอคุณที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?"
"ผมพักอยู่แถวนี้แหละครับ" ริมฝีปากบางยกยิ้มแผ่วเบา หยิบแก้วมอคค่าขึ้นดูดแล้ววางลงด้านซ้าย ตักบานอฟฟี่เข้าปากแล้วขยับไปวางทางด้านขวา "โอ๊ะ! เกือบลืมแหนะ ค่าเครื่องดื่มเท่าไหร่ครับ"
"จะว่าอะไรไหมครับถ้าผมจะขอเลี้ยงคุณ"
"เลี้ยงหรอครับ? เนื่องในโอกาสอะไร?"
ผมจ้องแววตาของเขาอย่างสนใจ มันดูงุนงงและอยากรู้เหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ
"นานๆผมจะเข้ามาที่ร้านสักครั้งน่ะครับ"
"ไม่สมเหตุสมผลเลย"
"เอาเป็นว่า...คุณคือลูกค้าคนแรกของผมแล้วกัน"
"..."
"ผมปาร์คชานยอลครับ"
เขายังคงทำหน้าสงสัยขมวดคิ้วจนเป็นปม ผมลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งตรงประตูร้าน เอ่ยต้อนรับลูกค้าคนใหม่ก่อนจะรับออเดอร์
จนเมื่อตะวันตกดินพนักงานก็เปลี่ยนเป็นอีกชุดนึง
ไคเดินเข้าไปหาฝาแฝดตัวเองจนคิมจงอินต้องไล่ตะเพิดให้ไปไกลๆเพราะเขาขี้รำคาญ
ภาพแบบนั้นหลายคนเห็นจนเริ่มชินตาไปเสียแล้ว จงอินเย็นชาและสายตาของเขาก็แข็งกระด้างไปด้วย แต่นั่นกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนหลงใหลในตัวเขามากที่สุด
"นึกว่าชาตินี้ผมจะไม่ได้เจอพี่แล้วซะอีก"
"แล้วใครใช้ให้เข้ากะดึกล่ะ"
ผู้จัดการร้านทักทายเสียงนิ่งเนิบ แต่เจ็บแสบยิ่งกว่าพริกขี้หนู นี่แหละ 'คยองซู' น้องต่างสายเลือดของผม เขาเป็นรุ่นน้องข้างบ้านสมัยเด็กที่ทั้งเก่งและขยัน
ผมชอบไปเล่นบ้านคยองซูเพราะแม่เขาทำขนมอร่อย ครอบครัวเราสนิทกันตั้งแต่ผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
"ผมอยู่กะเดียวกับไคไม่ได้หรอกพี่ก็รู้"
คนโดนพูดถึงยักไหล่แบบไม่รู้ไม่ชี้
ไคมักเป็นตัวปัญหาของร้าน ไม่ใช่ว่าเขานิสัยไม่ดีแต่เป็นเพราะนิสัยชอบแกล้งต่างหาก ยิ่งคนขี้โมโหแบบคยองซูด้วยแล้วถือเป็นอาหารอันโอชะเลยทีเดียว
"ผมขอตัวกลับก่อนนะครับเจ้านาย"
เสียงหวานของลู่หานทำผมใจสั่นทุกครั้ง เขามักทำตัวเหินห่างกับทุกคนและเรียกผมว่าเจ้านายเสมอ โลกส่วนตัวของเขาไม่มีใครสามารถพังเข้าไปได้ทั้งหมด
"กลับยังไง"
"เดิน"
และผมก็ชอบเวลาเห็นพนักงานเป็นห่วงเป็นใยกัน
ไคกับคยองซูอยู่กะเดียวกันไม่ได้เหมือนกับที่ไคกับจงอินก็อยู่กะเดียวกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นคยองซูจะถูกจับคู่ให้อยู่กับจงอินทุกครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงมนุษย์บ้าพลังอย่างไค
ลู่หานเป็นคนเดียวที่ต้องอยู่กะเช้าเพราะต้องดูแลต้นไม้ในร้าน ส่วนพี่มินซอกที่ต้องคู่กับลู่หานก็ลาป่วยหนึ่งวัน
เซฮุนเดินตามลู่หานออกไปด้านนอกทั้งที่เพิ่งเดินเข้ามา ผมรู้ว่าทั้งสองคนคงมีอะไรบางอย่างที่ต้องพูดคุยกันเพราะดูเหมือนว่าเซฮุนจะเป็นห่วงเกินไปถ้าปล่อยให้ลู่หานเดินกลับคนเดียว
ผมไม่ชอบเห็นใครทำสีหน้าแบบนั้น...สีหน้าที่คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี
"เดินไปส่งลู่หานก่อนก็ได้ ฉันยังไม่กลับหรอก" ผมแสร้งออกไปยืนสูบบุหรี่แถวนั้นเพื่อให้เซฮุนได้เดินไปส่งหนุ่มหน้าหวาน
และเพียงไม่ถึงสิบนาทีเซฮุนก็เดินกลับมาถึงร้าน
แสงสีส้มตามเสาไฟคงสว่างไม่พอสำหรับตอนนี้ ผมจึงเดินชนเข้ากับร่างหนึ่งจนเขาล้มลงไป
โชคดีที่เราต่างผิดกันทั้งคู่เลยไม่มีใครเอาเรื่องใคร
ผมกลับมายังห้องสี่เหลี่ยมเดิม มองดูทุกอย่างเดิมๆ เพื่อรอให้ถึงเช้าวันใหม่ ...เพราะผมกำลังรอเริ่มต้นใหม่
2.วันจันทร์ สีเหลือง
'ถ่ายรูป'
ผมแบกกล้องตัวเก่งออกไปยังสวนสาธารณะไม่ไกลมาก วันนี้ฟ้าไม่โปร่งเหมือนเมื่อวาน ทำให้บริเวณนี้ยังไม่มีคนพลุกพล่าน
อาจจะเป็นเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุด
นกร้องประสานไพเราะดังแว่วอยู่ไกลๆ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าผมได้ยินทำนองมันชัดๆ
เสียงเด็กไม่น่าจะเกินสิบขวบตะโกนแข่งกันอยู่บริเวณสนามเด็กเล่น มันเป็นภาพที่สวยงามถ้าคนรักเด็กได้มองเห็น
...ซึ่งนั่นไม่ใช่ผม
เสน่ห์ของเมืองหลวงอยู่ตรงไหนอันนี้ผมตอบได้แค่ว่าการมีทุกอย่างครบครันและสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย
ซึ่งแตกต่างจากชีวิตในชนบทที่เรียบง่ายและสวยงาม
ผมชอบความเป็นธรรมชาติของผู้คนและสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ให้บ้านนอกยังคงเป็นบ้านนอกทำให้ผมดีใจทุกครั้งที่ได้กลับไป เพราะมันคือสิ่งที่หลายคนในเมืองหลวงโหยหา
วันนี้ผมคงต้องกลับไปคิดกิจกรรมใหม่มาแทนที่การถ่ายรูปเสียแล้ว ธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมันไม่งดงามเท่าธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองจริงๆ
"คุณลุงครับ ขอทางหน่อย" เด็กน้อยสะกิดเบาๆตรงบั้นเอวเมื่อผมยืนขวางทางขึ้นกระดานลื่น
ถึงแม้ผมจะไม่ได้โตมาท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรแต่พ่อแม่ของผมมีบ้านหลังเล็กกลางป่า ท่านปลูกไว้ตอนที่พบรักกันใหม่ๆ
ตอนแรกผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นที่นั่น แต่พอได้ไปสัมผัสมันสักครั้งถึงรู้ว่า ...ความสงบที่แท้จริงมันคืออะไร
ผมหลงรักความเป็นธรรมชาติแต่ก็ปฏิเสธความสะดวกสบายเหล่านี้เพื่อย้ายไปอยู่ที่นั่นไม่ได้
ก็ใช้ชีวิตคนเมืองมาตั้งหลายปีนี่นา
ผมย้ายตัวเองไปยังห้างสรรพสินค้าไกลออกไปตรงโซนสวนหย่อมบนดาดฟ้า ผู้คนบางตากว่าที่คิดซึ่งถือเป็นเรื่องดี
เพียงแค่นี้ก็ทำให้ความรู้สึกก่อนหน้าเลือนหายไป อากาศชั้นบนสุดอาจไม่บริสุทธิ์เท่าออกซิเจนในป่า แต่มลพิษไม่เยอะเท่าด้านล่างแน่นอน
เส้นผมสีบรอนซ์คุ้นตาพริ้วไปตามสายลมเอื่อยเฉื่อย ร่างนั้นยืนเท้าอยู่กับขอบที่กั้น ปล่อยสายตาไปบนท้องฟ้ากว้าง
ผมเผลอยกกล้องขึ้นกดชัตเตอร์ราวกับโดนมนต์สะกด สิ่งตรงหน้านั้นน่าหลงใหลจนไม่อาจละสายตา
วินาทีที่คนหน้ากล้องหันกลับมาผมต้องหยีตาลง เพราะก้อนเมฆเคลื่อนออกจากกันจนแสงจ้าของดวงอาทิตย์ส่อง แสงสีขาวเป็นดวงตามจุดโฟกัสจนต้องกระพริบตาถี่
"คุณแอบถ่ายรูปผมหรอ?"
"ครับ ขอโทษนะครับ"
"ผมแค่จะบอกว่ายังไม่ได้ตั้งตัวเลย"
"แค่ปล่อยมันไปตามธรรมชาติครับ ผมชอบแบบนั้น" รอยยิ้มของเขาช่างสดใสราวกับแสงแรกของวัน ของเดือน ของปี
ผมผายมือให้เขานั่งบนม้านั่งข้างๆ ลอบมองใบหน้าหวานเปื้อนรอยยิ้มอ่อนๆราวเกือบนาที เขาหันกลับมาเอียงคอสงสัยก่อนจะจุดยิ้มขึ้นอีกครั้ง
"คุณมองหน้าผม"
"หน้าคุณสวยกว่าท้องฟ้าอีกครับ รู้หรือเปล่า"
"จีบผมหรอ"
อ่า...น่ารักเกินไปแล้ว
ร่างเล็กหยัดตัวขึ้นยืนแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวใต้ต้นไม้ใหญ่ ด้านหลังมีรูปปั้นเหล่าบรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อยประดับตกแต่ง มันเหมือนกับนางฟ้าที่คอยปกป้องผืนป่า
ผมคงเปรียบเทียบได้น้ำเน่าเกินไป
อีกครั้งที่นิ้วเรียวกดรัวชัตเตอร์ เขาดึงดูดจนไม่อาจเก็บเป็นความลับได้อีก
"ขอจีบคุณนะ"
"..."
"ผมชื่อปาร์คชานยอลครับ"
3.วันอังคาร สีชมพู
'ออกกำลังกาย'
ชีวิตผมไม่ได้มีแค่เดินไร้สาระไปวันๆเท่านั้น ผมเองก็ต้องการความแข็งแรงและความเฟิร์มของหุ่นด้วยนะ
ฟิตเนสตรงหัวมุมถนนเงียบสงบอย่างเคย ที่นี่มีเทรนเนอร์ฝีมือดีหลายคนที่ผมเองก็รู้จัก บางคนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ประถมจนลืมหน้าค่าตากันไปแล้วก็มี
"มาแล้วหรอ" คำทักทายสั้นๆของพี่จุนมยอนเจ้าของที่นี่ดังขึ้นก่อนที่แกจะยื่นขวดน้ำเย็นมาให้
"เป็นไงบ้างพี่"
"เรื่อยๆ ว่าแต่แกเถอะเป็นยังไงบ้าง"
"เหมือนเดิมครับ"
ผมคลายเส้นด้วยการยืดแขนยืดขาเพื่อไม่ให้ปวดกล้ามเนื้อ ผมออกกำลังกายอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น ถึงจะไม่บ่อยอย่างคนอื่นแต่ผมเป็นคนทานน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
รองเท้าผ้าใบสีส้มบาดตาสับอยู่บนลู่วิ่งด้านหน้ากระจกใสไม่เร็วมากนัก หูทั้งสองข้างถูกครอบด้วยเฮดโฟนสีน้ำเงิน ลำคอมีผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กพาดไว้
เสียงหายใจหอบหนักเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของฟิตเนส แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเซ็กซี่ขนาดนี้จนถึงขั้นใจกระตุก
เม็ดเหงื่อที่กำลังเตรียมจะหยดอยู่ตรงปลายคางสั่นระริก ผมก้าวเท้าขึ้นไปยืนบนลู่วิ่งอีกตัวติดกัน เปิดที่ความเร็วระดับห้าเพื่อเดินช้าๆ
"ฮู่ว~ ฮู่ว~" ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเหนื่อยเร็วขนาดนี้
ใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสีแดงระเรื่อเป็นธรรมชาติ เสื้อสีชมพูของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อตรงหน้าอกมองดีๆคล้ายรูปหัวใจ
ผมเพิ่มระดับความเร็วได้สักพักแล้ว ส่วนเขาก็กด cool down ลงไปนั่งพักบนโซฟาสีแดง ใช้ผ้าซับเหงื่อบนใบหน้าและท่อนแขน
เทรนเนอร์หน้าหล่อสัดส่วนเด่นชัดชวนเขาไปยกบาร์เบลล์และช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด เขาทำได้ดีทีเดียวแต่ไม่นานนักก็บ่นออดๆแอดๆเพราะคงจะเมื่อย
"ชานยอล มานี่หน่อย"
ผมรับผ้าขนหนูมาจากพี่จุนมยอนก่อนจะเดินตามไปยังเครื่องปั่นจักรยานที่มีสาวสวยใช้งานอยู่
"ว่าไงพี่"
"รู้จักบีนี่ไว้สิ เธอเป็นสมาชิกพรีเมี่ยมของที่นี่เลยนะ"
เธอที่ว่าลงมาจากเครื่องออกลังกายหลังจากผมโค้งทักทายให้เล็กน้อย ทรวดทรงองค์เอวแบบที่ผู้ชายต้องมองและผู้หญิงหลายคนอิจฉาล้วนอยู่บนตัวบีนี่หมดเลย ให้ตายสิ
"สวัสดีค่ะคุณชานยอล"
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
"คุณหน้าตาดีจังเลยนะคะ"
"ชมกันแบบนี้ผมก็เขินแย่สิครับ"
จริงๆมันก็น่าเขินอยู่หรอก แต่เมื่อหลายปีก่อนมีคนๆหนึ่งเข้ามาทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป ผมวางมือจากการเป็นเสือผู้หญิงเพื่อใช้หัวใจไว้รักเขาคนเดียว
เขาเป็นคนที่ผมยินดีจะตกหลุมรักซ้ำๆไปทุกวัน
และเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยสดงดงามอะไรด้วย เพราะเขา...เป็นผู้ชาย
ผู้ชายที่เป็นเพศเดียวกันกันผม ไม่ใช่รักแรกพบแต่เขาสามารถทำให้ผมละสายตาไปไหนไม่ได้ เขาไม่จัดอยู่ในสเปคสูงเสียดฟ้าของผมสักนิด
เพราะเขาเป็นผู้ชายธรรมดาที่มัดใจผมได้ภายในเวลาเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น
"โอ๊ะ!"
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยๆในสถานที่แห่งนี้ได้เกิดขึ้นกับผู้ชายเสื้อสีชมพูรองเท้าสีส้ม
ผมเข้าไปถอดรองเท้าผ้าใบเขาออกเพื่อตรวจข้อเท้าดู
"โอ๊ย"
"เท้าคุณคงแพลงน่ะครับ เจ็บหน่อยนะ"
"โอ๊ย! โอ๊ย!"
ดวงตาเรียวคลอไปด้วยประกายน้ำใส มือเล็กจับแขนผมไว้ราวกับจะไม่ให้ผมยุ่งกับข้อเท้าเขา
"นิดเดียวครับ"
"ผมเจ็บ"
"ทนนิดเดียว"
ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสวยแต่มือก็ยังคงหมุนนวดเบาๆ เสียงร้องโอดโอยของเขาเบาบางไปก่อนจะหยุดกึก
"ห หายแล้ว"
"มาครับ เดี๋ยวผมช่วย"
เขาให้ผมพยุงไปนั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย เส้นผมของเขาหอมหวานเหมือนขนมในวัยเด็กที่ผมชื่นชอบ และทุกครั้งที่ได้กลิ่นมันก็จะผุดความรู้สึกดีขึ้นมาแผ่ซ่านอบอวล
วันนี้ผมรู้สึกเหมือนตกหลุมรักอีกแล้วล่ะสิ
"ขอบคุณมากนะครับ"
"เลี้ยงข้าวผมสักมื้อสิ"
"..."
"ผมชื่อปาร์คชานยอลนะครับ"
4.วันพุธ สีเขียว
'ให้อาหารสัตว์'
ผมชอบทำบุญ ไม่ใช่การทำบุญด้วยการหย่อนเงินให้ขอทานหรือใส่ตู้บริจาคตามสถานที่ต่างๆ แต่เป็นการทำบุญให้กับสัตว์ด้วยการให้อาหาร
วันนี้ผมเลือกมาที่สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเพื่อให้อาหารกับนกพิราบ เหมือนว่าที่นี่เพิ่งจัดงานแสดงจบไปเพราะยังหลงเหลือเศษซากจากฝีมือมนุษย์อยู่
คุณลุงอายุเกือบเจ็ดสิบยืนรอให้ผมเดินเข้าไปซื้อข้าวโพด แกส่งยิ้มอบอุ่นที่เห็นสายตาตื่นๆของคนข้างกาย
เขาเดินเข้ามาพร้อมผมในขณะที่ยังมองไปรอบตัว คล้ายจะกล้าแต่ก็กลับกลัวสัตว์ปีกเป็นร้อยๆชีวิตเหล่านี้
ผมโปรยเมล็ดข้าวโพดในตะกร้าลงพื้นจนหมดจึงไปหาที่นั่งพักใกล้ๆ หญ้าสีเขียวชอุ่มแผ่ความสงบเป็นวงกว้าง บนนั้นมีเสื่อผืนเล็กผืนใหญ่ทาบทับอีกชั้นด้วยผู้คนที่ออกมารับแสงแดดกับลมหนาว
"คุณขาแพลงมาหรอครับ"
"คิดว่าใช่นะครับ แหะแหะ" คนน่ารักมองข้อเท้าที่พันผ้าพร้อมกับยกมือเกาศีรษะอายๆ ยิ้มกว้างจนตาหยีและปากกลายเป็นรูปสี่เหลี่ยม
"ผมคุ้นหน้าคุณจังเลย"
"หน้าผมคงโหลมั้งครับ"
เขาเดินกระเผลกไปอุดหนุนคุณลุงอีกครั้งแล้วกลับมานั่งที่เดิม โปรยอาหารรอบๆเก้าอี้ที่นั่งอยู่ให้นกบินมาล้อมรอบ
เป็นอีกครั้งที่ความคิดที่ว่าเขาเป็นนางฟ้าปกป้องผืนป่าผุดขึ้นมาในสมอง
สิ่งเหล่านั้นจะไม่มีความหมายเลยถ้าเขาไม่ยิ้มด้วยความยินดีเมื่อโดนโฉบลงบนมือ เขาตกใจแต่ไม่โวยวายให้น่ารำคาญ กลับกันแล้วยังดูชอบที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ที่ไม่เข้าใกล้มนุษย์
จริงๆแล้วเขาเองก็เหมือนนก... พร้อมจะบินหนีเสมอถ้าเข้าไปใกล้
แต่ผมเรียนรู้ที่จะเข้าใกล้นกอย่างทะนุถนอมและระมัดระวัง ผมจะไม่ทำให้นกตัวนั้นต้องกระเจิงหนีไปไหน
อ่า ... ผมคิดว่าการเปรียบเทียบของผมมันน้ำเน่าอีกแล้วล่ะ
"คุณชอบสัตว์มั้ยครับ?"
"ชอบ ผมชอบหมา"
"ผมเองก็ชอบหมา" ที่อยู่ในคราบมนุษย์เหมือนคุณ
"..."
"ผมชื่อปาร์คชานยอลนะครับ"
5.วันพฤหัสบดี สีส้ม
'วาดรูป'
เช้านี้ผมหนีบกระดานวาดรูปไว้ใต้รักแร้ ไถสเก็ตบอร์ดบนฟุตบาทโล่งสนิทลงไปนั่งริมแม่น้ำสายเล็กๆ
ลมเอื่อยๆกับแสงแดดอ่อนๆสร้างอารมณ์ศิลปินได้ไม่ยาก แต่อีกอารมณ์หนึ่งก็ทำให้อยากเอาเปลมาผูกนอนเสียจริงๆ
ผมนั่งพิงหลังกับต้นไม้ชันเข่าเพื่อวางกระดาน หยิบแว่นสีชาที่เหน็บไว้ตรงคอเสื้อมาใส่กันแสงสะท้อนของผิวน้ำ
รอยร่างเบาๆจากดินสอกำลังเข้มขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมเปลี่ยนน้ำหนักมือ ผมไม่ได้วาดรถยนต์บนสะพานเล็กๆทางด้านซ้ายและไม่ได้วาดซองขนมที่กลายเป็นขยะริมแม่น้ำ
ความจริงมักถูกบิดเบือนเสมอ
ทุกคนต่างก็อยากเห็นแต่สิ่งสวยๆงามๆทั้งนั้นใช่มั้ยล่ะ?
ผมใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงกว่าจะเก็บรายละเอียดของพุ่มไม้สะท้อนแสงเงานั่นหมด ไม่รวมถึงประกายระยิบระยับของผืนน้ำ
และตรงมุมขวาของกระดาษมันกลับไม่ใช่ก้อนหินโล่งๆ แต่มันมีร่างของคนๆหนึ่งนั่งสูดอากาศสดชื่นอยู่ แขนทั้งสองข้างกางออกเพื่อโต้ลม
มากไปกว่านั้น...เขากลับทำให้ผมใส่รายละเอียดบนตัวเขามากที่สุด แม้จะเป็นแค่รูปหันหลังแต่มันกลับดูสวยงาม
ผมชักอยากตกหลุมรักเขาซะแล้วสิ
"สนใจเป็นแบบวาดรูปให้ผมมั้ยครับ"
"ผ ผมหรอ?"
"ใช่..." ผมถือวิสาสะนั่งลงข้างๆจนเขาต้องเขถิบถอย "คุณนั่นแหละ"
แก้วตาของเขามีความหมายภายในนั้น มันกำลังแสดงถึงความตื่นกลัวแต่ก็อยากรู้อยากเห็น
แม่เหล็กในใบหน้าเริ่มทำงาน มันดึงดูดให้ผมขยับเข้าใกล้เขาเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ
มือหนาประคองผิวแก้มเนียนละเอียดชวนสัมผัส ลูบไล้และจดจำกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ใจผมเต้นระรัวจนเหมือนจะหลุดลอยออกมา
"อ เอ่อ" เขาลอบกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ กระพริบตาปริบถี่รัว
ผมไม่ใช่คนใจร้าย ผมไม่สามารถทำให้เขาตกใจกลัวได้เพราะมันอาจจะเกิดผลร้ายต่อตัวเอง จึงทำได้แค่จุมพิตเบาๆบนหน้าผากมน
ใบหน้าเขาเห่อร้อนและเปลี่ยนสี จุดวงกลมสีแดงแต้มลงบนแก้มทั้งสองข้าง มันยังดูน่ารักเสมอในสายตาของผม
การเริ่มใหม่ในเรื่องเดิมทุกวันอาจไม่ใช่เรื่องยินดีของคนอื่นเท่าไหร่นัก แต่สำหรับผม... ผมเลือกแล้ว และไม่เคยคิดเสียใจด้วย
เพราะถ้ามันทำให้เขาตกหลุมรักกลับได้ ผมก็ยินดี
"เป็นแบบให้ผมอีกสักรูปนะ"
"อีกสักรูปหรอ?"
ผมพาเขาเดินไปยังใต้ต้นไม้ที่มีของวางอยู่ โชว์รูปวาดให้เขาดูก่อนรอยยิ้มเขินจะปรากฏขึ้น
แสงแดดอ่อนเป็นประกายสีส้มจางสะท้อนเสี้ยวหน้าหวานที่นอนอยู่บนตัก ขายาวของผมกลายเป็นหมอนเขาซะแล้วแถมคนหนุนยังหลับตาพริ้มมาได้สักพัก
เขาไม่รู้หรอกว่ายามที่ตนหลับนั้นน่ารักขนาดไหน เหมือนลูกหมาเชื่องๆตัวหนึ่งที่รออ้อมกอดจากเจ้าของ
"ตื่นแล้วหรอครับ" เด็กน้อยขยับกายลุกขึ้น แต่มันก็สายไปซะแล้วเพราะผมวาดรูปเขาเสร็จเรียบร้อย
"ขอโทษนะครับ คุณคงเมื่อยแย่เลย"
"สำหรับคุณ...ไม่เลยครับ"
ทุกคำพูดนั้นมันออกมาจากใจ
"..."
"ผมปาร์คชานยอลครับ"
6.วันศุกร์ สีฟ้า
'เปิดหมวก'
ผมหยิบกีตาร์ออกมาจากกระเป๋าหนังสีดำ ปรับสายทั้งหกเส้นแล้ววอร์มกล่องเสียง
อ่า...คิดถึงเสียงร้องระรื่นหูที่มักเป็นคู่ดูโอ้ของผมจัง
หวังว่าถ้าเขาได้ยินเสียงกีตาร์ตัวเดิมเขาจะมีความคิดอยากร้องเพลงให้ผมฟังเหมือนที่ผมอยากเล่นกีตาร์ให้เขาฟังบ้าง มันคงจะดีไม่น้อยถ้าเรากลับมาเป็นแบบนั้นอีก
ใช่ว่าตอนนี้ผมจะไม่มีความสุขนะ เพราะการตกหลุมรักเขาทุกวันคือทั้งหมดของความสุขแล้ว และถ้าหากวันไหนที่ผมไม่ตกหลุมรักเขานั่นอาจจะหมายความว่าผม...จากโลกนี้ไปแล้ว
เสื้อยืดสีฟ้าสดใสเฉดเดียวกับท้องฟ้ากลายเป็นจุดรวมสายตาไปซะแล้ว ริมถนนที่มีเพียงเก้าอี้พับตัวเล็กกับกระเป๋ากีตาร์กางอยู่ด้านหน้า
มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยืนจดจ้องผมพร้อมรอยยิ้ม ...รอยยิ้มที่ผมรักษามาตลอด
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ผมพร้อมจะสละชีวิตให้ เขาที่มีค่ามากกว่าสิ่งไหนบนโลก ผมต้องเป็นบ้าแน่ๆหากต้องเสียเขาไป
"เมื่อเธอหันมาจ้องมองที่ฉันแล้วยิ้มให้ ตอนนั้นฉันเข้าโลกนี้ทุกๆสิ่ง~"
แม้ว่าเขาจะจดจำผมในฐานะคนรักไม่ได้ เพราะอุบัติเหตุร้ายแรงที่ทำให้ต้องสูญเสียความทรงจำ
"ที่ดูสวยมันเพียงแค่ลวงหลอกตา มีแค่เธอตรงหน้าที่เป็นของจริง~"
ผมแค่อยากจะมีเขาไว้ข้างกาย แม้ว่าตื่นมาในทุกเช้าเขาจะลืมเรื่องราวทุกอย่างและต้องเริ่มต้นใหม่ ผมก็ไม่เบื่อเลย
"เพราะชีวิตที่ฉันเคยมีไม่ว่าดีสักเท่าไหร่ มันกลับเทียบกันเลยไม่ได้กับในเวลานี้~"
ผมไม่เบื่อที่จะมอบความรักและพร้อมเสมอที่จะจีบเขาใหม่ทุกวัน ผมยังรอให้เขากลับมาจำได้อีกครั้ง
"ตอนที่ใกล้ๆกันมีอีกคนหนึ่งคนที่ดี...คอยเข้าใจ"
ทุกเช้าของทุกวันผมจะทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้สายตาที่มองมาจะมีแต่ความว่างเปล่า แต่ผมรู้ว่าเขายังมีความคุ้นเคยด้านความรู้สึก
"สิ่งที่ฉันนั้นไม่รู้มาก่อน เธอบอกให้ฉันได้รับรู้ด้วยการสวมกอด~"
ผมเป็นห่วงเขาเกินกว่าจะปล่อยให้เขาออกไปเผชิญกับโลกกว้างเพียงคนเดียวได้ มันคงหนักหนาเกินไปสำหรับคนบอบบางอย่างนั้น
"ว่าสิ่งที่ฉันนั้นค้นหา ที่ชีวิตนี้ไขว่คว้ามาตลอด~"
เขาปรบมือเข้าจังหวะอย่างน่าชังท่ามกลางคนที่เข้ามายืนดูมากขึ้นเรื่อยๆ เขาดูมีความสุขแม้ว่าผมจะเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่งของเขาเท่านั้น
"...ก็คือเธอ~"
ผมสร้างความประทับใจใหม่ทุกวันเพื่อให้เขาได้ตกหลุมรักผมอีกครั้ง เพราะผมคงทำใจไม่ได้ถ้าหากเขาจะลืมผมแล้วยังไม่รักผมอีก
ราวครึ่งชั่วโมงที่เสียงเพลงดังไปทั่วถนนเส้นนี้ ผมกางกระเป๋ากีตาร์ให้คนใจบุญวางเศษเหรียญเศษสตางค์เป็นรางวัลเล็กๆน้อยๆ
เขาเองก็เดินเข้ามาหย่อนให้เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ที่แตกต่างจากคนอื่นคือเงินพวกนี้มันจะกลายเป็นมื้ออาหารเย็นของเรานั่นเอง
"หิวหรือยังครับ"
ผมขอบคุณที่เขาเลือกไว้ใจผม
"นิดหน่อย"
"งั้นผมขอเลี้ยงขนมคุณนะ"
"ก ก็ได้ครับ"
"น่ารักจัง"
"><"
"ผมปาร์คชานยอลนะครับ"
7.วันเสาร์ สีม่วง
'เดินเล่น'
แล้ววันสุดท้ายของอาทิตย์นี้ก็มาถึง แต่ละวันผ่านไปรวดเร็วเหมือนแค่กระพริบตา
"อรุณสวัสดิ์ครับ" เกือบหกเดือนแล้วที่มันยังเป็นแบบนี้
ข้างกายผมไม่เคยว่างเปล่า เราเข้านอนพร้อมกันหลังจากสร้างความรักขึ้นมาจางๆและตื่นมาพร้อมกันโดยที่ผมรักเขาเพียงฝ่ายเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยท้อ เพื่อรอสักวันที่เขาจะกลับมาเป็นของผมอีกครั้ง...คำว่าท้อมันไม่ใช่อุปสรรคเลย
"คุณคือใคร?"
เขาไม่เคยจำผมได้
"ผมเป็นแฟนคุณครับ ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณตกใจ ไว้ใจผมนะ วันนี้เราจะไปเดินเล่นกัน"
เขายังคงยิ้มเหมือนทุกครั้งที่เรายืนอ่านกระดาษชิ้นเล็กๆ เขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อยให้ความสูงมากพอ ยื่นหน้ามาอ่านแล้วแหงนมองหน้าผม
"ไปเดินเล่นกันครับ" ...แล้วทวนประโยคที่ผมเพิ่งพูดไป
ผมโอบอุ้มข้อมือเล็กให้อยู่ในฝ่ามือ เราแกว่งแขนเบาๆแล้วเดินลงไปตามทางของถนน มองไปรอบๆและยิ้มให้กับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา
ความรักคืออะไรผมไม่เคยเข้าใจหรอก เพียงแค่อยากดูแลเขาไปในทุกวันถึงแม้ทุกอย่างจะเปราะบางมากแค่ไหน
ผมยืนอยู่บนเส้นด้ายเล็กๆ ถ้าวันไหนตื่นขึ้นมาแล้วเขาเกิดกลัวและต่อต้านผม เขาอาจจะหนีผมไปในที่ที่ไกลเกินกว่าจะหาเจอ และผมจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นเด็ดขาด
"เมื่อไหร่คุณจะจำผมได้ล่ะครับ"
"ผมจำคุณได้ …คุณคือคนที่ร้องเพลงเมื่อวานไง" น้ำตาผมร่วงเผาะหยดลงเลอะเสื้อสีเทาจนขึ้นสีชัด มันแสดงให้เห็นว่าความพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของ 'บยอนแบคฮยอน' ไม่ใช่สิ่งที่สูญเปล่า
"ผม ผมชื่อปาร์คชานยอลนะครับ"
...และผมก็ยินดีที่จะแนะนำตัวเองอย่างไม่เบื่อหน่าย
"อื้อ ผมจำได้"
ให้แบคฮยอนยิ้มทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแนะนำตัวของผม
"ผมตกหลุมรักคุณทุกวันเลยนะแบคฮยอน"
"งั้นผมขอตกหลุมรักคุณด้วยแล้วกันนะครับ"
ถ้าโลกของเรามันไม่ได้มีแค่24ชั่วโมงล่ะ?
...ก็อยากขอให้เราตกหลุมรักกันทุกวันแบบนี้ก็พอแล้วเนอะแบคฮยอน
ต่อจากนี้ไปไม่ว่าเขาจะจำได้หรือไม่ ผมก็จะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหน ในเมื่อสิ่งล้ำค่าที่สุดของผมอยู่ตรงนี้แล้ว...อยู่ข้างๆนี่แล้ว
"ผมรักคุณ รักคุณมากจริงๆ"
สำหรับเจ็ดวันที่ผ่านมาไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่เห็นรอยยิ้มของเขา เพราะหลังจากหยิบม้วนกระดาษออกมาจากโหล เขาจะส่งยิ้มให้ผมเหมือนกับว่าพร้อมแล้วกับการที่จะตกหลุมรักผมเช่นกัน
ขอบคุณนะครับคนแปลกหน้าทั้งเจ็ดวันของผม
#ficlazycenter
ไฮฮฮฮฮฮฮ
เรื่องนี้น้องแบคความจำเสื่อม
ความจำรีเซ็ตทุกวันนะ
อิอิ
ความคิดเห็น