ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] EXO CHAN x BAEK ,(CHANBAEK) - Calories Love .

    ลำดับตอนที่ #4 : ♡ Calories Love Chapter : 300 kcal.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.08K
      30
      1 ธ.ค. 55

    Calories Love

    Pairing : CHANYEOL & BAEKHYUN (CHANBAEK)

    Chapter : 300 kcal.

     

     

     

     

    เขาคนนั้นค่อยๆ เข้ามาในชีวิตของผม

    ทีละนิด...ทีละนิด

    ...

     

                “ผมเพิ่งจัดของเสร็จน่ะพี่” เสียงทุ้มๆ กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับพี่สาวของตัวเอง ร่างสูงเดินไปรอบๆ ห้องเพื่อดูความเรียบร้อย

    (“อืม ก็ดีแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนกี่โมงล่ะ”)

    “มีเรียนเช้าครับ น่าจะสักแปดโมงนะ ถ้าจำไม่ผิด”

    (“อย่าตื่นสายแล้วกันล่ะ ไปอยู่คนเดียวไม่มีคนมาปลุกแกหรอกนะ”)

    “รู้แล้วน่า นี่ผมโตแล้วนะ”

    (“ย่ะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ...งั้นแค่นี้ก่อนนะ พี่ต้องทำงานแล้ว”) เธอบอกกับน้องชายของตัวเองและวางสายไป ชานยอลเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนที่จะเดินไปโต๊ะทำงานของเขาในห้องนอน เขาเปิดแม็คบุ๊คของตัวเองก่อนที่จะเปิดดูตารางเรียนในวันพรุ่งนี้เพื่อความมั่นใจ

     

    คอนโดหรูแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว มีห้องนอนกว้างพอที่จะนอนได้ถึงสองคน โต๊ะทำงานขนาดยาวเพื่อความสะดวกในการทำงาน ข้างนอกก็จะเป็นห้องนั่งเล่นรวมไปถึงสามารถรับแขกได้อีกด้วย เดินถัดไปอีกก็คือห้องครัวขนาดกะทัดรัดไว้สามารถทำอาหารทานเองได้อย่างสบายๆ

     

                ชานยอลลุกขึ้นไปหยิบน้ำในห้องครัวก่อนที่จะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังขึ้น เขาเทน้ำใส่แก้วอย่างไม่เร่งรีบและล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดู ปรากฏชื่อของจงอิน

     

                “ว่าไง”

    (“แกอยู่คอนโดป่ะวะ”) ปลายสายถามออกไปแต่ก็ไม่วายที่จะได้ยินเสียงของเซฮุนแว่วตามมา

    (“จงอินครับ อย่าคุยโทรศัพท์ไปขับรถไปสิครับ จงอิน...จงอิน เลิกคุยโทรศัพท์เลยนะครับ”) น้ำเสียงที่ดูง้องแง้งเหมือนเด็กเล็กน้อยทำให้จงอินถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะทำเป็นไม่สนใจเซฮุนแล้วคุยกับชานยอลต่อ

    “ทะเลาะกันอีกแล้วพวกนี้”

    (“อย่าไปสนใจเลย...แล้วสรุปอยู่คอนโดหรือเปล่า”)

    “เออ อยู่คอนโด”

    (“จริงดิ ฉันถูกเซฮุนบังคับให้ออกมาข้างนอกเป็นเพื่อนเนี่ย น่าเบื่อชะมัด”) พาดพิงคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เซฮุนเลยกำมือแล้วทุบไปที่แขนจงอินรัวๆ อย่างอย่างไม่พอใจ

    (“โอ้ย หยุดตีได้แล้ว...เดี๋ยวฉันพามันไปเดินเล่นก่อนล่ะ แล้วจะไปหาที่ห้องนะ”)

    “เออๆ”

    (“โอเค แค่นี้นะ โอ้ย! หยุดตีได้แล้ว”) บ่นจบก็วางสายลงทันที ชานยอลดื่มน้ำแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมๆ เขาเดินไปนั่งที่โซฟาและกดเปิดโทรทัศน์เพื่อดูรายการที่น่าสนใจ

     

    ...

    ...

     

    “อยากจะอยู่ห้องคนเดียวแบบแกบ้างจัง”

    “จงอินก็ไปสิครับ มาอยู่กับผมทำไม” เซฮุนที่เดินอยู่ใกล้ๆ จงอินพูดแทรกขึ้นมาโดยมีชานยอลที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ทั้งจงอินและเซฮุนมาถึงคอนโดหลังจากที่ไปเดินห้างลอตเต้กันเสร็จ

    “ยุ่งตลอดเลยนะ อยู่เงียบๆ ไม่ได้ไง” จงอินหันไปดุเซฮุน อีกคนก็ทำหน้าไม่พอใจก่อนที่เปลี่ยนไปเดินข้างๆ ชานยอลแทน

    “พอเลย จะกัดกันอีกนานไหม ถ้าจะกัด โปรดไปกัดกันที่ห้อง” เขาบอกในขณะที่เซฮุนเดินแลบลิ้นใส่จงอินแล้วเปลี่ยนไปเกาะแขนชานยอล

    “ขี้เกียจไปเรียนจัง ยังรู้สึกอยากนอนอยู่ที่บ้านอยู่เลย” จงอินบ่นแล้วเดินไปนั่งบนโซฟา เซฮุนก็เดินไปหยิบจับของนู่นนี่ตามประสาตัวเอง ชานยอลพยักหน้าให้น้อยๆ ก่อนที่จะนั่งลงที่โซฟาอีกตัว

    “พรุ่งนี้เรียนเช้าด้วยสิ”

    “ให้ตายเหอะ ไม่อยากจะตื่นเลย” จงอินบ่นอุบก่อนจะเอนตัวลงนอนที่โซฟาอย่างขี้เกียจ เซฮุนลุกขึ้นไปดีดหน้าผากจงอินอย่างนึกหมั่นไส้

    “โอ้ย ตีฉันทำไมห๊ะ” ลุกพรวดขึ้นมาแล้วลูบไปที่หน้าผาก เซฮุนแลบลิ้นให้ก่อนที่จะเดินไปนั่งข้างๆ ชานยอลเหมือนเดิมเพื่อให้คนตัวสูงเป็นเกาะกำบังให้เขา จงอินทำหน้าแค้นก่อนที่จะชี้หน้าไปอย่างเอาเรื่อง

    “ชานยอลครับ ช่วยบอกจงอินที ว่าผมอยากอยู่คนเดียว” พูดแล้วก็ยู่ปาก ร่างสูงเอาแต่ส่ายหน้าเอือมๆ จะมีสักกี่ครั้งที่พวกมันสองคนจะคุยกันแบบจริงๆ จังๆ ไม่ล้อกันเล่นตลอดเวลาแบบนี้ ในบางทีเขาเองก็แทบจะแยกไม่ออกว่าเรื่องไหนพูดจริง เรื่องไหนล้อเล่น

    “เออ ได้ยินชัดแล้วใช่เปล่า” ชานยอลพยักเพยิดหน้าไปทางจงอิน

    “ไม่ออกหรอก ยังไงฉันก็จะไม่ออก”

    “จงอินไม่รู้จักความเกรงใจเลยเนอะ” หันไปขอความเห็นจากชานยอล

    “ไม่ต้องมาทำหน้าแบ๊วขอความเห็นใจเลยนะ”

    “ผมเปล่าทำสักหน่อย ผมน่ารักของผมอยู่อย่างนี้อยู่แล้วครับจงอิน อย่าอิจฉาผมเลย”

    “แก ตายแน่วันนี้” จงอินลุกขึ้นจากโซฟาแล้วพุ่งมาคว้าตัวของเซฮุนมาแล้วลากทุ่มลงที่พื้น

    “ชานยอลครับ โอ้ยย ช่วยผมด้วย จงอินแกล้ง!” เซฮุนดิ้นขลุกขลักอย่างไม่ยอมแพ้ ชานยอลได้แต่นั่งหัวเราะโดยไม่ลุกไปช่วยเซฮุนเลย ไม่นานจงอินก็เลิกแกล้งเซฮุนเพราะทนเสียงร้องง้องแง้งเป็นเด็กไม่ไหว

    “ร้องเป็นเด็กปัญญาอ่อนไปได้”

    “จงอินก็เลิกแกล้งผมสักทีสิ” เซฮุนหอบฮัก เพราะโดนอีกคนจี้ที่เอวแถมยังล็อกไม่ให้ดิ้นหนีได้อีก

    “สรุปว่ามาห้องฉันเพื่อมาทะเลาะกันเนี่ยนะ” ชานยอลที่มองดูทั้งสองคนเถียงกันอย่างกับเด็กๆ ถามขึ้น มันเป็นเรื่องปกติที่ชานยอลจะต้องคอยห้ามทัพ ก่อนที่จะถีบไปก้นสองทั้งคู่

    “รู้งี้หนีไปกินข้าวคนเดียวดีกว่า”

    “หิวว่ะ หาอะไรกินเหอะ” จงอินพูดเสริม

    “เอาจริงดิ” ชานยอลถามซ้ำอีกครั้ง จงอินพยักหน้าให้อย่างจริงจัง

    “เออ อยากกินซี่โครงย่าง”

    “ผมก็หิวมากเลยครับชานยอล ตอนไปที่ล็อตเต้นะ จงอินไม่ยอมพาผมไปกินข้าว” ยู่ปากอย่างไม่ชอบใจแล้วชี้นิ้วใส่

    “งั้นไปหาอะไรกัน”

    “ผมอยากไปร้านวังบีจิบครับ ร้านนี้อร่อยมาก”

    “ห๊ะ?” ชานยอลร้องออกมาด้วยเสียงที่ตกใจเล็กน้อย เซฮุนทำหน้างงเล็กๆ

    “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ”

    “ร้านนี้ฉันเคยไป”

    “ผมไปบ่อยๆ นะครับ”

    “แล้ว?” เซฮุนก็ยังคงเอียงคอสงสัยอย่างต่อไป เพราะชานยอลตอบคำถามเขาเหมือนยังไม่หมด

    “จะรู้มากไปทำไมวะ? ลุกๆ...ไปกินข้าวกัน” จงอินกวักมือให้ชานยอลและเซฮุนลุกขึ้นแล้วเตรียมตัวไปที่ร้านวังบีจิบ

     

    ชานยอลเดินไปหยิบพวงกุญแจรถก่อนที่จะยักไหล่ขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ...

    นี่เขาไปร้านวังบีจิบแบบไม่ทันได้ตั้งตัวอีกแล้วสินะ

     

    ...

    ...

     

    “รับอะไรดีครับ” หนุ่มร่างอ้วนท้วมที่มีน้ำหนักสมบูรณ์จนเกินมาตรฐานกำลังรับออเดอร์ให้กับลูกค้าอยู่ภายในร้านของตัวเอง ดวงตากลมเล็กๆ จ้องมองกระดาษอย่างตั้งใจเมื่อจดรายการอาหารบนกระดาษ

     

    แพคฮยอนขออนุญาตเก็บเมนูจากลูกค้าก่อนที่จะขอตัวไปที่หลังครัว วันนี้ลูกค้าที่ร้านของเขาเองก็เยอะเหมือนเคย และก็ต้องเป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องถูกให้ออกมารับออเดอร์ข้างนอก เขาเดินเข้ามาในครัวและอ่านทวนรายการอาหารของลูกค้าให้พ่อและแม่ฟังก่อนที่จะเปลี่ยนมาช่วยดูน้ำซุปและพวกของทอดแทน

     

    อาหารค่อยๆ ถูกทยอยออกไปเรื่อยๆ แพคฮยอนผลัดเปลี่ยนออกไปเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าบ้าง รับออเดอร์บ้าง อยู่ที่แคชเชียร์บ้างสลับกันไปเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้มันจะเหนื่อย แต่เขาก็สามารถทำเมนูอร่อยๆ ให้เป็นรางวัลกับตัวเองได้

     

    “อาหารมาแล้วนะครับ” มืออวบๆ ค่อยๆ วางถาดอาหารแล้ววางจานลงบนโต๊ะอย่างเบามือ

    “ทานให้อร่อยนะครับ” ยิ้มให้ก่อนจะหมุนตัวและเดินเข้าไปในครัว ระหว่างนั้นกระดิ่งที่ประตูร้านก็เปิดออกพอดี เขาหันไปมองทันทีเมื่อมีลูกค้าใหม่เข้ามา แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง...

    “อ้าว หวัดดี” ยังไม่ทันที่แพคฮยอนจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็ทักทายขึ้นมาเสียก่อน สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยน...

     

    เมื่อรอยยิ้ม ดวงตา และใบหน้าที่เขาจำมันได้ดีปรากฏตรงหน้าเขาอีกแล้ว

     

    แพคฮยอนทำหน้าเลิกลั่กก่อนที่จะโค้งหัวให้แล้วเดินเข้าไปในครัวทันที จนอีกฝ่ายก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ แม้กระทั่งจงอินและเซฮุนเองต่างก็แปลกใจไม่ได้น้อย

     

    เขาไม่กล้าสู้หน้าหรอก...ในเมื่อเขาคิดไม่ดีกับผู้ชายคนนี้ไปแล้ว แต่เขาไม่ได้หวังผลอะไรทั้งนั้น เพียงเพราะมันอาจจะดูไม่ดีถ้าหากใครรู้เข้า...

     

    ชานยอล จงอินและเซฮุนเดินไปเลิกที่นั่งโดยมีพนักงานในร้านเข้ามาต้อนรับ และทำหน้าที่รับออเดอร์แทน เมื่อทั้งสามสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นชานยอลที่อดสงสัยไม่ได้ว่าแพคฮยอนเป็นอะไร

     

                ที่น่าสงสัยไปกว่านั้นคือ เขาไม่เห็นอีกคนนั้นออกมาข้างนอกร้านเลย แต่ช่างเถอะ ก็คงจะยุ่งกับงานในครัว คงไม่มีเวลาว่างออกมาทำงานข้างนอกก็เป็นไปได้

     

     

    บางทีก็อยากเจอ

    แต่บางทีก็เขินอายเกินกว่าจะพบหน้า

    ...

     

    วันใหม่ของการเริ่มต้นในมหาวิทยาลัยเริ่มขึ้นแล้ว ชานยอลพยายามไม่นอนดึกและตื่นให้ทันเวลาในการไปเรียนพอดี เขา จงอินและเซฮุนขับรถไปเรียนพร้อมกันตั้งแต่เช้า ตั้งแต่พวกเขาทั้งสามลงจากรถและเดินเข้าคณะ พวกเขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าหลายๆ คนต่างก็หันมามองทางเดียวกันหมด

     

    ใบหน้าที่โดดเด่นของทั้งสามสามารถเรียกความสนใจจากนักศึกษารุ่นพี่ได้จนหมด แม้แต่ผู้ชายด้วยกันเองยังต้องแอบเผลอมอง

     

    ร่างสูงอันโดดเด่นของชานยอลนั้นสะดุดตาใครหลายๆ คน เขามีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาระยิบระยับพร้อมๆ กับรอยยิ้มที่เผลอยิ้มออกมาในระหว่างพูดคุยกับเพื่อนๆ

     

    หนุ่มผิวสีแทนอย่างจงอินก็ทำสีหน้าเรียบเฉยดูไม่ตื่นเต้นอะไรนักกับการมาเรียนในครั้งแรก ดวงตาที่มองตรงไปข้างหน้าเดียวแต่ก็ยากที่จะสบสายตาตรงๆ ได้ ริมฝีปากที่เผยออย่างดูเซ็กซี่ เรียวคางที่บุ๋มเล็กน้อยทำให้เขาดูดีมีเสน่ห์มาก และอีกคนร่างผอมบางน่าถะนุถนอม ใบหน้าหวานๆ และดวงตาที่ยิ้มเป็นพระจันทร์เสี้ยวมันทำให้เขาดูน่ารักและมีเสน่ห์อย่างที่สุด ริมฝีปากเล็กๆ เป็นกระจับสีชมพู และผิวสีน้ำนมเนียนสวยจนผู้หญิงหลายๆ คนต้องแอบอิจฉา

     

    “ทำไมเขาต้องมองเราด้วยเนี่ย รู้ไหมว่าฉันก็อายนะ” เป็นจงอินก็ขยับปากออกมาอย่างเนียนๆ และไม่ให้คนรอบๆ ข้างได้ยิน

    “ผมน่ารักไงครับจงอิน”

    “เงียบไปเลยไป”

    “จงอินบ้า ไม่คุยด้วยแล้วจริงๆ” เซฮุนเชิดปากใส่อย่างงอนๆ แล้วเดินไปเกาะแขนชานยอลเมื่อตัวเองถูกจงอินเมินเฉย ชานยอลยิ้มบางก่อนที่ส่ายหน้าเบาๆ

     

    จริงๆ แล้วก็ไม่เป็นเรื่องแปลกเท่าไหร่นัก เพราะพวกเขาอาจจะยังไม่ชินกับนักศึกษาที่มีมากกว่าตอนที่พวกเขาเรียนมัธยม ก็เลยมีสายตานับหลายคู่มองดูพวกเขาทั้งสามคนเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเอง

     

    “น้องคะ!” มีเสียงเรียกจากทางด้านหลังและเป็นเซฮุนที่หันไปมอง มีนักศึกษารุ่นพี่กลุ่มหนึ่งเดินมายังพวกเขาสามคน

    “น้องเป็นอยู่ปีหนึ่งกันใช่ไหมคะ” หนึ่งในกลุ่มนั้นถาม เซฮุนพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะทำหน้างงๆ

    “ใช่ครับ พวกเราอยู่ปีหนึ่ง” ชานยอลเป็นคนตอบให้เอง ส่วนจงอินก็ยืนดูอยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไรได้แต่ใช้นิ้วมือขยี้เปลือกตาตัวเองอย่างง่วงๆ

    “พวกพี่มีเรื่องอยากจะให้ช่วยหน่อยน่ะ คือ...” เธอกระอึกกระอักเล็กน้อย มีผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มที่สาวแตกอาสาเป็นคนพูดขึ้นมาเอง

    “อีกไม่นานมหาลัยจะมีประกวดดาวและเดือนน่ะจ้ะ พี่เห็นน้องเนี่ย...หน่วยก้านดี หน้าตาหล่อ สูงยาวเข่าดี โอ้ยยยย เพอเฟ็คที่สุด ถูกใจเจ้จริงๆ คณะนิเทศศาสตร์อย่างเราก็เลยอยากจะส่งน้องเข้าประกวดเป็นเดือนมหาลัยแล้วก็เป็นเดือนคณะด้วยน่ะจ้ะ!” พูดร่ายยาวแทบไม่ได้หายใจ เธอตบมืออย่างดีใจเหมือนว่าชานยอลตอบตกลง

    “เอ่อ...คงไม่ดีมั้งครับเนี่ย”

    “ดีค่ะคุณน้อง”

    “ฮ้าว...” จงอินหาวไประลอกที่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ส่วนเซฮุนก็หันไปตีแขนจงอินเพื่อเตือนว่าเสียมารยาท

    “ช่วยคณะของเราเถอะจ้ะ พี่เห็นครั้งแรกแล้วเชื่อเลยว่าน้องจะต้องชนะแน่เลย!

    “เอ่อ ไม่หรอกครับ ผม...” ชานยอลไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรดี ได้แค่ยกมือโบกไม่มาอย่างเกรงใจ

    “นะคะคุณน้อง” อ้อนวอนสุดฤทธิ์ ชานยอลยิ้มแหยแล้วหันไปมองจงอินและเซฮุน

    “ช่วยเขาเถอะครับชานยอล”

    “กรี๊ดดด ชื่อชานยอลเหรอจ้ะ จำชื่อน้องเขาไว้นะแก” หันไปบอกเพื่อนอีกคนในกลุ่มให้ช่วยจำชื่อก่อนที่จะคะยั้นคะยอให้ชานยอลตอบตกลง

    “ช่วยพี่เถอะนะจ้ะ ถือซะว่าเห็นแก่หน้าตาของคณะนิเทศศาสตร์ น้องก็เป็นปีหนึ่งด้วยเฟรชชี่ๆ เลยจ้ะ” ทำไม้ทำมือประกอบการพูดอย่างดี

    “เอ่อ...งั้นผมต้องทำอะไรบ้างครับ”

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด น่ารักที่สุด ไม่มีอะไรมากเลย คุณน้องก็แค่ทำหน้าตาหล่อๆ ก็เป็นพอ ขอบใจมากนะจ้ะ เอาแกจดเบอร์น้องไว้สิ!

     

    ชานยอลต้องบอกเบอร์ของเขาไปให้รุ่นพี่ พวกเธอขอบคุณเขาจนรู้สึกเกรงใจก่อนที่จะปล่อยให้พวกเขาขึ้นไปเรียน ดูเหมือนว่าการมาเรียนครั้งแรกของพวกเขาก็เริ่มต้นไปด้วยเรื่องวุ่นวายจริงๆ

     

    “ชานยอลของเราฮอตเสมอ ฮ้าว...” จงอินพูดเปรยๆ ขึ้นมาแล้วยกมือป้องปากของตัวเอง เซฮุนยิ้มบางให้กับชานยอลด้วยความรู้สึกตื่นเต้น

    “ฮอตบ้าอะไรของแกล่ะ”

    “ดีจังเลยนะครับ มาเรียนวันแรกชานยอลได้ประกวดเดือนของคณะแล้ว ผมว่าชานยอลก็คงต้องได้เป็นเดือนของมหาลัยแน่เลย” เซฮุบตบมือเบาๆ ให้กับชานยอลก่อนที่ยิ้มตาหยีอย่างน่ารักแล้วพูดต่อ

    “ชานยอลต้องชนะแน่นอนครับ”

    “อย่าเพิ่งตัดสินใจสิ” ชานยอลโบกมือปัดปฏิเสธ แล้วก็ออกเดินต่อไป ทั้งสามคนไปรอที่ประตูหน้าลิฟต์เพื่อขึ้นไปที่ห้องเรียน แต่ก็ยังไม่วายที่จะโดนคนที่อยู่บริเวณรอบๆ หันมามอง ภาพลักษณ์ที่ดูดีและการแต่งตัวทำให้ตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายๆ คน

     

    ดูเหมือนว่าแรกของพวกเขาจะเริ่มยุ่งเหยิงแล้วสิ...

     

     

    ...

    ...

     

    ร่างอ้วนท้วมเดินมาพร้อมกันกับเพื่อนสนิทร่างเล็กๆ อย่างคยองซูด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกับการมาเรียนในเช้าวันแรกที่ตึกคณะอุตสาหกรรมการอาหารและบริการของมหาวิทยาลัยเกาหลี แพคฮยอนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับสถานที่ที่ใหม่ ส่วนคยองซูก็พูดไม่หยุดระหว่างทางเดิน

    “วิชาแรกจะเป็นยังไงบ้างนะ ตื่นเต้นจริงๆ ฉันอยากจะเข้าครัวซะแล้วสิ”

    “อื้อ เหมือนกันเลย” แพคฮยอนพยักหน้าเห็นด้วยกับคยองซู แล้วทั้งคู่ก็เดินมายังหน้าลิฟต์เพื่อไปชั้นเรียนของตัวเอง มีคนรออยู่ที่ประตูหน้าลิฟต์กันเป็นกลุ่มใหญ่

     

    ไม่นานประตูลิฟต์ก็ค่อยๆ เปิดออกมา กลุ่มนักศึกษาที่อยู่ด้านหน้าต่างก็กรูเข้าไป คยองซูรีบคว้ามืออวบๆ ของแพคฮยอนให้รีบเดินเข้าไปในตัวลิฟต์เพราะเดี๋ยวจะไปห้องเรียนไม่ทัน

    “เข้าลิฟต์เร็ว”

     

    แอดดดดดดดดดดดดดด...

     

    ลิฟต์ที่จุคนได้เพียงไม่กี่คนก็ต้องส่งเสียงร้องเตือนทันที หลายคนหันมามองร่างอ้วนท้วมของแพคฮยอน จนเขาต้องรีบก้มหน้าลงอย่างอายๆ แล้วเสียงหัวเราะจากคนที่เขาไม่รู้จักก็ดังขึ้นเบาๆ แถมยังซุบซิบจนไม่เกรงใจอีกด้วย เขารู้สึกหน้าเสียก่อนที่จะรีบเดินออกลิฟต์ทันที คยองซูที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นหันไปมองคนในลิฟต์ก่อนที่จะชักสีหน้าไม่พอใจใส่

    “พูดอะไรน่ะ ฉันได้ยินนะ อยากเข้าก็เข้าไปสิ! ลิฟต์น่ะ” พูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินออกไปทันที

     

    แพคฮยอนที่เดินหลีกออกมาให้ห่างจากตัวลิฟต์นั้นมีใบหน้าแดงเล็กน้อย จริงอยู่ที่เขาอ้วน แต่ความรู้สึกน้อยใจมันก็มีอยู่เต็มอก เขาก็ไม่ได้อยากเกิดมามีน้ำหนักตัวที่เกือบร้อยอย่างนี้เลย...

     

    คยองซูเดินเข้ามาหาเขาก่อนที่จะบ่นยาวอย่างไม่พอใจ

     

    “พวกบ้านั้นบ้าหรือเปล่า ไม่มีความเกรงใจกันเลย! อย่าไปสนใจพวกนั้นเลยนะ เรารอลิฟต์ใหม่ก็ได้” บอกแล้วชักสีหน้าไม่พอใจ อารมณ์ของคยองซูจะแปรปรวนมากถ้าใครมาว่าแพคฮยอนของเขาล่ะก็ เขาจะด่ากราดให้ลืมทางกลับบ้านเลยคอยดู

    “อือ ไม่เป็นไรหรอก”

    “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นเลย เดี๋ยวถ้าเจอพวกนั้นอีก จะด่าให้”

    “อย่านะ ฉันผิดเองแหละที่เดินเข้าไป” แพคฮยอนบอกด้วยความรู้สึกผิด

    “นายไม่ผิดเลยแพคฮยอน พวกนั้นต่างหาก!

    “โธ่ คยองซู ไม่เป็นไรหรอก” แพคฮยอนส่ายหน้าเบาๆ ให้ก่อนที่จะพยายามยิ้มบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ คยองซูรู้ดีว่าแพคฮยอนนั้นกำลังรู้สึกน้อยใจและไม่มั่นใจในตัวเองอยู่

    “อารมณ์เสียชะมัด นี่เรียนวันแรกเองนะ”

    “ใจเย็นนะคยองซู...” แพคฮยอนพยายามพูดอย่างใจเย็นเพื่อทำให้อารมณ์ของคยองซูดีขึ้น

    “เอาเถอะ ถือว่านายขอก็แล้วกัน ไปเรียนกันเหอะ”

     

    ถึงจะพูดอย่างนั้นคยองซูก็อดไม่ได้ที่เดินไปด้วยบ่นไปด้วย พวกเขาเลือกที่จะไม่รอลิฟต์แล้วเดินขึ้นบันไดแทน แพคฮยอนเดินฟังอยู่เงียบๆ กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย บางทีการที่เขามีน้ำหนักตัวมากขนาดนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเขาเองจะทำให้คนอื่นเป็นภาระจนกระทั่งมาถึงวันนี้ การที่เขาโดนซุบซิบในระยะใกล้จนทำให้เขารู้เสียหน้า แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากต้องเดินออกจากลิฟต์ไป

     

    เขาไม่ได้อยากเกินมาอ้วนแบบนี้เสียหน่อย เขาอย่างมีรูปร่างที่ดีอย่างคนทั่วไป ไม่ได้อยากมีขาที่ใหญ่จนใส่กางเกงไซส์ของคนปกติไม่ได้ ไม่ได้อยากมีไขมันส่วนเกินที่อยู่ทุกส่วนของร่างกาย

     

    เขาไม่ได้อยากอ้วนเลย...

     

     

    ...

    ...

     

    การเรียนวันแรกของแพคฮยอนและคยองซูผ่านไปด้วยดี เพื่อนๆ ในห้องต่างก็น่ารักและพวกเขาก็สามารถเข้ากันได้ดีกับเพื่อนๆ วิชาเรียนในวันแรกมีอะไรมากนัก แพคฮยอนและคยองซูแยกกันกลับบ้านหลังจากที่เลิกคลาสวิชาสุดท้ายในตอนเย็น

     

    “แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ” คยองซูบอกก่อนที่โบกมือลา แพคฮยอนยิ้มให้และเดินลงจากรถเมล์เพราะเดินเข้าไปอีกไม่ไกลมากก็จะถึงบ้างของเขาแล้ว

     

    แพคฮยอนเดินลากเท้าไปบนทางเดินเท้าอย่างไม่เร่งรีบรีบนัก มีผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมาผ่านร่างของเขาไป ต่างคนต่างเร่งรีบจนแพคฮยอนต้องกลายเป็นคนที่ต้องระวังไม่ให้เดินชนเข้ากับใครเข้า

     

    “อ้วนแล้วจะยังกล้าเข้ามาในลิฟต์อีก”

    “ไม่ดูตัวเองเลย คิก”

    “นี่เราพูดเสียงดังเกินไปแล้วนะ”

    “งั้นเหรอ อุ้ย...งั้นไว้ค่อยคุยกันดีกว่าเนอะ”

     

    แพคฮยอนยังคงจำได้ทุกคำพูดในลิฟต์ เขาพยายามที่จะสลัดความคิดพวกนี้ออกไปให้ได้ แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเดิน เขามองไปยังทางข้างหน้า เขามองไป...ไม่มีใครมีหุ่นเท่าเขาเลย ทุกคนหุ่นดี สูงแถมยังไม่ต้องใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ เพื่อปกปิดส่วนเกินอีกด้วย

     

    เขาหลุบตาลงต่ำแล้วส่ายหน้าไม่มาเพื่อให้ความคิดที่กำลังคอยมากวนใจเขาให้ออกไป เขาจะต้องไม่มากังวลกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องแบบนี้ เมื่อก่อนเขาก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องแคร์คำพูดของคนที่ไม่รู้จักแบบนั้นด้วยล่ะ...

     

    ยังไงเสียเขาก็ยังมีข้อดีหนึ่งข้อที่เขาภูมิใจ นั่นก็คือ...เขายังสามารถทำให้คนมีความสุขได้โดยการทำอาหารอร่อยๆ ให้ทาน...

     

    “เฮ้อ..ทำไมจะต้องคิดมากด้วยนะเรา” แพคฮยอนส่ายหน้าไปมาแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ดวงตาเรียวเล็กมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อๆ บนเส้นทางที่มีคนเดินสวนกันไปมา แล้วอยู่ๆ ดวงตาก็ค่อยๆ โฟกัสภาพไปตรงกลาง

     

    ร่างสูงที่ยืนโดดเด่นออกมาจากกลุ่มผู้คนมากมายตรงหน้า รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าเรียวของเขา ดวงตาที่พราวไปด้วยเสน่ห์จนทำให้แพคฮยอนรู้สึกใจเต้นอย่างห้ามไม่ได้...

     

    แพคฮยอนยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนลืมตัวว่าเผลอมองใบหน้าของร่างสูงนั้นนานเกินไป เขากระพริบตาถี่ๆ แล้วสะบัดหัวไปมาก่อนที่จะเดินหลบไปอยู่มุมๆ หนึ่งเพื่อไม่ให้ร่างสูงนั้นมองเห็นเขาได้

     

    “บ้าจัง...ทำไมจะต้องมาเจอตอนนี้ด้วยนะ” แพคฮยอนเอามืออวบอูมทาบหน้าอกตัวเองเบาๆ เขารู้สึกใจเต้นอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรกัน...

     

    ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ...หัวใจของเขาเริ่มจะเต้นผิดปกติ

     

    ดวงตาเรียวเล็กแอบมองไปด้านหน้าอีกครั้ง และมองอย่างระมัดระวัง เขาเห็นชานยอลพูดคุย หัวเราะอยู่กับเพื่อนตัวเองอีกสองคน และทั้งสามคนนั้นก็ดูดีมากจนหลายคนต่างก็ให้ความสนใจเหมือนกับเขา

     

    แพคฮยอนไม่เดินต่อไปข้างหน้า เขาหยุดและรอให้ชานยอลนั้นเดินให้ห่างออกไปมากกว่านี้ก่อน ยังไงเสียเขาก็ไม่กล้าสู้หน้าแบบตรงๆ ได้หรอก

     

    สาบานได้เลยว่าแพคฮยอนอายเกินกว่าจะกล้าพูดคุยด้วย...

     

    “นายทำให้ฉันกลายเป็นคนโรคจิตไปแล้วนะ” พึมพำกับตัวเองอย่างไม่ชอบใจนัก แพคฮยอนยู่หน้าลงแล้วก็พยายามหลบซ่อนสายตาจากคนที่อยู่ข้างหน้า  

     

    การที่แอบปลื้มใครสักคนโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว...มันก็เป็นเรื่องลำบากเหมือนกันนะ แพคฮยอนเลือกที่จะสลัดใบหน้าของชานยอลออกไปหลายครั้งแต่ก็ทำไม่ได้เลย แล้วเมื่อพยายามที่ลืมแต่พระเจ้าก็ชอบเล่นตลกให้เขาต้องเจอชานยอลทุกเมื่อ

     

    แพคฮยอนเหล่มองไปทางข้างหน้าอีกครั้ง เพื่อดูว่าชานยอลและเพื่อนอีกสองคนนั้นเดินออกไปไกลหรือยัง แล้วก็ต้องถอนหายใจโล่งอกที่เขาไม่เจอชานยอลแล้ว แพคฮยอนกระชับกระเป๋าสะพายของตัวเองก่อนที่จะออกเดินต่อ

     

    หวังว่าเดินๆ ไปคงจะไม่โผล่มาโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวอีกนะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาคงต้องหัวใจวายตายตรงนั้นแน่ๆ เลย...

     

    “ต้องรีบเดินกลับแล้วล่ะ” บอกกับตัวเองให้เร่งฝีเท้าและก้มหน้าก้มหน้าเดินต่อไป

     

    บอกแล้วใช่ไหมว่า พระเจ้าชอบเล่นตลก...

     

    และมันก็เป็นเรื่องตลกร้ายที่สุดในชีวิตของแพคฮยอนเลยล่ะ

     

    “โอ๊ะ...” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวแพคฮยอนนัก เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างหวาดกลัว ดวงตารีเรียวเล็กเบิกกว้างเช่นเคย...

     

    ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้ากำลังทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังมองมาที่เขาส่งยิ้มบางมาให้ แล้วริมฝีปากนั้นก็ขยับ...

     

    ภาพตรงหน้าของแพคฮยอนเหมือนกับกดปุ่มสโลว์อยู่...ทุกท่วงท่านั้นอยู่ดวงตาของแพคฮยอนทั้งหมด ภาพทุกอย่างถูกฉายอย่างช้าๆ และเขาเองก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ที่หัวใจ

     

    ทำไมจะต้องใจเต้นแรงอย่างนี้...

     

    “เอ่อ...” แพคฮยอนก้มหน้าลงและหลบตา พวงแก้มเริ่มมีสีระเรื่อโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

     

    จะพูดอะไรดี...จะเดินหนีไปเลยดีไหมนะ...ฉันจะทำยังไงดี...

     

    แพคฮยอนได้แต่คิดอยู่ในใจอย่างกังวลแล้วแสดงอาการออกมาทางสีหน้าอย่างห้ามไม่ได้ ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ต้องเอ่ยปากถามออกไปเมื่อเห็นอาการแปลกๆ

     

    “เจออีกแล้ว”

    “เอ่อ...อือ”

     

    แค่พูดคำๆ เดียวก็ยากเกินไปแล้วนะ...แพคฮยอน

     

    “กำลังจะกลับบ้านเหรอ” ชานยอลถามแพคฮยอน อย่างคนรู้จัก ใบหน้าอวบๆ นั้นพยักลงแทนที่จะพูดออกไป ส่วนจงอินและเซฮุนก็ยิ้มบางๆ ให้กับแพคฮยอนอย่างเป็นมิตร

    “งั้นเหรอ แล้วไม่ไปที่ร้านเหรอ” ชานยอลถามถึงร้านอาหารของแพคฮยอน แต่ร่างอวบๆ นั้นก็ต้องถอนหายใจอยู่ในใจอย่างเงียบๆ เพราะเขาไม่อยากจะพูดคุยอะไรให้นานไปกว่านี้แล้ว

    “มะ...ไม่ไปน่ะ...”

    “อ้อ...”

    “เอ...นายอยู่ที่ร้านวังบีจิบหรือเปล่า” จงอินทำหน้าครุ่นคิดแล้วเอ่ยปากถามแพคฮยอน

    “อ่ะ อื้อ...ใช่แล้ว”

    “อ้า! นั่นร้านของนายเหรอ” จงอินดีดนิ้วดังเปาะอย่างนึกขึ้นได้ เพราะเขารู้สึกคุ้นหน้าแพคฮยอนตอนไปที่ร้านวังบีจิบเมื่อวันก่อนแล้ว

    “อื้อ ใช่” แพคฮยอนก้มหน้าตอบแล้วพยายามเงยหน้าสบตาแต่มันก็ทำได้ยากเหมือนกันนะ เพราะเขายังไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้ต่างหาก

    “อาหารอร่อยมากเลยนะครับ” เซฮุนที่ยืนอยู่ข้างๆ จงอินนั้นพูดขึ้นแล้วยิ้มจนตาหยี แพคฮยอนพยักหน้าให้อย่างรับทราบแล้วยิ้มเล็กๆ อย่างขอบคุณก่อนที่จะโค้งหัวให้

    “ขอบใจนะ...เอ่อ งั้นฉันขอตัวก่อน..นะ” แพคฮยอนพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง

    “นายดูรีบๆ นะ”

    “นิดหน่อยน่ะ...” ยิ้มอย่างแหยๆ ออกไปก่อนที่พยายามเดินเลี่ยงออกมา

    “บ้ายบายนะครับ” เซฮุนโบกมือเล็กๆ ไปให้แพคฮยอนและยิ้มให้อย่างน่ารัก ส่วนจงอินก็โบกมือให้เช่นกัน ชานยอลเองก็พยักหน้า ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ ดวงตาที่พราวเสน่ห์นั้นมองมาที่แพคฮยอนจนทำให้อีกคนต้องหลบสายตาอย่างรวดเร็ว

     

    ก็แค่มองแบบธรรมดาๆ เท่านั้นเองนะ...แต่หัวใจของเขามักจะเต้นรัวเสมอเมื่อเผลอไปสบตาเข้ากับชานยอล

     

    “แล้วเจอกันนะ” ชานยอลบอกกับแพคฮยอน

    “อื้อ...ละ...แล้วเจอกัน” ก้มหน้าก้มตาแล้วพยักหน้าเหมือนเดิมแล้วก้าวเท้าเพื่อเดินออกมา

    “อ่ะ เดี๋ยว”

     

    ให้ตายสิ...วันนี้มันเป็นวันอะไรของเขานะ...

     

    “เอ่อ...มันจะมีงานประกวดดาวเดือนมหาลัยน่ะ...นายจะไปดูหรือเปล่า” ชานยอลถาม

    “มะ...ไม่รู้สิ” เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปงานนี้ดีหรือไม่ แต่มันก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ

    “งั้นเหรอ ถ้าว่างนายก็ไปดูฉันด้วยนะ”

    “เอ๋?” แพคฮยอนเอียงคออย่างสงสัย จงอินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เลยช่วยพูดให้

    “มันโดนบังคับให้ลงประกวดเดือนมหาลัยกับเดือนคณะน่ะ”

    “อ๋อ...อือ ดีจัง...”

    “ไม่ดีหรอก” ชานยอลโบกมือปฏิเสธ

    “ไม่ดีเหรอ” เอียงคอแล้วถามออกไปอย่างงงๆ การที่ได้เป็นเดือนของคณะก็น่าภูมิใจดีออก

    “ก็ไม่รู้สิ...กิจกรรมเยอะ ฉันอยากจะอยู่แบบธรรมดาๆ มากกว่าน่ะ”

    “อ๋อ ตะ...แต่ว่ามัน...ก็เป็นประสบการณ์ด้วยไม่ใช่เหรอ” แพคฮยอนบอกออกไปตามความคิดในแง่บวกของตัวเอง มันก็ทำให้ชานยอลยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อคนตรงหน้านี้มองโลกในแง่ดี

    “อื้ม ก็จริงอย่างที่นายว่านะ”

    “อือ...”

    “งั้นไปดูฉันด้วยล่ะ” ยิ้มให้อีกครั้ง รอยยิ้มนั้นทำให้แพคฮยอนหายใจแทบไม่ออก

     

    ฉันกำลังจะไม่สบาย...เพราะรอยยิ้มของนาย...

     

    “อือ กะ...ก็ได้...”

     

    ปฏิเสธไม่ได้แล้วสินะ แพคฮยอนหลวมตัวตอบตกลงไปแล้ว ให้ตายสิ...

     

    “งั้น...ฉันไปก่อนนะ บาย...” บอกเสียงเบาก่อนที่จะรีบเดินออกมา ขืนยังเอื่อยเฉื่อยอยู่แบบนี้ล่ะก็ไม่ดีแน่

    “บาย...”

     

    พอหมุนตัวเดินออกมาเรียบร้อยแล้ว แพคฮยอนก็ต้องรีบก้าวเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ริมฝีปากเล็กๆ นั้นเป่าลมออกมาเพราะหัวใจของเขากำลังรู้สึกเหนื่อย

     

    “เฮ้อ...” พยายามผ่อนคลายตัวเองและค่อยๆ เดินช้าลง แพคฮยอนส่ายหน้าไปมาแล้วก็ต้องเจอปัญหาหนักใจที่เผลอไปรับปากอะไรส่งๆ ออกไป

    “ไม่น่ารับปากไปเลยนะเรา...” แพคฮยอนทำหน้าหนักใจแล้วก็ต้องยู่หน้าลง เขากำลังคิดมาก และโทษตัวเองว่าไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อนที่จะรับปากอะไรไป

     

    ถ้าคยองซูรู้เรื่องแล้วจะว่ายังไงนะ...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    คุย.

    ปวดตามากปั่นตอนดึก นอนไม่พอ อัพทวีตงานมาม่าเหนื่อยโคตรๆ

    แต่ดีใจด้วยกับ EXO ที่ได้รางวัลนะ เยี่ยมยอดจริงๆ รางวัลเอเชียนเลยนะ!

    แทบักกก ><

     

    ตอนนี้รู้สึกว่าชานยอลมันอ่อยแพคฮยอนนะ แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรหรอก

    มโนกันไปเอง 55555555555555555555555

    เจอกันตอนหน้าขร่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×