คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ราชาแห่งรัตติกาล Demon King บทที่17 หมวกทรงสูง
บทที่17
หมวกทรงสูง
โครก~
เสียงท้องร้องเล็กๆของใครบางคนดังขึ้น เป็นเสียงที่บงบอกว่าถ้าเจ้าตัวไม่รีบหาอะไรลงท้องมันก็จะร้องดังขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อรู้อย่างนั้นเขาก็หันซ้ายและขวาหาเสบียงลงท้อง วันนี้เป็นวันที่สองแล้วที่เขาแอบตามขึ้นรถม้าของพ่อและแม่มาหลังจากได้รับภารกิจจากสำนักงานใหญ่ เขารู้ดีว่าที่ทำไปมันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรสุดๆ
ในขณะที่เขากำลังเอาขนมปังออกจากกระเป๋าใบน้อยที่เขาแอบเอาเข้ามาด้วย เขาถึงกับผงะในสิ่งที่เห็น ขนมปังที่แอบขโมยในห้องครัวที่ยัดเต็มกระเป๋าตอนนี้เหลือเพียงขนมปังก้อนเล็กๆเพียงไม่กี่ชิ้น
ถึงแม้รถม้าที่เขาขึ้นจะเป็นรถขนเสบียง แต่เสบียงในรถคันนี้กลับไม่มีอาหารอะไรนอกจากอาหารกระป๋องที่มีดีแค่สารอาหารครบแต่ไร้รสชาติ
เขาถอนหายใจเบาๆก่อนที่จะหยิบขนมปังชิ้นเล็กๆและคิดว่าพออิ่มที่สุดมาเคี้ยว พลางนึกว่าทำไมตัวเขาถึงไม่นั่งรอพ่อและแม่ดีๆแทนที่ตัวเองจะมานั่งไม้แข็งๆชื้นๆกับขนมปังที่เย็นและหยาบเช่นนี้ แต่แล้วมันก็เป็นเพียงความคิดเขาเชื่อเสมอว่าสิ่งที่เขาทำถึงแม้มันไม่สมควรแต่เขาคิดว่าเขาทำถูกแล้ว ต่อให้เขารอพวกท่านทั้งสองอยู่บ้าน…มันก็ไม่ต่างกลับเมื่อก่อนเช่นกัน
อย่างน้อยการไปครั้งนี้เขาก็ยังสามารถใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ได้มากกว่าการนั่งรอพวกท่านที่กลับมาได้ไม่ถึงนาที เพราะงั้นเขาทำถูกแล้ว!
รถม้าได้หยุดสักพักพร้อมกับเสียงครึกครื้นของบรรดาผู้คนลอดเข้ามาในหูของเด็กชาย ซึ่งมันทำให้เขารู้ว่าถึงที่หมายแล้ว แต่ว่า…รถม้าก็ได้ขยับอีกครั้งหลังจากจอดได้10นาที คราวนี้ใช้เวลาเดินทางไปอีกครึ่งชั่วโมงมันก็หยุดอีกครั้ง
จากเสียงที่มีเพียงเสียงรถม้า ก็ได้ยินเสียงของคน ซึ่งมันทำให้เด็กชายเงี่ยหูฟังทันที
“เรามาถึงกันแล้วครับ!” เสียงของคนซึ่งคราดว่าจะเป็นคนขับรถม้ากล่าวเสียงดัง
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนลงจากรถ ซึ่งดังตามน้ำหนักสีฝีเท้า…สองคนแรกเด็กชายพอจะรู้ว่าเป็นใคร แต่มีเสียงคนที่สามซึ่งไม่ค่อยชัดแต่พอได้ยินเก้าลงมาคนสุดท้าย
“ที่นี่คือ…ที่ๆพวกชาวบ้านบอกใช่ไหม” เสียงอันคุ้นเคยของพ่อของเขาได้กล่าวขึ้น
“ครับ พวกเราจะต้องเดินไปอีกสัก2กิโลเพราะงั้นพวกเราจะจอดรถม้าไว้ที่นี่ครับ ผมดีใจที่คุณมานะครับคุณ ‘วิลเลี่ยม’ ” และเสียงบุคคลที่คาดว่าจะเป็นคนที่สามที่ลงจากรถม้า
“อืม แล้วทีมสำรวจเราล่วงหน้าก่อนแล้วใช่ไหม ได้รับการติดต่อจากพวกเขาหรือยัง?”
“เรื่องการติดต่อตอนนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินงานครับ”
ทันใดนั้นเสียงคุยกันก็เริ่มเงียบไปสักพัก ก่อนที่พ่อของเขาจะพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ งั้นพวกเราเข้าไปกันเถอะ ถ้าฝ่ายสำรวจเจอปีศาจเข้ามันจะยุ่งยาก”
ทันใดนั้นเสียงทั้งหมดก็หายไป ซึ่งทำให้เด็กชายรู้แล้วว่าพวกเขาเริ่มที่จะออกเดินทางไปทำตามภารกิจ
แต่ทว่า…
แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จภารกิจล่ะ? กี่วัน? กี่ชั่วโมง?
คำถามนั้นยังอยู่ในใจของเด็กชาย เขาตั้งใจไว้ว่าถ้าพ่อและแม่ของเขาเสร็จภารกิจเมื่อไหร่ เขาอาจจะปรากฏตัวหลังจากอดทนมาหลายวันเพื่อที่จะได้อยู่กับพ่อและแม่ของเขาแทนที่จะถูกส่งกลับ เพราะถ้าเสร็จภารกิจเมื่อไหร่พวกเขาอาจจะอยู่ต่อเมืองนี้สักวันสองวันเพื่อเป็นการพักผ่อนก็เป็นได้
เพราะงั้นเด็กชายจึงจะต้องรอให้พ่อและแม่เสร็จภารกิจ แต่ว่า…ถ้าเขาจะรอพ่อและแม่ของเขาซึ่งไม่รู้ว่านานแค่ไหนในรถม้าเก็บอาหารชื้นๆ มีหวังเขาคงขาดอากาศบริสุทธิ์ในการหายใจแน่ๆ
เด็กชายตัดสินใจออกจากรถม้า เขามองซ้ายและขวาเช็คดูผู้คนที่อาจเหลืออยู่รอบนอก เมื่อมองดูอีกทีก็พบกับคนขับรถม้าที่กำลังนอนหลับอยู่
‘ได้โอกาสล่ะ ’ เด็กชายคิดอย่างนั้น
ทันใดนั้นเขาก็วิ่งด้วยฝีเท้าด้วยความรวดเร็วและเงียบที่สุด ออกห่างจากตัวรถม้าเขาวิ่งตรงไปข้างหน้าทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
แต่ว่าถ้าเป็นการฆ่าเวลาเพื่อรอให้พ่อและแม่ของเขาทำภารกิจ มันจะดีกว่าถ้าเขาออกมาข้างนอกแทนที่จะอยู่ในที่แคบๆชื้นๆในรถม้า และเขาจะตั้งใจไม่ออกห่างจากตรงนี่นักเพื่อสังเกตุว่าพ่อและแม่ของเขาจะกลับมาเมื่อไหร่
ในขณะที่วิ่งออกจากตัวรถม้ามานิดเดียว เขาก็พบกับลานกว้างๆและมีบ่อน้ำเล็กๆ ที่นั้นเต็มไปด้วยหญ้าเขียวๆและดอกไม้หลายพันธุ์ เหมาะอย่างยิ่งที่จะฆ่าเวลา
ทันใดนั้นเขาก็หยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าที่เอามาด้วยหนึ่งเล่ม ก่อนจะเดินไปนั่งที่ร่มไม้และตั้งใจอ่านมัน หนังสือเล่มนี่เขาจงใจหยิบมันมาด้วย เพราะเขารู้ดีว่าจะต้องมานั่งรอพ่อและแม่ท่ามกลางความเบื่อหน่ายแน่นอน
อากาศที่นี่ถือว่าดีมาก ต้นไม้พืชพันธ์ถือว่าสมบูรณ์ดีแถมลมเย็นดีด้วยแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมผู้คนถึงไม่มาอยู่ที่นี่ ถึงแม้จะห่างจากหมูบ้านไม่มากเกินไปก็น่าจะมีคนอยู่ที่นี่สักครอบครัวสองครอบครัว ทั้งที่เป็นที่ๆวิเศษแท้ๆ เด็กชายคิดพลางหลับตาสักพักพร้อมกับลมที่ผัดผ่านหน้าไป…
“…” เด็กชายลืมตาตื่นขึ้น ก็พบว่าตัวเองนั้นเผลอหลับไป!
เขาเริ่มประมวลสมองเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปดูรอบๆขากตื่นตระนก
หายไป…รถม้าได้หายไปแล้ว!
เมื่อรู้อย่างนั้นเขาก็รีบวิ่งไปยังที่จอดรถม้าให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ เมื่อเขาไปถึงก็พบกับความว่างเปล่า คราดว่ารถม้าเพิ่งออกไปได้ไม่กี่นาทีเพราะรอยเท้ามันยังดูใหม่อยู่เลย
ทำไมรถม้าถึงออกจากที่นี่…เด็กชายคิดอย่างสงสัย หรือว่า…พ่อกับแม่ของเขาจะทำภารกิจเสร็จแล้ว เป็นไปไม่ได้…อย่างน้อยพวกเขาก็ใช่เวลาสัก2-3ชั่วโมงในการปราบปีศาจ ในเวลาเดินทางอีกล่ะ รวมๆแล้ว4ชั่วโมงได้ แต่ว่าตอนนี้เพิ่งผ่านไม่ถึงชั่วโมงเลยนะ เขาลองมองพระอาทิตย์อีกที มันเคลื่อนไปไม่มากเท่าไหร่แสดงว่าเขาเพิ่งหลับได้ไม่ถึงชั่วโมงตามที่คิดไว้
เด็กอย่างนิ่งและใช้สมองทบทวนสิ่งเกิดขึ้นสักพัก ก่อนจะมองดูรอยที่อยู่บนพื้นอย่างลอยๆ เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี…
[เมื่อหลายนาทีก่อนในป่าลึก]
‘ถึงตรงนี่แล้ว เราจะต้องเดินไปกี่นาที’
วิลเลียมผู้ขึ้นหลังจากเดินมาได้หลายกิโล โดยมีไอริสเดินตามหลังติดๆ พวกเขานั้นเดินกันมาหลายนาทีโดยไม่พักเลยแม้แต่น้อย
‘เดินไปสัก2-3นาที ก็ถึงแล้วครับ อีกเดี๋ยวก็จะเจอทีมสำรวจของพวกผมแล้วครับ’ ชายที่เดินนำหน้าทั้งคู่กล่าวขึ้น
‘อืมดีเหมือนกัน เพราะพวกเราเดินกันมาหลายกิโลแล้ว แต่ต้องขอบคุณ คุณมากเลยที่อุตสาห์มาคอยนำทางพวกเรา แถมยังรอพวกเราที่หน้าหมู่บ้านอีก’
‘ไม่หรอกครับ คุณ วิลเลียม ผมแค่ทำตามหัวหน้าเท่านั้นเอง เขาสั่งให้ผมนำทางพวกคุณตั้งแต่แรกแล้วเพราะงั้นผมต้องมารอพวกคุณแทนพวกที่ไปสำรวจก่อนหน้านี้’
‘แล้วเรื่องปีศาจล่ะ คุณเห็นพวกมันหรือเปล่า’ วิลเลี่ยมถามขึ้น
‘เรื่องปีศาจผมก็ไม่แน่ชัดเท่าไหร่เพราะเรายังอยู่ในช่วงกำลังติดต่อครับ ถ้าไปถึงที่ๆเรานัดกันไว้ ผมมั่นใจ…ว่าจะต้องมีปีศาจ100เปอรเซ็นต์ครับ…’
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทั้งวิลเลี่ยมและไอริสก็ไม่มีใครพูดอีก จนกระทั้งชายที่อยู่ทีมสำรวจก็พาพวกเขามาหยุดๆอยู่พื้นที่กว้างๆแต่ไม่มากนัก มองไปทางไหนก็มีแต่ป่าแถมยังมองไม่เห็นทางออก ถ้าไม่ใช่คนที่รู้จักป่านี่จริงๆคงหลงทางแล้วแน่ๆ
‘ถึงแล้วหรอ ที่นี่คือที่ๆเรานัดพวกเขาไว้ใช่ไหม’ วิลเลียมถามขึ้น แต่ว่าชายคนที่ยืนอยู่ข้างหน้ากลับยืนนิ่งๆ ทำให้วิลเลี่ยมต้องถามอีกรอบ
‘เฮ้ นายเป็นไรหรือเปล่า’ วิลเลียมถามอีกรอบ แต่ก็ได้ความเงียบกับมา…
‘หึ มนุษย์หนอมนุษย์ ช่างโง่เขลาซะจริง…พวกมันไม่มีทางมาหรอก’
‘นายหมายความว่า…ไง’
เมื่อได้ยินอย่างนั้นชายที่อยู่ตรงหน้าก็หัวเราะเสียงดังอย่างกับคนที่เสียสติ ก่อนที่จะหันหน้ามาซึ่งมันทำให้พวกเราทั้งสองแทบช็อค
ใบหน้าของชายคนนั้น เหมือนกับศพที่ตายแล้วหลายวัน ใบหน้าซีดและผอมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งต่างกับตอนแรกที่พบกันมากๆ
‘ชิ! ร่างนี้ก็ไม่ไหวแล้วหรอเนี่ย ไม่เป็นไรเพราะต่อไปก็ไม่ได้ใช้แล้ว’ เขาพูดพลางแสยะยิ้ม
‘แก! แกทำอะไรกับพวกเขา!!’ วิลเลี่ยมและไอริส รีบขว้าอาวุธมาไว้ในมือ
‘ทำอะไรงั้นหรอ พวกมันผิดเองที่เขามาที่นี่และหมูบ้านแห่งนี้ ชั้นไม่สบอารมณ์เลยก็เลยไปต้อนรับนิดๆหน่อยๆ แถมสัตว์เลี้ยงของข้ามันก็หิวพอดีด้วย ก็ช่วยไม่ได้นิเนอะที่จะให้อาหารมัน!’
เปาะ!
ชายคนนั้นดีดนิ้วเสียงดัง ใบหน้าตอนนี้แสยะเหมือนได้รับความสุขเต็มเปี่ยม ซึ่งทำให้ทั้งคู่จับอาวุธแน่นยิ่งขึ้น
ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกำลังเดินมา เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ
‘แกจะทำอะไรไอ้ปีศาจ!!!’
“ว้า…โดนเรียกซะแล้ว ไหนๆแล้วก็ออกมาต้อนรับดีกว่า” เมื่อพูดอย่างนั้นร่างกายที่เป็นดั่งศพเดินได้ก็ค่อยๆสลายหายไป ทั้งใบหน้า ผิวหนัง และเสื้อผ้า สลายหายไปในอากาศอย่างหมดสิ้น ทั้งสองได้แต่ยืนมองการสลายไปของร่างศพอย่างนิ่งๆ เมื่อมันหายไปหมดพวกเขาก็ต้องอึ้งกับสิ่งที่เห็น
ชายหน้าตาดีสวมหมวกทรงสูงที่ตัดกับผมสีขาวที่ยาวถึงกลางหลัง ดวงตาสีแดงฉานกำลังแสยะยิ้มที่มุมปาก เขาสวมเสื้อสูทสีดำราคาแพงซึ้งเข้ากันมากๆกับสีผิวขาวชีด ก่อนที่เขาจะขยับปากอันเรียวของเขา
‘ยินดีที่รู้จัก ผม ลอร์ด เคมบริดจ์ ผู้รับหน้าที่ดูแลเขตที่13 ขอต้อนรับพวกท่าน’ เขาพูดพลางโค้งถอดหมวกอย่างสุภาพ ‘และ…นี่คือสัตว์เลี้ยงของผม’ เขาพูดพลางกลางแขนออกทั้งสองข้าง
เสียงบางอย่างที่กำลังเดินตอนนี้มันได้หยุดลง เมื่อปรากฏสิ่งที่ไม่น่าเชื่อและไม่เคยพบเห็น ปีศาจรูปร่างหน้าตาคล้ายสุนัขสีดำสองตัวกำลังยืนอยู่ข้างชายผู้นั้น แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่แทบก้าวขาไม่ออกก็คือ ปีศาจตัวนั้นสูงมากกว่า5เมตร!
‘ไอริส…’ วิลเลียมเรียกภรรยาที่ยินอยู่ข้างๆตนเอง แต่สายตาตอนนี้กลับจ้องปีศาจสองตัวนั้น
‘ค่ะ…’ ไอริสตอบวิลเลียมด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย
‘เธอรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง…รีบส่งสัญญาณซะ เราเจอปัญหาใหญ่แล้ว…’
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รีบแต่งจนไม่ตรวจคำผิดเลย ยังไงก็ขอบคุณอีกเข้ามาอ่านนิยายนะคะ ผิดตรงไหนก็ขออภัยด้วย
ความคิดเห็น