ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    One Shot / Short Fiction | HUNHAN

    ลำดับตอนที่ #35 : ( SF ) 3 OCLOCK - END -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.74K
      180
      23 มี.ค. 61

    3 นาฬิกา 

    (3 o’clock)





     


    03

     

     

    เสียชีวิตคาที่! ทายาทเจ้าของเครือโรงพยาบาลนันทปภากร

     

    xx มีนาคม เวลาประมาณ 03.00 น. ได้รับแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์ชนราวสะพาน xx เป็นเหตุให้นายอัศวิน นันทปภากร ทายาทเครือโรงพยาลบาลนันทปภากร นักศึกษาแพทย์ปี 4 มหาวิทยาลัย EU ที่อยู่ระหว่างทางเดินกลับหอพักเสียชีวิตคาที่

     

    “...น...ลิน...ปาลิน!

     

    “เชนทร์โกหก!

     

    “ฉันจะโกหกทำไม มีสติหน่อยปาลิน!

     

    “ฉันไม่เชื่อ...พ...พี่อัศวิน...”

     

    “ลิน แกจะไปไหน!!

     

    “อย่ามายุ่ง!!

     

    ลภัสปาลินโยนกระดาษบนตักที่เป็นภาพข่าวการเสียชีวิตของอัศวิน นันทปภากร เด็กหนุ่มวิ่งออกจากห้อง ไม่มีสติแม้แต่จะสวมรองเท้าหรือคว้าจักรยานคันเก่าคู่ใจ และไม่รู้แม้กระทั่งหยดน้ำตามากมายกำลังไหลเปรอะใบหน้างดงาม

     

    ปาลินวิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สู้กับถนนขรุขระ แสงอาทิตย์จัดจ้าตอนเที่ยงวัน และหัวใจที่แตกสลายของเขาเอง

     

    ร่างเล็กหอบตัวโยน รู้ตัวอีกทีก็มาถึงกลางสะพานสูง ปาลินสะอื้นไห้อย่างไม่อายใคร สองมือทุบราวสะพานแรงๆ คล้ายจะทวงขอลมหายใจคนที่เขารักคืนมา

     

    “พี่อัศวิน! พี่อัศวิน!!

     

    “.........”

     

    “ออกมาหาลินเดี๋ยวนี้นะ! ออกมาหาลิน...”

     

     

     

     

    “พรุ่งนี้ไม่มีเรียน ลินไปทานข้าวกลางวันกับพี่ได้ไหม จะรบกวนหรือเปล่าครับ”

     

    “ตอนสายๆ มาที่ร้านนะ พรุ่งนี้พี่ก็หยุดเหมือนกัน”

     

     

     

     

    บทสนทนาเมื่อคืนก่อนดังขึ้นในหัว ปาลินปาดเช็ดเหงื่อข้างแก้ม ป้ายหยดน้ำตาทิ้งลวกๆ ก่อนสองขาจะออกแรงวิ่งอีกครั้งพร้อมกับความหวังสุดท้าย

     

    เด็กหนุ่มมุ่งตรงสู่ซอยแคบคุ้นตา เลี้ยวขวาหนึ่งครั้งก็เจอกับตึกแถวที่เคยมานับครั้งไม่ถ้วน

     

    ทว่า ครั้งนี้กลับต่างออกไป

     

    ไม่มีแสงไฟสีนวลตา ไม่มีผู้คน ไม่มีอะไรนอกจากประตูเหล็กยืดปิดสนิทกับป้ายเก่าๆ ที่เขียนว่า ขาย

     

    ลภัสปาลินล้มลงตรงนั้น

     

    ต่อให้หมอกกับเชนทร์ไม่มาบอก พี่อัศวินก็ตั้งใจให้ลินมาเห็นด้วยตาตัวเองใช่ไหม

     

    หรือเพราะรู้แก่ใจว่าเพื่อนเขาจะมาบอกความจริงวันนี้อยู่แล้วกันแน่

     

    “พี่อัศวิน...”

     

     

     

     

    “ต่อให้ไม่มีคุณค่าในสายตาใคร จากนี้ไปพี่อยากให้ลินจำไว้ว่า...ลินมีคุณค่าในสายตาพี่”

     

    “พี่บอกแล้วใช่ไหม ลินมีค่ากับพี่”

     

     

     

     

    โกหก...

     

    “พี่อัศวินโกหก!...ฮึก...ฮือ...”

     

    หลังบางพิงประตู ใบหน้าสวยฟุบเหนือเข่าทั้งสองข้าง

     

    ไร้คำปลอบโยนนุ่มหู ไร้อ้อมกอดอบอุ่น

     

    มีเพียงเสียงลภัสปาลินที่ร้องสะอื้นปิ่มจะขาดใจ

     

      

     

    //

     

     

     

    กระจกเงาบานใหญ่ส่องสะท้อนภาพเด็กหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่ง ใบหน้าหวานซูบซีด ริมฝีปากแห้งผาก ดวงตาลึกโหล

     

    ลภัสปาลินสบตาตัวเองผ่านกระจกเงา สองเท้าบาดเจ็บจากการวิ่งบนถนนเมื่อตอนกลางวันก้าวถอยหลัง พาร่างซูบผอมทรุดนั่งตรงปลายเตียง

     

    ร่างเล็กปล่อยความคิดให้ลอยคว้างท่ามกลางความเงียบสงัด และจู่ๆ ก็นึกสงสัยขึ้นมา

     

    เป็นไปได้ไหมว่าพี่อัศวินมองเห็นเขามาตลอด...

     

    หลายครั้งเขาได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นแม่ตอนกลางดึก เพราะอีกฝ่ายต้องรีบตื่นเตรียมร้านขายของ หลายครั้งเช่นกันที่บุพการีเอ่ยถ้อยคำวาจาให้เขาเสียใจนับครั้งไม่ถ้วน

     

    หลายครั้งเขาท้อใจจนพาตัวเองไปเดินเล่นใช้ความคิดตรงสะพานนั้น ตั้งแต่มัธยมต้นที่เข้ามาเรียนในเมืองหลวง อย่างน้อยๆ ก็เจ็ดปีแล้ว

     

    แต่ทำไมวันนั้นเขาถึงเกือบโดดสะพานลงไป ทั้งที่ถ้าหากจะโดดเพราะเสียใจก็คงทำไปนานแล้ว

     

    หรือว่า

     

    ปาลินเงยหน้ามองนาฬิกาฝาผนัง เข็มสั้นชี้เลขสอง เข็มยาวชี้เลขสี่

     

    ตีสองยี่สิบนาที

     

    ร่างบางเปิดประตูออกจากห้องโดยไม่เสียเวลาคิด คว้าจักรยานคันเดิมแล้วปั่นออกจากซอยหอพัก

     

    ตลอดทางสุนัขเห่าหอนทอดยาว กระนั้นปาลินก็ไม่สนใจ กลับกัน เด็กหนุ่มได้ยินเสียงโหยหวนเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง

     

     

    โครม!

     

     

    ปาลินทิ้งจักรยานคู่ใจไว้ตรงเชิงสะพาน กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปจุดเดิมกับที่เขาพบใครบางคนครั้งแรก

     

     

    ใครคนนั้น...ที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่

     

     

    “พี่อัศวิน!

     

    สิ้นเสียง เจ้าของนามไพเราะก็หันค่อยๆ หันกลับมา แต่คราวนี้ใบหน้าอีกฝ่ายไม่ได้หล่อเหลาอีกต่อไป

     

    เสื้อนักศึกษาขาวสะอาดเปลี่ยนเป็นสีเลือด กะโหลกศีรษะบุบไปหนึ่งด้าน โลหิตแดงฉานไหลเป็นทางออกจากตา จมูก และปากของอัศวิน

     

    ปาลินสะดุดลมหายใจแค่ครู่ ร่างบางกัดฟันเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายจนเกือบชิด

     

    “บีบคอลินสิ”

     

    มือเล็กคว้าท่อนแขนโชกเลือด อีกข้างจับชายเสื้อเปรอะเปื้อนเอาไว้

     

    “ลินไม่ไปไหนหรอก ต่อให้พี่อัศวินจะน่ากลัวกว่านี้ หรือจะทำร้ายลินก็ตาม...เอาสิ มีอีกไหมครับ น่ากลัวกว่านี้ได้อีกหรือเปล่า”

     

    นัยน์ตาคมวูบไหว เศร้าหมอง สองตาสบประสานครู่ใหญ่ชายหนุ่มก็กลับกลายมาเป็นพี่อัศวินที่ปาลินคุ้นเคย

     

    “พี่อัศวินทำแบบนี้ทำไม”

     

    “ลิน...”

     

     

    “ยื้อชีวิตลินไว้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ลินตายไปตั้งแต่คืนนั้น”

     

     

    “.........”

     

    “เมื่อคืนวานด้วยใช่ไหม จริงๆ รถคันนั้นต้องชนลินใช่หรือเปล่า”

     

    “.........”

     

    “พี่ดูสภาพลินสิ”

     

    เด็กหนุ่มเอื้อมจับมืออีกฝ่าย สัมผัสเย็นชืดที่ไม่เคยนึกสงสัยเลยสักครั้งยืนยันได้ดีว่าอัศวิน นันทปภากรไม่ใช่ร่างมนุษย์ที่มีลมหายใจ

     

    ปาลินจับมือนั้นให้ลูบแก้มเขา ลูบแขนเขา ก่อนรั้งใบหน้าอัศวินให้ก้มมองหน้าเขาชัดๆ

     

    “ซูบผอม ตาโหล ตัวเย็นชืด...ลินคือคนที่หมดอายุไข คือคนที่ต้องตายไปแล้ว พี่อัศวินก็รู้อยู่แก่ใจ พี่อัศวินรู้ทุกอย่าง แล้วทำไม

     

    “พี่ไม่ได้รู้ทุกอย่างหรอกลิน”

     

    ปาลินปล่อยมือแล้ว หากแต่อัศวินก็ยังประคองแก้มเด็กหนุ่มเอาไว้ เมื่อใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าหาปาลินก็หลับตารับจุมพิตอ่อนโยนเหนือหน้าผาก

     

    สัมผัสของร่างไร้ลมหายใจ เหตุใดจึงอบอุ่นเช่นนี้หนอ

     

    “พี่ควรจะไปตั้งนานแล้ว แต่บางอย่างก็สั่งให้พี่รออยู่ตรงนี้...พี่ไม่รู้ว่าต้องรอนานเท่าไหร่...จนกระทั่งวันนั้น...วันที่พี่เจอเด็กมัธยมคนนึ่งยืนร้องไห้บนสะพาน เด็กที่ปักชื่อบนเสื้อนักเรียนว่าลภัสปาลิน เดชาโรจน์”

     

    “.........”

     

    “หลังจากนั้นพี่ถึงรู้ว่าตัวเองรออะไรอยู่...แต่พอวันที่รอมาถึงจริงๆ พี่ก็ปล่อยให้ลินตายไม่ได้ พี่อยากเห็นเด็กคนนี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อยากเห็นเด็กคนนี้ยิ้มเยอะๆ หลังจากที่เอาแต่ร้องไห้มาหลายปี อยากเห็นเด็กคนนี้ลุกขึ้นสู้กับโลกที่โหดร้าย อยากเห็นเด็กคนนี้ภูมิใจในตัวเองสักวันหนึ่ง”

     

     

    “ต...แต่...อึก...พี่อัศวินก็ควรรู้...ว่าเด็กคนนั้นไม่มีทางทำได้ ถ้าไม่มีพี่อัศวิน”

     

    “.........”

     

    “ลินภูมิใจในตัวเองได้ก็เพราะพี่อัศวินนะ” ร่างบางร้องไห้ “ลินมีแค่พี่อัศวินคนเดียว...ล...ลินต้องการแค่พี่อัศวินคนเดียว”

     

    “...ลิน...”

     

    “ให้ลินไปหาพี่นะ”

     

    “.........”

     

    “ให้ลินไปเถอะนะครับ”

     

    คนฟังไม่อาจร้องไห้

     

    แต่กระนั้นปาลินก็ยังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดเจียนขาดใจของอัศวิน นันทปภากร

     

     

     

    //

     

     

     

    ว่ากันว่าความตายนั้นแสนสั้น

     

    เสี้ยวชั่ววินาทีเท่านั้นกลับพรากลมหายใจใครคนหนึ่งไปตลอดกาล

     

    ชนาธิปมองท้องฟ้า ดวงตาว่างเปล่าของเด็กหนุ่มสะท้อนภาพกลุ่มควันลอยจากปล่องเมรุ สีหน้าไร้ความรู้สึก หากสองมือกลับกำชายเสื้อเชิ้ตตัวเองจนยับย่น

     

     

    ถ้าเพียงวันนั้นเขาไม่บอกความจริงกับปาลิน...

     

     

    “ตั้งใจรู้จักกัน แกเคยเห็นลินยิ้มกี่ครั้งเหรอเชนทร์”

     

    “หมอก...”

     

    “พี่อัศวินแม่งสุดยอดว่ะ ว่าป่ะ”

     

    ชนาธิปขมวดคิ้ว ตรงข้ามกับไอหมอกที่ยิ้มกว้าง

     

    “เพิ่งเข้ามาในชีวิตเพื่อนเราไม่เท่าไหร่ แต่ทำให้ไอ้ลินมีความสุข หัวเราะ มีชีวิตชีวา แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิตได้”

     

    “.........”

     

    “ตายทั้งรอยยิ้มเลยนะเว้ย โคตรเจ๋งไม่ใช่เหรอวะ”

     

    ร่างไร้ลมหายใจของลภัสปาลิน เดชาโรจน์ถูกพบกลางสะพานช่วงย่ำรุ่งของวันใหม่ ใบหน้าซีดเซียวแตะแต้มรอยยิ้มคล้ายคนที่นอนหลับไปเฉยๆ สาเหตุการตายอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่สันนิษฐานว่าเสียชีวิตเวลาประมาณสามนาฬิกา

     

    ไอหมอกบีบไหล่ชนาธิป เงยหน้ามองฟ้า กระซิบสั้นๆ

     

     

    “ฝากลินด้วยนะครับพี่อัศวิน”

     

     

    .

    .

     

     

    “อีกไกลไหมครับพี่อัศวิน”

     

    “ลินคิดว่ายังไงล่ะ”

     

    “ไกลมากแน่ๆ ทางเดินทอดยาวสุดลูกหูลูกตาเลย”

     

    “ไม่ดีหรือ เราจะได้อยู่ด้วยกันนานๆ”

     

    “งั้น...จับมือลินจนสุดทางเลยนะ”

     

    “ไม่ปล่อยหรอกครับ ไม่มีวันปล่อยแน่นอน”

     

     

     

     

    There is no pretending.

    I love you, and I will love you until I die,

    and if there's a life after that,

    I'll love you then.

     

    Cassandra Clare, City of Glass

     

     

     

     

     

     

     

     

    END

     

     

    สำหรับเรา นี่ถือว่าเป็นตอนจบแฮปปี้เอนดิ้งที่สุดแล้วในแบบที่สามนาฬิกาจะสามารถทำได้ ; - ;

    บางคนอาจมองว่าปาลินผิดที่เลือกทางนี้ แต่จะว่ายังไงดี น้องหมดอายุไขแล้ว ไม่มีสิทธิ์เลือกด้วยซ้ำ แค่พี่อัศวินเขาพยายามฝืนกฎธรรมชาติเพื่อยื้อชีวิตน้องเอาไว้คืนแล้วคืนเล่าเท่านั้นเองค่ะ

    อย่าถามว่าตายแล้วไปไหน หรือทำไมพี่อัศวินเสกร้านนั่งคุยขึ้นมาได้ ทำไมกล้าต่อกรกับวิญญาณบนสะพาน เอาเป็นว่าพี่เขาตายนานแล้ว ให้อำนาจความเก๋าพี่เขานิดนึง 5555555555

    ได้อ่านคอมเมนท์กับแท็กเรื่องนี้ เห็นว่ามีคนอ่านที่ประสบปัญหาเหมือนน้องปาลิน ไม่รู้จะปลอบยังไงแต่เป็นกำลังใจให้นะคะ นึกถึงคำพูดพี่อัศวินไว้นะ ตราบใดที่มีลมหายใจเราย่อมมีโอกาสทำสิ่งต่างๆ ที่มีค่าเสมอ รักตัวเองมากๆ นะคะ <3

    ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ ขอบคุณทุกความคิดถึงที่ให้กัน และหวังเหมือนเดิมว่านอกจากความสนุกคนอ่านจะได้ข้อคิดดีๆ แม้เพียงเล็กน้อยกลับไป

    รักนะ แล้วเจอกันโอกาสหน้าเนอะ

    ขอบคุณทุกคอมเมนท์กับทุกแท็กเลยค่ะ

    #sweetcafesf

     

     

     

     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×