[Fic BAP][Os-BangChan] Meow Meow~~ Himchan (ฉบับปรับปรุง) - [Fic BAP][Os-BangChan] Meow Meow~~ Himchan (ฉบับปรับปรุง) นิยาย [Fic BAP][Os-BangChan] Meow Meow~~ Himchan (ฉบับปรับปรุง) : Dek-D.com - Writer

    [Fic BAP][Os-BangChan] Meow Meow~~ Himchan (ฉบับปรับปรุง)

    โดย SweetToki

    บังยงกุกมีลูกแมวเมียว ลูกแมวเมียว ลูกแมวเมี๊ยว ~~~

    ผู้เข้าชมรวม

    703

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    703

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    13
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ก.ค. 56 / 01:24 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Title Meow Meow~~ Himchan

      Authors SweetToki

      Rate PG-Fantasy

      ปล.ฟิคนี้อาจมีเนื้อหาที่หยาบคายบ้าง แต่เพื่ออรรถรสในการอ่านนะคะ ^^     

      Talk เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีปัญหาในการลงมากๆเลย คือตอนที่อัพครั้งแรกก็อัพไม่ติดถึงสองครั้ง พออัพติดแล้วไรเตอร์ก็ไม่ได้เข้าไปดูทั้งๆที่ทุกทีไรเตอร์จะเข้ามาเช็คว่ามีอะไรผิดพลาดไหมทุกครั้งแต่ทำไมเรื่องนี้ไม่เช็คก็ไม่รู้ T __ T

                      สรุปคือไรเตอร์ปล่อยให้รีดเดอร์อ่านแบบไม่จบและไปปิดคอมเม้นทำให้ไม่รู้ถึงความผิดพลาด พอกลับมาดูหลังจากนั้นถึงมาเห็น แล้วพอลงแก้แล้วลงใหม่ก็ลงไม่จบอีก มาลุ้นกันว่าอันนี้จะจบไหม 555555555
                      ยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ (คำนับสามพันครั้ง)


      -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------      

                    
                         “เอาล่ะๆ พอแค่นี้ก่อน” เสียงปรบมือเปาะแปะดังขึ้น สะท้อนไปทั่วห้องกระจกนั้น

                         “ยงกุก.. นายทำได้ดีแล้ว การคุมจังหวะ การแบ่งช่องดีขึ้นมาก แต่... ฮิมชาน.. ทำไมนายไม่พัฒนาเลย?”

                         ผมที่กำลังถอดที่ครอบหูเพื่อนำไปแขวนไว้กับไมค์ต้องหยุดชะงักลง ก่อนเงยหน้าไปสบตาเข้ากับเทรนเนอร์ของผมที่กอดอกจ้องมาอยู่ด้านนอก

                         “จังหวะนายก็ยังไม่สม่ำเสมอ แบ่งวรรคก็ไม่ถูก พาลทำให้การหายใจนายรวนไปด้วย แบบนี้น่ะหรอจะมาเดบิ๊วต์?”

                         “ขอโทษครับ” ผมวางที่ครอบหูลง แล้วเลื่อนมือมากุมกันไว้ก่อนจะโค้งตัวลงเล็กน้อย

                         “เฮ้อ.. ฉันขี้เกียจจะพูดแล้วนะ.. วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน” กล่าวจบเทรนเนอร์ที่อยู่อีกฝั่งของห้องกระจกก็โกยกระดาษโน้ตทั้งหมด แล้วเดินปึงปังออกจากห้อง ทิ้งเอาไว้ซึ่งความเงียบและยงกุกที่ยืนนิ่งอยู่ข้างผม

                         “ไม่เป็นไรนะ” มือเรียววางลงบนไหล่ของผมแล้วตบเบาๆเป็นเชิงปลอบ ผมทำได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น ก่อนจะละตัวออกเปิดประตูกระจกมาเก็บของใส่กระเป๋าด้านนอกห้องอัด

                         “อย่าซึมดิ..” คนที่อยู่ข้างๆอย่างยงกุกเดินตามออกยืนข้างกัน ก่อนจะแตะไหล่ผมอีกครั้ง

                         “ไม่ได้ซึม..” ผมเอี่ยวไหล่ออกจากการเกาะกุม ก้มหน้าจัดของที่ไม่เป็นระเบียบในกระเป๋า

                         “เฮ้ยย อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน.. คิดว่าแค่นี้ไม่รู้ไง เทรนเนอร์เค้าก็ติเพื่อที่จะให้ได้ดีน่า”

                         “เลิกพูดเหอะ” ผมรูดซิปปิด ก่อนจะยกสายขึ้นสะพายที่บ่า แล้วเดินออกจากห้องนั้นทันที ทำให้ยงกุกที่ไม่ทันตั้งตัวรีบคว้ากระเป๋าที่วางอยู่ข้างกันนั้นวิ่งตามมา ผมเดินไปเรื่อยๆตามทางเดินยาวที่มีเพียงไฟจะหลอดนีออนบนเพดานส่องลงมา ส่วนภายนอกหน้าต่างมืดสนิท

                         “อืม... ก่อนกลับหอแวะซดอเมริกาโน่กันซักแก้วมะ?” ยงกุกที่เดินเงียบๆอยู่ข้างผมมานานเป็นฝ่ายเอ่ยชวนขึ้นมา ผมไม่พูดอะไรกลับไปนอกจากการพยักหน้ารับ

                         “ฮิมชานนนน... มึงอย่าซึมดิ..” ยงกุกที่ยกมือวางที่ไหล่ผมแล้วเขย่าเบาๆ ส่วนผมไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับไป.. ก็ลองมาโดนด่าติดๆกันสามวันดูไหมล่ะ.. ใครจะไปยิ้มออก..

                         “เออ.. กูซึม” ในที่สุดผมก็ยอมพูดความรู้สึกของตัวเองออกไปแต่โดยดี พลางดึงหูฟังออกจากเป้ที่สะพายอยู่เตรียมจะเอาขึ้นมาใส่ แต่ก็ถูกคนข้างๆกันดึงเอาไว้ซะก่อน

                         “วันนี้กูเลี้ยงอเมริกาโน่เอาป่ะ” ผมไม่ตอบอะไรกลับนอกจากส่ายหน้าพร้อมกับเบะปากลงเล็กน้อยไปให้

                         “งั้นกูแถมเค้กให้ด้วย..” ผมหันไปมองกับข้อเสนอนั้นก่อนจะส่ายหน้าส่งไปให้อีกครั้งแล้วเตรียมที่จะเอาหูฟังนั้นใส่หู

                         “งั้นกูให้กินจนกว่าจะหายเลยเอ้า!” ยงกุกยื่นข้อเสนอสุดท้ายมาให้ผม พร้อมกับดึงหูฟังออกจากมือผมแล้วเก็บใส่กระเป๋าให้

                         “กูแค่ไม่อยากเห็นมึงซึม รู้ไว้ด้วย.. ป่ะไปกัน” เมื่อจัดการเก็บหูฟังนั้นลงกระเป๋าแล้ว ยงกุกก็ถือวิสาสะมาคว้ามือผมเอาไว้ ก่อนที่จะลากออกไปจากตึกของบริษัท ตลอดทางผมไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากเดินตามคนนำหน้าผมไปเงียบๆ ยงกุกเองก็ไม่ได้ชวนผมคุยเหมือนกัน เรามุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟเจ้าประจำที่อยู่ไม่ไกลกับหอพักเรามากนัก ในวันที่ผมว่างผมมักจะมาที่นี่ บางทีก็มาคนเดียว แต่ก็ส่วนมากที่มาก็จะมีคนตรงหน้านี้ติดสอยห้อยตามมาด้วยมากกว่า และ วันที่ผมรู้สึกไม่สบายใจอย่างถึงที่สุด ที่นี่ก็เป็นพี่พักพิงที่ดีได้เช่นกัน





       

                                     กริ๊ง

                         เสียงกระดิ่งใสหน้าร้านดังขึ้นทันทีที่ยงกุกผลักประตูเข้าไป มือเรียวนั้นยังคงจับที่มือของผมอยู่ ผมเดินตามเข้าไปพลางกวาดมองรอบๆร้าน ตอนนี้มีผู้คนบ้างประปราย อาจจะเป็นเพราะว่านี้ก็เป็นเวลาค่ำมากแล้วก็เป็นได้ ยงกุกดึงผมไปยังโต๊ะเล็กที่อยู่มุมในสุดของร้าน ก่อนจะดันตัวผมให้นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเจ้าตัวถึงจะนั่งอีกฝั่งนึงตาม

                         “สวัสดีค่ะ เดอลาคอฟยินดีต้อนรับนะคะ ขออนุญาติรับออเดอร์ค่ะ” พนักงานที่สวมใส่ผ้ากันเปื้อนวางเมนูลงตรงหน้าผมและยงกุกก่อนจะยืนยิ้มให้เพื่อรอรับออเดอร์

                         “ขออเมริกาโน่สองแก้วครับ แล้วก็.... สั่งดิ” ยงกุกหันไปสั่งกับพนักงานก่อนดันเมนูมาให้ผมแล้วออกคำสั่ง ผมเลื่อนเมนูคืนไปทางเจ้าตัว ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเบาๆ

                         “เฮ้ยย สั่งไปเถอะน่า กูบอกว่าจะเลี้ยงก็คือจะเลี้ยง ไม่ต้องกลัวจะทวงคืนทีหลังหรอก” ยงกุกกางเมนูออกแล้ววางมันลงตรงหน้าผม ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ.. นี้จะเอาให้ได้สินะ ผมจึงสุ่มจิ้มลงในเมนู แล้วมองหน้าพนักงานเป็นการสั่งแทน

                         “รับเป็นอเมริกาโน่สองที่ สตอร์เบอร์รี่ชอตเค้กหนึ่งที่นะคะ” พนักงานทวนออเดอร์อีกครั้ง ก่อนจะคว้าเอาเมนูที่อยู่บนโต๊ะไปไว้ในอ้อมกอดพร้อมโค้งตัวลงก่อนจะเดินจากออกไป ผมพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอนตัวพิงกับพนักนุ่มนั้น

                         “อย่าทำหน้าซังกะตายแบบนั้นดิ.. กูไม่ชอบเลยว่ะ” ยงกุกมองผม ก่อนจะดุออกมา

                         “แล้วจะให้กูนั่งยิ้มให้หรือไง.. กูพึ่งโดนด่ามานะเว้ย” ผมตอบออกไปอย่างเหลืออด ใช่สิ.. คนอย่างยงกุกตั้งแต่เทรนมากับผมน้อยครั้งนักที่จะโดนว่า จะมีก็แค่เรื่องการเต้นล่ะมั้งที่จะโดนดุอยู่บ้าง แต่เทรนเนอร์คนนั้นก็ใจดีกว่าเทรนเนอร์ที่เทรนเรื่องร้องอยู่ดีนั้นล่ะ

                         “เอาน่า.. เค้าดุก็เพราะว่าอยากให้มึงทำออกมาดีๆ”

                         “แล้วนี้ยังไม่ดีอีกหรอวะ.. กูพยายามแล้วนะเว้ย” ผมเม้มปากตัวเองแน่น ขอบตาของผมเริ่มจะร้อนผ่าวขึ้นมา .. อย่าร้องไห้นะคิมฮิมชาน..

                         “มึงก็ทำให้เขาเห็นสิ.. กูเชื่อว่ามึงทำได้” ยงกุกเอื้อมมือมาตบที่บ่าผมเบาๆแล้วส่งยิ้มให้







       

                      Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr

                         เสียงโทรศัทพ์ที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าผมดังขึ้น ทำให้ผมต้องละสายตาออกหันไปหากระเป๋าที่วางอยู่ข้างตัวแล้วควานหามันก่อนจะกดรับ

                         “สวัสดีครับ.. อา.. ครับ” ผมยื่นโทรศัพท์ไปให้คนตรงหน้าที่กำลังรอรับอเมริกาโน่กับเค้กที่พนักงานเอามาเสิร์ฟให้

                         “ยงกุก ของมึง”

                         “ใครวะ?” คนตรงหน้าผมรับมันไปก่อนจะเอ่ยถาม ผมไม่ตอบอะไรกลับไปนอกจากเลื่อนแก้วอเมริกาโน่ของโปรดของผมมาตรงหน้าแล้วคนมันเพื่อไล่ความร้อน

                         “ครับ.. ได้ครับจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” ยงกุกกดวางโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ ก่อนจะส่งคืนให้ผมแล้วยันตัวลุกขึ้น

                         “ฮิมชาน เดี๋ยวกูมานะ อยู่ๆเทรนเนอร์ก็เรียกตัวว่ะ”

                         “เออ.. ไปเหอะ” ผมตอบกลับไปทั้งๆที่ยังคงจดจ่ออยู่กับอเมริกาโน่ตรงหน้า

                         “อืม.. เค้กนี้อย่าลืมกินด้วย จะสั่งอะไรเพิ่มก็สั่ง เดี๋ยวกูกลับมา แปปเดียว” ว่าจบ ขายาวๆนั้นก็รับจ้ำออกจากร้านไป ผมเงยหน้ามองตามอีกคนจนลับสายตาแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมยกมือขึ้นมาเท้าคางแล้วมองจานเค้กนั้น.. ก่อนจะใช้ส้อมเล็กๆปาดครีมข้างหน้าเอาเข้าปาก ก่อนจะกลับมาคนอเมริกาโน่ในแก้วต่อไป..

                         ผมปล่อยความคิดให้ล่องลอยออกไปกับอากาศ แล้วก็พลันหวนนึกถึงคำติของเทรนเนอร์...



       

                                      “แบบนี้น่ะหรอจะมาเดบิ๊วต์?”

                         ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง.. นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดนดุ.. ผมโดนดุทุกครั้งที่เข้าไปเทรนเรื่องการร้องเพลง.. จังหวะไม่ดีบ้างล่ะ.. แบ่งวรรคไม่ถูกบ้างล่ะ.. ผ่อนลมไม่ถูกบ้างล่ะ.. ผมพยายามแล้วนะ.. กลับถึงหอผมก็ซ้อม.. ซ้อมแทบจะตลอดเวลา แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เหมือนเดิม.. ผิดกับยงกุก.. ถ้าหากว่าหมอนั่นได้รับคำติ วันต่อมาเขาก็จะได้คำชม.. นี้ผมยังพยายามไม่เท่าหมอนั้นหรือไงนะ.. ?









       

       

                         “รู้สึกไม่สบายใจหรอหนู” เสียงแหบพร่าดังขึ้นเหนือหัวของผมทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็เจอเข้ากับหญิงวัยกลางคนที่อยู่ในชุดคลุมยาว ผมมองรอบๆตัวก็ไม่พบว่าไม่มีอยู่ นี้... เขากำลังคุยกับผมอยู่เหร๊อะ?

                         “ใช่จ่ะ คุยกับหนูนั้นแหละ”

                                            ผมชะงัก แล้วเบิกตากว้าง.. นี้.. เขากำลังอ่านความคิดผมได้หรอ..?

                         “ป้าไม่ได้อ่านความคิดหนูนะ.. เรามาเข้าเรื่องเถอะ หนูกำลังมีเรื่องกังวลใจใช่ไหม?”

                                            ผมไม่ตอบอะไรกลับไปนอกจากจ้องใบหน้าที่เห็นเพียงครึ่งภายใต้ผ้าคลุมสีทึบนั้น หญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าผมระบายยิ้มออกมาก่อนที่จะยกมือของเธอขึ้นแตะที่หน้าผากมนของผม ผมจดจ้องไปที่ใบหน้านั้น.. ก่อนที่สติทั้งหมดของผมจะดับลง....














       

       

                         “เอ๋.. แมวตัวนี้เข้ามาอยู่ในนี้ได้ไงน่ะ มินจี มาเอาออกไปสิ เดี๋ยวเผื่อมีลูกค้าแพ้ขนขึ้นมาจะยุ่ง”

                         เสียงหวานใสของเจ้าของร้านทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมอง ก็พบเข้ากับหญิงสาวที่น่าจะชื่อมินจีกำลังเดินตรงมาที่ผม.. เมื่อกี๊ผมได้ยินเขาพูดว่าแมวนิหน่า.. ผมมองไปรอบๆตัวก็ไม่พบอะไร ก่อนจะก้มลงมองใต้โต๊ะ แต่ยังไม่ทันไรผมก็รู้สึกว่าตัวผมนั้นลอยสูงขึ้นจากระดับที่เป็นอยู่

                         อะ เอ๋!? นี้มันอะไรกันน่ะ แล้ว.. ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนถูกอุ้ม.. ภาพโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ค่อยๆห่างออกไปทุกที.. พร้อมกับเสียงกระดิ่งของร้านที่ดังขึ้น และผมที่สัมผัสเข้ากับพื้นเย็นเฉียบของกระเบื้องริมถนน.. ผมเงยหน้ามองพนักงานที่พาผมออกมาปิดประตูกลับเข้าไปในร้าน..

                         เดี๋ยวนะ.. แล้วทำไมผมต้องเงยหน้า.. แล้วทำไมพนักงานคนนั้นถึงตัวใหญ่กว่าผม..!!!?




       

                         “แม่ครับๆ แมวตัวนั้นน่ารักจัง เราเอากลับไปเลี้ยงดีไหมครับ?”

                         “ไม่เอาน่าลูก...”

                         อะไรนะ.. เมื่อกี๊มีใครพูดว่าแมวอีกแล้ว...? ผมหันไปตามเสียงก็เห็นเด็กน้อยคนนึงถูกคุณแม่ของตัวเองดึงตัวออกห่างไป แต่สายตาของเด็กน้อยยังคงจับจ้องมาทางผมอยู่

                         “บ๊ายบายนะเจ้าเหมียว”

                         มือเล็กๆนั้นโบกมาทางผม... อะไรนะ.. เจ้าเหมียว!? นี้มันอะไรกัน! ผมมองรอบๆตัวก็ไม่เห็นว่าจะมีแมวซักตัว..

      อ๊ะ! ผมเจอแล้วล่ะเจ้าเหมียวที่เด็กน้อยคนนั้นว่า.. มันยืนจังก้าอยู่หลังประตูกระจกของร้านนั้นเอง.. แต่เดี๋ยวนะ... ผมกระพริบตาปริบๆมองแมวตัวนั้น แล้วมันก็กระพริบตามผม.. ผมก้าวไปข้างหน้าสองก้าว.. มันก็ก้าวตามผม.. ผมลองถอยหลังไปหนึ่งก้าว.. มันก็ทำตามผม...

                         “อ๋า ร้านนี้มีแมวตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ น่ารักดีจัง” จู่ๆก็มีมืออุ่นๆวางลงที่บนหัวของผม ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณก็เจอเข้ากับเด็กหนุ่มผิวขาวที่กำลังมองมาที่ผม ... เด็กนั้นกำลังลูบหัวผมอยู่..

                         “ตาใสดีจัง มีชื่อไหมน่ะ?” มือขาวนั้นเชยคางผมขึ้น พร้อมกับจ้องลึกเข้ามาในนัยน์ตาผม

                                      ผมชื่อคิมฮิมชาน


       

                         “เหมี้ยวว~~

                         “ฮ่าๆๆ  รู้เรื่องด้วยหรอ.. วันนี้ไม่มีเวลาซะด้วยสิ ไว้วันหลังจะมาเล่นไหมนะ บ๊ายบาย” ว่าแล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็ยันตัวลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินจากไป... สัมผัมเมื่อกี๊มันเป็นสัมผัสที่เกิดขึ้นกับผมชัดๆ.. การที่เด็กหนุ่มนั้นจ้องตาผมมันชัดเจน.. แต่เด็กหนุ่มคนนั้นกลับทำเหมือนกับว่าตัวเองเล่นอยู่กับแมว.. หรือว่า...

                         ผมค่อยๆหันเข้าไปประตูกระจกของร้านอีกครั้ง เจ้าแมวสีขาวในกระจกนั้นก็หันตามผมเช่นกัน ผมค่อยๆก้าวเข้าไปหาช้าๆ.. มันก็ก้าวตามผมเช่นกัน... ไม่นา... เมื่อผมมายืนประชิดกระจก ผมวางมือลงที่กระจกนั้น เจ้าแมวในกระจกก็ทำตามเช่นกัน.. ไม่จริง.. ผมเลื่อนสายตามองมือที่แปะอยู่กับกระจก.. มันมีสีขาว.. และขนปุกปุย..

       



       

       

                                                      ผม กลาย เป็น แมว!!!!!!

                         บ้า.. เรื่องนี้ต้องบ้ามากแน่ๆ.. ผมกำลังฝันอยู่สินะ.. ผมลองตบแก้มตัวเองหนึ่งที ผมว่าผมเจ็บ.. เจ็บมากด้วย.. เดี๋ยวนะ.. มันจะเจ็บเกินไปแล้ว ทำไมผมถึงรู้สึกแสบๆเหมือนเวลาที่โดนอะไรข่วน.. ผมก้มมองมือตัวเอง..


       

                                                      กรงเล็บกับอุ้งเท้านั้น!!!

                      นี้ผม.. กลายเป็นแมวไปแล้วหรอ... ไม่นะ... ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!

       




       

       

                      “เหมี้ยววว~~~

                         เสียงตะโกนของผมกลายเป็นเสียงแมว!! มันชัดเจนแล้วว่าตอนนี้ผมกลายเป็นแมว เพราะป้าคนนั้นแน่ๆ.. ป้าคนนั้นจู่ๆก็มาถามอะไรแปลกๆกับผม แถมยังอ่านความคิดผมได้อีก แล้วป้าคนนั้นก็เอามือมาแตะหน้าผากผมก่อนที่ผมจะหลับไป.. แล้วตอนนี้ ผมก็กลายเป็นแมว..

                                            คิมฮิมชานกลายเป็นแมวไปแล้ว!!!!!!

       

       

       









       



       

                         “ขอบคุณมากครับ”

                         “อื้ม.. ยินดีที่ได้ร่วมงานนะยงกุก” มือหนาเอื้อมมาจับกับมือของผมแล้วเขย่าเบาๆ ผมยิ้มรับให้กับคนตรงหน้าก่อนจะขอตัวออกมาจากห้องประชุม..

                         จู่ๆผมก็ถูกเรียกตัวด่วนให้กลับเข้าบริษัท เทรนเนอร์เรียกผมเข้าไปในห้องประชุม แล้วก็บอกข่าวดีกับผม พวกเขามีโปรเจคที่จะให้ผมไปร้องเพลงร่วมกับรุ่นพี่ในค่าย  ก่อนที่ผมจะได้เดบิวต์พร้อมกับคนในวง  จะว่าดีใจก็ดีใจอยู่หรอก ผมอยากจะรีบกลับไปบอกเรื่องนี้กับฮิมชานโดยเร็ว แต่อีกใจนึกผมก็กลัว.. กลัวว่าจะไม่เป็นการดีกับหมอนั่นเท่าไหร่... เห้อ.. ผมจะทำยังไงดีนะ.. ผมจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดีนะ

                         ผมปล่อยความคิดให้เดินไปเรื่อยๆ จนมารู้ตัวอีกทีก็มาถึงร้านที่ผมทิ้งฮิมชานเอาไว้แล้ว ผมเปิดประตูเข้าไป ตรงไปยังโต๊ะด้านในสุด แต่ก็พบกับความว่างเปล่า... ผมมาผิดโต๊ะหรอ.. แต่ดูจากหมายเลขโต๊ะกับบริเวณโดยรอบแล้วก็ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนินา..

                         “อ๊ะ น้องครับ.. ผู้ชายที่นั่งอยู่โต๊ะนี้ก่อนหน้าไปไหนแล้วล่ะครับ”

                         “อ๋อ เขาขอตัวออกไปก่อนน่ะค่ะ คุณเป็นเพื่อนของเค้ารึเปล่าคะ”

                         “อา.. ใช่ครับ”

                         “เค้าฝากนี้เอาไว้ให้ด้วยน่ะค่ะ” พนักงานสาวคนนั้น หายไปหลังเค้าท์เตอร์ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกระเป๋าเป้ของฮิมชานและถุงที่ใส่กล่องเค้ก ผมรับมันมาไว้ ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตสีเหลืองแปะอยู่ข้างถุงนั้น

       

                                                                                                กลับหอไปก่อนได้เลยนะ ไม่ต้องเป็นห่วง

                                                                                                                                                                     ฮิมชาน

       

                         “ไปไหนของเขานะ..” ผมมองออกไปนอกประตูทางเข้า ก่อนจะถอนหายใจออกมา

       













       

                         บ้าไปแล้ว เรื่องนี้มันบ้าไปแล้ว!! ทำไมผมต้องกลายเป็นแมว แล้วอย่างนี้ผมจะกลับร่างเดิมยังไง โถ่ ยังไม่ทันได้เดบิวต์เลยต้องกลายเป็นแมวไปซะก่อนเนี๊ยะนะ

                         ผมออกวิ่งด้วยสองขา.. เออ.. ไม่สิ ตอนนี้มีสี่แล้ว ... ไปตามทางเรื่อยๆ ความหนาวเริ่มปกคลุมรอบด้าน ไอขนตามตัวนี้ก็อุ่นอยู่หรอกนะ แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ ... ผมออกวิ่งไปตามทางเรื่อยๆ เฝ้ามองหาหญิงในชุดคลุมยาว.. ยัยป้านั้นจะมาเล่นตลกอะไรกับผมล่ะเนี๊ยะ!




       

                      ผลั่ก!

                         เพราะผมมัวแต่มองรอบๆตัวเพื่อหาป้าคนนั้น ทำให้ผมไม่ทันมองทางข้างหน้า สุดท้ายผมก็ไปชนเข้ากับอะไรบางอย่างเข้า ผมกระเด็นไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะเงยหน้ามองไปยังสิ่งที่ผมชนเข้าให้ ก็เจอเข้ากับเงาดำขนาดมหึมา..

                         “กรอดดดด....” เสียงงึมงำดังมาจากเงาใหญ่นั้น ผมเพ่งมองผ่านความมืด เจ้าเงาดำนั้นก็ย่างกายเข้ามายังตรงจุดที่ไฟส่องพอดี เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของมัน..

                         ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวนั้นจ้องมองมาที่ผม ฉายแวววาวโรจน์ ... ตอนนี้ผมกำลังเผชิญหน้ากับเจ้าอัลเซเชี่ยนตัวใหญ่ยักษ์.. ในขณะที่ผมอยู่ในร่างแมว.. แหม่.. โชคดีจังครับ... ผมค่อยๆถอยตัวออกช้าๆเพื่อดูเชิงมัน.. ผมก้าวมันก็ก้าวตามผมมาเช่นกัน.. เขี้ยวสีขาวส่องประกายกระทบกับแสงไฟทำให้เพิ่มความน่ากลัวขึ้นเป็นทวีคูณ.. ปกติผมเป็นคนไม่กลัวหมานะ..  แต่เพราะผมอยู่ในร่างนี้หรือยังไงกัน.. แววตาและเขี้ยวนั้นทำให้ผมรู้สึกสั่นไปทั้งตัว ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของแมวแล้วล่ะ...

                         “แฮฮฮ่...” เสียงขู่คำรามจากลำคอยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง.. เอาไงดีล่ะคิมฮิมชาน.. เขี้ยวขาวสีเงินนนั้นแสยะขึ้นมากทุกที... ดูท่า... มันพร้อมจะขย้ำแฮะ.. ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คงเป็น...





       

                                      วิ่ง!!


       

       

                         “โฮ่ง ๆๆ!!!!” เสียงเห่ากรรโชกดังขึ้นข้างหลังผม.. เจ้าหมานั้นกำลังวิ่งตามผม ตอนนี้ผมออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปตามทางด้วยแรงสี่เท่าที่มี.. จะว่าไปก็เร็วกว่าวิ่งสองเท้าอีกแฮะ .. แต่ เอ้ย! นี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องแบบนี้นะ

                         ผมวิ่งผ่านผู้คนที่ยังเดินคุยเดินเล่นกันอยู่ ข้ามทางม้าลายที่ไม่มีรถสวนผ่านไปอีกฝั่งหนึ่งของถนน.. แต่ก็ยังคงเหลียวมองหลังอยู่ เจ้าหมานั้นก็ยังคงวิ่งไล่ตามมา ให้ตายสิ ทำไมมันตื้อแบบนี้นะ!! ผมเลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆที่อยู่ตรงหน้า ผมวิ่ง และวิ่ง และเหลียวหลังมอง เจ้าหมานั้นยังเลี้ยวตามผมมาอยู่!! นี้แกจะตามไปถึงเช้าเลยรึไง!!!!!




       

                      ผลัก!

                         เป็นอีกครั้งที่ผมชนเข้ากับอะไรซักอย่าง แต่คราวนี้มันไม่นุ่มหยุ่นเหมือนคราวที่ชนเจ้าหมานั้น มันแข็ง.. แข็งเสียจนทำให้ผมมึนไปชั่วขณะเพราะหัวไปกระทบเข้าอย่างจังพอดี ผมเงยหน้ามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า... อาหา... กำแพง..



       

                      ทางตัน!!!!!

                         พระเจ้าครับ!! จะเล่นตลกกับผมไปถึงไหนน วิ่งหนีเจ้าหมาบ้าเลือดนั้นยังไม่พอ ดันมาเจอกำแพงอีก.. ผมหันหลังกลับเพื่อที่จะวิ่งออกไปทางเดิม แต่ก็ต้องชะงัก เจ้าหมานั้นยืนจังก้าอยู่หน้าผม แววตาทอประกายวาวโรจน์อีกครั้ง เสียงขู่คำรามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง.. เอาวะ สู้ซักตั้ง อย่างน้อยฉันก็เคยเป็นคนนะ..





       

                         “เหมี้ยววววว!!~~~

                         เออ.. ผมจะไล่มัน.. แต่ทำไมเสียงผมออกมาเป็นแบบนี้.. ไปซะ เจ้าหมาบ้า ชิ้ว!

                         “เหมี้ยวววว!!

                         อีกครั้ง.. ที่ไอเสียงแมวแหลมๆนี้มันหลุดออกจากคอผมแทนคำพูด ให้ตายเถอะ!

                         “กรอดดด....” เจ้าหมานั้นอย่างสามขุมเข้ามาประชิดตัวผม ลมหายใจร้อนๆนั้นเป่ารดอยู่บนหัวผม.. เขี้ยวสีขาวแววาวกางออกเต็มที่... นี้ผม.. กำลังจะโดนมันขย้ำแล้วหรอ...





       

                         “เฮ้ย ไป!!

       

                         ปั่ก! มีของแข็งๆมากระทบที่หลังหัวของเจ้าหมานั้น ก่อนที่กระเด็นมาโดนผม ทำให้เจ้าหมานั้นละความสนใจจากผมไปหายังปลายเหตุของวัตถุนั้นแทน

                         “ยังอีก.. ยังไม่ไปอีก ฉันไม่อยากใช้กำลังกับหมานะเว้ย!!

                         ปั่ก!

                         “เอ๋ง!” เสียงร้องดังก้องไปทั่วตรอกแคบๆนั้น พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งจากไปของเจ้าหมาบ้าตัวนั้น.. ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นมันแล้ว.. จะเห็นก็แต่...

                         “เป็นยังไงมั้งเจ้าแมวน้อย กลัวมากไหม?” มือนุ่มอุ่มแตะลงที่บนหัวผม ผมเงยหน้ามองไปยังคนที่นั่งย่องๆอยู่ตรงหน้าผม....

       

                         ยงกุก

                         “เหมี้ยวววว ~~~

                         “ฮ่าๆๆๆ ไม่เป็นอะไรแล้วนะ วันหลังก็ระวังตัวด้วยล่ะ” ยงกุกส่งยิ้มให้กับผม ก่อนที่เขาจะยันตัวลุกขึ้น

                         เดี๋ยวสิยงกุก! นี้ฮิมชานนะ!’

                         “เหมี้ยวววว ~~~

                         ผมวิ่งเข้าหายงกุกที่กำลังจะลุกออกไป เกาะเข้าที่กางเกงยีนส์ของเจ้าตัว

                         “อะไรกัน.. จะตามกลับบ้านรึไง?” ยงกุกย่อตัวลงในระดับเดียวกับผมแล้วจ้องมอง

                         ยงกุก กูฮิมชานนะเฮ้ยฮิมชานไง ฮิมชานน

                         “เหมี้ยวววว ~~~  โอยย.. ไอกล่องเสียงบ้านี้ก็ออกแต่เสียงเหมียวๆๆ แล้ววันนี้จะรู้เรื่องไหมเนี๊ยะ!

                         “ดูทำตาเข้าสิ.. งั้นคืนนี้จะไปนอนที่หอฉันก่อนก็ได้นะ” ว่าจบยงกุกก็ยกตัวผมขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน.. ผมพยายามจะสื่อให้รู้ว่าเป็นผม แต่เสียงที่เปล่งออกไปก็มีแต่เสียงเหมียวๆน่ารำคาญนั้น  เห้อ.. เอาเถอะ อย่างน้อยผมก็เจอเขาแล้ว ไม่ต้องดั้นด้นกลับหอเอง .. ส่วนเรื่องที่จะสื่อให้รู้ก็คงไว้ทำทีหลังก็ได้มั้ง..

       



       

                         “อ่ะ ถึงแล้ว..” เมื่อประตูห้องเปิดออก ยงกุกก็วางผมลงกับพื้นห้อง ผมมองไปรอบๆ ห้องพักที่ผมคุ้นเคยตอนนี้ทุกอย่างดูใหญ่ไปหมด เตียงสองชั้นในระดับความสูงของผมตอนนี้ดูใหญ่ท่วมตัว ทีวีจอเล็กที่ผมใช้ดูตอนนี้กลับมีขนาดใหญ่กว่าผมซะอีก ผมมองยงกุกที่วางกระเป๋าลงกับโต๊ะแล้วจ้องมองมันนิ่ง

                         “กระเป๋าก็ไม่เอาไป.. โทรศัพท์ก็อยู่ในกระเป๋า อย่างนี้จะตามตัวยังไงวะ..”

                         ผมนั่งมองจากมุมล่างของพื้นห้อง เสียงนั้นดังพอให้ผมได้ยิน.. หมายถึงผมหรอ? ก็อยู่นี้แล้วไง ยงกุกก มองมาสิมองมา

                         “เหมี้ยวววว~” ... บ้าบอสิ้นดี.. ไอเสียงเมี้ยวหง่าวนั้นหลุดออกมาจากผมอีกแล้ว การเป็นสัตว์พูดไม่ได้มันน่าอึดอัดแบบนี้นี่เอง

                         “ว่าไงเจ้าเหมียว?” ยงกุกยันตัวขึ้นมองผม ก่อนจะเอี่ยวตัวลงมาอุ้มผมแล้วชูขึ้นในอากาศ






       

                         โครกกกกก ก

                         “ฮ่าๆๆๆๆ หิวหรอเจ้าเหมียว” ยงกุกหัวเราะทันทีที่ได้ยินเสียงโครกครากที่ดังออกมาจากท้องของผม.. บ้าเอ้ย จะมาดังอะไรเอาตอนนี้นะ

                         “งั้นรอแปปนะ” ยงกุกเดินตรงไปที่ตู้เย็นเล็ก เปิดมันออกแล้วรื้อค้นอยู่ราวสองสามนาทีก่อนจะหยิบกระป๋องสีฟ้าพร้อมถ้วยเล็กออกมาจากตู้ ยงกุกนำถ้วยเล็กนั้นเข้าไมโครเวฟไปแล้วหันมาเปิดกระป๋องสีฟ้าๆนั้นแทน ไม่นานเสียงร้องเตือนของไมโครเวฟก็ดัง ยงกุกหยิบมันออกเทใส่ลงในถ้วยใบใหม่ ก่อนจะจัดการเทของที่อยู่ในกระป๋องสีฟ้านั้นลงไปทับ มือเรียวยาวเอื้อมไปหยิบช้อนแล้วนั่งลงตรงหน้าผม

                         ยงกุกใช้ช้อนเล็กนั้นคนๆของที่อยู่ในถ้วย พร้อมกับเป่ามันไปด้วยทำให้มีไอความร้อนลอยออกมาผ่านอากาศเย็นๆที่อยู่รอบตัว เขาทำอยู่อย่างนั้นสองสามนาทีสลับกับการแตะมือลงบนข้าวนั้นเบาๆเป็นเช็คอุณหภูมิ

                         “อ่ะ เรียบร้อย” ยงกุกวางชามนั้นลงตรงหน้าผม ก่อนจะส่งยิ้มให้ ผมทำได้เพียงกระพริบตาแล้วจ้องกลับไป

                         “ไม่กินหรอ? อ๋า.. เจ้าอาจจะไม่ชอบให้คนจ้องใช่ไหมล่ะ ก็ได้ๆ งั้นฉันไปอาบน้ำก่อนนะ กินดีๆล่ะ” ยงกุกลูบหัวผมหนึ่งทีก่อนจะยันตัวลุกขึ้น คว้าเอาผ้าขนหนูที่วาดพาดอยู่บนเก้าอี้หายเข้าไปในห้องน้ำ ผมมองตามจนประตูนั้นปิดลง ผมก้มมองชามเล็กที่มีข้าวคลุกอยู่กับปลาทูน่ากระป๋องนั้น..





       

                         โครกกกกก ก

                         ท้องเจ้ากรรมร้องประท้วงอีกครั้ง.. ให้ตายเถอะ นี้ผมต้องกินจริงๆใช่ไหม? ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ.. เอาเถอะ อย่างน้อยกระป๋องนี้ก็เปิดใหม่ แล้วก็เป็นทูน่าธรรมดาๆที่ผมซื้อมาติดตู้เย็นไว้เอง ไม่ใช่อาหารแมวซะหน่อย...

                     
       

                         ไม่นานผมก็จัดการกับข้าวตรงหน้าจนหมด พอดีกับที่ยงกุกออกจากห้องพอดี ผมเงยหน้ามองก็เจอกับเจ้าตัวที่อยู่ในสภาพเปียกทั้งตัว ส่วนที่เอวก็พันผ้าขนหนูไว้เท่านั้น

                         “หมดแล้วหรอ?” ยงกุกนั่งยองๆลงตรงหน้าผม ก่นจะก้มลงมองชามเปล่านั้น น้ำที่มาจากผมสีดำสนิทนั้นหยดลงบนปลายจมูกผม.. ให้ตายเถอะ อากาศก็หนาวจะตายยังสระผมอีก ไม่พอยังไม่รู้จักเช็ด.... มันน่า...

                         “โอ๊ย!” ยงกุกร้องลั่น ก่อนจะละตัวออกแล้วยกมือขึ้นกุมมืออีกข้างทันที

                         “มาข่วนกันทำไมเนี๊ยะ!” ยงกุกเปิดมือออกแล้วยกขึ้นดูปรากฏเป็นรอยข่วนเล็กๆลากผ่านหลังมือแต่งแต้มด้วยเลือดสีแดงสดที่ซึมออกมา ผมหันมองไปทางอื่นก่อนจะยกมือขึ้นลูบปลายจมูกที่เปียกน้ำนั้น

                         “ย๊า! ท่าทางแบบนั้นมันอะไรกันน่ะ” ยงกุกเลื่อนตัวเข้ามาหาผมก่อนจะจับคางของผมให้หันไปมองเขา

                         “ท่าทางแบบนี้เหมือนคนที่ฉันรู้จักไม่มีผิดเลย... จะว่าไป.. ฉันได้ชื่อให้นายแล้วนะเจ้าเหมียว..” ยงกุกหรี่ตามองก่อนจะยกยิ้มมุมปาก

                         “ฉันจะเรียกเจ้าว่าฮิมชาน! ฮิมชานจูเนียร์!

                         ให้ตายเถอะยงกุก! นี้นายเอาชื่อฉันไปตั้งชื่อแมวเนี๊ยะนะ!!! ย๊าๆๆ แบบนี้มันต้องโดนอีกซักทีล่ะมั้ง ผมกางเล็บออกหมายจะเพิ่มรอยให้หลังมือนั้น แต่ก็ถูกมือหนาๆนั้นจับเอาไว้ซะก่อน

                         “ไม่เอานา.. ฮิมชานนา.. ทำไมขี้โมโหแบบนี้เล่า เมื่อกี๊ยังดีๆอยู่เลย” ยงกุกจับเข้ากับอุ้มมือเล็กๆนั้นแล้วบีบมันเล่นเบาๆ

                         “จะว่าไป.. ฮิมชานจูเนียร์นี้ก็วิ่งผ่านอะไรมาตั้งมากก็ไม่รู้โนะ.. ไปเหยียบอะไรมาบางรึเปล่าเนี๊ยะ” ยงกุกดึงมือ.. ไม่สิ ต้องเรียกว่าขาหน้าอีกข้างของผมไปดู มือของเขาบีบอุ้มเท้าๆเล็กของผมพร้อมกัน ทำให้เล็บผมกางเข้ากางออกอยู่แบบนั้น.. สนุกไหมน่ะ.?

                         “อาบน้ำกันเหอะ!” ยงกุกคว้าเอาตัวผมไปไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะพาเข้าห้องน้ำ.. ย๊า!! ไม่เอานะ ไม่อาบสิ เวลาแบบนี้มันหนาวจะตาย!! 

                         “อยู่นิ่งๆนา.. ฮิมชานจูเนียร์~” ยงกุกวางผมลงบนพื้นห้องน้ำเย็นๆนั้น ก่อนจะคว้าเอากะละมังเล็กที่พิงอยู่ข้างห้องน้ำมาวาง แล้วเปิดน้ำอุ่นๆจากฝักบัวใส่ลงไป

       

                                            ไม่เอาาาาา า ไม่อาบบ บ บเว้ย!!!!

                         “เหมี้ยว!!!!~~

                         ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุมนั้น แต่ก็ไม่เป็นผล มือเรียวใหญ่นั้นล็อคตัวผมเอาไว้แน่น ยงกุกคว้าเอาผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่กับราวในห้องน้ำลงมาจุ่มลงไปในน้ำอุ่นๆ เขาอุ้มผมมาวางไว้บนตักแล้วล็อคไว้ด้วยศอก ยงกุกแกว่งผ้าในน้ำสองสามทีก่อนนจะยกขึ้นบิดแล้วนำมาเช็ดที่ตัวผมเบาๆ

                         “ไม่ได้จะโยนลงไปในอ่างซะหน่อย.. แค่นี้เองนา” ยงกุกค่อยๆลูบผ้าขนหนูที่เปียกน้ำอุ่นๆนั้นไปตามตัวของผม ไล่จากหัวลงมาที่กลางหลังแล้วสิ้นสุดที่ปลายหาง

                         “ขอมือหน่อยยย” ยงกุกคว้าเอามือ.. เออ.. ขาหน้า ข้างหนึ่งของผมขึ้นมาเช็ด แล้ววางลง ก่อนจะยกอีกข้างขึ้นมาเช็ด

                         “อยู่นิ่งๆก็ได้นิหน่าฮิมชานจูเนียร์” ยงกุกหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะจับผมพาดบ่า แล้วยกขาหลังขึ้นเช็ดอีกครั้งทีละข้างแล้ววางลง ยงกุกเอี้ยวมือพร้อมกับผ้าอุ่นๆนั้นมาวางที่หัวผมอีกครั้ง เขาเช็ดมันไปเบาๆ และจับเข้าที่หู...





       

       

       

                         “โอ๊ย!!” อีกครั้งที่ยงกุกร้องลั่น เขาสะดุ้งสุดตัว ทำให้ผมดิ้นหลุดออกจากอ้อมแขนนั้นแล้ววิ่งไปชิดประตูห้องน้ำจ้องเขม็ง..



       

                         อย่า มา ยุ่ง กับ หู ของ ฮิม ชาน นะ เว้ย!!!



       

                         “เหมี้ยววว!!!!

                         “ฮิมชานจูเนียร์ ... เจ้านี้.. เจ้าจะเหมือนฮิมชานไปแล้วนะ” ยงกุกชี้มือมาทางผม ส่วนมืออีกข้างก็ลูบไปที่ไหล่ ก่อนจะเจ้าตัวจะเทน้ำในกะละมังลงท่อแล้วเปิดประตูห้องน้ำให้กับผม ยงกุกเดินตามผมออกมาก่อนจะมาหยุดที่หน้ากระจกแล้วเอี้ยวตัวมอง ปรากฏเป็นรอยข่วนรอยยาวที่ไหล่ขวานั้น เลือดสีสดไหลซึมออกมาตามรอยแผล ดูท่าแผลนั้นจะลึกกว่าที่มืออีกแฮะ ผมจ้องมองยงกุกที่กำลังใช้ผ้าขนหนูอีกผืนซับรอยเลือดนั้น...


       

                         ขอโทษ... ก็ผมไม่ชอบให้ใครมาจับหูนิหน่า...  


       

                         “เหมียว....” ผมนั่งลงบนพื้นไม่ห่างจากคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกมากนักและก้มหน้าลง ยงกุกหันมามองผมก่อนจะนั่งยองๆลงตรงหน้าอีกครั้งแล้วยกมือขึ้นลูบหัว

                         “ไม่เป็นไรนา.. อย่าทำหน้าหงอยแบบนั้นสิ..” ผมเงยหน้ามองคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงอย่างสำนึกผิดเหมือนเดิม

                         “นี้.. ฉันเห็นฮิมชานเค้าซึมมามากพอแล้วนะ.. อย่าทำให้ฉันต้องมาเห็นฮิมชานจูเนียร์นี้ซึมไปด้วยอีกสิ...” ยงกุกยีหัวผมแรงๆหนึ่งทีก่อนจะยันตัวลุกขึ้นไปแต่งตัวให้เรียบร้อย เขาเดินข้ามห้องไปยังฝั่งตรงข้ามที่เป็นโต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆแล้วนั่งลง บนโต๊ะมีกระดาษวางกระจัดกระจายอยู่ เขารวบรวมมันไปเรียงไว้ตรงหัวมุมโต๊ะ ก่อนจะหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่นแล้วคว้าเอาดินสอที่วางอยู่ข้างกันมาเขียนลงไป

                         ผมกระโดดขึ้นไปบนตู้เล็กๆที่วางอยู่ข้างโต๊ะ ก่อนจะกระโดดข้ามไปนั่งบนพื้นที่ว่างของมุมโต๊ะแล้วจ้องมองลงไป ยงกุกกำลังเขียนโน้ตเพลงลงไปในกระดาษ เขาค่อยๆเขียนมันทีล่ะตัว บางครั้งก็หยุดพักแปปนึงแล้วเขียนลงไปซ้ำ ในบางจังหวะเขาก็เปล่งเสียงออกมาเบาๆเหมือนกำลังไล่โน้ตแล้วเขียนลงไป

                         “แบบนี้น่าจะช่วยฮิมชานเค้าได้บ้างล่ะโนะ ฮิมชานจูเนียร์” ยงกุกส่งยิ้มให้กับผม ก่อนจะวางมันกลับไปยังกองกระดาษที่อยู่อีกมุมของโต๊ะ.. ผมเดินตามไปที่กระดาษแผ่นนั้นแล้วจ้องมอง มันเป็นโน้ตในเพลงที่ผมกำลังมีปัญหาอยู่ ยงกุกเขียนกำกับจังหวะ การแบ่งวรรค และคีย์เอาไว้ชัดเจน...

                         “เข้านอนกันเถอะ ฮิมชานจูเนียร์” ยงกุกอุ้มผมออกมาจากโต๊ะ เขาเอื้อมปิดไฟแล้วปีนขึ้นเตียงชั้นสองของเขา วางผมลงก่อนที่เจ้าตัวลงล้มลงนอนบนเตียงนุ่ม

                         “ทำยังไงดีล่ะ..?” ผมเอียงคอมองกับคำถามนั้น.. ทำอะไร? ยังไง? มือเรียวยาวนั้นเอื้อมมาคว้าผมเอาไว้แล้ววางลงบนหน้าอกของเขาพลางจ้องมองมา มืออุ่นยกขึ้นลูบหัวผมไปมาแล้วมองหน้า

                         “ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึงล่ะเจ้าเหมียว ที่ชื่อฮิมชาน” ผมจ้องกลับไปในนัยน์ตานั้น.. กำลังหมายถึงผมหรอ..?

                         “เหมี้ยว ~

                         “หมอนั่นเป็นคนที่เวลามีปัญหา.. ชอบเก็บเอาไว้คนเดียว.. คิดคนเดียว แก้ปัญหาคนเดียว ฉันรู้ว่านะว่าหมอนั่นไม่อยากจะให้ทุกคนต้องเป็นห่วง.. แต่ยิ่งทำแบบนั้นฉันก็ยิ่งเป็นห่วง..”

                         “แล้วตอนนี้หมอนั่นก็กำลังมีปัญหา... ถึงจะบอกไม่ให้ฉันห่วง แต่มันก็อดห่วงไม่ได้แฮะ.. ตอนนี้หายไปไหนก็ไม่รู้ ติดต่อก็ไมได้.. ถ้าเป็นเจ้าจะทำยังไง? หื๋อ” มืออุ่นนั้นวางนิ่งอยู่บนหัวผม ก่อนจะละสายตาออกไปจ้องมองกับเพดานสีขาว

                         “นอนกันเถอะ.. ถ้าพรุ่งนี้เช้าหมอนั่นยังไม่กลับมาเราออกไปตามหากันนะ” ยงกุกวางผมลงข้างตัว ก่อนจะเอื้อมไปหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่ม ผมเฝ้ามองจนคนข้างตัวนั้นหลับไป...


       

       

                         เป็นห่วงกันหรอกหรอ...

       

                         ผมเฝ้ามองหน้าที่กำลังหลับสนิทนั้น ก่อนจะยกอุ้มเท้าเล็กๆในตอนนี้แตะที่แก้มนิ่มเบาๆ..

                     

                         ขอบคุณนะ...

                         “ฮื้ม...” คนหลับสนิทนั้นขยับตัว ทำให้ผมต้องละออก ก่อนที่เขาจะหันหลังให้กับผม .. แสงไฟจากถนนที่ลอดผ่านหน้าต่างข้างนอกกระทบเข้ากับแผ่นหลังที่หันให้ผมอยู่ตอนนี้ เสื้อสีขาวตัวบางที่เขาสวมใส่อยู่ปรากฏรอยจางๆสีแดงยาวที่ไหล่ขาวนั้น ... คงจะเจ็บสินะ.. ผมวางอุ้มมือเล็กๆลงบนรอยนั้นเบาๆ..




       

                         ขอโทษนะ...

       

                         ผมมองรอยแผลนั้น  ก่อนจะเลื่อนสายตามามองอุ้งมือสีขาวที่เต็มไปด้วยขนปุยๆนั้น.. จะกับร่างเดิมได้ยังไงกันล่ะ.. ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะละมือออกแล้วล้มตัวลงนอน.. เอาเถอะ.. พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน...

       

       

       




       

       

                         รายงานสภาพอากาศวันนี้ อากาศแจ่มใสทั่วทุกพื้นที่ เหมาะแก่การออกไปพักผ่อนข้างนอกค่ะ

                         “ฮื้มมม....” เสียงดังอื้ออึงของรายงานสภาพอากาศจากทีวีทำให้ผมหลุดออกจากฝันแสนหวาน ผมปัดป่ายมือไปทั่วเตียงเพื่อควานหาหมอนมาอุดที่หู ก็คว้ามาได้แต่ผ้ามห่มผืนใหญ่ เอาเถอะ.. ใช้ได้เหมือนกัน..

       

                         เดี๋ยวนะ.. ผมคว้าผ้าห่มได้..

                         ผมลุกพรวดขึ้นนั่งทันทีก่อนจะมองไปรอบๆ.. มุมมองมันดูสูงกว่าเมื่อคืนที่ผมขึ้นมา.. หรือว่า.. ผมก้มลงมองตัวเองก็เจอเข้ากับเสื้อยืดสีขาวที่ผมใส่เมื่อคืนกับกางเกงยีนส์ตัวหนา.. ผมยกมือขึ้นจับหน้าตัวเอง ไม่มีขนปุยๆนั้นแล้วนิ.. ผมเลื่อนมือขึ้นจับหัวตัวเอง.. ไม่มีหูด้วย! ผมหันหลังไปมองด้านหลังก็มีแต่ตุ๊กตาทิกเกอร์นอนแอ้งแม้งอยู่ตรงนั้น.. ผมไม่มีหางด้วย!! ผมกลับร่างเดิมแล้ว!!!




       

                                      ผม กลับ มา เป็น คน แล้ว!!

       

                         แต่เดี๋ยว.. ตุ๊กตาเป็นกองบนหัวนอนนี้.. มันไม่ใช่เตียงผมนิ...

       

                         “ตื่นแล้วหรอมึง” เสียงทุ้มต่ำคุ้นเคยดังขึ้นด้านล่าง ทำให้ผมต้องหันไปมองก็เจอยงกุกที่กำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้าตู้เสื้อผ้านั้น

                         “หายไปไหนมาเมื่อคืน” ยงกุกถามผมต่อทันที ก่อนจะสวมเสื้อยืดเป็นตัวสุดท้ายแล้วปืนขึ้นบันไดข้างเตียงมามองผม

                         “ก็อยู่กับ.. เออ.. หมายถึง .. เดินเล่นอยู่กับตัวเอง ไปเรื่อยๆ”

                         “อื้ม” ยงกุกพยักหน้ารับ ก่อนจะปีนกลับลงไป

                         “วันนี้ออกไปกินข้าวข้างนอกนะ ในตู้ไม่มีอะไรให้กินและ”

                         “ทูน่ากระป๋องกับหนมปังไง” ผมตอบกลับไปเมื่อคิดได้ว่าผมเคยซื้อมาตุนเอาไว้อย่างเคยชิน ก่อนจะปืนลงจากเตียงมาเปิดตู้เย็นดู

                         “กูให้แมวไปและ.. เออ.. ว่าแต่มึงเห็นแมวตัวขาวๆป่ะ เมื่อคืนกูเอาเข้าหอมาด้วย ก่อนนอนกูว่ามันนอนอยู่ข้างกูนะ แต่พอตื่นเช้ามากูก็ไม่เห็นและ.. เจอแต่มึงแทน..”

                         “.....................” ผมชะงักมือ ก่อนจะค่อยๆปิดตู้เย็นกลับไปตามเดิม

                         “กูดูแล้วมึงก็ไม่ได้เมานะ.. แต่ทำไมถึงขึ้นมานอนเบียดกับกูวะ.. มึง.. คิดอะไรกับกูปะเนี่ย..” ยงกุกกอดตัวเองขวับก่อนจะหรี่ตามองมาที่ผม ด้วยท่าทางแบบนั้นมันทำให้ผมต้องคว้าเอาตุ๊กตาที่แปะอยู่กับตู้เย็นปาใส่เสียหนึ่งที

                         “หลงตัวเองน่ะมึง!” ผมเอ็ดให้หนึ่งทีก่อนจะเดินปึงปังคว้าเอาผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไป ไม่วายจะมีเสียงแซวตามหลังมา

                         “แล้วใครล่ะว๊า ที่นอนซุกหลังกูเมื่อคืนอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”

                                            บังยงกุก.... มันน่าข่วนให้อีกซักแผล.......!

       

       









       

       

                         “อิ่มว่ะ...” คนที่เดินมาอยู่ข้างๆผมเดินตีพุงเบาๆ ก่อนจะยืดตัวขึ้นจนสุดแขน

                         “อิ่มก็บ่น ..หิวก็บ่น ..มนุษย์นี้แปลก” ผมส่ายหัวไปมาเบาๆ  

                         “แหม่.. ทำอย่างกับมึงไม่ใช่มนุษย์ เป็นแมวรึไง?” ยงกุกผลักตัวผมทีหนึ่งแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ผมทำเพียงสลัดตัวออกแล้วบุ่ยปากใส่คนข้างๆหนึ่งที

                         “พูดถึงแมว.. กูไปเจอแมวตัวนึงมาว่ะ กำลังจะโดนหมาฟัดก็เลยช่วยไว้ นิสัยเหมือนมึงเลย เลยตั้งชื่อไปว่าฮิมชานจูเนียร์”

                         “แล้วเรื่องอะไรมึงเอาชื่อกูไปตั้งชื่อแมว!” ผมชกให้เข้าที่ไหล่นั้นเสียเต็มแรง ทำให้คนที่ถูกชกสะดุ้งสุดตัว

                         “ก็เนี๊ยะ! เอะอะอะไรก็ใช้กำลัง ทำหน้างอแบบมึงนี้ไง เนี๊ยะ กูเลยได้แผลมาด้วยเลย” ยงกุกยกมือข้างที่มีรอยข่วนที่หลังมือให้ผมดู พร้อมกับเลิกคอเสื้อลงเผยให้เห็นแผลที่ลากยาวบนหัวไหล่ ผมมองแผลที่ตอนนี้เริ่มแห้งนั้นแล้ว แต่ในบางส่วนก็ยังมีรอยเลือดซึมออกมาอยู่บ้าง.. นี้ผมลงแรงไปมากขนาดนี้เลยหรอ..

                         “ขอโทษ...”

                         “หื๋ม? ขอโทษอะไร?” ยงกุกหันมาทางผมพลางคิ้วสงสัย

                         “เออ.. ขอโทษที่ชกไหล่มึงเมื่อกี๊” ผมตอบปัดๆกลับไป

                         “ถ้ามึงรู้สึกผิดนะ.. ในฐานะที่แมวนั้นชื่อเหมือนมึง ทำแผลให้กูด้วย แล้วก็.. ที่สำคัญพากูไปฉีดยาด้วย แมวบ้าเปล่าก็ไม่รู้”




       

                         เพี๊ยะ!   

                         “ไม่บ้าเว้ย!!” ผมฟาดมือเข้าไปที่ไหล่นั้นเสียเต็มแรง

                         “อะไร แล้วมึงมาตีกูทำไม!!” ยงกุกลูบที่ไหล่ตัวเองป้อยๆ ก่อนจะบุ่ยปากออกเล็กน้อย ผมจ้องมองภาพนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมา

                         “เอ้อออ เดี๋ยวกูพาไปฉีดยาทั้งบาดทะยัก หมาบ้า แล้วจะทำแผลให้ด้วยเลยเอ้า! เลิกพูดถึงแมวตัวนั้นได้แล้ว!

                         “แหม่.. แม้แต่แมว.. มึงก็หึงโนะ” ยงกุกระบายยิ้มออกมาจนตาแทบปิด แล้วออกวิ่งไปข้างหน้าทันทีที่เห็นว่าผมเตรียมง้างมือจะฟาดอีกรอบ มีหรอที่คนอย่างฮิมชานจะยอม ผมไล่กวดยงกุกไปทันที คราวนี้จะจับได้จะฟาดตรงรอยข่วนนั้นแหละ เอาให้เลือดสาดแผลเปิดกันไปข้างเลยคอยดู!!








       

       

                         กึก...

                         แต่แล้วผมก็ต้องหยุดชะงักกะทันหันเพราะภาพที่เห็นตรงหน้า เป็นยงกุกที่ยืนอยู่นิ่งจ้องมองไปยังหญิงวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวสีดำ.. เธอภายใต้ผ้าคลุมสีทึบนั้นกำลังเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่างกับยงกุก ก่อนที่มือยาวนั้นจะยกขึ้นเตรียมจรดที่หน้าผากของคู่สนนทนา....




       

                         “ยงกุก อย่า!!!!!

       

       

       

      END

      จบไหม... จบนะ.. เย๊ !! ~~~~

      ลงได้ซะที สงกะสัยพี่ฮิมจะไม่อยากลองเป็นแมวแน่ๆเลย แต่ว่า.. น่ารักออกหนา ~~






       

      ฮุ้ววว ~~~~  เป็นฟิคป่วงๆที่นั่งมองหน้าแมวอยู่ดีๆก็นึกได้ขึ้นมา ยังไงก็ฝากแนะนำติชมด้วยนะคะ  แล้วก็ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามในส่วนฟิคสั้นเรื่องอื่นๆและฟิคยาวที่กำลังเดินเรื่องอยู่ตอนนี้ เข้ามาเห็นยอดวิวยอดเม้นยอดไลค์ก็ชื่นใจโนะ ฮ่าๆๆๆ ขอบคุณจริงๆค่ะ (คำนับสามรอบ)

      ยังไงก็เข้ามาพูดคุยกันได้นะคะ แบบ บางฟิคสั้นบางอันอาจจะไม่เคลียร์เพราะบางทีไรต์เตอร์ก็แต่งออกมาแบบมึนๆ 5555555555555 ก็ถามเข้ามาได้เลยนะคะ แล้วก็ขอบคุณรีดเดอร์ทุกท่านที่ติดตามผลงานอยู่จริงๆนะคะ (คำนับอีกครั้ง)

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×