ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    One Shot / Short Fiction | HUNHAN

    ลำดับตอนที่ #16 : ( OS ) The Meaning of US ♡

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.4K
      48
      17 ธ.ค. 59









    มันเป็นค่ำคืนหนึ่งที่ความเหงาเกาะกินหัวใจ เป็นค่ำคืนหนึ่งที่ลู่หานรู้ดีว่าเขาไม่สามารถอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมอันว่างเปล่าเพียงคนเดียวได้

     

    เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นที่ตัดสินใจเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกเอาชุดที่คิดว่าเหมาะที่สุดหลังจากนั้นก็เปิดประตูออกจากห้องไปยังสถานที่ที่ไม่เคยหลับใหลในยามค่ำคืน ที่ที่มีผู้คนซึ่งรู้สึกแบบเดียวกัน และลู่หานหวังเหลือเกินว่า...ความเหงาอันโหดร้ายจะไม่อาจทำอะไรกับหัวใจเขาได้ในค่ำคืนนี้

     

    เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมาลู่หานก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่บริเวณมุมหนึ่งของผับที่เคยมากับเพื่อนสองสามครั้ง ตรงหน้ามีแก้วเครื่องดื่มสีอำพันวางอยู่ รอบข้างสนั่นด้วยเสียงเพลงชวนให้ลุกออกไปเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น

     

    ลู่หานดื่ม ดื่ม และดื่ม...

     

    ดื่มเพื่อลืมชีวิตที่เหมือนจะเพียบพร้อมแต่ในความเป็นจริงกับขาดไปซะทุกอย่าง ลืมเพื่อนเฮงซวยที่หวังจะพึ่งพาตัวเขา ลืมความรักขมขื่นที่ไม่เคยสัมผัสถึงมันได้อย่างแท้จริง

     

     

    “ออกไปจากชีวิตฉัน ไปซะ...”

     

     

    ลู่หานพูดประโยคนี้กับคนคนหนึ่งเมื่อสี่เดือนก่อน แม้รู้ดีว่าหลังจากนั้นจะต้องเสียเขาไปตลอดกาล ตามมาด้วยชีวิตที่ว่างเปล่าจะกลับมาวนเวียนทักทายอีกครั้ง แต่ลู่หานก็ยังทำ

     

    ใช่ ลู่หานจัดเป็นคนประเภท โหยหาความรัก

     

    อาจแปลกไปสักหน่อยที่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอายุเกินเบญจเพสแล้วยังเชื่อมั่นในรักแท้ราวกับเด็กวัยรุ่น แต่ลู่หานเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลู่หานเชื่อว่าในโลกใบนี้มีใครสักคนที่รอเขาอยู่ รอที่จะสอน ให้ และรับ ความรัก จากตัวเขา อาจจะทำให้ต้องหัวเราะทั้งน้ำตากับความโง่ของตัวเองหลายครั้ง ทว่าความจริงที่น่าสมเพชก็คือลู่หานยังคงเชื่อมั่นในสิ่งนั้นมากเกินกว่าจะตัดใจ

     

    หยดน้ำสีอำพันหยดสุดท้ายสัมผัสกับลำคอให้รู้สึกขมปร่า...

     

    วินาทีที่ตัดสินใจทิ้งอดีตอันโง่เง่าแล้วเริ่มต้นใหม่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของชีวิต ลู่หานหลับตาลงแล้วคลายยิ้มบางให้ตัวเอง และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางความมืดมิด...ลู่หานเห็นผู้ชายคนหนึ่ง

     

    ใครคนนั้นนั่งอยู่คนเดียว ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชากับดวงตามีเสน่ห์ซึ่งมองตรงมายังเขาเช่นกัน

     

    ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นโครมคราม

     

    .

    .

     

    เกมจ้องตาดำเนินต่อไปท่ามกลางเสียงเพลงอึกทึก แสงไฟหลากสี กับผู้คนนับร้อย ลู่หานห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก ลู่หานปล่อยให้ดวงตาสองคู่ยังคงสอดประสาน ขณะปลายนิ้วเล็กขยับเคาะโต๊ะเบาๆ เขานับเลขในใจ นึกอยากรู้นักว่าความอดทนของคนสองคนจะยาวนานสักกี่วินาที

     

    10…20…29…35…48…50…55…60

     

    โอเค ลู่หานยอมแพ้

     

    ดวงตากลมโตหรุบลงเพราะเคืองตา สองมือเล็กยกขึ้นมาขยี้แรงๆ จนน้ำตาเอ่อ ลู่หานกระพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง

     

    วินาทีที่เงยหน้าขึ้นมานั่นเอง หัวใจก็ต้องเต้นระส่ำรุนแรง

     

     

     

    “ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ”

     

     

     

    ลู่หานรู้ดีว่าชีวิตหลังจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

     

     

     

    *

     

     

     

    คนตรงหน้าชื่อโอเซฮุน อายุยี่สิบสี่ (นั่นแปลว่าเขาเด็กกว่าลู่หานถึงสี่ปี) ทำงานตำแหน่งมั่นคงในบริษัทแห่งหนึ่ง

     

    ใบหน้าที่ว่าหล่อเหลายามมองไกลๆ ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นเมื่ออยู่ในระยะเอื้อมถึงนี้ โดยเฉพาะรอยแผลเป็นจางๆ ที่ข้างแก้มนก็ชวนให้ลู่หานนึกอยากเอื้อมมือไปสัมผัส ทว่าเขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นหรอก...

     

    “พี่อยากฟังจริงๆ น่ะเหรอ”

     

    โอเซฮุนถามขึ้นมาหลังจากพวกเขาคุยกันมาร่วมชั่วโมง

     

    น่าแปลกที่เพิ่งรู้จักแต่ลู่หานกลับกล้าเล่าเรื่องส่วนตัวให้อีกฝ่ายฟัง เซฮุนก็เช่นกัน เรื่องราวของแต่ละฝ่ายถูกถ่ายทอดเรื่องแล้วเรื่องเล่าราวกับไม่มีวันจบสิ้น ยิ้มให้กัน หัวเราะด้วยกัน เวลาแค่ชั่วโมงเดียวแต่กลับทำให้หัวใจลู่หานคล้ายถูกเติมเต็ม...รู้สึกอิ่มเอมในอกอย่างน่าประหลาด

     

     

    เขาไม่อยากให้มันจบลงแค่ตรงนี้เลย

     

     

    “อยาก แต่ถ้านายไม่สะดวกใจก็...”

     

    “ถึงขนาดนี้แล้วมันไม่มีหรอกความไม่สะดวกใจอะไรนั่น” เซฮุนหัวเราะ ดวงตาสองข้างหรี่เล็กทำให้ใบหน้าหล่อเหลาดูน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ “มันแค่...ไม่รู้ดิ ผมว่ามันน่าสมเพชนิดหน่อย”

     

    “ยังไง”

     

    “แฟนคนแรก...คบกันตอนมอปลายจนขึ้นมหาลัย”

     

    “โอ้ ตั้งสามปี...”

     

    “ใช่ แล้วก็เลิกกัน” เซฮุนยิ้ม ไม่มีเค้าความเจ็บปวดใดใดเมื่อพูดถึงความรักยาวนานในอดีตที่จบลง “คนที่สองคบได้สองปี ส่วนคนสุดท้ายเพิ่งเลิกไปเมื่อห้า..? หก..? เจ็ดเดือนที่แล้วมั้งครับ คบกันเกือบสองปี”

     

    “ดีจัง แสดงว่านายเป็นคนมั่นคงนะถึงคบกับใครได้นาน พี่นี่สิ...มากสุดแค่สี่เดือน”

     

    “ฟังดูดีก็จริง แต่พี่ลู่หานรู้มั้ย เห็นผมหล่อๆ หน้าตาดี ฐานะใช้ได้แบบเนี้ย...ถูกบอกเลิกตลอดนะครับ”

     

    ลู่หานเกือบจะโห่กับถ้อยคำยกยอตัวเองเหลือเกินนั่น แต่เพราะที่อีกฝ่ายพูดมามันจริงทั้งหมดเลยได้แต่เบะปากใส่ด้วยความหมั่นไส้

     

    “อืม น่าแปลกจริงๆ ล่ะนะ”

     

    “ที่สำคัญ สามคนนั้นทิ้งผมไปโดยไม่บอกเหตุผลอะไรเลย”

     

    เพราะเป็นฝ่ายบอกเลิก (หรือบางทีก็เฉดหัว) มาตลอด ลู่หานเลยไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังนัก กระนั้นก็ยังนิ่งฟังโอเซฮุนทั้งรอยยิ้มบางบนเรียวปาก

     

    “ช่างมันเถอะ ผมเองก็ไม่ได้อยากรู้คำตอบสักเท่าไหร่ ใครอยากไปก็ไป อยากจบก็จบ ผมว่ามันเท่ดีเหมือนกันนะเวลาที่ถูกบอกเลิกแล้วได้ตอบออกไปว่า ตามใจ ดูมีศักดิ์ศรีดี”

     

    ลู่หานหัวเราะจนหน้าแดงก่ำ หมอนี่มันเด็กชัดๆ คงออกแนวลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ล่ะมั้ง

     

    ขณะเดียวกันเซฮุนมองท่าทางน่ารักของชายหนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้าก็อดยิ้มไม่ได้ แก้วขาวแดงเรื่อชวนให้อยากเอื้อมปลายนิ้วไปแตะต้อง ริมฝีปากที่ส่งเสียงหัวเราะนั่นก็คงจะนุ่มนิ่มไม่น้อยเลยทีเดียว

     

    “นี่ ตีสามแล้ว เราไปต่อที่อื่นกันเถอะครับ”

     

    “ตีสามเนี่ยนะ นายจะไปที่ไหน”

     

    เซฮุนกระตุกยิ้มร้ายยามได้ยินคำถามซื่อๆ จากคนตัวเล็ก เขากดยิ้มมุมปาก เอ่ยด้วยความมั่นใจต่อเจ้าของใบหน้าหวานที่เขาถูกใจตั้งแต่แรกเห็น

     

     

    “คอนโดผม”

     

     

    คนฟังบังคับไม่ให้ตัวเองอ้าปากเหวออย่างยากเย็น ฝ่ามือที่วางบนตักสั่นเล็กน้อยหากก็ยังรู้สึกได้ ถ้าเป็นคนอื่นลู่หานคงชกหน้าเข้าสักทีที่พูดจาเหมือนเห็นเขาเป็นคนง่ายๆ แบบนี้...

     

    แต่นี่เป็นโอเซฮุน

     

    คนที่ลู่หานสบตาเพียงหกสิบวินาทีก็รู้ดีว่าหัวใจเขาไม่ต้องการปล่อยให้จากไป

     

     

    “หกสิบวินาทีที่เรามองตากัน พี่คงไม่อยากให้ผมเป็นแค่น้องชายหรอกใช่มั้ย”

     

     

     

    *

     

     

     

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ลู่หานมาทำงานแล้วพบว่าบนโต๊ะมีช่อดอกไม้วางอยู่ มันโดดเด่นจริงๆ นั่นแหละ โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนโต๊ะทำงานผู้ชายวัยยี่สิบแปดปีอย่างเขา ขนาดเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้สนิทสนมอะไรมากมายนักยังถึงขั้นเอ่ยปากแซว ลู่หานทำได้แค่ยิ้มรับ ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงในเมื่อหลักฐานวางทนโท่อยู่ตรงนี้

     

     

    อาจจะดูโง่ไปหน่อยแต่ผมเพิ่งคิดได้ว่าพี่อาจจะไม่ชอบดอกไม้ก็ได้ เคยจีบแต่ผู้หญิง ไม่รู้เหมือนกันว่าจีบผู้ชายเขาทำกันยังไง อ่า...ถ้าพี่ไม่ชอบมันล่ะก็ เอาไปทิ้งโดยไม่ต้องบอกผมนะ

    - โอเซฮุน

     

     

    ลู่หานคลี่ยิ้มหลังจากอ่านการ์ดจบ ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะยิ้มกว้างมากขึ้น...มากขึ้น...มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ้มทั้งปากทั้งตา ยิ้มได้สว่างไสวอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าทำให้เพื่อนร่วมงานโต๊ะใกล้เคียงต้องยิ้มตามไปด้วย แน่นอนว่าเป็นรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดในรอบหลายปี

     

    มือเล็กหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์ข้อความรวดเร็ว

     

     

    ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยชอบดอกไม้หรือของอะไรหวานแหววแบบนี้หรอก แต่แปลกชะมัด...พักนี้ดันรู้สึกชอบดอกกุหลาบขึ้นมาซะได้

     

     

    โชคดีของลู่หานคือเช้าวันต่อมาหลังตัดสินใจไปค้างคอนโดเซฮุนทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก เมื่อลืมตาตื่นก็พบว่าโอเซฮุนยังนอนอยู่ใกล้ๆ แขนยาวยังคงพาดเอวเขาไว้เหมือนตลอดค่ำคืนที่ผ่านมา

     

    ด้วยอายุแล้ว...เซฮุนกับลู่หานเป็นผู้ใหญ่พอที่จะพูดคุยกันตามตรง มันไม่ใช่ Puppy love หรือวันไนท์แสตนด์ ในเมื่อหัวใจรู้สึกยังไงก็พูดออกไปตามที่คิด สุดท้ายพวกเขาจึงตกลงลองศึกษากันดู ถ้าใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็พร้อมจะจากกันด้วยดี เซฮุนยังเอ่ยปากขอโทษลู่หานด้วยซ้ำที่เมื่อคืนมือไวปากไวใจเร็วไปหน่อย ชายหนุ่มสัญญาหนักแน่นว่าต่อไปความสัมพันธ์ทางกายระหว่างพวกเขามันจะเป็นไปตามขั้นตอน

     

    คงเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนแรกของลู่หานนั่นแหละ

     

     

     

    Rrrr - - Rrrr - -

     

     

     

    “อื้อ ว่าไง”

     

    ( ทำงานหรือยังครับ )

     

    “ยัง มีอะไรเหรอ”

     

    ( ผมดีใจนะที่พี่ชอบมัน )

     

    “สวยดี แต่ต่อไปไม่ต้องส่งมาแล้วก็ได้ เปลืองเงินเปล่าๆ นะ”

     

    ( แค่พี่ชอบก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมากหรอก )

     

    ลู่หานกำลังอ้าปากจะแย้ง หากแต่ไม่ทันปลายสายที่ชิงพูดตัดบทรวดเร็ว

     

    ( แค่นี้ก่อนนะครับ ตอนเที่ยงเจอกัน )

     

    เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าลู่หานเป็นพวกโหยหาความรัก...

     

    เขาเคยฝัน...อยากมีใครสักคนที่รัก ดูแล เอาใจใส่ อยู่ด้วยกันไปจนแก่ ความรักที่หอมหวาน รักที่สมบูรณ์แบบ รักที่สวยงามราวกับพระเอกนางเอกในนิยาย

     

    ลู่หานอธิษฐานเช่นนั้นกับพระเจ้ามาตลอด เขาจึงบอกเลิกใครหลายคนเพียงแค่รู้สึกว่าคนๆ นั้นให้ความรักในแบบที่ตัวเองต้องการไม่ได้ คงต้องโทษแม่กับพี่สาวที่ชอบเปิดละครน้ำเน่าให้ดูมากไปจนลู่หานคิดฝังใจในสิ่งที่เห็นตั้งแต่เด็ก ลู่หานรอ รอจนคิดว่าคนในฝันของเขาคงไม่มีอยู่จริงแล้ว แต่โชคชะตากลับดลบันดาลให้มาพบกับโอเซฮุน

     

    เซฮุนที่ส่งดอกไม้สวยๆ มาให้ทุกเช้า เซฮุนที่มักส่งข้อความมาหาระหว่างวัน เซฮุนที่มารับไปกินข้าวเที่ยงทั้งที่บริษัทอยู่คนละทาง เซฮุนที่พาไปเดทหลังเลิกงาน เซฮุนที่แสดงออกถึงความใส่ใจให้ลู่หานเสมอ

     

    ลู่หานหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะคงอยู่ไปนานแสนนาน หวังว่าเซฮุนจะเป็นคนสุดท้ายในชีวิตเขาจริงๆ เสียที

     

     

     

    *

     

     

     

    “เซฮุนนา แวะซื้อเบียร์ก่อนมั้ย”

     

    “พี่อยากดื่มเหรอ”

     

    “คืนนี้เราต้องอยู่ดึกนะ อย่าลืมสิ!

     

    ลู่หานหันไปคลี่ยิ้มสดใสให้สารถีรูปหล่อ ดวงตากลมโตไหวระริกอย่างตื่นเต้นเพียงแค่นึกถึงคืนนี้ซึ่งเป็นคืนวันศุกร์ที่จะนอนดึกแค่ไหนก็ได้หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับงานมาทั้งสัปดาห์ เซฮุนเห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ บางทีลู่หานดูเป็นผู้ใหญ่ก็จริง ทว่าบางครั้งกลับเหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด

     

    “ผมไม่คิดว่าเราต้องใช้เบียร์”

     

    “มันทำให้เพลินขึ้นนะ สนุกขึ้นด้วย ไม่รู้หรือไง”

     

    เซฮุนเลิกคิ้วมองก่อนจะหัวเราะ “พี่รู้ดีกว่าผมจริงๆ น่ะเหรอ”

     

    “เถอะน่า ไม่เชื่อลองดู แวะซุปเปอร์แถวคอนโดนายก็ได้ อืม...ซื้อเบียร์ ขนมกับของกินตุนไว้เยอะๆ คืนนี้ต้องใช้พลังงานหนักแน่ๆ”

     

    เซฮุนอยากเอานิ้วแคะหูตัวเองแรงๆ ชะมัด

     

    ลู่หานที่หน้าแดงตัวแดงใต้ร่างเขาเนี่ยนะ กล้าพูดอะไรโจ่งแจ้งแบบนี้!?

     

    .

    .

     

    “เฮ้!! เข้าอีกลูกแล้ว มันต้องอย่างนี้สิ!!

     

    ร่างเล็กกระโดดเหยงๆ หน้าโซฟาในห้องนั่งเล่น ไม่วายหันกลับไปกอดล็อคคอเซฮุนอย่างดีใจ หน้าจอทีวีปรากฏภาพผู้ชายนับสิบคนกำลังไล่ล่าลูกกลมๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย

     

    ใช่...ลู่หานกำลังเชียร์ฟุตบอล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทีมโปรดของเจ้าตัว

     

    และใช่...ไอ้คำพูดกำกวมบนรถนั่น เซฮุนนั่นแหละที่คิดมโนไปไกลคนเดียว

     

     

     

    30 นาทีผ่านไป...

     

     

     

    “ชนะแล้วเซฮุน ชนะแล้ว! โว้ววววว! เจ๋งเป็นบ้า!!

     

    “อ่า ครับ...”

     

    เสียงตอบรับเนือยๆ ทำให้ลู่หานหันกลับมาสนใจคนข้างกายที่เอนศีรษะพิงพนักโซฟาตาปรือ มัวแต่เมามันกับการเชียร์ศึกลูกหนังจนไม่ได้ใส่ใจอีกคนสักเท่าไหร่ และพอเห็นท่าทางง่วงงุนของเซฮุนลู่หานก็ต้องขมวดคิ้ว

     

    “ไม่ตื่นเต้นเหรอ ชนะแล้วเนี่ย เออลืมถามเลย ปกตินายเชียร์ทีมไหนน่ะ”

     

    เซฮุนค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มบิดขี้เกียจไปมาสองสามที

     

    “ผมว่าเราไปนอนกันดีกว่า ดึกแล้ว”

     

    “อะไรน่ะ ตอบมาก่อนสิ ปกติเชียร์ทีมไหน?”

     

    คนถูกถามถอนหายใจ ก่อนตอบอย่างจืดเจื่อน

     

    “ปกติผม...ไม่ดูฟุตบอล”

     

    “.........”

     

    “.........”

     

    “แล้ว...ทำไมไม่บอกแต่แรกอ่ะ...”

     

    ลู่หานถามเสียงแผ่ว ใบหน้าน่ารักหดเหลือสองนิ้ว อยากตีตัวเองให้ตายนัก ก็ว่าอยู่...เซฮุนทำหน้าราวกับเห็นผีเมื่อเขาลากอีกฝ่ายมาเฝ้าหน้าจอทีวีทันทีที่อาบน้ำเสร็จ แถมระหว่างเกมเซฮุนก็นั่งเงียบ จิบเบียร์บ้าง แกะซองขนมกินบ้าง ตอนแมนยูยิงเข้าเซฮุนก็ไม่หือไม่อือ เพียงแค่หัวเราะเล็กๆ ตอนที่ถูกเขาคว้าไหล่มาเขย่าแรงๆ ให้สมกับความดีใจเท่านั้น

     

    คนไม่ดูบอลต้องมานั่งเชียร์บอลมันน่าเบื่อแค่ไหนลู่หานรู้ดี ก็เหมือนตอนเขาโดนเพื่อนลากไปดูเทนนิสสมัยมอปลายนั่นแหละ

     

    “แล้วไม่บอกแต่แรกล่ะ ขอโทษนะ นายคงเบื่อ...”

     

    “ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ได้น่าเบื่ออะไร...แค่ง่วงนิดหน่อย”

     

    “แล้วทำไมตอนที่พี่บอกว่าคืนนี้เรามีนัดพิเศษกัน เซฮุนรีบตอบรับขนาดนั้นล่ะ พี่ก็นึกว่านายรู้”

     

    เซฮุนไม่ตอบ ลู่หานเลยจ้องคาดคั้นหนักกว่าเดิม สุดท้ายชายหนุ่มก็กระแอมไอแก้เก้อ พึมพำตอบทั้งหน้าแดงเรื่อ

     

    “ก็...เราไม่ได้เจอกันสองอาทิตย์แล้วใช่มั้ยล่ะครับ อาทิตย์ก่อนผมไปประชุมต่างจังหวัด ส่วนอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่ก็ยุ่งกับการปิดเล่ม พอเราว่างตรงกันผมก็เลยคิดว่าเราจะ...จะ...”

     

    “จะ...?”

     

    “จะ...ทำอะไรพิเศษๆ ให้สมกับที่คิดถึงกันไง โธ่ ลู่หานพี่น่าจะรู้นะว่าผมติดพี่ขนาดไหน”

     

     

     

    ตุ้บ!

     

     

     

    หมอนอิงใบย่อมถูกปาแสกหน้าโอเซฮุนทันที ลู่หานหน้าแดงก่ำ ก่อนใจความสำคัญที่เซฮุนพูดจะทำให้คนขี้อายค่อยๆ เผยรอยยิ้ม แล้วก็กลายเป็นหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่งจนทำให้ร่างสูงอดขำตามไปด้วยไม่ได้

     

    ภายในห้องนั่งเล่นจึงสนั่นไปด้วยเสียงหัวเราะของคนสองคน ดังก้องนานนับนาที

     

    ค่ำคืนนั้นเอง...ก่อนห้วงนิทราจะร้องเรียกพวกเขาพร้อมกัน ลู่หานแว่วเสียงกระซิบชิดริมหูจากเซฮุน ขับกล่อมให้เขาฝันดี

     

    “ถึงจะดูบอลไม่เป็น แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม...ผมสัญญาว่าจะนั่งอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนพี่เสมอนะครับ”

     

     

     

    *

     

     

     

    “เซฮุน บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอากางเกงไปใส่ในตะกร้าเสื้อ!

     

    เช้าวันหยุดอันวุ่นวาย...

     

    เวลาผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ลู่หานไม่เคยกล้าคาดฝันว่าเรื่องระหว่างเขากับเซฮุนจะดำเนินมาไกลถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าชีวิตของลู่หานเปลี่ยนไปจากเดิมมาก อย่างแรก ลู่หานไม่ได้มาค้างกับเซฮุนทุกสุดสัปดาห์เหมือนเคย แต่เขาย้ายมาอยู่ที่คอนโดเซฮุนเลยต่างหาก

     

    ยิ่งไปกว่านั้น ลู่หานมีเพื่อนที่เรียกว่า เพื่อน ได้เต็มปาก กลุ่มคนเหล่านั้นคือเพื่อนของเซฮุนอีกที มีทั้งรุ่นเดียวกับเซฮุนอย่างจงอิน ชานยอล แบคฮยอน แล้วก็เพื่อนรุ่นพี่อีกหนึ่งคน (แต่ก็เด็กกว่าลู่หานอยู่ดี) ชื่อคิมจุนมยอน เซฮุนพามาให้รู้จักหลังจากพวกเขาตกลงคบกันจริงจัง ลู่หานสนิทกับจงอินมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยเพราะคอบอลเหมือนกัน จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ของเซฮุนที่ต้องหาข้ออ้างกันท่าจงอินไม่ให้มาค้างที่คอนโดเขาทุกครั้งที่มีการแข่งขันระหว่างแมนยูกับเชลซี ไม่ว่าจะเป็นเซฮุนป่วยบ้างล่ะ ลู่หานอารมณ์ไม่ดีบ้างล่ะ ซื้อเฟอร์นิเจอร์มาใหม่ยังไม่ได้จัดบ้างล่ะ สุดท้ายเมื่อจนใจจะหาข้ออ้างเซฮุนก็ต้องพูดไปตรงๆ ว่า

     

     

     

    “กูหวง จบมั้ยสัด”

     

     

     

    แน่นอนว่ามันทำให้จงอินหัวเราะเยาะเย้ยเขาอย่างผู้ชนะ

     

    “ลืมครับ โทษที”

     

    “ลืมตลอด หัดจำซะบ้างสิ”

     

    “กลายเป็นตาแก่ขี้บ่นไปแล้วเหรอ”

     

    “โอเซฮุน!

     

    เซฮุนยักไหล่ใส่เสียงตวาดลั่นห้องนั่น ก่อนคว้าผ้าเช็ดตัวผิวปากหวือเข้าห้องน้ำไปอย่างสบายอารมณ์

     

     

     

    ใช่ ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง

     

     

     

    เซฮุนกับลู่หานข้ามผ่านคำว่าคู่รักกลายเป็นคู่ชีวิต ถึงจะไม่มีแหวนที่นิ้วนางหรือพิธีในโบสถ์ทว่าทุกสิ่งที่พวกเขาทำด้วยกันในคอนโดแห่งนี้เป็นเครื่องการันตีได้ดีกว่าสิ่งใด

     

    เมื่อเปรียบเทียบปัจจุบันกับหนึ่งปีที่แล้วระหว่างพวกเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ดอกไม้บนโต๊ะทำงานทุกเช้าเหลือแค่นานๆ ครั้ง การขับรถไปเที่ยวไกลๆ เหลือแค่เดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือซื้อดีวีดีภาพยนตร์ที่อยากดูมาเปิดด้วยกันในห้องนั่งเล่น

     

    แต่ลู่หานทนกับมันได้...

     

    เพราะเขายังเชื่อเสมอว่าความรักที่ได้จากเซฮุนคือสิ่งพิเศษที่พระเจ้าประทานให้ ยังคงเชื่อว่าความรักของเซฮุนคือความรักที่ตามหามาตลอดชีวิต

     

     

     

    ทว่า ลู่หานกลับต้องทบทวนความคิดตัวเองใหม่อีกครั้งเมื่อเข้าสู่ปีที่สองของการใช้ชีวิตด้วยกัน

     

     

     

    “รอแป๊บนึงนะเซฮุน พี่ชงกาแฟจะเสร็จแล้ว ดื่มก่อนค่อยออกไปทำงาน”

     

    เสียงกุกกักดังมาจากห้องนอนขณะลู่หานยังคงใช้ช้อนคันเล็กคนกาแฟให้เข้ากัน วันนี้วันหยุดแท้ๆ บริษัทเซฮุนดันนัดประชุมด่วนเสียได้ และไม่กี่นาทีต่อมาร่างสูงก็คว้าเสื้อสูทกับกระเป๋าทำงานด้วยท่าทางเร่งรีบ

     

    “ไปก่อนนะครับ เย็นนี้เจอกัน”

     

    “เดี๋ยว แล้วกาแฟล่ะ”

     

    “วางไว้ก่อน เย็นนี้กลับมาดื่มก็ทัน”

     

    “บ้าหรือไง เดี๋ยวสิ...”

     

     

     

    ปัง!

     

     

     

    บานประตูปิดสนิทลงพร้อมกับร่างของเซฮุนที่พ้นจากกรอบสายตาลู่หานไปแล้ว ร่างเล็กถอนหายใจแผ่ว กรอกตามองเพดานก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป

     

    ทิ้งแก้วกาแฟกรุ่นกลิ่นหอม ควันจางๆ จากไอร้อนยังคงลอยวนอยู่ไว้บนเคาน์เตอร์ไว้อย่างนั้น

     

    .

    .

     

    เช้าตรู่วันอาทิตย์ แทนที่ลู่หานจะได้นอนตื่นสายให้สมใจกลับต้องแวะไปช่วยแก้งานซึ่งเป็นความผิดพลาดรุ่นน้องในบริษัท ดวงตากลมโตสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องนอน อดปรายตามองเจ้าของร่างสูงที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่บนเตียงไม่ได้

     

    “เซฮุนนา ไปแล้วนะ”

     

    ก้าวเตาะแตะมาพึมพำบอกข้างเตียง ลู่หานไม่หวังหรอกว่าเสียงเขาจะส่งไปถึงคนที่ดูเหมือนกำลังหลับสนิทอยู่

     

    “อืม...กุญแจรถอยู่บนหัวนอน...ผมไม่ส่งนะ...”

     

    แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเลิกหวังความเอาใจใส่จากโอเซฮุนมานานเท่าไหร่

     

    ลู่หานบอกตัวเองเสมอว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมดังวันแรกที่ใช้ชีวิตด้วยกัน ทว่าเมื่อหวนคิดถึงอดีตแล้วร่างเล็กก็ต้องวาดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มขมขื่น

     

    ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ไม่มีแม้สักอย่างเดียว ลู่หานกับเซฮุนเหมือนนาฬิกา...ที่ถ่านใกล้หมดเต็มที ได้แต่รอวันให้เข็มเก่าๆ นี้หยุดเดินเสียทีก็เท่านั้น

     

     

     

    และแล้ว...จุดสิ้นสุดก็เดินทางมาถึงในเย็นวันหนึ่งหลังจากเวลาล่วงเข้าสู่ปีที่สาม

     

     

     

    บนโต๊ะกินข้าวต่างคนต่างกินของตัวเอง เรื่องตักอาหารให้กันนั่นลืมไปได้เลย ทุกอย่างเป็นไปอย่างเฉยชาจนน่าแปลกใจว่าพวกเขาทนมันได้ยังไง

     

    ลู่หานไม่รู้ว่าเซฮุนจำมันได้ไหมว่าวันนี้เป็นวันครบรอบสามปี เพราะขนาดวันเกิดเขาที่เพิ่งผ่านไปเมื่ออาทิตย์ก่อนเซฮุนยังลืม ลืมแบบที่เรียกกันว่าลืมสนิท จนถึงป่านนี้ลู่หานยังไม่ได้ยินคำว่าสุขสันต์วันเกิดจากอีกคนเลยด้วยซ้ำ

     

    มือสองข้างหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มพร้อมกันเป็นสัญญาณบอกว่าพวกเขาอิ่มแล้ว

     

    “เย็นนี้พี่จะไปไหนรึเปล่า”

     

    “ยังไม่รู้เหมือนกัน”

     

    “งั้นเหรอ...”

     

    น่าแปลก...ลู่หานเพิ่งคิดขึ้นมาได้ เซฮุนได้ทุกอย่างจากเขาไปหมดแล้ว ร่างกาย หัวใจ ไม่มีอะไรที่เป็นของลู่หานและมันไม่ได้เป็นของเซฮุน เราอยู่ด้วยกันมานาน...นานจนรู้นิสัยของอีกฝ่ายทุกอย่าง มันไม่เหลืออะไรต้องเรียนรู้กันและกันอีก

     

    หมดไปแล้วความตื่นเต้นของรักแรก หมดไปแล้วความหวานชื่นของความรักอย่างหนุ่มสาว

     

    ไม่เหลืออะไรอีก

     

     

     

    และลู่หานเพิ่งเข้าใจ...คนรักเก่าของเซฮุนทั้งสามคนเลือกจากไปเพราะอะไร

     

     

     

    “นี่ เซฮุนเคยได้ยินไหม...”

     

    อยู่ๆ เสียงหวานก็เปรยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มบาง ยิ้มที่เซฮุนไม่ได้เห็นมานานจนต้องเลิกคิ้วแปลกใจ

     

    “มีคนเคยบอกว่าสิ่งที่ทำให้คู่แต่งงานอยู่ด้วยกันจนแก่มันไม่ใช่ความรักหรอก มันคือความผูกพัน ความเป็นเพื่อน สองสิ่งนี้ต่างหากที่ผูกมัดคนสองคนไว้ด้วยกัน เพราะว่าความรักมันหมดไปแล้ว”

     

    “แล้วยังไงครับ”

     

    “ไม่รู้สิ” ร่างเล็กลุกขึ้นยืน สอดเก้าอี้เข้าใต้โต๊ะแล้วท้าวศอกคาไว้บนพนักเก้าอี้อย่างนั้น “พี่ไม่คิดว่า...”

     

    “ว่า?”

     

    เซฮุนก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เขาเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยืนฟังด้วยสีหน้าเฉยชา ลู่หานเงียบไปสักพักก่อนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อ

     

     

     

    “ไม่คิดว่าเราสองคนจะมาถึงจุดนั้นเร็วขนาดนี้”

     

     

     

    ไม่สิ จุดนั้นของเซฮุนต่างหาก...

     

    เพราะสำหรับลู่หาน...ความรักยังมีอยู่ทุกอณูความรู้สึก ทุกครั้งที่มองเซฮุน ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องของเรา ทุกๆ วินาทีที่หายใจ

     

    ดวงตาคู่สวยจ้องมองเซฮุน ร่างสูงโปร่งยังคงยืนล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยสีหน้าเดิม ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนทำให้ลู่หานแน่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปมันถูกต้อง

     

    “อืม...พี่รู้แล้วล่ะว่าเย็นนี้ต้องไปที่ไหน”

     

    “.........”

     

    “...พี่จะกลับบ้าน”

     

    “...บ้านที่ไหน คอนโดพี่ขายทิ้งไปตั้งสองปีกว่าแล้วไม่ใช่เหรอ”

     

     

     

    “บ้านที่จีน”

     

     

     

    “.........”

     

    ถึงจะเอ่ยออกไปอย่างหนักแน่นแต่ลู่หานก็ยังรอ กระทั่งแน่ใจว่าจะไม่มีคำใดๆ หลุดจากริมฝีปากเซฮุนอีกร่างเล็กถึงหันหลังกลับเข้าห้องนอนด้วยขอบตาร้อนผ่าว ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงในการเก็บเอาสิ่งของจำเป็นใส่กระเป๋า ไม่เสียเวลาแม้แต่จะมองไปรอบๆ ห้องนอนด้วยกลัวว่าภาพความทรงจำในอดีตจะทำให้สองขาไม่เข้มแข็งพอที่จะก้าวผ่านมันไปได้

     

    เซฮุนยังคงยืนอยู่ที่เดิม...

     

    ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงจ้องมองลู่หานอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งร่างเล็กคุ้นเคยมาหยุดอยู่ตรงหน้า

     

    “พี่คิดดีแล้วใช่ไหม”

     

    “ไม่รู้สิ นายคิดว่ายังไงล่ะ”

     

    ลู่หานรู้อยู่แล้ว รู้ว่าเซฮุนจะตอบกลับมายังไง

     

    แต่...ก็ห้ามความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจไม่ได้เมื่อได้ฟังกับตัวเองจริงๆ

     

     

     

    “ตามใจ”

     

     

     

    คำสองคำที่จะดังลั่นในหัวใจลู่หานไปตลอดกาล

     

    .

    .

     

    ปัง

     

    บานประตูกระแทกกรอบปิดสนิท เผยให้เห็นภาพชายหนุ่มร่างสูงดึงมืออันสั่นไหวของตัวเองออกจากกระเป๋ากางเกง ฝ่ามือข้างขวาที่กำแน่นค่อยๆ คลายออกมา

     

    ดวงตาคมจ้องมอง บางสิ่ง บนฝ่ามือ ด้วยแรงอารมณ์ตอนนี้โอเซฮุนอยากเขวี้ยงมันออกไปให้ไกล ให้พ้นสายตา หากสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น

     

     

     

    กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขนาดเล็กถูกวางลงบนโต๊ะกินข้าวอย่างเบามือ

     

     

    *

     

     

     

    โอเซฮุนถอดสูทสีดำสนิทโยนลงบนโซฟา ตามด้วยกระเป๋าเอกสารและกุญแจรถ ช่วงขายาวพาตัวเองเดินไปห้องน้ำ ดวงตาเรียวคมกรอกไปมาเมื่อเห็นว่าไฟห้องน้ำถูกเปิดไว้เสียสว่างโล่

     

    “ลู่หาน พี่ลืมปิดไฟห้องน้ำอีกแล้วนะ ตาแก่ขี้ลืมเอ๊ย ต้องให้...”

     

    ก่อนจะต้องชะงักงัน เพราะเผลอลืมไป...

     

    คอนโดกว้างๆ แห่งนี้ไม่มีลู่หานอยู่อีกแล้ว

     

    แม้อยากหลอกตัวเองว่าเมื่อมาถึงห้องจะเจอกับลู่หานที่ง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อเย็นในครัว ในตู้เย็นมีชานมไข่มุกที่อีกฝ่ายซื้อจากร้านเจ้าโปรดใกล้ที่ทำงานมาแช่เตรียมไว้ให้ สักพักร่างเล็กๆ จะวิ่งมาหยิบสูทของเขาไปใส่ไม้แขวนพร้อมบ่นที่เขาไม่รู้จักระวังอย่างที่ได้ยินทุกวัน

     

    ยังไงความจริงก็คือความจริง เซฮุนหนีมันไม่พ้น

     

    “เขาใจแข็งถึงขนาดออกไปจากที่นี่ แล้วแกจะอยู่ไม่ได้ก็ให้รู้ไปสิวะโอเซฮุน”

     

    พูดกับเงาตัวเองซึ่งสะท้อนในกระจกห้องน้ำคล้ายจะสั่ง เซฮุนคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ทุกวันนี้ลู่หานทำอะไรให้เขาบ้าง แล้วถ้าขาดลู่หานไปชีวิตเขาจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง

     

    หนึ่ง เซฮุนจะขาดคนที่จัดการเรื่องอาหารให้ แต่มันก็โอเคตราบใดที่เขามีเงินในกระเป๋าสตางค์และใช้เป็น

     

    สอง เซฮุนจะขาดคนให้กอดในทุกค่ำคืน แต่มันก็โอเคตราบใดที่เขายังหล่อ เซฮุนจะหาผู้หญิงสักกี่คนก็ได้

     

    สาม เซฮุนจะขาดคนที่คอยรับฟังเรื่องราวของเขา แบ่งปันทั้งความสุขความทุกข์ แต่มันก็โอเคตราบใดที่เซฮุนยังมีเพื่อน

     

    เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอ ให้มันรู้ไปสิว่าขาดลู่หานแล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้

     

    .

    .

     

    เพิ่งรู้ว่าเตียงนอนมันกว้างขนาดนี้

     

    เซฮุนพลิกตัวไปมาแม้กำลังง่วงงุนเต็มที เปลือกตาบางหรี่พับลงเพราะความเหนื่อยอ่อนจากงานมาทั้งวัน ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่ห้วงนิทรากลับดึงดูดเขาให้จมลงไปไม่ได้สักที

     

    มันทุรนทุราย มันทรมาน

     

    เข็มสั้นของนาฬิกาฝาผนังชี้ไปที่เลขสอง เซฮุนผุดลุกขึ้นนั่งอย่างยอมแพ้...

     

    ร่างสูงถอนหายใจยาวราวกับสามารถผ่อนเอาความเจ็บปวดในใจออกมาด้วย สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นยืน เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วทำสิ่งที่โง่เง่าที่สุดในชีวิต

     

     

     

    เซฮุนหยิบเสื้อนอนตัวที่ลู่หานใส่ประจำออกมา

     

     

     

    “...บ้าสิ้นดี”

     

    เสียงทุ้มสบถก่อนทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง เขากอดผ้าบางๆ นั่นทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีวันส่งไออุ่นออกมาได้ ซุกหน้าลงสูดกลิ่นของลู่หานที่ยังติดอยู่จนเต็มปอด

     

    ทว่า ปลายจมูกสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เซฮุนขมวดคิ้ว แขนยาวเอื้อมไปเปิดไฟสีนวลตาบนหัวเตียง

     

    “นี่มัน...”

     

    กระเป๋าเสื้อนอนลู่หานมีกระดาษสีขาวใบเล็กๆ ซ่อนอยู่ เซฮุนส่องกระดาษกับแสงไฟ อ่านลายมือลู่หานที่เขียนด้วยดินสอ อ่านมันซ้ำไปมาแล้วส่งเสียงหึในลำคอ ก่อนนาทีต่อมาเขาจะขยำกระดาษนั่นแล้วโยนมันออกไปพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่นราวกับคนไร้สติ

     

    เขาเกลียดลู่หานที่ทำเหมือนรู้จักเขาดีมากกว่าใคร แต่เกลียดตัวเองมากกว่าที่เป็นอย่างที่ลู่หานคิดจริงๆ

     

    ในเมื่อนอนไม่ได้ก็ไม่ต้องนอน เซฮุนลุกขึ้นอีกครั้งทันทีที่นึกได้ว่าเมื่อวานหลังจากลู่หานจากไปแล้วเขาฟุบหลับอยู่ตรงโซฟาจนเช้าตรู่ได้ยังไง ชายหนุ่มกระชากประตูตู้เย็นแรงๆ กวาดเอากระป๋องเบียร์กับขวดเหล้าออกมาเต็มสองมือ

     

    มันคงเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้เซฮุนหลับลงได้

     

     

     

    *

     

     

     

    ทำงาน กลับคอนโด กินเหล้า ฟุบหลับข้างโซฟา ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเช้าแล้วไปทำงานตามหน้าที่อีกครั้ง

     

    ชีวิตเซฮุนวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่นั้น ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่ามันน่าสมเพชมากแค่ไหน สภาพเขาไม่ต่างอะไรกับไอ้ขี้เมาข้างถนน ขอบตาดำคล้ำ หนวดเคราขึ้นเพราะไม่ใส่ใจดูแล ยังดีที่มีกระจิตกระใจส่งเสื้อผ้าให้ร้านซักรีดจัดการให้ ไม่อย่างนั้นเขาคงใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ กันให้ยิ่งดูทุเรศไปมากกว่านี้

     

    ขวดเหล้ากระจัดกระจายหน้าโซฟา เกลื่อนกลาดจนแทบไม่มีที่นอน

     

    เซฮุนใช้ชีวิตอย่างนั้นยี่สิบวัน...

     

    เช้าวันหนึ่งที่ลืมตาขึ้น เซฮุนจ้องมองแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านผ้าม่านซึ่งเปิดค้างไว้ มองมันแน่นิ่งหลายนาที วินาทีนั้นเองที่เขาคิดได้ว่าความรักของเขาพังไปแล้วก็จริง แต่หน้าที่การงาน เพื่อนฝูงที่คอยเป็นห่วง ลมหายใจเขา สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่และเซฮุนจะปล่อยให้มันพังตามไปไม่ได้

     

    วันต่อมาคนรอบข้างถึงได้เห็นโอเซฮุนในสภาพเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าคนเดิมกลับคืนมา

     

     

     

    กระทั่งล่วงเข้าสู่วันที่ห้าสิบห้านับตั้งแต่ลู่หานจากไป...

     

     

     

    คอนโดสกปรกไปด้วยขวดเบียร์ที่ดื่มไว้ก่อนหน้านี้วางเกลื่อนกลาด กล่องโฟม กล่องพลาสติก แก้วน้ำ จานชาม ไรฝุ่น ทุกๆ อย่างได้ฤกษ์ถูกทำความสะอาดเสียที เซฮุนใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการจัดการให้มันเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยเพราะประโยคเดียวที่ดังก้องอยู่ในใจ

     

     

     

    เผื่อว่าลู่หานจะกลับมา

     

     

     

    *

     

     

     

    สามเดือนแล้ว...

     

    มันถึงจุดที่คนอายุยี่สิบเจ็ดอย่างเซฮุนควรยอมรับได้สักทีว่าลู่หานไม่มีวันกลับมา และเขาก็ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นอีกต่อไปที่จะมัวห่วงทะนงในศักดิ์ศรี ทำหน้าเฉยชาไม่แคร์สิ่งใดเพื่อให้คนทั้งโลกรู้ว่าเขาอยู่ได้ทั้งที่ข้างในมันเจ็บปางตาย

     

    เขาคิดถึงลู่หาน คิดถึงเหลือเกิน

     

    ด้วยความรู้สึกนี้ เซฮุนเปิดประตูห้องนอน ก้มลงไปที่พื้นเพื่อสำรวจทุกซอกทุกมุมว่า กระดาษสีขาวแผ่นนั้น มันอยู่ตรงไหน

     

    สิบนาทีต่อมาเซฮุนก็เจอ กระดาษยับเยินไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจในเมื่อครั้งแรกที่พบเขาได้ขยำมันเต็มแรง ตัวหนังสือจางลงไปมากเพราะลู่หานเขียนด้วยดินสอ ชายหนุ่มอ่านตัวอักษรในกระดาษซ้ำไปซ้ำมาดังครั้งแรกที่เขาเห็นมัน ริมฝีปากได้รูปวาดยิ้มบางพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลริน...

     

    เซฮุนรู้แล้ว การที่ลู่หานจากเขาไปมันไม่ได้ทำให้เซฮุนขาดคนดูแลเรื่องอาหารการกิน ขาดคนนอนข้างๆ หรือขาดคนรับฟังเรื่องราวของเขา

     

    เซฮุนก็แค่ขาดใครสักคน

     

    ใครสักคนที่เอาไว้ รัก

     

    หน้าที่ซึ่งไม่ว่าใครก็ไม่อาจเป็นให้เขาแบบลู่หานได้

     

     

     

    *

     

     

     

    ดวงตาคู่สวยเหม่อมองสายฝนโปรยปรายผ่านบานกระจกใส สามเดือนแล้วที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีโอเซฮุน สามเดือนที่ความคิดถึงทำร้ายลู่หานอย่างโหดร้าย ลู่หานใช้เวลาว่างหมดไปกับการคิดถึงเซฮุน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในทุกวันตลอดระยะเวลาสามเดือน

     

    คิดถึง คิดถึง และคิดถึง

     

    น่าแปลกที่ยิ่งคิดถึงความทรงจำระหว่างกันก็ยิ่งฉายชัด บางเรื่องราวที่ลู่หานเผลอมองข้ามในยามใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกลับมาตอกย้ำให้รู้สึกละอาย

     

    เพราะตอนนั้นเอาแต่คิดว่าเซฮุนเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ความรักที่มีอยู่ไม่ใช่ความรักที่ใฝ่ฝันหามาตลอดชีวิต หากพอถอยออกมาแล้วมองย้อนกลับไปลู่หานถึงได้รู้ว่าตัวเองเด็กมากแค่ไหน

     

     

     

    “ถ้าจะหลับก็เข้าไปในห้อง มานอนอะไรตรงนี้”

     

    “.........”

     

    “เซฮุนนา ตื่น”

     

    “อืม...ก็เคยบอกแล้วไงว่าจะนั่งเป็นเพื่อนตอนพี่ดูบอล...”

     

    “ถ้าจะมาหลับอย่างนี้ก็ไม่ต้อง”

     

    ลู่หานในตอนนั้นน้อยใจเซฮุนเหลือเกิน ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไมถึงไม่ตั้งใจดูเหมือนช่วงที่พวกเขาคบกันแรกๆ ทำไมถึงฝืนตัวเองให้กันไม่ได้ แต่ลู่หานลืมไป...สองปีหลังมานี้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปมาก หน้าที่การงานของเขากับเซฮุนต่างก้าวหน้าขึ้น แน่นอนว่าภาระหน้าที่กับความรับผิดชอบย่อมเพิ่มพูนตาม ลู่หานลืมคิดไปว่าเซฮุนก็เหนื่อยเป็น

     

    ลู่หานในวันนี้จึงได้แต่ขอบคุณเซฮุนในใจ ขอบคุณที่ยังนั่งอยู่ข้างกันในวันนั้น ขอบคุณที่รักษาสัญญา

     

     

     

    “กาแฟนี่เย็นเป็นบ้า”

     

    “ถ้าดื่มตั้งแต่เมื่อเช้าคงไม่เย็นอย่างนี้หรอก”

     

    ลู่หานในตอนนั้นเอาแต่คิดเรื่องเล็กๆ อย่างเช่นเซฮุนไม่อยู่รอดื่มกาแฟที่เขาอุตส่าห์ตื่นมาชงให้ แต่ไม่นึกถึงตอนที่เซฮุนกลับมาถึงห้องและสิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำคือตรงเข้ามาหยิบถ้วยกาแฟบนเคาน์เตอร์ดื่มก่อนที่จะไปล้างหน้าล้างตาให้สบายตัวด้วยซ้ำ

     

    ลู่หานในวันนี้จึงได้แต่ขอบคุณเซฮุนในใจ ขอบคุณที่ไม่ลืมความใส่ใจแม้เพียงเล็กน้อยที่เขาตั้งใจทำให้

     

     

     

    เซฮุนนา ไปแล้วนะ

     

    อืม...กุญแจรถอยู่บนหัวนอน...ผมไม่ส่งนะ...

     

    ลู่หานในตอนนั้นคิดมากที่เซฮุนเห็นการนอนสำคัญกว่าการลืมตาตื่นมาพูดคุยกับเขา เซฮุนน่าจะห่วงใยกันบ้างที่ลู่หานต้องออกไปทำงานในวันหยุดตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แต่ลู่หานลืมนึกไป กุญแจรถบนหัวนอนมีสองคัน คันแรกคือรถเซฮุน ส่วนคันที่สองคือรถที่ลู่หานเคยบ่นให้เซฮุนฟังว่าอยากได้ และครึ่งปีต่อมามันก็เป็นของเขา...ด้วยน้ำพักน้ำแรงและเงินเก็บของเซฮุน

     

    ลู่หานในวันนี้จึงได้แต่ขอบคุณเซฮุนในใจ ขอบคุณที่เหน็ดเหนื่อยเพื่อเขา ขอบคุณที่ทำเพื่อกันและกันมาตลอด

     

     

     

    “ขอบคุณนะเซฮุน”

     

     

     

    เม็ดฝนนอกหน้าต่างหยุดโปรยปรายลงแล้ว กลับกลายเป็นน้ำตาลู่หานเองที่หลังริน...หยดแล้วหยดเล่า

     

    เสียงสะอื้นแผ่วเบากลับกลายเป็นดังก้องเมื่ออยู่คนเดียวในห้องนอนกว้าง ลู่หานปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนใจจะควบคุม จนกระทั่งเสียงพี่สาวตะโกนดังแทรกเข้ามา

     

    ประโยคซึ่งหยุดน้ำตาลู่หานได้ราวกับเสกสั่ง

     

     

    “ลู่หาน มีคนมาหา!

     

     

     

    .

    .

     

     

    วินาทีแรกที่ลงมาถึงชั้นล่าง ลู่หานเห็นผู้ชายคนหนึ่งหน้าประตูบ้านของเขา

     

    เดินไปข้างหน้ายี่สิบก้าว ลู่หานเห็นว่าในมือใครคนนั้นมีกระดาษสีขาวยับยู่ยี่กับหนังสือภาษาจีนเล่มเล็ก

     

    เดินต่อไปอีกห้าก้าว ลู่หานกับอีกฝ่ายยืนห่างกันเพียงหนึ่งช่วงแขน เสื้อผ้าคนตรงหน้าเปียกชื้น อาจเพราะหยาดฝนที่เพิ่งซาลงไป

     

    คนตรงหน้าคือคนที่ล้อเล่นกับอัตราการเต้นของหัวใจลู่หานเสมอ

     

     

     

    โอเซฮุน

     

     

     

    ไร้คำพูดใดระหว่างคนสองคน เซฮุนกับลู่หานยืนมองหน้ากันอยู่เช่นนั้น เอาแต่มอง มอง และมอง กระทั่งผ่านไปหลายสิบนาทีลู่หานถึงได้คลี่ยิ้มออกมา

     

    แล้วโผเข้ากอดอีกฝ่ายในวินาทีเดียวกันกับที่เซฮุนรวบเอาร่างเล็กๆ ของลู่หานเข้าไปกอดรัดแนบแน่น

     

    น้ำตาเพิ่งแห้งไปไม่นานไหลรินลงมาอีกครั้ง ลู่หานบังคับเสียงสะอื้นไม่ได้เลยเมื่อรู้สึกว่าไหล่ของตัวเองก็เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาของเซฮุนเช่นกัน

     

    กระนั้นลู่หานก็ยังคลี่ยิ้ม เสียงสั่นระริกเอ่ยออกไปแผ่วเบา

     

     

     

    “นายมาช้าชะมัดเลยเซฮุน”

     

    “มันจะเร็วกว่านี้หลายชั่วโมง...”

     

    เซฮุนแนบริมฝีปากชิดใบหูลู่หาน กดจูบซ้ำๆ อย่างแสนคิดถึง

     

    “ถ้าพี่จะเขียนที่อยู่ตัวเองด้วยปากกาล่ะก็”

     

     

     

    *

     

     

     

    “ผมไม่เคยลืมวันเกิดพี่”

     

    เซฮุนพูดขึ้นขณะคว้ามือลู่หานมาจับไว้ คลึงนิ้วนางข้างซ้ายของลู่หานที่สวมแหวนวงหนึ่งอยู่ แหวนวงนี้เคยอยู่ภายในกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินใบเล็กที่เซฮุนวางไว้บนโต๊ะกินข้าวตลอดสามเดือน

     

    “ตอนนั้นที่ผมเงียบๆ ไป ไม่ค่อยพูดกับพี่มันเป็นเพราะผมคิดอยู่ว่าจะให้แหวนวงนี้กับพี่วันไหนดี ผมเหมือนคนบ้า คิดแต่เรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาตั้งหลายวัน”

     

    เวลานี้พวกเขาสองคนกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงกว้างอันคุ้นเคย ลู่หานครางอืออาตอบรับในลำคอ รอฟังสิ่งที่เซฮุนอธิบายอย่างใจเย็น

     

    “ให้ตอนไหนลู่หานจะประทับใจมากกว่ากันนะ วันเกิด? วันครบรอบสามปี? วันไหนดี? ตอนไหนดี? ตอนเช้าก่อนออกไปทำงานหรือว่าตอนเย็น? หรือจะเป็นตอนเที่ยงคืนดี?”

     

    “นายมันบ้าจริงๆ นั่นแหละ” ลู่หานหัวเราะ เอียงศีรษะซบบ่าเซฮุน “นายทำให้พี่คิดไปต่างๆ นาๆ”

     

    “ผมรู้...”

     

    “พี่ไม่โทษนายฝ่ายเดียวหรอก ตลอดเวลาที่เราห่างกัน...แทนที่พี่จะคิดถึงเรื่องแย่ๆ ให้ลืมนาย กลับมีแต่ความทรงจำดีๆ ของเราลอยอยู่ในหัวเต็มไปหมด”

     

    “งั้นเหรอครับ”

     

    “ขอบคุณนะเซฮุน ขอบคุณที่ยังอยู่เคียงข้างกัน ขอบคุณที่ไปหาพี่ทั้งที่นายพูดภาษาจีนไม่เป็น ขอบคุณที่ยอมลำบากถึงขนาดนั้น”

     

    “ถ้าพี่พูดแบบนี้ ผมก็ต้องขอบคุณพี่เหมือนกันที่ยอมกลับมา”

     

    ลู่หานยิ้ม เกลือกแก้มกับบ่ากว้าง น้อยครั้งนักที่ลู่หานจะเป็นฝ่ายอ้อน และแน่นอนว่าสำหรับเซฮุนแล้วลู่หานอ้อนได้หวานกว่าใคร

     

    “ผมเชื่อพี่นะ เรื่องนั้นน่ะ...”

     

    “เรื่องไหน?”

     

    “เรื่องของคู่แต่งงานที่อยู่ด้วยกันจนแก่” เซฮุนบีบมือลู่หานเบาๆ คว้าขึ้นมาแนบริมฝีปาก “ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งความรักแบบคู่รักคงจะกลายเป็นความผูกพัน หรือเป็นความรักระหว่างเพื่อน แต่ผมยอมให้มันกลายเป็นแบบนั้นถ้ามันทำให้เราได้อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”

     

    “เซฮุน...”

     

    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราเพิ่งอยู่ด้วยกันมาเกือบครึ่งชีวิตเอง ความรักของผมมันยังไม่กลายเป็นแบบนั้นหรอก เหลือเวลาอีกยาวนานเลยล่ะมั้งกว่ามันจะเปลี่ยน อาจจะเป็นตอนที่ผมกลายเป็นตาแก่หัวล้าน...”

     

    “พี่ก็ว่าอย่างนั้นแหละ อืม...ตอนนั้นพี่อาจจะพี่หลงๆ ลืมๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ อ้วนลงพุงเป็นหมู หูตาฝ้าฟาง”

     

    ทั้งคู่ประสานเสียงหัวเราะดังลั่นห้องเพียงแค่จินตนาการภาพตาม ทำให้นึกย้อนไปถึงหลายๆ คราวที่เสียงบ่น เสียงทะเลาะ เสียงถกเสียง เสียงพูดคุย เสียงบอกรักดังสะท้อนภายในคอนโดแห่งนี้

     

    มันเป็นอย่างที่เซฮุนบอก พวกเขาเพิ่งอยู่ด้วยกันมาแค่เกือบครึ่งชีวิตเท่านั้น ยังมีระยะเวลาอีกนาน...หากความรักระหว่างพวกเขาจะเปลี่ยนไป

     

    และถ้าเซฮุนกับลู่หานโชคดี...มันคงไม่มีวันเปลี่ยนไปเลยตลอดกาล

     

     

     

    วินาทีนี้ลู่หานรู้แล้วว่ามันไม่มีความรักหวานชื่นดังนิยายที่เขาเฝ้าฝัน

     

    แต่สิ่งที่ลู่หานมี คือโอเซฮุนที่จะอยู่เคียงข้างกันจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

     

     

     

     

    Never Ending

     

     

    สุขสันต์วันวาเลนไทน์ล่วงหน้าค่ะ ^ ^

    ถ้าใครอ่านแล้วคุ้นๆ กับเรื่องนี้ไม่ต้องแปลกใจเนาะ เราเคยลงในบอร์ด Six By Six เมื่อสองปีที่แล้ว (แอบนานเหมือนกัน ฮา) ภาษาบางจุดยังแปร่งๆ อยู่เลย อ่านไม่ลื่นต้องขอโทษด้วยน้า

    ป.ล. แง้มนิดๆ ว่ากำลังจะมาต่อ SHADOW แหละ ยังรอกันอยู่ใช่มั้ย T v T

    แล้วเจอกันเร็วๆ นี้ค่า

    #meaninghh

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×