ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『 แฟนเด็ก 』 l ╯#สามหกสิบแปด╰

    ลำดับตอนที่ #2 : กุ๊งกุ๊งที่ 1 : ญี่ปุ่น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 75.71K
      6.72K
      5 พ.ย. 61

    กุ๊งกุ๊งที่ 1

     ญี่ปุ่น

     




     

    สนามบินนั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มักทำให้ผมหงุดหงิดเป็นอันดับต้นๆ

    ไม่สิ...

    ต้องพูดให้ถูกว่าหมายถึงคนในสนามบิน

     

    “พี่แนน! พี่แบงค์! เนหาพาสปอร์ตไม่เจอออออออ”

    “มึงหาในกระเป๋ารึยังเน”

    “เนหาแล้ว เนแทบจะเทกระเป๋าแล้วเนี่ย ทำไงดี เนจะร้องไห้”

    “อย่าเพิ่งร้องไห้ มึงเป็นคนไทย”

    “ทำไมเป็นคนไทยแล้วร้องไม่ได้”

    “เพราะร้องไฮ่!! ต้องเป็นคนญี่ปุ่น”

    “พี่แบงค์ เนเครียดอยู่ยังจะเล่นมุกอีกอ่อ!!

    ผมใช้นิ้วนวดขมับเล็กน้อยกับเสียงโวยวายที่ดังมาจากโต๊ะข้างๆ นี่ขนาดลี้ภัยมานั่งในมุมมืดของสตาร์บั๊คก็ยังจะมีกลุ่มคนเสียงดังมาอยู่ข้างๆ อีก สนามบินก็ตั้งกว้างแต่คนข้างๆ ผมมักจะน่ารำคาญเสมอ

    “โอ๊ยยยย กาแฟลวกลิ้นนนน  ร้อนนน ไอ้ไม้ช่วยกูด้วยลิ้นกูสุกแล้ววว” ผมชายตามองไอ้เวรที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม ตัวน่ารำคาญติดอันดับท็อปในชีวิต สะบัดไม่หลุดตั้งแต่มหาลัยยันทำงาน

    “อย่าเสียงดังสิวะ”

    “ไอ้ห่า ลิ้นกูสุกไม่ให้กูโวยวายได้ไง ลิ้นคนไม่ใช่ลิ้นหมูนะมึง”

    “มันไม่สุกหรอก”

    “เป็นลิ้นกูอ่อ สาระแนรู้ดีกว่าลิ้นกูได้ไง” ผมถอนหายใจยาวเหยียด อายุขึ้นเลขสามแต่ความปัญญาอ่อนดันเหมือนสมัยเรียนไม่เปลี่ยนแปลง ผมส่ายหัวรัวก่อนจะเมินเสียงโวยวายของไอ้เก่งแล้วก้มลงอ่านหนังสือคู่มือเที่ยวญี่ปุ่นในมือต่อ   

     

    กึ้ก

    ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยที่เก้าอี้ถูกโต๊ะข้างหลังกระทบ

    “มึงจะไปไหนวะเน”

    “เนว่าเนลืมไว้ในห้องน้ำชาย!!!” สิ้นเสียงโวยวาย เด็กที่กระแทกเก้าอี้ผมก็รีบวิ่งหน้าตั้งออกไปจากร้าน

     

                    อา...

    ในที่สุดความเงียบสงบก็กลับมา...

     

    “เชี่ย ไอ้ไม้ กูหามือถือตัวเองไม่เจอ!! โอมายก็อดดดดด!! แวร์อีสมายโฟน!!

     

    ... อ่อ ยังมีมันอยู่อีกตัว 

     

    คร้านจะขยับปากบอกว่ามันเสียบไว้กับกระเป๋าเสื้อตอนกระดกกาแฟแล้วลวกลิ้น ผมก้มมองนาฬิกาบนข้อมือก็ค้นพบว่าควรจะเข้าเกตพอดีเลยตัดสินใจรวบของลงกระเป๋าแล้วเดินออกจากร้านกาแฟมา ทิ้งให้ไอ้เก่งโวยวายตามหามือถือลูกรักลั่นร้าน 

                   

    ผมเดินทางออกนอกประเทศบ่อยแต่ส่วนใหญ่ประเทศปลายทางมักจะเป็นฝั่งยุโรปไม่ก็อเมริกาเสียส่วนใหญ่ สำหรับญี่ปุ่นนี่เป็นครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะเปิดทริปด้วยการต้องเดินทางไปกับไอ้ตัวน่ารำคาญระดับโลกอย่างไอ้เก่งแต่ก็แอบคาดหวังกับประเทศนี้อยู่ไม่น้อย อ้อ ยังรวมไปถึงภารกิจตามล่าหาเครื่องรางให้น้องสาวผมอีก หวังว่าทริปนี้จะผ่านไปได้ด้วยดีแล้วกันนะ ผมหยุดเดินเพื่อพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นหลังจากที่มันม้วนตัวตกลงมาเกะกะแขน

    ปั้ก!!

    “โอะ ซอรี่” ผมมองตามหลังของคนที่เพิ่งวิ่งชนไหล่ผมไป

    ซอรี่?

    ผมหรี่ตามองเสื้อกันหนาวสีเหลืองที่คุ้นตาเพราะเหมือนจะคุ้นตามาจากไหนสักที่

    เด็กที่โวยวายในร้านเมื่อกี้สินะ 

    เหลือบตามองลงที่มือเห็นถือพาสปอร์ตเล่มเล็กไว้แน่นคงเพิ่งไปหาพาสปอร์ตตัวเองจากห้องน้ำเจอสินะ

     

    “ยืนยิ้มไรสัดไอ้ไม้ ทิ้งกูมายืนยิ้มคนเดียวนี่มึงโรคจิตเรอะ กูเกือบร้องไห้แล้วนะ” แล้วก็ถูกดึงกลับมาข้างตัว ผมหันไปทำหน้าเซ็งใส่ไอ้เก่ง บางทีเวรกรรมก็มาในรูปแบบเพื่อนที่น่ารำคาญจริงๆ นะครับ สุดใจจะด่าเพราะด่ามันมาตั้งแต่ปีหนึ่งก็ไม่เคยสำนึก ผมเลยเลือกที่จะเมินมันแล้วเดินต่อเพื่อไปขึ้นเครื่องแทน

     

                    จากกรุงเทพมาญี่ปุ่นใช้เวลาประมาณหกชั่วโมง นึกขอบคุณที่เลือกจองตั๋วแบบธุรกิจเลยได้ตัดขาดความน่ารำคาญจากไอ้เก่งที่พยายามจะโชว์ภูมิความรู้ประหนึ่งตัวเองเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น มันบอกทริปนี้จะเปลี่ยนชื่อเพื่อความตื่นเต้นและได้บรรยากาศ ให้เรียกมันว่ายามะพี

    ...แหม ตั้งชื่อแบบลืมไปเลยว่าชื่อจริงมึงชื่อสมชาย

                    “ไปไงที่พักยังไงดีวะ” นายยามะพีถามผมทันทีที่ลุกขึ้นจากเบาะ ยังไม่ทันออกจากสนามบินมึงก็งงแล้วหรอ ไหนหล่ะที่อวดรู้มาตลอดทาง

                    “แท็กซี่” ดูจะปลอดภัยที่สุดแล้ว

                    “เค”

                    ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกเหมือนโดนแรงกระแทกเล็กๆ เบียดมาจากด้านหลัง แต่มองผ่านไหล่ไปแล้วไม่เห็นหัวใครเลยเดาเอาว่าคงเป็นเด็กที่มากับผู้ปกครองสักคนหนึ่ง

     

                    ที่พักของเราวันนี้เป็นโรงแรมห้าดาวใจกลางย่านชื่ออิเคบุคุโระ แน่นอนครับว่าแยกห้องนอน ผมไม่คิดจะใช้ช่วงเวลาในการท่องเที่ยวกับการนอนร่วมห้องกับไอ้เก่งอย่างเด็ดขาด เอาของเก็บเรียบร้อยก็พร้อมเดินทางไปสถานที่เที่ยวแรก นั่นก็คือ...

     


     

                    วัดอาซากุสะ


                    มันคือวัดที่น้องสาวผมฝากซื้อเครื่องรางอะไรสักอย่างที่เหมือนจะฮิตมากในโซเชี่ยล โคตรจะไสยศาสตร์ อยากจะไลน์ไปด่าว่าเพ้อเจ้อแต่ติดที่ว่ามันมางอแงให้ผมซื้อด้วยท่าทางอ้อนๆ เนี่ยแหล่ะครับภาระของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพี่ชาย ลูกอ้อนน้องสาาวก็แพ้มันตลอด

                   ....ว่าแต่มันเป็นวัดไม่ใช่หรอทำไมคนมันเยอะขนาดนี้วะ

                    “คนโคตรเยอะ”

                    “ไปทำสาขาที่ไทยจะคนมาเยอะขนาดนี้ไหมวะ”

                    “นี่วัดไม่ใช่เคเอฟซี มึงจะทำสาขาทำบ้าอะไร” ผมหันไปตบหัวไอ้เก่งหนึ่งที ข้อหาพูดจาโง่ๆ

                    วัดของญี่ปุ่นดูจะมีกิจกรรมที่ให้ทำเยอะพอๆกับที่ไทยแต่ก็มีหลายอย่างที่น่าแปลกใจ เอาเป็นอย่างแรกเลย ทำไมคนเราถึงต้องยืนปัดควันใส่ตัวเองกันหน้าวัดด้วยวะ

                    “เขายืนปัดควันทำไมวะ” ผมหันไปข้างๆ “คุณยามะพี มึงตอบกูหน่อย”

                    “เขาแดกหมูย่างมาแต่กลัวเมียรู้”

                    “...”

                    “ย้อเย่น กูเหมือนจำได้ว่ามันไม่ใช่ควันธรรมดาอ่ะมึง”

                    “แล้วมันเป็นควันอะไร”

                    “ควันเอ๊ยควันมา”

                    “...” ผมส่งสายตาเดี๋ยวมึงจะหัวปักถังควันใส่มันเลยหัวเราะแห้งออกมา

                    “ล้อเล่นๆ กูรู้สึกว่ามันเป็นควันดีอ่ะ เหมือนปัดควันดีๆเข้าตัว มั้งนะ” ทำเป็นว่าเข้าใจ ผมเบนสายตาต่อไปที่บ่อน้ำข้างๆที่มีคนเดินเข้าไปตักกลั้วปาก บ้างก็ล้างหน้าล้างมือ

                    “แล้วนี่?”

                    “โฮลี่วอเตอร์โว้ย แบบเอามาล้างบาป”

                    “มึงตักกลับไปไทยสิ น่าจะต้องล้างทั้งปี”

                    “รุนแรงมาก กูเพื่อนมึงไง” 

                    “หึ” มาถึงแหล่งทั้งทีก็ทำตามที่เขาทำหน่อย  พอมือจับกระบวยปุ๊ป ไอ้เก่งก็หันหน้ามาหาผม

    “ไม้ กูจะเชื่อได้ไงว่าน้ำมันสะอาดวะ”

    “ล้างๆไปเถอะ”

    “แต่...” มันมองไปฝั่งตรงข้ามที่เป็นคุณลุงไม่รู้สัญชาติใช้ปากสูดน้ำเข้าไปพร้อมกับตักอีกรอบลงไปราดเท้า เรียกได้ว่าทั้งปากทั้งเท้าในกระบวยเดียว ผมหันไปสบตากับไอ้เก่งแล้ววางกระบวยลงพร้อมกัน ไว้วัดหน้าแล้วกัน เอาที่คนน้อยๆ หน่อย นับเป็นการเปิดโลกใหม่ได้น่าตกใจพอสมควร ผมตัดสินใจหันตัวเดินเข้าไปที่วัดหลักที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเพื่อเข้าไปดูว่ากิจกรรมของวัดมีอะไรบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับที่ไทยมากนักไม่ว่าจะเซียมซีหรือการโยนเหรียญที่ผมตัดสินใจโยนเหรียญสิบบาทไปแทนเพราะหาเหรียญเยนไม่เจอ  

                    ภารกิจสุดท้ายคือไปซื้อเครื่องอะไรสักอย่างที่น้องสาวฝากซื้อมาจากประเทศไทย ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แค่โชว์รูปให้คนขายดู เห็นสาวน้อยยืนซื้อกันคนละหลายอัน เห็นแล้วอยากจะไลน์กลับไปถามน้องสาวว่าไอ้เครื่องรางกุ๊งกิ๊งที่ญี่ปุ่นนี่มันดูศักดิ์สิทธิ์กว่าพระที่ไทยได้ยังไง แต่นั่นแหล่ะ ผมเลิกจะทำความเข้าใจกับวัยรุ่นสมัยนี้แล้ว เอาตั้งแต่น้องสาวผมเริ่มเอาไอ้ตุ๊กตาอะไรบี้ๆมาเต้นโชว์แล้วเรียกน้องแล้ว หน้าเหมือนหนูผี มันเรียกน้องลงได้ยังไงวะ

                    จบท้ายวันด้วยการมาหาเบียร์กินที่ร้านคราฟต์เบียร์มาร์เก็นย่านโคเอ็นจิที่ไอ้ยามะพีเวอร์สาขาบางนาแนะนำประหนึ่งเป็นหุ้นส่วนร้าน

    อากาศที่ญี่ปุ่นช่วงเดือนพฤษภาเย็นกำลังดีช่างเข้ากันได้ดีกับคราฟต์เบียร์รสขมปลายลิ้นกับลมอุ่นจากบุหรี่ ไม่รวมเสียงน่ารำคาญจากไอ้เวรที่นั่งตรงข้ามผม ทุกอย่างในเวลานี้มันช่างลงตัวจนเหมาะที่จะใช้คำว่าพักผ่อนเสียจริง

    “ไอ้ไม้ๆ มึงดูนั่นดิ”

    “...”

    “เอ้า เบียร์ญี่ปุ่นแดกแล้วเป็นใบ้หรอ”

    “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง กูคงให้เขาไปเปิดสาขาที่บ้านมึง จะได้เลิกพูดมาก” มันส่งสีหน้ากวนตีนกลับมาก่อนจะเปลี่ยนประเด็นด้วยการโบ้ยปากไปที่โต๊ะข้างๆ ผมมองตามองศาปากมันไปตกอยู่ที่เด็กผู้ชายที่นอนฟุบกับโต๊ะโดยเอาชุดครุยคลุมทับ

    “คนไทยนี่หว่า”

    “แล้วมึงจะไปยุ่งอะไรกับเขา” ส่ายหัวให้กับความขี้เสือกมันหนึ่งทีแล้วกลับมาสนใจวิถีชีวิตคนนอกร้านต่อ

    “ไอ้ไม้ๆ มึงว่าน้องเขาจบคณะไรวะ”

    “เสือก”

    “เห้ยบ้า มันมีคณะเสือกตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “...”

    “ใจร้ายจังวะ กูชงมุกให้ตั้งแต่ปีหนึ่งมึงไม่เคยตบให้กูสักรอบเลย”

    “...” ไม่พูดต่อหล่ะว่าแต่หัวมึงหน่ะตบไม่หยุดมาตั้งแต่ปีหนึ่งยันทำงานยังไม่เคยหยุดตบเลย

    “บุหรี่หมดว่ะ เดี๋ยวกูมา” ไอ้เก่งตบๆกระเป๋าตัวเองก่อนจะเบะปากวิ่งออกนอกร้านไป

    ถึงปากจะบอกว่าไม่สนใจแต่ผมก็อดหันไปมองไอ้เด็กนั่นไม่ได้ ก็เป็นห่วงในฐานะคนร่วมประเทศเท่านั้นแหล่ะ เพิ่งจบใหม่แท้ๆ ใช้ชีวิตไม่ระวังตัวเลยวะ ที่นี่ไม่ใช่ข้าวสารเหมือนบ้านเรานะ แล้วฉลองรับปริญญายังไงมานั่งดื่มคนเดียวเศร้าๆแบบนี้กันนะ

     

     

    ช่างเถอะ ไม่ใช่ธุระอะไรของผมอยู่ดี

     

     

    ใช่ มันไม่ใช่ธุระอะไรของผมเสียหน่อย

     

     


    ... แล้วทำไมมีไอ้ลุงแก่ๆ ไปป้วนเปี้ยนไอ้เด็กนั้นวะ

    ... แล้วทำไมพนักงานเสิร์พถึงไปนั่งคุยกับน้องมันขนาดนั้นวะ

    ... แล้วทำไมไอ้เวรเก่งไปซื้อบุหรี่นานขนาดนี้วะ

    ... แล้วทำไมผมย้ายตัวมานั่งโต๊ะน้องมันได้วะ!!!!

     



    “เห้ย ไอ้หนู” ผมเคาะหัวเด็กตรงหน้าจึ้กๆ

    “ฮื่อ” แหน่ะ มีปัดออก

    “ไอ้หนู ดึกแล้ว เมาก็กลับบ้านไปนอน” พูดไปก็นึกขึ้นได้ว่าพอใช้คำว่าไอ้หนูแล้วเราดูแก่จังวะ

    “ฮื่อ ยุ่งหน่ะลุง”

     


    ห๊ะ...

     

    ใครลุง!!!

    อายุแค่สามสิบหกห่างใกลจากคำว่าลุงไปอีกเยอะโว้ย!!!

     

    “เด็กเวร”

    “ไมได้ชื่อเวร เนชื่อเน” เสียงดื้อเถียงกลับพร้อมเงยหน้าขึ้น ปรากฏให้เห็นใบหน้าทั้งหมดของเจ้าเด็กขี้เมา โอเค ผมไม่ค่อยได้ติดตามโลกปัจจุบันมากนัก

     

    แต่เด็กจบใหม่นี่หน้าเหมือนเด็กมัธยมได้ขนาดนี้เลยหรอวะ!!!

     

    ไอ้แก้มใสๆ เจือสีแดง ตาปรือกึ่งหลับนั้นพยายามหาโฟกัสกับหน้าผม ปากเล็กที่เคลือบไปด้วยน้ำสีใสที่เดาเอาน่าจะเป็นน้ำลายจากการนอนฟุบ เวรเอ๊ย คนเมามันไม่ควรน่ารักขนาดนี้


    ไม่สิ!!


    เด็กผู้ชายที่เมามันไม่ควรน่ารักหรือเปล่าวะ!!   


    ตัดภาพไปตอนมหาลัยที่ไอ้เก่งเมา ทุเรศลูกตาจนผมปล่อยให้มันนอนจมกองอ้วกอยู่หน้าร้านไม่แม้แต่จะพากลับห้อง

    “...”

    “พี่แบงค์หรอ” เสียงเมาอ้อแอ้มาพร้อมกับตาปรือที่ปิดแล้วปิดอีก

    “แบงค์ไหน” ผมย้อนถาม

    “วงมายด์”

    “...”

    “แฮ่ๆ พี่แบงค์วงแคลชตะหากกก วงมายด์นั่นพี่ปู เอ้ย พี่เป๊ก เอ้ย พี่เป้ เอ้ย ถูกแล้ววว”

     

    เวรแล้ว ยิ้มแล้วแม่งน่ารักกว่าเดิมอีก ผมเมินไอ้มุกสามช่าที่น้องเล่นแล้วหายใจเข้าลึกๆ เด็กจบใหม่นี่อายุมันประมาณเท่าไหร่วะ ยี่สิบสามได้ไหม แล้วเด็กอายุยี่สิบสามมันเมาอ้อนแบบได้ยังไง บ้านเลี้ยงมายังไง แล้วยู่รอดในรั้วมหาลัยยังไงวะ

    “นี่ มากับใคร เมาแล้วรู้ตัวไหม”

    “หึ่ย ไม่เมา ไม่อ่อน”

    “มาคนเดียวหรอ”

    “หึ เนมากับพี่ อย่ายุ่ง”

    “จบมหาลัยแล้วยังแทนชื่อตัวเองด้วยชื่อเล่นอีกหรอวะ” มันควรจะตลก แต่ทำไมมันดูน่ารักจังวะ 

    “ยุ่งไรอ่ะลุง”

    “เห้ย ไม่ลุง”

    “แก่กว่าก็เป็นลุงหมดแหล่ะ”

    “ที่บ้านสอนเรื่องลำดับญาติมายังไง” ผมดีดหัวมันไปหนึ่งป๊อก “แล้วมากับใคร โทรมารับได้แล้ว”

    “มากับพี่”

    “แล้วพี่ไปไหน”

    “ไปไหนก็ได้ พี่โตแล้ว”

     



    คิดว่าน่ารักแล้วกวนตีนยังไงก็ได้หรอวะ

    เออ ก็ได้แหล่ะ น่ารักดี เหมือนลูกแมวเลย

     


    “โตแล้วก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้สิวะ ไม่ใช่มาเมานอนอยู่คนเดียวแบบนี้ พ่อแม่รู้เป็นห่วงแย่แน่”

    “อื้อ” มาองมาอื้ออะไรวะ เขี่ยแก้มแม่งเลย 

    “เอาไลน์หรืออะไรสักอย่างของพี่มาสิ เดี๋ยวโทรตามให้” เด็กตรงหน้ายู่หน้าไม่พอใจแต่ก็รับมือถือผมไปจิ้มๆ ลบๆ อยู่หลายนาทีก่อนจะส่งคืนมาให้ผม ดูท่าทางจะแอตไลน์ใครไปเสร็จศัพท์พร้อมกดคอลออกไปให้แล้วเรียบร้อย ผมยกมือถือขึ้นแนบหู ทันใดนั้นมือถือบนโต๊ะก็สั่นรัว เด็กขี้เมาเอื้อมมือไปรับก่อนจะยิ้มเผล่ใส่ผม

     

    “หวัดดีลุง เนเองงงง”

     


    ... ให้ไลน์กันง่ายๆแบบนี้เลยหรอวะ

    แล้วลุงอะไรวะ สามสิบหกไม่เรียกลุงโว้ย


     

    “บอกให้เอาไลน์พี่มาไม่ใช่ไลน์มึ... ไลน์นาย ไม่ หมายถึงไลน์เธอ เออ ไลน์อะไรนั่นแหล่ะ จะโทรตามให้มารับกลับที่พัก เด็กเวร” ปากพูดไป มือก็กดปักหมุดไว้ กันลืมว่าเป็นไลน์คนตรงหน้า

    “ไม่มีใครสนใจหรอก”

    “...”

    “ขนาดคบกันมาตั้งนานยังไม่ใส่ใจเลย” มันงึมงำแล้วก็ฟุบลงโต๊ะไปอีกรอบ

     



    อ้อ... มีแฟนแล้วนี่เอง

    ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรเสียดาย แต่มันก็แอบนึกเสียดายขึ้นมาเล็กๆ

     

    “ไอ้หนู รักตัวเองให้เป็นก่อนค่อยคิดจะไปรักคนอื่น” ผมลูบหัวฟูๆของมัน “... ขนาดชีวิตตัวเองยังดูแลไม่ได้ มาเมาไม่รู้เรื่องแบบนี้ สาวที่ไหนเขาจะมั่นใจให้ดูแล”

    “...” หน้าดื้องัดขึ้นมองหน้าผม

    “รอแป๊ปนึง” ผมเดินกลับไปที่โต๊ะเพื่อค้นหาซองขาวๆ ที่เพิ่งได้มาจากที่วัดแล้วเดินกลับไปหาเจ้าขี้เมาที่มองตามผมทุกย่างก้าวเหมือนอยากรู้ว่าผมจะลุกไปไหน

    “ซองขาว? ลุงไล่ผมออกหรอ...”

    “เพ้อเจ้อ นี่เครื่องรางความรัก ซื้อมาจากวัดอะไรสะๆ คิดว่านายน่าจะต้องการ” เอาซองขาวฟาดหัวเจ้าเด็กนี่ไปเบาๆ

    “ใจดีจัง”

    “หึ”

    “งั้นแลกกัน อ่ะผมให้” เจ้าเด็กขี้เมาหันไปรื้อกระเป๋าตัวเองครู่หนึ่งก็ยื่นซองขาวแบบเดียวกับที่ผมให้กลับมา

    “อะไร?”

    “เครื่องรางคลอดลูกโดยปลอดภัย แหะๆ พอดีอ่านอังกฤษก็ไม่ออก ญี่ปุ่นก็ไม่ออก ผมจิ้มมั่วอ่ะ ไม่ว่ากันน” คนบ้าอะไรซื้อเครื่องรางคลอดลูกโดยปลอดภัยวะ ผมมองไอ้หน้าจิ้มลิ้มที่หัวเราะจนตาปิด

    “ขอบคุณ” ผมเอื้อมมือไปยีหัวฟู

    “ลุง”

    “หือ?”

    “เคยจูบใครไหม” เจ้าเด็กเด๋อก้มกลิ้งหน้าตัวเองไปกับโต๊ะ

    “เคยสิ”

    “อิจฉาจัง อยากลองจูบบ้าง” อารมณ์ไหนของมันวะ

    “มหาลัยสี่ปียังไม่เสียจูบไปอีกหรอ” เหลือเชื่อโคตรๆ ผมนี่จูบแรกนอกจากแมวที่บ้านนี่ยังจำไม่ได้เลยว่าเสียไปให้ใคร  

    “หือ?” หน้าเด๋อขมวดคิ้วงง

    “ช่างเถอะ”

    “แต่อยากจูบ”

    “อยากจูบอะไร”

    “จูบอะไรก็ได้ อยากจูบเป็น จูบอ่ะ”

    “...” อะไรของมัน ผมจ้องตากลมนั่นตอบอย่างไม่เข้าใจความหมายที่มันจะสื่อ แก้มกลมพยักหน้าหหงึกๆ ผมยิ่งขมวดคิ้วงงเข้าไปใหญ่ พนักหน้าอะไรวะ พยักหน้าทำไม

    “ลุงดีลป่ะ”

    “ดีลอะไร”

    “ดีลอ่ะ”

    “ห๊ะ?”

     

    ไม่ทันได้ตั้งแต่ ข้อมือขาวเล็กๆ นั่นก็พุ่งมากระชากเนคไทด์ผมอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งตัวดั้งจมูกผมจึงเกือบฟาดเข้ากับจมูกมัน ดีที่ผมโค้งหลบเล็กน้อยจึงทำให้ส่วนที่สัมผัสกันระหว่างเรามีแค่เพียงริมฝีปาก ผมถลึงตาโตจนแทบหลุดออกมาจากเบ้า

     


    ให้ตาย นี่ผมโดนขโมยจูบ....


     

    โจรขโมยจูบอ่อนหัดได้แต่เม้มปากยุกๆยิกๆ ดูทรงแล้วเหมือนพวกเด็กที่โดนแม่ปิดตาเวลามีฉากจูบในละครหลังข่าว


     

    ทั้งๆ ที่ควรผลักเด็กตรงหน้าออกไปให้ใกล้ แต่มือผมกลับยื่นออกไปแถบชุดครุยตรงคอน้องพร้อมกับไล่ขบเม้มริมฝีปากเล็กของโจรอ่อนหัดตรงหน้า สัมผัสแปลกใหม่ทำเอาตากลมนั่นปิดแน่นจนขึ้นรอยยับ เสียงอืออาร้องขัดขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ดังพอให้ผมผละตัวออก โต๊ะเล็กที่คั่นกลางดูใหญ่จนเกะกะขึ้นมาทันที่เมื่อผมไม่สามารถขยับองศาได้อย่างที่ต้องการ

     




    “ไอ้ไม้ ไอ้เหี้ย”



     

    เสียงดังมาจากข้างหูทำให้ผมรีบผละตัวออกจากเด็กตรงหน้า คราบน้ำลายสีใสโยงแยกออกจากปากผมและน้อง ผมหันไปมองหน้าไอ้เก่งที่ยืนช็อคโลกอยู่หน้าร้าน ส่วนโจรขโมยจูบแข้งขาอ่อนพับนั่งหัวกระแทกโต๊ะดังลั่นร้าน

    “...”

    “...”

    “กูอธิบายได้”

    “มึงได้อธิบายแน่ๆ” ผมยกมือขึ้นขยับจัดองศาเนคไทด์  ลูบหน้าลูบตาเรียกสติพร้อมกับหันไปเชคสภาพคนเมาที่ตอนนี้หัวกลมแน่นิ่งไปแล้ว ผมเอามือจิ้มๆ หัวน้องสองสามทีไม่พบปฏิกิริยาตอบกลับ เดาว่าคงหลับไปแล้วเรียบร้อย เวร หลับได้จังหวะจริงๆนะไอ้เด็กนี่

    “อ้าว ไอ้เน” เสียงตะโกนดังมาจากหน้าร้าน ฟังแล้วค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเสียงคนไทย ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือผู้ชายร่างสูงที่ขมวดคิ้วเดินตรงเข้ามาหาโจรขโมยจูบผมที่สลบคาโต๊ะแน่นิ่งไปแล้วเรียบร้อย

     

    หึ

    บอกว่ามากับพี่

    ทำไมไม่บอกว่าพี่ที่หมายถึงคือแฟนวะ

     

    ผมถอยหลังเดินไปหาไอ้เก่งเมื่อเจ้าของตัวจริงของเด็กคนนี้เดินมาถึงตัว ดูทรงแล้วไม่แม้แต่จะชายตามองผม แสดงว่าคงไม่ทันได้เห็นฉากกระชากไทด์จูบสินะ ผมล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงพลางยกอีกข้างขึ้นคีบบุหรี่ ปลายตามองแฟนเจ้าเด็กขี้เมาที่พยายามแบกร่างนั้นขึ้นอย่างยากลำบาก แก้มใสย้วยของเจ้าเด็กนั่นไหลกันไปกองบนไหล่แฟนมัน เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ แผ่นหลังเล็กๆนั่นถูกหิ้วออกห่างไปเรื่อยๆ จนสุดสายตา

     

     

     

    เห็นว่าเพิ่งรับปริญญามาหรอกนะ

    จะไม่คิดค่าเสียหายที่ขโมยจูบก็ได้

                   


                   ว่าแต่

                    ... คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะนะ           

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×