(ต่อ)
ส่วนอันนี้คือหน่วยเพกาซัส
(บอส)
ก็อก ก็อก ก็อก
“เบลล่าเปิดประตู เบลล่า!!”
เสียงเคาะประตูถี่รัวและเสียงตะโกนเรียกชื่อที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่องทำให้เธอขยับตัว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจำต้องปรือขึ้นอย่างงัวเงีย สัมผัสแรกคือแสงสีนวลของโคมไฟหัวเตียงที่แยงเข้านัยน์ตา
เธอลืมดับไฟหรือนี่...
“เบลล่า เปิดประตูให้พี่!!” เสียงนั้นไม่ปล่อยให้เธอได้ตั้งตัวนานนัก ร่างบางยันตัวลุกขึ้นพร้อมศีรษะที่ปวดจี๊ด คิ้วเรียวขมวดมุ่น มือแตะหน้าผากสัมผัสได้ถึงความร้อนที่อาจจะทะลุสามสิบเก้าองศา
โดนฝนนิดหน่อยก็ไข้ขึ้น... แย่
ว่าแต่หมอนั่นมีอะไรดึกป่านนี้ บ้าชะมัด วันนี้เธออุตส่าห์เข้านอนแต่หัวค่ำแล้วเชียว!
เบลล่าถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนเดินโซซัดโซเซไปที่ประตู แล้วทันทีที่มันถูกเปิดออก ใบหน้าถมึงทึงของพี่ชายเพียงคนเดียวก็ปรากฏแก่สายตา
“มีอะไรดึกดื่น เอ็ดเวิร์ด” น้ำเสียงเรียบของร่างบางติดจะรำคาญอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าที่เคร่งอยู่แล้วของเอ็ดเวิร์ดเลยทวีความหนักข้อขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
“พี่ต้องเป็นคนถามมากกว่า ว่าเธอคิดจะทำอะไร?” นัยน์ตาสีเดียวกันของคนเป็นพี่จ้องเบลล่าอย่างคาดคั้น “โดดเรียนคาบบ่ายตลอดอาทิตย์...นี่เป็นจดหมายเตือนฉบับที่ห้าของโรงเรียนแล้วนะ เกี่ยวกับเรื่องวีรกรรมงี่เง่าของเธอ!”
คำตอบมีเพียงเสียงถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ก่อนร่างบางเจ้าของเรือนผมยุ่งๆจะหันหลังกลับเตรียมทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม นัยน์ตาของเอ็ดเวิร์ดที่ใช้มองน้องสาวนั้นวาวโรจน์ ก่อนปิดประตูตามเข้ามา
“พี่ถามเธออยู่นะเบลล่า!!”
“นี่หรือเหตุผลที่มากวนเวลานอนคนอื่นของพี่...” ร่างเจ้าหล่อนหันมาประจันหน้า นัยน์ตาคู่โตฉายแววเย็นชากราดใส่อย่างเปิดเผย
นี่เธอหาว่าเขาเป็นฝ่ายผิด...?
เอ็ดเวิร์ดสูดลมหายใจลึกๆอย่างข่มอารมณ์
“เธอมีหน้าที่ตอบคำถาม”
“ฉันไม่มีอะไรจะตอบพี่ทั้งนั้น ออกไปได้แล้ว” เบลล่าออกปากไล่เขาอย่างหมางเมิน ความอดทนของคนเป็นพี่จึงถึงจุดสิ้นสุด ร่างสูงตรงเข้าไปบีบแน่นที่ต้นแขนก่อนออกแรงเขย่าหวังเรียกสติเธอให้กลับคืน
“ทำไมถึงชอบทำตัวมีปัญหานัก ตั้งแต่พ่อตายเธอก็ทำเฉยชากับคนรอบข้างมาตลอด คิดว่าพ่อจะดีใจหรือที่เห็นเธอเป็นแบบนี้ หา!!” เสียงทุ้มกร้าวตวาดใส่หน้า มือที่แข็งราวคีมเหล็กก็บีบจนชาไปทั้งแขน เบลล่ารู้สึกร้อนวูบวาบ ศีรษะปวดหนึบ
“ปล่อยฉัน...ปล่อย” น้ำเสียงแผ่วเบาที่เรียกให้เอ็ดเวิร์ดชะงัก ใบหน้าน้องสาวของเขาแดงเรื่อ มีเม็ดเหงื่อเกาะพราวราวคนจับไข้
“บอกให้ปล่อยไง!!” เบลล่ากรีดเสียงร้องลั่นร่างพี่ชายก็กระเด็นวูบกระแทกเข้ากับผนังห้องอย่างแรงราวถูกหัตถ์ที่มองไม่เห็นฉุดกระฉาก นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างน้องสาวทรุดลงกับพื้น ร่างสูงรีบถลาเข้าไปหาอย่างลืมเจ็บ
“เธอไม่สบาย” หลังมืออังกับหน้าผากมน “โดนฝนใช่ไหม?”
มือบางพยายามปัดเขาไปให้พ้นๆ การกระทำที่เอ็ดเวิร์ดรู้สึกเจ็บหัวใจปล๊าบ
น้องสาวคนเดิมของเขาหายไปไหน เธอตายไปพร้อมกับพ่อแล้วงั้นหรือ...
“พี่ขอร้องนะเบลล่า อย่าทำร้ายตัวเอง อย่าทำร้ายคนรอบข้างอีก” น้ำเสียงคนเป็นพี่เบาหวิว ดวงหน้าขาวของเบลล่าแสร้งมองไปที่อื่นอย่างเหม่อลอย “พลังของเธอใช้สติควบคุมได้ อย่าใช้มันทำร้ายใครอีก อย่าทำอีก...”
ราวสิ่งที่พูดไม่ได้เข้าหู เจ้าหล่อนออกแรงผลักคนเป็นพี่จนหงายหลัง ก่อนพยุงร่างตัวเองไปที่เตียง ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยประโยคสุดท้ายที่เป็นดั่งมีดกรีดลงกลางใจ
“ออกไปซะ”
เอ็ดเวิร์ดนิ่งมองน้องสาวที่ทิ้งตัวลงนอนคลุมโปงอย่างเงียบงัน พลังที่เขาโดนเมื่อครู่เหมือนจะเบาไปเลยถ้าเทียบกับหัวใจที่ปวดร้าว
ร่างสูงขยับรอยยิ้มคล้ายจะสมเพชตัวเอง ก่อนดึงบานประตูให้ปิดลงแผ่วเบา ทำตามในสิ่งที่เจ้าหล่อนปรารถนา
...ตระกูลของเขาสืบทอดเชื่อสายจากผู้ใช้มนตราระดับจอมเวท ทายาททุกรุ่นมีพลังเวทที่แข็งแกร่ง...แต่สำหรับเบลล่า เธอมีมากกว่านั้น
เจ้าเหล่อนเรียกมันว่าคำสาป...
คำสาปที่ทำให้พ่อตาย
คำสาปที่เธอใช้ทำลายคนรอบข้างอย่างเลือดเย็น
คำสาปที่เธอใช้ทรมานเขา ราวน้องสาวคนเดียวถูกพรากไป...
...พ่อคงไม่ได้เอาเบลล่าของเราไปกับพ่อด้วยหรอกใช่ไหมครับ...?
...................
บอส[โหมด] : TWILIGHT ขึ้นอีกรอบ -. .-;;
(ท่านนัท)
ทนไม่ไหว..
ถึงจะพยายามแกล้งหลับหูหลับตา ไม่มอง ไม่สนใจ ไม่อยากรับรู้
แต่สุดท้ายคนที่อดทนต่อไปไม่ไหวก็คือเขา
ไม่สิ..หัวใจของเขาต่างหากที่ทนไม่ได้
เสียงฟ้าร้องดังครืนครางลั่นแผ่นฟ้าเรียกให้ชายหนุ่มตวัดสายตามองออกไปทางบานกระจกใส ฝนข้างนอกยังคงตกพรำไม่ซาเม็ดมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ หยาดน้ำสาดกระเซ็นมากระทบหน้าต่างหยดแล้วหยดเล่าราวกับไม่มีวันสิ้นสุด อากาศเย็นยะเยือกเจือกลิ่นดินเปียกน้ำลอยอ้อยอิ่งคลอมากับเสียงน้ำฝนลงเม็ดบนหลังคาบ้าน
แม้เสียงฝนจะดังอื้ออึงอยู่ข้างนอก เขากลับไม่ได้ยิน
เพราะเสียงหัวใจของเขาดันสั่งให้เท้าก้าวเดินออกไปแล้ว..
“ริณ..อยู่หรือเปล่าเปิดประตูหน่อย พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”
เขามาแล้ว..สุดท้ายคนที่พ่ายแพ้ก็ไม่ใช่เธอ
หญิงสาวนอนฟังน้ำเสียงทุ้มเย็นแต่แฝงด้วยความร้อนรนอย่างปิดไม่มิดของเขานิ่งงัน ใจหนึ่งอยากโดดหนีออกไปนอกหน้าต่างขณะที่อีกส่วนหนึ่งลึกๆกลับอยากลุกไปเปิด แต่ทว่าร่างกายร้อนผ่าวไร้เรี่ยวแรงแค่ขยับพลิกตัวเอื้อมไปเปิดไฟโคมความปวดมึนก็ยิ่งแล่นพล่านไปทั่วศีรษะ...บางทีเธออาจจะไข้ขึ้นสูงเพราะอ่อนเพลียและตากฝนหนักเมื่อเย็น
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกราวๆสองสามครั้งก่อนเงียบหาย แต่เธอรู้ว่าพี่ชายยังคงยืนรออยู่อย่างใจเย็นแน่ๆ จึงได้แต่กัดฟันข่มความปวดหัวโซเซลุกจากเตียงไปเปิดประตูรับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เข้ามาในห้อง
“พี่กานต์...”
เนริณอุทานผะแผ่ว เมื่อชัชกานต์คว้ามือเธอจูงไปนั่งบนเตียงนอน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองฝ่ามือใหญ่ที่กุมรอบเรียวมือเธอไว้อย่างหนาแน่นก่อนเม้มริมฝีปาก
“มีอะไรค่ะ ดึกแล้ว”
“พี่เพิ่งได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายปกครองว่าเธอ..”
“โดดเรียนคาบบ่ายมาตั้งแต่วันจันทร์” เนริณสวนขึ้น
“ทำไมอยู่ๆถึงได้..ทำแบบนั้นขึ้นมา”
“ริณจะทำอะไรมันก็เรื่องของริณ ไม่เกี่ยวกับพี่กานต์ อยากจะทิ้งขว้างเหมือนที่ทำอยู่ก็ได้”
“ริณ!” แรงบีบบนหลังมือเธอหนักขึ้นจนรู้สึกได้ ดวงตาของชายหนุ่มลุกวาบดั่งเปลวเพลิง แต่ในใจของชัชกานต์กลับสะท้อนสะท้านวาบลึกอย่างปวดร้าว
ทิ้งขว้างงั้นหรือ..ที่ทำห่างเหินไปมันก็เพื่อเธอทั้งนั้น
ตั้งแต่ที่เขารู้ว่าตนไม่ใช่พี่ชายร่วมสายเลือดกับเนริณด้วยระยะที่ใกล้ชิดและความรักฉันท์พี่น้องที่มีอยู่เป็นทุนเดิม..ความรักแบบชายหญิงก็ก่อตัวขึ้นมาอย่างง่ายดายราวไฟติดเชื้อ เสียที่ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายดังที่คิดพอความรู้สึกเปลี่ยน การกระทำย่อมแปรตามจนผู้ใหญ่ที่คอยเฝ้ามองไม่ห่างก็เริ่มจับได้ถึงความผิดแผกไป
ทั้งแววตา น้ำเสียงและการกระทำที่บ่งว่ารักและหลงใหลเกินกว่าพี่ชายมีให้น้องสาว เขาถูกเรียกไปตักเตือนอยู่หลายครั้งจนกระทั่งมาถึงการเตือนเป็นครั้งสุดท้าย..หากเขาไม่ถอย พ่อบุญธรรมที่ฟูมฟักเขาและเนริณมากตั้งแต่แบเบาะจะตัดใจส่งเลือดในอก..เนริณ ไปเรียนที่อเมริกาเพื่อให้ห่างจากตัวและความรักของเขาไปไกลแสนไกล..จนเกินไขว่คว้า
นับตั้งแต่นั้นมาเกือบเดือนเต็มที่เขากลายเป็นเย็นชาที่เพียรแต่หยิบยื่นความห่างเหินให้แก่น้องสาว ทั้งที่ในใจปวดร้าวจนแทบไม่อยากลืมตาตื่น ทุกวันผ่านไปอย่างทรมาน
เขาหยิบยื่นความหมางเมินให้เนริณมากฉันใด พิษร้ายแห่งรักยิ่งย้อนกลับทำร้ายมาฉันนั้น
“พี่ขอโทษ”
“ริณง่วง..” หญิงสาวตัดบท
“ยังไม่ตอบพี่เลยว่าทำไมเด็กเรียนดีอย่างน้องพี่ถึงโดดเรียน”
“ไม่มีอะไรค่ะ” เนริณยื่นหน้าไปหอมแก้มพี่ชายเบาๆก่อนล้มตัวลงนอนเป็นการตัดบท ทิ้งให้ชายหนุ่มร่างใหญ่ยังคงติดใจสงสัยในความลับเล็กๆของเธอต่อไป “ราตรีสวัสดิ์ค่ะพี่กานต์”
“จ้ะ ฝันดีนะน้องริณ”
ชัชกานต์แย้มยิ้มรับพลางช่วยห่มผ้านวมหนาให้หญิงสาวที่อายุห่างกันเพียงสองปี เขาก้มลงฝากรอยจูบราตรีสวัสดิ์ลงบนหน้าผากนวลก่อนปิดไฟโคมข้างเตียงแล้วเดินออกไปโดยที่เขายังคงไม่ได้รับคำตอบเรื่องที่อยากรู้เลยแม้แต่น้อย..ซึ่งเนริณพอใจให้เป็นเช่นนั้น
ริมฝีปากบางสีสดบนใบหน้าซีดเซียวคลี่ยิ้มเย็นในความมืดของห้องนอน เสียงฝนตกกระหนำซัดหนักแต่ยังดังไม่พอที่จะกลบเสียงหัวเราะอย่างพึงใจในห้วงคิดให้จางหายไปได้
เธออาจเป็นเด็กดีในสายตาของผู้ใหญ่ เป็นเพื่อนดีและเป็นน้องสาวที่รักพี่ชาย..หากในตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว ดั่งผนึกของหีบเหล็กถูกเปิดออก เธอรู้อะไรดีๆมากมาย..มากกว่าที่รู้ว่าชัชกานต์ไม่ใช่พี่ชายร่วมสายเลือดในครอบครัวจริงๆและเขาก็หลงใหลในตัวเธอแบบหัวปักหัวปำหลังจากทราบความจริงข้อนั้น
สมุดบันทึกเก่าแก่ของคุณแม่เอรินมารดาแท้ๆของเธอ..มันคือกุญแจดอกสำคัญที่จะขความลับทั้งปวง บัดนี้มันอยู่ในมือเธอโดยอาศัยความช่วยเหลือเล็กน้อยของความลับของเธอ..ชราธิป
ชายหนุ่มรักสันโดษผู้ชื่นชอบการโดดเรียนไปนอนบนดาดฟ้ายามบ่ายทุกๆวัน..
เขาเป็นคนที่เธอคิดจะใช้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นชัชกานต์..พี่ชายสุดที่รัก
อยากรู้นักว่าระหว่างพี่กานต์และพี่ธิป..
ใครจะได้คลั่งใจตายเป็นคนแรก..เพราะเธอ
..
(ท่านเน)
“เนริณ!” เสียงเคาะประตูโครมครามดังอยู่ภายนอกอย่างที่หญิงสาวได้แต่ผูกปมคิ้วด้วยอาการปวดหัวตุบๆ ...ดึกแล้วนะ ทำเสียงดังเดี๋ยวก็โดนชาวบ้านว่าพอดี
โครม!
บัดซบ... เนริณสบถพึมพำพลางยันตัวลุกนั่ง
“เนริณ...” ดวงหน้าคมเข้มออกดุของนราธิปทำเจ้าของชื่อมุ่นคิ้วใส่ “ทำไมทำแบบนี้”
“อะไร” เด็กสาวเอ่ยห้วนๆเพราะรู้ดีว่าพี่ชายจอมเคร่งนี่จะว่าอะไรต่อ
“ทางโรงเรียนว่า...”
“ฉันหนีเรียนคาบบ่ายมาเป็นอาทิตย์แล้ว” หางคิ้วเรียวเลิกคล้ายถาม “แล้วไงล่ะพี่”
“ไอ้เน ...อย่ามาย้อนพี่นะ” ดวงตาคมกริบนั้นคาดคั้นจนเธอต้องถอนใจระบายเครียด
จะตีกับพี่บ้าตอนนี้ก็ใช่เรื่อง ...ไม่น่าตากฝนเลยสิน่า ล่อเอาหวัดกิน
“แล้วฉันไปย้อนพี่ตอนไหน”
“แกตอบพี่มาดีๆเถอะ ...หนีเรียนทำซากอะไร ปัญหายังไม่พอหรือไงฮึ”
“ตะกี๊พี่พังประตูใช่ไหม”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง!” นราธิปส่งเสียงเข้ม ...เนริณถอนใจหน่อยๆด้วยหัวสมองที่ไม่แล่นเอาเสียเลยเวลาอย่างนี้ ...เรื่องอะไรฉันต้องตอบล่ะ!
ดวงตาคมกริบของพี่ชายจ้องมองมาอย่างจริงจัง ...จริงจังอย่างที่หญิงสาวตีตาซื่อหา
“หนาวจัง” เสียงหวานว่าเครือๆใบหน้าพี่ชายคลายความเคร่งไปโข “ข้างนอกฝนยังตกอยู่หรอพี่”
“เน...เป็นไรมากหรือเปล่า อย่าบอกนะว่าแกเดินตากฝน”
“พี่พูดอะไรน่ะ ฉันแค่หนาวนะ”
“เน...แกเดินตากฝนใช่ไหม ...แกจะบ้าหรอ เวทแกมันธาตุไฟไปเดินต่างฝนเดี๋ยวก็ได้...”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ...พี่จะมาห่วงฉันทำไม กับแค่อาจจะเวทเสื่อมก็เท่านั้น ...เฮอะ อย่ามาทำเป็นห่วงไปหน่อยเลย”
“แกเป็นน้องฉันนะ” มือหนาทาบที่หน้าผากนวลก่อนจะร่ายเวทสักอย่างที่ส่งกระแสอบอุ่นเสมือนเปลวไฟที่แทรกซึมเข้ามาปลุกประสาทของเธอให้ตื่นตัวขึ้น “เอาล่ะ ...พักก่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้ไปโรงเรียนพร้อมกัน”
“อืม...ซ่อมประตูด้วยล่ะ”
“เออ”
เมื่อร่างสูงนั้นเดินออกไปพร้อมปิดประตูให้เบาๆเธอก็แทบจะร้องออกมาอย่างยินดี
ก็ไม่แปลกหรอกหากนราธิปจะห่วงเรื่องทางโรงเรียน เพราะเธอเองก็เฉียดๆจะโดนไล่ออกขึ้นมาทุกวัน ...ด้วยความที่ว่าสมัยก่อนต้นตระกูลของเราเคยอยู่ในจำพวกคนใช้ศาสตร์เหนือธรรมชาติ ซึ่งตอนนี้เขาเรียกเราว่า หมอผี ...คนในห้องจึงไม่มีใครใคร่จะคุยกับเธอเท่าไหร่
...แล้วพอมีข่าวแปลกขึ้นมาอีก
ช่วงนี้มีนักเรียนหายตัวไปเป็นจำนวนมาก ...หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียด้วย
แต่เรื่องที่หนีเรียนตอนภาคบ่ายน่ะหรือ...
ชิ ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ ...ที่วันนี้ต้องเปียกฝนเป็นลูกหมาอย่างนี้ก็เพราะ มัน มันคนเดียว!
“ศรุต...” เนริณพึมพำด้วยไฟอาฆาตที่โชติช่วงอยู่ในดวงตา “ฉันยังไม่แพ้แกหรอก ไอ้น้ำเน่าเหม็นโฉ่!” ไม่ใช่จะมีแต่บ้านเธอหรอกที่รู้เรื่องเวทมนตร์
เมื่อต่างตระกูลมาพบกัน ...แล้วเจ้านั่นมันดันปากเสียมากว่าเธอ แล้วเรื่องอะไรถึงจะยอมให้มันมาว่าอยู่ฝ่ายเดียว ...ดาดฟ้าก็ออกว่างนี่นะ
...เจ้าบ้าธาตุน้ำนั่น จากฟ้าโปร่งๆก็เป็นว่าฝนตกลงมาอย่างกับผีสั่ง
แค้นนี้ต้องชำระ ...ศรุต แกกับฉันต้องเห็นดีกัน!
อ่านกันขำๆฮะ มาลงให้รู้ว่าคนออกข้อสอบก็ต้องทำเหมือนกัน 55+
+SaBriel+
ความคิดเห็น