แล้วความรักก็เข้ามา ตอน เราจะเข้ากันได้ไหม - แล้วความรักก็เข้ามา ตอน เราจะเข้ากันได้ไหม นิยาย แล้วความรักก็เข้ามา ตอน เราจะเข้ากันได้ไหม : Dek-D.com - Writer

    แล้วความรักก็เข้ามา ตอน เราจะเข้ากันได้ไหม

    โดย Tata Hussa

    มาจากไดอารี่สตอรี่ 4 วันจบ 29 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2007

    ผู้เข้าชมรวม

    506

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    506

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ส.ค. 50 / 16:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ฉันเป็นผู้หญิงแก่น ๆ ที่ขึ้นรถเมล์เดินทางระหว่างบ้านกับมหาวิทยาลัยทุกวัน ก๊วน 5 สาวของฉันไปทางเดียวกันทั้งหมด ทำให้เรานั่งเม้าท์เสียงดังจนรถแตก หลายครั้งที่กระเป๋ารถเมล์ต้องมาขอความกรุณาว่าให้ช่วยเงียบ ๆ ด้วยค่ะ....

      วันนี้ก็ปกติ เราเลิกเรียนบ่ายสามโมง ตั้งใจกันว่าจะไปเดินห้างก่อนกลับบ้านตามประสาสาว ๆ รถเมล์จอดป้าย พวกเราก็เรียงแถวกันขึ้นรถไปโดยมีฉันนำหน้า เลเซอร์ความก๋ากั่นของฉันจับไปเจอชายหนุ่มหน้าตาดีนั่งเบาะท้าย ฉันพุ่งตรงไปนั่งข้างเขาและเพื่อน ๆ ก็นั่งเรียงกันไป

      เขานั่งเงียบ ก้มตาลงต่ำ ฉันลอบมองเสื้อ shop ของเขา ก็เห็นว่าไม่ใช่มหาวิทยาลัยจากทางสายรถที่ผ่านมาเลย ฉันจึงได้ทีเอ่ยถาม...ก็อยากรู้จักอยู่แล้วนิ่

      "เรียนอยู่ที่ไหนคะ เสื้อไม่คุ้นเลย" เขาอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า "ไม่ใช่แถวนี้ครับ พอดีมาธุระ"

      "ก็ว่าอยู่ ..ว่าไม่เคยเห็นนะคะ" ฉันยิ้มให้เขาแอบลอบมองหน้าชัด ๆ ...อุ้ย...หล่อใช้ได้แฮะ
      "จริงด้วยนะ" เพื่อนฉันเสริมขึ้น

      แล้วบทสนทนาก็เปิดฉากไปเรื่อย ๆ เขาชื่อปิติ เขาเรียนอยู่ที่ไหนสักแห่งทางผ่านแถวนี้ เสร็จล่ะ..ฉันได้เบอร์โทรศัพท์เรียบร้อย โดยบอกเขาว่า เดี๋ยวจะโทรหากัน จะได้นัดพบกันอีกคราวหน้า

      ข้อมูลที่ฉันได้คือเขาขึ้นรถเมล์ป้ายตรงข้ามที่เขาลงวันนี้ทุกครั้ง ซึ่งก็คือป้ายที่ฉันผ่านทุก ๆ เช้า แต่เขาไม่ได้ขึ้นสายเดียวกับฉันนั่นเอง ..จากวันนั้น ฉันและปิติก็คุยกันบ่อยขึ้น เขาโทรหาฉันบ้างแต่ก็ไม่คุยกันนาน เขาขี้อายและพูดไม่เก่ง

      เรานัดเจอกันทุกเช้าโดยวิธีแปลก ๆ แบบที่ไม่เหมือนใคร เราจะได้เจอกันผ่านกระจกรถเมล์ที่ฉันนั่ง  ทุก ๆ เช้าฉันจะเดินย้อนไปขึ้นรถเมล์ โดยเลือกที่นั่ง แถวที่สองจากประตูและนั่งติดริมหน้าต่าง ส่วนเขาจะยืนรอจนกว่ารถที่ฉันนั่งจะมา และรอโบกมือทักทายกันก่อนไปเรียน

      เราทำแบบนี้อยู่เป็นเดือน ฉันจึงนัดเขามาทานข้าวที่มหาวิทยาลัยด้วย จะได้เจอเพื่อน ๆ ก๊วน 5 สาวของฉัน ดูซิ...ว่าจะผ่านบททดสอบจากเพื่อนๆ ของฉันไม๊....

      พรุ่งนี้แล้วสิ เราจะได้เจอกัน และใช้เวลาคุยกันเต็ม ๆ สักที

      ---------------------------------------------

      วันนี้ฉันขึ้นรถเมล์ก่อนเวลาเล็กน้อย ทำผมเป็นทรงให้ดูดีกว่าปกติ ก็นัดแรกนี่หน่า วันนี้จะมีหนุ่ม ๆ ให้ควงเข้ามหาวิทยาลัยด้วย รถเมล์ที่ฉันนั่งวิ่งจอดป้ายตามปกติจนมาถึงป้ายที่เขารออยู่ ฉันโบกมือเรียกเขา เขาก็รีบวิ่งขึ้นมาทันที วันนี้เขาดูดีมาก

      "ใส่ชุดนักศึกษาแล้วดูดีจังเลยค่ะ" ฉันเอ่ยปากชม ก็เขาหน้าตาดีอยู่แล้ว ใส่เสื้อเชิ้ตขาวเข้าไปยิ่งหล่อล้ำเข้าไปใหญ่

      "เอ่อ รู้สึกเขินแปลก ๆ ครับ ปกติใส่แต่เสื้อช่างคลุมกับเสื้อยืดคอกลมน่ะครับ"

      "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวก็ชินเพราะว่าใคร ๆ ก็ใส่เหมือน ๆ กลืน ๆ กันไป"

      เขายิ้มเขิน ๆ ดูน่ารักมาก ๆ ฉันไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนเขินและขี้อายขนาดนี้มาก่อน ฉันพาเขาเข้าไปยังซุ้มของคณะที่นั่งสุมหัวประจำของฉันและเพื่อน ๆ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ พวกยัยแสบยังไม่มีใครมา ฉันจึงให้เขาเลือกมุมที่นั่งแล้วสบายใจ อันที่จริง ตรงไหนก็ช่วยไม่ได้หรอก โดนกัดเละแน่ ๆ วันนี้ ยิ่งมาเข้าเรียนทั้งวันด้วย

      วันนี้เราเริ่มต้นจากน้องจุ๋มหน้าหวานแต่กัดเจ็บมาถึงคนแรกก็ทักทายด้วยคำทักทายอันน่าประทับใจ

      "หวัดดีจุ๋ม...นี่ปิติ เด็กใหม่เรา. ปิติ นี่น้องจุ๋ม" ฉันหัวเราะระรื่นกับคำแนะนำตัว

      "สวัสดีครับ" ปิติ ยิ้มเขิน ๆ กล่าวทักทายด้วยเสียงนุ่มเบา

      "อ๋อ เนี่ยเหรอ เห็นตาต้าเล่าให้ฟังบ่อย คิดดีแล้วเหรอวันนี้ที่จะมาอยู่นี่ทั้งวันอ่ะค่ะ"

      อูย.....คนแรกเพื่อนตู ก็เล่นซะมันส์แล้ว....เอ้า เอ้า อีกแป๊บ อีกแป๊บนึง ยัยโอ๋เรียบร้อยแต่แก่นกำลังเดินมาโน่น

      "หวัดดีโอ๋...นี่ปิติ เด็กใหม่เรา ... ปิติ นี่โอ๋" ฉันยึดไดอะล็อคเดิม เพราะอยากเห็นความแตกต่างในคำตอบของเพื่อนแต่ละคน ปิติเองก็ยังทักทายเสียงนุ่มเบา และบุคลิกเก้อเขิน

      "หวัดดีค่ะ.... ไม่คิดว่าจะหล่อขนาดนี้ เฮ้อ....คิดสั้นรึป่าวคะ หรือว่าโดนยัยตาต้าหลอกมา"

      น่าน....เพื่อนตู ....สมกับเป็นหนึ่งในสมาชิกของเราเชียว

      จะแปดโมงแล้ว คุณหนูนุช, และคุณหนูเล็กก็มาพร้อมกันตามปกติ สองคนนี้ออกแนวเป็นแผนกสัมภาษณ์ ซึ่งเรามักแซวว่าเป็นแผนกระเบียนราษฎร์เพราะช่างซักเสียจริง

      ปิติ ตอบคำถามอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือเพราะไม่อยากตอบกันแน่ ฉันเองก็สงสารแต่ก็อยากดูปฏิกิริยาของเขา

      แล่ว แล่ว แล่ว แล่ว แล้ว ยัยจูน หมวยร้าย วายร้ายปากจัดประจำกลุ่มก็มาถึง ฉันก็แนะนำไดอะล็อกตามปกติ ยัยจูนเงียบและมองหน้า ค่อยๆ นั่งลงตรงข้าม ทำเอาเขากระดุกกระดิกไม่ออกทั้งเขินทั้งอาย เขาหลบสายตาลงต่ำ จนฉันต้องบอกให้จูนหยุดแกล้ง ยัยจูนถึงกับหัวเราะลั่นซุ้ม

      "อะไรวะ.... แค่นี้ก็กลัว...กลัวผู้หญิงเหรอ" ยัยจูนหัวเราะสะใจ

      "ครับ" เขาตอบหน้าเจื่อน ๆ

      "ล้อเล่นน่า...พวกเราไม่ทำร้ายผู้ชายหน้าตาดีหรอกน่า นาน ๆ จะหลุดมาสักคน"

      โอ้ว้าว เพื่อนตู แสบได้ใจถ้วนหน้า

      แล้ววันนั้นก็ผ่านไปด้วยความสนุกสนาน ปิติโดนไปหลายอยู่ แต่เขาก็ยิ้มร่าเริงและสนุกกับชีวิตมหาวิทยาลัยแม้เพียงชั่วหนึ่งวัน ความสัมพันธ์เราดีขึ้น แต่สิ่งที่แปลก ๆ ไป เขาพูดก่อนจะแยกกลับบ้านว่า

      "ผมว่าคุณน่ารักนะครับ คุณมีอะไรที่ผมไม่มี ผมรู้สึกว่าเราแตกต่างกันเหลือเกิน"

      "ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ ต้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน ไม่ได้หมายความว่าต้าไฮโซสักหน่อย"

      "ก็ไม่เชิงหรอกครับ แต่คุณเก่ง แล้วก็มั่นใจแล้วก็กล้าหาญ ตรงข้ามกับผมเลย"

      เขาตัดพ้อเล็กน้อยกับความเป็นไปในชีวิตของเขา เมื่อเทียบกับฉัน ฉันไม่พูดอะไรได้แต่ออกตัวว่าไม่จริง เราเหมือนกัน ไม่มีสิ่งใดแตกต่าง จนกระทั่งผ่านไปหลายเดือนเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันเลย มีเพียงเสียงตามสายที่เขาโทรหาฉัน หรือไม่ฉันก็โทรหาเขาบ้าง (แต่ไม่บ่อยหรอกเพราะเกรงใจที่บ้านเขา) สุดท้าย ยังไงยังไง ปิติไม่ยอมออกมาพบฉัน ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร จนฉันเริ่มหมดใจจะสานสัมพันธ์ แล้วเขาวันนั้นเขาก็โทรมาขอนัดพบ

      "เสาร์นี้สะดวกไหมครับ ผมอยากเจอตาต้า ผมจะพามาที่บ้าน ตาต้าจะได้รู้จักครอบครัวผม"

      พระเจ้าช่วย เอางี้เลยเหรอ แล้วจะทำไงดี.... แต่งตัวยังไงดี....บ้านจะเป็นยังไงนะ โอพระเจ้า ฉันต้องเตรียมอะไรบ้างนี่...ตื่นเต้นดีจัง เอาวะ....ตายเป็นตาย

      -------------------------------------------------------

      ฉันนัดเจอปิติตอน 9 โมงเช้าที่อนุสาวรีย์ชัย เพื่อขึ้นรถตู้ไปบ้านของเขา ตื่นเต้นซะมาเร็วก่อนนัดตั้งเกือบชั่วโมง โชคดีที่มีร้านกาแฟเปิดหลายร้านให้นั่งเล่นรอ ฉันนั่งมองผู้คนเดินไปมา วิ่งวุ่นขึ้นลงรถเมล์ และเสียงรถไฟฟ้าผ่านบนหัวไปเป็นระยะ แล้วก็มีชายหนุ่มหน้าตาดีที่ฉันรอคอยเดินมา เขาดูแปลกไปด้วยทรงผมใหม่ กางเกงผ้าขายาวกับเสื้อโปโลสีเขียวเข้ม ในมือมีหนังสือพิมพ์สตาร์ซอคเก้อม้วนแน่นอยู่ คงเอามาถือไว้กันเก้อเขินกระมัง

      "สวัสดีครับ มานานรึยังครับ" เสียงทักทายมากับรอยยิ้มที่คุ้นเคย

      "เพิ่งมาถึงค่ะ นั่งเล่นสักพักเอง" ฉันยิ้มแล้วเก็บข้าวของลุกขึ้นจากโต๊ะเดินตามกันไป

      บทสนทนาซักถามถึงเรื่องราวเป็นไปในช่วงที่ห่างหายกันไปหลายเดือน สื่อถึงความห่วงใยในกันและกันไม่น้อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นฉันก็จับใจความที่เป็นเหตุผลหลัก ๆ ได้ว่า การที่เขาห่างหายไปเป็นเพราะ เขากลับไปตั้งหลักและเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เขามีความรู้สึกว่า เขาไม่คู่ควรกับฉันเลยในตอนนั้นที่พบกัน เขารู้สึกว่าฉันอยู่เกินเอื้อมและเขาไม่เหมาะสม แต่วันนี้ วันที่เขาพร้อม รู้สึกว่าตัวเองมีความพร้อมทั้งใจและกายที่จะดูแลและเอาใจใส่ผู้หญิงสักคนหนึ่ง เขาจึงกลับมาขอเริ่มต้นและสานสัมพันธ์กันอีกครั้ง เรานั่งรถมาเกือบชั่วโมง มาถึงบ้านของเขา รถแท๊กซี่เลี้ยวเข้าหมู่บ้านที่มีความหรูหราไม่น้อย จนมาจอดถึงหน้ารั้วที่ล้อมพื้นที่ขนาด 300 กว่าตารางวา มีบ้านปลูกเรียงอยู่ข้างในรั้วสองหลังซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าบ้านหลังอื่น ๆ เดาได้ว่าคงออกแบบและควบคุมการก่อสร้างเอง สวนเรียบง่ายไม่มีต้นไม้ใหญ่ ปิติบอกว่า พ่อไม่ชอบต้นไม้ใหญ่ มันรกตาทำให้สวนดูอึดอัดไป

      ฉันก้าวลงจากรถตามหลังปิติไปติด ๆ มีเด็กสองคนวิ่งเล่นอยู่ในสวน วิ่งรี่มากอดเขา ปิติอุ้มทั้งคู่ขึ้น ด้วยส่วนสูง 180 เซนติเมตรของเขา ทำให้หลานร้องสนุกสนานเพราะกลัวตก เขาเดินนำฉันเข้าไปบ้านหลังแรก แนะนำให้รู้จักกับคุณตาคุณยาย คุณตาเป็นนายตำรวจเกษียณ อยู่บ้านพักผ่อนกับเงินบำนาญที่พออยู่ได้ ยายเป็นครูเกษียณที่ใช้เวลาว่างกับการประกอบกิจกรรมช่วยเหลือบ้านพักคนชราโดยไม่คิดค่าบริการใด ๆ ฉันได้สนทนากับคุณยายมากเป็นพิเศษ คุณยายค่อนข้างโปรดปรานฉันมาก แล้วแม่ของเขาก็ตามมานั่งในวงสนทนาด้วยโดยไม่ถือตัวเลย ฉันเข้าออกบ้านของเขาบ่อยขึ้น ฉันเหมือนลูกคนหนึ่งในบ้าน ชีวิตการคบกันของฉันและปิติ ดูจะไปได้ดี จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันได้กระทำการอาจหาญ ในบ้านของเขา

      มุมมืดที่ฉันไม่รู้จักเขา ด้านที่เป็นมุมอารมณ์ร้ายที่เขาปฏิบัติต่อแม่ ปิติเป็นลูกนายทหารใหญ่ กฎระเบียบในกรมถูกนำมาใช้ในบ้านบ้าง ทำให้เขาเป็นเด็กเก็บกด การที่บิดาเป็นใหญ่ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้ชายเป็นใหญ่ในบ้าน วันนั้นมีเพียงฉัน คุณยาย และปิติ เขาหาของไม่พบ จำต้องโทรถามแม่ เขาเสียงดังจนฉันกับยายต้องเดินมาฟังเขาคุยโทรศัพท์ คำหยาบคายเกินกว่าจะพูดกับบุพการีหลุดออกมาจากปากเขามากมาย จนฉันต้องเดินมาตรงหน้าแล้วบอกให้เขาหยุด แต่เขาก็ไม่หยุดพูดคำเหล่านั้นใส่โทรศัพท์ ยายยืนมองจากประตูบ้านแล้วก็ส่ายหัว ปิติกระแทกหูโทรศัพท์ แล้วตามด้วยคำสบถอีกสองสามคำ ก่อนจะมองหน้าฉัน

      ระบบโกรธอัตโนมัติจากสมองซีกขวาของฉันสั่งงานไปยังซีกซ้ายของสมองให้ออกปฏิกิริยาที่รวดเร็ว ฉันตบหน้าเขาหนึ่งฉาด

      เพี๊ยะ........ะะะะ

      ฉันเท้าสะเอวและเพ่งมองหน้าเขา วินาทีที่หน้าสะบัดไปตามแรงมือกำลังหันกลับมามองฉัน วินาทีที่ยายกำลังจะลมใส่เกาะขอบประตูไว้แน่น ทุกอย่างนิ่งเงียบไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมาหน้าเจื่อน ๆ ใส่ฉัน

      "อย่าให้ได้ยินอีกนะ ว่าใช้คำพวกนี้กับแม่" เขายังเถียงออดแอดว่าแม่ผิด

      "ถ้าเธอกล้าใช้คำพวกนี้กับแม่ แล้วฉันเป็นอย่างไรในอีกสิบปีข้างหน้า ถ้าตัดสินใจอยู่กับเธอ" เขาขอโทษและเอื้อมมือมาเกี่ยวแขนที่เท้าสะเอวของฉัน

      "ไม่ต้องมาขอโทษฉัน ไปขอโทษแม่โน่น เดี๋ยวตอนพบหน้าแม่ ถ้าเธอขึ้นเสียงหรือแสดงกิริยาไม่ดี ฉันจะตบหน้าเธอให้แม่ดูอีกคน ไปแต่งตัวเตรียมไปรับแม่" ฉันหรี่ตาลง เม้มปาก และเดินไปหายาย จูงยายไปนั่งที่ม้าหินหน้าบ้าน ในขณะที่ต้องรอเขาแต่งตัว

      "ยายคะ หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ก้าวร้าวนะคะ แต่หนูรับไม่ได้จริงๆ ค่ะ" ยายยิ้มและลูบศรีษะฉันอย่างเอ็นดู "ไม่เป็นไรหรอกลูก หนูทำถูก หนูเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณ เห็นผิดเห็นชอบ ปราม ๆ มันได้ก็ดี ว่าแต่....ยายละหายใจหายคอไม่ออก ปกติมันต้องสวนกลับไปแล้วนะ นี่มันยอมขอโทษด้วย เฮ้อ  ลมจะใส่" ยายพูดขำ ๆ ติดโล่งใจที่ไม่มีเรื่องใด ๆ ขึ้น แล้วปิติกับฉันนก็ออกไปรับแม่ ปิติไม่กล้าแม้แต่แสดงสายตาใด ๆ พอเขาชักสีหน้าหรือเปลี่ยนน้ำเสียง ฉันก็จะกระแอมแรง ๆ เตือนสติ ก็พอปรามได้อยู่บ้างหรอก

      วันหนึ่งของช่วงปี ที่พ่อและแม่ของเขาจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ คุณยายไม่ค่อยสบาย คุณยายขอร้องให้ฉันมานอนค้างที่บ้านด้วยกัน เพื่อที่จะได้ดูแลยายด้วย ปิติเองก็เห็นด้วยเพราะเขาก็อยากให้มีผู้หญิงมาอยู่ดูแลบ้านแทนแม่เหมือนกัน

      ฉันตอบตกลงไป แต่ไม่รู้ว่าเพราะไม่อยากจะขัดคำขอของผู้ใหญ่หรือว่าเพราะอยากได้อยู่ใกล้เขากันแน่นะ ฉันชักไม่รู้ใจตัวเองแล้วสิ

      ---------------------

      หลังจากที่คบกันมาเกือบสองปี นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะไปนอนค้างบ้านของเขา ไม่ใช่เพราะเราจะผิดวัฒนธรรมใด ๆ เพราะฉันมาตามคำขอของผู้ใหญ่ ปิติพาฉันไปทานข้าวก่อนจะแวะตลาดซื้ออาหารสดไปสำหรับมื้อเย็น ซึ่งฉันจะแสดงฝีมือการปรุงอาหารที่หม่อมแม่อบรมสั่งสอนมาให้คุณตา คุณยาย และเขาได้อิ่มท้องกัน 

      ฉันเข้ามาถึงบ้านด้วยความรู้สึกเฉย ๆ เหมือนว่าใจตัวเองไม่ได้อยากมาเท่าไหร่เลย แต่ฉันก็ทำหน้าที่ให้ดีสมกับที่คุณยายต้องการ ดูแลเอาใจใส่ท่าน ในขณะที่เขาปลีกตัวไปอยู่บ้านหลังของตัวเองซึ่งเมื่อตามไปดูก็พบว่า เขาจมอยู่กับเกมส์เพลย์สเตชั่น เมามันส์กับการกดปุ่มและหน้าดำคร่ำเครียดมาก ฉันยืนมองภาพนั้นนิ่ง ๆ ชั่วแวบหนึ่งในใจคิดอะไรสักอย่างทำให้แสดงอาการส่ายหัว ก่อนจะเดินไปนั่งอ่านหนังสืออยู่เป็นเพื่อนคุณยาย วันนี้ฉันทำงานบ้านกระจุกกระจิกเท่าที่พอทำได้ เพราะอยู่บ้านเฉย ๆ มันน่าเบื่อ ฉันทำโน่นนี่อยู่สี่ห้าชั่วโมงจนบ่ายแก่ ๆ ก็รู้สึกว่าอยากหาอะไรทาน จึงเดินไปดูเขา พระเจ้าช่วย ยังนั่งกดเกมส์อยู่ที่เดิม ฉันเดินไปขวางหน้าจอบอกว่า มาช่วยฉันเตรียมกับข้าวได้ไหม เขาขมวดคิ้วแล้วก็ยิ้มพลางบอกว่า แป๊บนึง ......

      หายจ้อย.... ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ จะหวังอะไรกับการให้ผู้ชายมาช่วยงานครัว ฉันโชว์ฝีมือเสร็จสรรพเองแบบเต็มรูปแบบ แต่ท้ายที่สุดก็ยังดีที่เขามาช่วยล้างจานและทำความสะอาดครัวให้ ก็ยังมีดี

      สองทุ่มกว่า เป็นเวลาปกติที่ยายเข้านอน ยายบอกฉันว่าไม่ต้องเข้านอนพร้อมยายหรอก ให้นั่งดูทีวีและใช้เวลากับปิติ ถ้าง่วงก็มานอนที่บ้านหลังของยายได้ ฉันจึงไปนั่งดูทีวีที่บ้านหลังของเขา เราได้อยู่กันสองคนในห้องรับแขก เขาเป็นผู้ชายที่ไม่ล่วงเกินทางชู้สาวกับผู้หญิง ฉันจึงไม่กังวลเรื่องผิดศีลธรรมใด ๆ จะเกิดขึ้น เรานั่งดูหนังจบเรื่องแล้วก็ออกมานั่งเล่นกลางสวน บ้านชานเมืองเงียบสงัด วันนี้พระจันทน์เป็นใจ ดาวกระจ่างแข่งรัศมีกับแสงจันทน์ ฉันและเขาลากเก้าอี้ผ้าใบมากางและนั่งลงกลางสวน เขาเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับเราสองคนขึ้น

      "คุณคิดว่าเราสองคนจะได้แต่งงานกันไม๊" เขานิ่งเงียบรอฟังคำตอบ

      "ไม่รู้สิ ตาต้าก็ยังไม่ได้คิดขนาดนั้นเลยนะ....." เขาเอื้อมมือมาจับมือของฉันและลูบเบา ๆ

      "ถ้าตาต้าพร้อมกว่านี้ อาจจะคิดอะไรได้ แต่ถ้าคุณอยากได้คำตอบวันนี้ ยังไม่มีคำตอบเลยค่ะ" ฉันมองลอยออกไปบนท้องฟ้ากว้าง

      "ตาต้าครับ.... ผมไม่เคยบอก แต่ที่ผมขอให้ยายชวนคุณมานอนค้างที่บ้าน เพราะผมจะได้คุยกับคุณ แม้ว่าคุณจะตัดสินใจอะไรไม่ได้ตอนนี้ แต่รับรู้ไว้นะครับว่าผมรักคุณครับ" ความเงียบไล่หลังคำพูดของเขา เขาคงกำลังรอดูปฎิกิริยาจากฉัน

      ฉันเหรอ...ฉันเฉย ๆ อ่ะ ไม่เห็นรู้สึกดีใจอะไรเลย ไม่เห็นตื้นตันน้ำตาเต็มบ่อ เอ่อนองสองตาเหมือนเวลาพระเอก บอกรักนางเอกในทีวีเลย ฉันเป็นอะไรไปนี่ ฉันไม่รู้สึกว่าคำ ๆ นั้นมีความหมายอะไรเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉันเลยหันหน้าไปมองเขา กุมมือเขาให้กระชับขึ้น

      "ปิติคะ... ตาต้าก็รู้สึกดีกับคุณนะคะ แต่ส่วนลึกก็ยังไม่กล้าจะรักคุณเต็มหัวใจตอนนี้ เอาเป็นว่าขอดูไปก่อนได้ไหมคะ ตาต้าจะรับความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้นไว้นะคะ"

      ฉันไม่อาจจะเอ่ยปากออกไปได้ว่า ฉันรักเขา นั่นอาจจะเพราะส่วนลึกในใจของฉันไม่ได้รู้สึกแรงกล้าว่ารักนั่นเอง แต่เขาก็เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง แล้วคืนนั้นก็ผ่านไปด้วยความสุขในระดับหนึ่ง เรานั่งรับลมและสนทนาโน่นนี่จนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว รู้อึกทียายก็มาเรียกสองคนให้เข้าบ้านนอน ด้วยความง่วงนอน ปิติเดินโงนเงนเข้าไปหลับต่อในห้องรับแขก ส่วนฉันก็ตื่นมาเดินออกกำลังเป็นเพื่อนคุณยาย

      เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ชีวิตเรียบง่ายแบบแม่บ้าน แต่ฉันอาจจะเบื่อก็ได้นะ แค่คืนเดียวยังมีอาการเซ็ง ๆ ความเงียบเหงาของมันเลย สงสัยคงต้องให้เวลาเป็นคนบอกแล้วล่ะ ว่าเราจะคบกันไปได้แค่ไหน อย่าทำร้ายฉันก็แล้วกัน

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×