คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : ( SF ) 3 OCLOCK - END -
3 นาฬิกา
(3 o’clock)
03
‘เสียชีวิตคาที่! ทายาทเจ้าของเครือโรงพยาบาลนันทปภากร’
xx
มีนาคม เวลาประมาณ 03.00 น. ได้รับแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์ชนราวสะพาน
xx เป็นเหตุให้นายอัศวิน นันทปภากร ทายาทเครือโรงพยาลบาลนันทปภากร
นักศึกษาแพทย์ปี 4 มหาวิทยาลัย EU ที่อยู่ระหว่างทางเดินกลับหอพักเสียชีวิตคาที่
“...น...ลิน...ปาลิน!”
“เชนทร์โกหก!”
“ฉันจะโกหกทำไม
มีสติหน่อยปาลิน!”
“ฉันไม่เชื่อ...พ...พี่อัศวิน...”
“ลิน
แกจะไปไหน!!”
“อย่ามายุ่ง!!”
ลภัสปาลินโยนกระดาษบนตักที่เป็นภาพข่าวการเสียชีวิตของอัศวิน
นันทปภากร เด็กหนุ่มวิ่งออกจากห้อง
ไม่มีสติแม้แต่จะสวมรองเท้าหรือคว้าจักรยานคันเก่าคู่ใจ
และไม่รู้แม้กระทั่งหยดน้ำตามากมายกำลังไหลเปรอะใบหน้างดงาม
ปาลินวิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
สู้กับถนนขรุขระ แสงอาทิตย์จัดจ้าตอนเที่ยงวัน และหัวใจที่แตกสลายของเขาเอง
ร่างเล็กหอบตัวโยน
รู้ตัวอีกทีก็มาถึงกลางสะพานสูง ปาลินสะอื้นไห้อย่างไม่อายใคร
สองมือทุบราวสะพานแรงๆ คล้ายจะทวงขอลมหายใจคนที่เขารักคืนมา
“พี่อัศวิน! พี่อัศวิน!!”
“.........”
“ออกมาหาลินเดี๋ยวนี้นะ! ออกมาหาลิน...”
“พรุ่งนี้ไม่มีเรียน
ลินไปทานข้าวกลางวันกับพี่ได้ไหม จะรบกวนหรือเปล่าครับ”
“ตอนสายๆ มาที่ร้านนะ
พรุ่งนี้พี่ก็หยุดเหมือนกัน”
บทสนทนาเมื่อคืนก่อนดังขึ้นในหัว
ปาลินปาดเช็ดเหงื่อข้างแก้ม ป้ายหยดน้ำตาทิ้งลวกๆ ก่อนสองขาจะออกแรงวิ่งอีกครั้งพร้อมกับความหวังสุดท้าย
เด็กหนุ่มมุ่งตรงสู่ซอยแคบคุ้นตา
เลี้ยวขวาหนึ่งครั้งก็เจอกับตึกแถวที่เคยมานับครั้งไม่ถ้วน
ทว่า
ครั้งนี้กลับต่างออกไป
ไม่มีแสงไฟสีนวลตา
ไม่มีผู้คน ไม่มีอะไรนอกจากประตูเหล็กยืดปิดสนิทกับป้ายเก่าๆ ที่เขียนว่า ‘ขาย’
ลภัสปาลินล้มลงตรงนั้น
ต่อให้หมอกกับเชนทร์ไม่มาบอก
พี่อัศวินก็ตั้งใจให้ลินมาเห็นด้วยตาตัวเองใช่ไหม
หรือเพราะรู้แก่ใจว่าเพื่อนเขาจะมาบอกความจริงวันนี้อยู่แล้วกันแน่
“พี่อัศวิน...”
“ต่อให้ไม่มีคุณค่าในสายตาใคร
จากนี้ไปพี่อยากให้ลินจำไว้ว่า...ลินมีคุณค่าในสายตาพี่”
“พี่บอกแล้วใช่ไหม
ลินมีค่ากับพี่”
โกหก...
“พี่อัศวินโกหก!...ฮึก...ฮือ...”
หลังบางพิงประตู
ใบหน้าสวยฟุบเหนือเข่าทั้งสองข้าง
ไร้คำปลอบโยนนุ่มหู
ไร้อ้อมกอดอบอุ่น
มีเพียงเสียงลภัสปาลินที่ร้องสะอื้นปิ่มจะขาดใจ
//
กระจกเงาบานใหญ่ส่องสะท้อนภาพเด็กหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่ง
ใบหน้าหวานซูบซีด ริมฝีปากแห้งผาก ดวงตาลึกโหล
ลภัสปาลินสบตาตัวเองผ่านกระจกเงา
สองเท้าบาดเจ็บจากการวิ่งบนถนนเมื่อตอนกลางวันก้าวถอยหลัง
พาร่างซูบผอมทรุดนั่งตรงปลายเตียง
ร่างเล็กปล่อยความคิดให้ลอยคว้างท่ามกลางความเงียบสงัด
และจู่ๆ ก็นึกสงสัยขึ้นมา
เป็นไปได้ไหมว่าพี่อัศวินมองเห็นเขามาตลอด...
หลายครั้งเขาได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นแม่ตอนกลางดึก
เพราะอีกฝ่ายต้องรีบตื่นเตรียมร้านขายของ หลายครั้งเช่นกันที่บุพการีเอ่ยถ้อยคำวาจาให้เขาเสียใจนับครั้งไม่ถ้วน
หลายครั้งเขาท้อใจจนพาตัวเองไปเดินเล่นใช้ความคิดตรงสะพานนั้น
ตั้งแต่มัธยมต้นที่เข้ามาเรียนในเมืองหลวง อย่างน้อยๆ ก็เจ็ดปีแล้ว
แต่ทำไมวันนั้นเขาถึงเกือบโดดสะพานลงไป
ทั้งที่ถ้าหากจะโดดเพราะเสียใจก็คงทำไปนานแล้ว
หรือว่า
ปาลินเงยหน้ามองนาฬิกาฝาผนัง
เข็มสั้นชี้เลขสอง เข็มยาวชี้เลขสี่
ตีสองยี่สิบนาที
ร่างบางเปิดประตูออกจากห้องโดยไม่เสียเวลาคิด
คว้าจักรยานคันเดิมแล้วปั่นออกจากซอยหอพัก
ตลอดทางสุนัขเห่าหอนทอดยาว
กระนั้นปาลินก็ไม่สนใจ กลับกัน เด็กหนุ่มได้ยินเสียงโหยหวนเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง
โครม!
ปาลินทิ้งจักรยานคู่ใจไว้ตรงเชิงสะพาน
กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปจุดเดิมกับที่เขาพบใครบางคนครั้งแรก
ใครคนนั้น...ที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่
“พี่อัศวิน!”
สิ้นเสียง
เจ้าของนามไพเราะก็หันค่อยๆ หันกลับมา
แต่คราวนี้ใบหน้าอีกฝ่ายไม่ได้หล่อเหลาอีกต่อไป
เสื้อนักศึกษาขาวสะอาดเปลี่ยนเป็นสีเลือด
กะโหลกศีรษะบุบไปหนึ่งด้าน โลหิตแดงฉานไหลเป็นทางออกจากตา จมูก และปากของอัศวิน
ปาลินสะดุดลมหายใจแค่ครู่
ร่างบางกัดฟันเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายจนเกือบชิด
“บีบคอลินสิ”
มือเล็กคว้าท่อนแขนโชกเลือด
อีกข้างจับชายเสื้อเปรอะเปื้อนเอาไว้
“ลินไม่ไปไหนหรอก
ต่อให้พี่อัศวินจะน่ากลัวกว่านี้ หรือจะทำร้ายลินก็ตาม...เอาสิ มีอีกไหมครับ
น่ากลัวกว่านี้ได้อีกหรือเปล่า”
นัยน์ตาคมวูบไหว
เศร้าหมอง สองตาสบประสานครู่ใหญ่ชายหนุ่มก็กลับกลายมาเป็นพี่อัศวินที่ปาลินคุ้นเคย
“พี่อัศวินทำแบบนี้ทำไม”
“ลิน...”
“ยื้อชีวิตลินไว้ทำไม
ทำไมไม่ปล่อยให้ลินตายไปตั้งแต่คืนนั้น”
“.........”
“เมื่อคืนวานด้วยใช่ไหม
จริงๆ รถคันนั้นต้องชนลินใช่หรือเปล่า”
“.........”
“พี่ดูสภาพลินสิ”
เด็กหนุ่มเอื้อมจับมืออีกฝ่าย
สัมผัสเย็นชืดที่ไม่เคยนึกสงสัยเลยสักครั้งยืนยันได้ดีว่าอัศวิน
นันทปภากรไม่ใช่ร่างมนุษย์ที่มีลมหายใจ
ปาลินจับมือนั้นให้ลูบแก้มเขา
ลูบแขนเขา ก่อนรั้งใบหน้าอัศวินให้ก้มมองหน้าเขาชัดๆ
“ซูบผอม
ตาโหล ตัวเย็นชืด...ลินคือคนที่หมดอายุไข คือคนที่ต้องตายไปแล้ว
พี่อัศวินก็รู้อยู่แก่ใจ พี่อัศวินรู้ทุกอย่าง แล้วทำไม —”
“พี่ไม่ได้รู้ทุกอย่างหรอกลิน”
ปาลินปล่อยมือแล้ว
หากแต่อัศวินก็ยังประคองแก้มเด็กหนุ่มเอาไว้
เมื่อใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าหาปาลินก็หลับตารับจุมพิตอ่อนโยนเหนือหน้าผาก
สัมผัสของร่างไร้ลมหายใจ
เหตุใดจึงอบอุ่นเช่นนี้หนอ
“พี่ควรจะไปตั้งนานแล้ว
แต่บางอย่างก็สั่งให้พี่รออยู่ตรงนี้...พี่ไม่รู้ว่าต้องรอนานเท่าไหร่...จนกระทั่งวันนั้น...วันที่พี่เจอเด็กมัธยมคนนึ่งยืนร้องไห้บนสะพาน
เด็กที่ปักชื่อบนเสื้อนักเรียนว่าลภัสปาลิน เดชาโรจน์”
“.........”
“หลังจากนั้นพี่ถึงรู้ว่าตัวเองรออะไรอยู่...แต่พอวันที่รอมาถึงจริงๆ
พี่ก็ปล่อยให้ลินตายไม่ได้ พี่อยากเห็นเด็กคนนี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
อยากเห็นเด็กคนนี้ยิ้มเยอะๆ หลังจากที่เอาแต่ร้องไห้มาหลายปี
อยากเห็นเด็กคนนี้ลุกขึ้นสู้กับโลกที่โหดร้าย
อยากเห็นเด็กคนนี้ภูมิใจในตัวเองสักวันหนึ่ง”
“ต...แต่...อึก...พี่อัศวินก็ควรรู้...ว่าเด็กคนนั้นไม่มีทางทำได้
ถ้าไม่มีพี่อัศวิน”
“.........”
“ลินภูมิใจในตัวเองได้ก็เพราะพี่อัศวินนะ”
ร่างบางร้องไห้ “ลินมีแค่พี่อัศวินคนเดียว...ล...ลินต้องการแค่พี่อัศวินคนเดียว”
“...ลิน...”
“ให้ลินไปหาพี่นะ”
“.........”
“ให้ลินไปเถอะนะครับ”
คนฟังไม่อาจร้องไห้
แต่กระนั้นปาลินก็ยังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดเจียนขาดใจของอัศวิน
นันทปภากร
//
ว่ากันว่าความตายนั้นแสนสั้น
เสี้ยวชั่ววินาทีเท่านั้นกลับพรากลมหายใจใครคนหนึ่งไปตลอดกาล
ชนาธิปมองท้องฟ้า
ดวงตาว่างเปล่าของเด็กหนุ่มสะท้อนภาพกลุ่มควันลอยจากปล่องเมรุ สีหน้าไร้ความรู้สึก
หากสองมือกลับกำชายเสื้อเชิ้ตตัวเองจนยับย่น
ถ้าเพียงวันนั้นเขาไม่บอกความจริงกับปาลิน...
“ตั้งใจรู้จักกัน
แกเคยเห็นลินยิ้มกี่ครั้งเหรอเชนทร์”
“หมอก...”
“พี่อัศวินแม่งสุดยอดว่ะ
ว่าป่ะ”
ชนาธิปขมวดคิ้ว
ตรงข้ามกับไอหมอกที่ยิ้มกว้าง
“เพิ่งเข้ามาในชีวิตเพื่อนเราไม่เท่าไหร่
แต่ทำให้ไอ้ลินมีความสุข หัวเราะ มีชีวิตชีวา แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิตได้”
“.........”
“ตายทั้งรอยยิ้มเลยนะเว้ย
โคตรเจ๋งไม่ใช่เหรอวะ”
ร่างไร้ลมหายใจของลภัสปาลิน
เดชาโรจน์ถูกพบกลางสะพานช่วงย่ำรุ่งของวันใหม่ ใบหน้าซีดเซียวแตะแต้มรอยยิ้มคล้ายคนที่นอนหลับไปเฉยๆ
สาเหตุการตายอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่สันนิษฐานว่าเสียชีวิตเวลาประมาณสามนาฬิกา
ไอหมอกบีบไหล่ชนาธิป
เงยหน้ามองฟ้า กระซิบสั้นๆ
“ฝากลินด้วยนะครับพี่อัศวิน”
.
.
“อีกไกลไหมครับพี่อัศวิน”
“ลินคิดว่ายังไงล่ะ”
“ไกลมากแน่ๆ
ทางเดินทอดยาวสุดลูกหูลูกตาเลย”
“ไม่ดีหรือ
เราจะได้อยู่ด้วยกันนานๆ”
“งั้น...จับมือลินจนสุดทางเลยนะ”
“ไม่ปล่อยหรอกครับ
ไม่มีวันปล่อยแน่นอน”
There
is no pretending.
I
love you, and I will love you until I die,
and
if there's a life after that,
I'll
love you then.
— Cassandra Clare, City of Glass
END
สำหรับเรา
นี่ถือว่าเป็นตอนจบแฮปปี้เอนดิ้งที่สุดแล้วในแบบที่สามนาฬิกาจะสามารถทำได้ ; - ;
บางคนอาจมองว่าปาลินผิดที่เลือกทางนี้
แต่จะว่ายังไงดี น้องหมดอายุไขแล้ว ไม่มีสิทธิ์เลือกด้วยซ้ำ
แค่พี่อัศวินเขาพยายามฝืนกฎธรรมชาติเพื่อยื้อชีวิตน้องเอาไว้คืนแล้วคืนเล่าเท่านั้นเองค่ะ
อย่าถามว่าตายแล้วไปไหน
หรือทำไมพี่อัศวินเสกร้านนั่งคุยขึ้นมาได้ ทำไมกล้าต่อกรกับวิญญาณบนสะพาน
เอาเป็นว่าพี่เขาตายนานแล้ว ให้อำนาจความเก๋าพี่เขานิดนึง 5555555555
ได้อ่านคอมเมนท์กับแท็กเรื่องนี้
เห็นว่ามีคนอ่านที่ประสบปัญหาเหมือนน้องปาลิน
ไม่รู้จะปลอบยังไงแต่เป็นกำลังใจให้นะคะ นึกถึงคำพูดพี่อัศวินไว้นะ ตราบใดที่มีลมหายใจเราย่อมมีโอกาสทำสิ่งต่างๆ
ที่มีค่าเสมอ รักตัวเองมากๆ นะคะ <3
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้
ขอบคุณทุกความคิดถึงที่ให้กัน
และหวังเหมือนเดิมว่านอกจากความสนุกคนอ่านจะได้ข้อคิดดีๆ แม้เพียงเล็กน้อยกลับไป
รักนะ
แล้วเจอกันโอกาสหน้าเนอะ
ขอบคุณทุกคอมเมนท์กับทุกแท็กเลยค่ะ
#sweetcafesf
ความคิดเห็น