เธอ
ผู้เข้าชมรวม
231
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เธอ
“ผม ทาจิมะ คัตสึโตะ เป็นนักเรียนใหม่ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
สิ้นเสียงนั้นก็พลันปรากฏเสียงปรบมือของเหล่าหญิงชายดังกึกก้องไปทั่วห้องเรียน บุรุษหนุ่มผู้มีเรือนผมและดวงตาสีนิลดำ ผิวขาวเนียนสูงเกือบ 180 เซนติเมตรในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนชายมัธยมปลาย เสื้อเชิ้ตขาวสะอาดกับเนกไทแดงสดถูกสวมทับด้วยเสื้อสูทแขนยาวกับกางเกงสีดำเช่นกัน อกซ้ายประดับตราสถาบัน กระเป๋าเป้สะพายหลังสีเทาหม่นและรองเท้าหนังคู่ใหม่เอี่ยมเป็นเครื่องยืนยันการันตีอันดีเยี่ยมว่า คนตรงหน้าชั้นเป็นนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่จริงๆ
ผมที่นั่งเท้าคางอยู่หลังห้องเรียนพลางเหลือบมองนักเรียนใหม่สักระนะ ก่อนจะเบนสายกลับเพื่อเหม่อมองท้องฟ้ายามเช้าตรู่แสนสดใสในวันแรกของการเปิดเรียนในเทอม 2 …มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรสำหรับการมีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่ในช่วงนี้
เพียงแค่มันไม่เกิดขึ้นบ่อยก็เท่านั้น
เรือนผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นระบ่า ดวงเนตรสีฟ้าสวมแว่นตาทรงเหลี่ยมประดับใบหน้าดูเป็นเด็กเรียน ชุดอาภรณ์ที่ใส่เหมือนกับนักเรียนใหม่คนดังกล่าวทุกประการ โต๊ะที่นั่งของผมคือด้านหลังห้องโดยวางชิดติดริมหน้าต่าง ช่างเป็นตำแหน่งที่เหมาะเจาะสำหรับการชิมวิวทิวทัศน์เมืองโตเกียวไปพลาง นั่งเรียนไปพลางจริงๆ
อาซามะ เรียว ...นั่นคือชื่อของผมเอง
“เอาล่ะๆ” คุณครูประจำชั้นสาวสุดสวยปรบมือเสียงดังสองสามที พลางตะโกนเรียกให้นักเรียนทุกคนสงบสติอารมณ์ “...ส่วนที่นั่งของเธอก็เลือกเอาตามใจชอบเลยนะ”
“ขอบคุณครับ” นักเรียนใหม่เพียงโค้งตัวลงเล็กน้อยและกล่าวคำขอบคุณเสียงไร้อารมณ์ ก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะตัวว่างที่หมายตาเอาไว้ตั้งแต่เขาก้าวเข้ามายังห้องเรียนใหม่ในสถานศึกษาที่ใหม่แห่งนี้ ...ผมยังคงนั่งเท้าคางพลางชำเลืองมองอยู่ห่างๆ โดยมีมือซ้ายที่อยู่ไม่นิ่งกำลังเคาะโต๊ะบรรเลงจังหวะกลองไม่หยุด
“ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็มาถามฉันได้เลยนะ” หญิงสาวผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าห้อง เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวย ดวงตาสีเขียวมรกตช่างเจิดจรัส พวงแก้มสีชมพูระเรื่อกับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่จริงใจนั้นทำให้เธอมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ส่วนสูงเพียงแค่ถึงไหล่ผมหรือราว 160 เซนติเมตร สวมชุดยูนิฟอร์มหญิงของโรงเรียนเป็นเสื้อกะลาปกสีมืดและผูกโบว์สีแดงประดับแต่ง กระโปรงพลิ้วดุจดำลวดลายตาราง ถุงเท้าสีขาวตัดกับรองเท้าหนังสีดำของผู้หญิง
โดยรวมแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง
โยรุอิจิ ยูกิเนะ ...นั่นคือชื่อของเธอ
“อืม ได้สิ”
ทาจิมะตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หัวหน้าห้องสาวจึงเพียงคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะกลับไปนั่งที่ตัวเองเหมือนเดิมเพราะคาบเรียนภาคเช้ากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ...ท่ามกลางดวงตาสีฟ้าหลังกรอบแว่นที่จ้องเขม็งอย่างไม่สบอารมณ์ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ความรู้สึกประหลาดๆ ที่อยู่ในใจของผมนั่นมันคืออะไร?
‘...เธอเป็นคนยิ้มเก่งและร่าเริง ...ต่างจากผมที่เป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร’
แต่ที่ๆ แน่คือผมรู้สึกหงุดหงิดเวลาที่เห็นเจ้านั่นหรือผู้ชายคนอื่นไปคุยกับเธอ
“ขอโทษนะที่ต้องลำบากให้ช่วยอยู่เรื่อยเลย” ยูกิเนะพูดยิ้มๆ ในมือถือปึกเอกสารกองใหญ่เช่นเดียวกับในมือของผมที่มีมากกว่าเธอเกือบเท่าหนึ่ง เป็นประจำที่หัวหน้าห้องมักจะได้รับการไหว้วานจากคุณครูอาจารย์ประจำวิชาทั้งหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นงานเกี่ยวกับยกเอกสารเช่นนี้และเธอก็มักจะมาขอร้องผมให้ช่วยซึ่งผมเคยไม่ปฏิเสธเลยสักครั้งเดียว
...เพียงแค่ผมสบสายตาและเผลอมองรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเธอคนนั้น หัวใจเจ้ากรรมมันก็เต้นแรงจนผิดจังหวะ เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้าเลยพลันเปลี่ยนจากสีครีมเป็นสีแดงเพราะความเขินอาย ก่อนผมจะเบนศีรษะหนีไปอีกทางอย่างรวดเร็ว!
“ม...ไม่หรอก” ผมพูดตะกุกตะกักตอบกลับไป เธอคนนั้นหัวเราะคิกคักเสียงหวานใสชวนฟังราวกับชอบใจที่ได้เห็นอาการร้อนรนของผม ผมนิ่งเงียบไม่โต้ตอบและเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่ลืมชำเลืองมองเธอด้วยหางตาเป็นระยะๆ ครั้นเมื่อสบสายตาด้วยก็หลบตาแทบไม่ทัน
“เป็นอะไรเหรอ เรียวจัง?” ยูกิเนะสังเกตเห็นความปิดปกติบางอย่างในตัวผมก่อนจะรีบเดินมาดักหน้าผมจนทำให้ขบวนสัญจรของเราหยุดชะงักลง “…สีหน้าดูไม่ดีเลย” ว่าแล้วเธอก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมเหมือนจะตรวจเช็คดูอาการ หญิงสาวต้องเขย่งปลายเท้าเพราะส่วนสูงระหว่างเธอกับผมนั้นต่างกันอยู่หลายโข
‘เธอเป็นคนที่ชอบห่วงใยและใส่ใจคนอื่น ...ต่างจากผมที่ห่วงตัวเองและคนที่รักเท่านั้น’
“ป...เปล่า!” ผมปฏิเสธเสียงสูงก่อนจะผละตัวออกและเดินหนีไปในทันที...
วันเวลาที่หมุนผ่านไป 1 เดือนนั้นไวเหมือนโกหก เจ้านักเรียนใหม่เป็นพวกอัธยาศัยดีอยู่แล้วจึงมีเพื่อนในห้องมากมายก่ายกองต่างจากวันแรกลิบลับเลย ...วันนี้หรือวันพฤหัสบดีของทุกสัปดาห์ ทางห้องเรามีการเรียนวิชาพละศึกษานั่นทำให้เหล่านักเรียนต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ ผมยังคงอยู่ในลุคเดิมเหมือนเช่นเคยคือผมสั้นสีน้ำตาลกับดวงตาสีฟ้าหลังกรอบแว่นเหลี่ยม ในชุดยูนิฟอร์มกีฬาของโรงเรียนคือเสื้อแขนสั้นสีขาว กางเกงขาสั้นสีดำและรองเท้าพละ
ส่วนของนักเรียนหญิงต่างกันเพียงเปลี่ยนเป็นกางเกงบลูมเมอร์สีดำเท่านั้น
ผมรู้สึกเหนื่อยใจหลังจากได้ยินคำพูดจากอาจารย์ประจำวิชาที่บอกว่าวันนี้จะมีการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายอย่างการวิ่งรอบสนาม ดวงตาสีฟ้าคู่เดิมของผมยังคงจับจ้องเรือนร่างอรชรของเธอคนนั้นอยู่ไม่ห่าง และในสายตาของผม ...เธอเป็นคนเดียวที่เจิดจรัสกว่าใครในกลุ่มเพื่อนผู้หญิง
ว่าแล้วก็อดคลี่รอยยิ้มออกมาไม่ได้
“เสร็จฉันล่ะ!” ทาจิมะตวัดมือขวาคว้าแว่นของผมไปต่อหน้าต่อตาเจ้าของเช่นผมและเหล่าเพื่อนฝูง เป็นจังหวะเดียวกับทัศนียภาพจากที่เคยชัดใสแจ๋วกลับต้องมามัวหมองเพราะสายตาสั้นเกือบสามร้อย ผมเพ่งสายตามองไปรอบๆ อย่างร้อนรนเพื่อมองหาเจ้าตัวการที่บังอาจแย่งของสำคัญไป
“ฉันอยู่นี่เว้ยไอ้แว่น!” ทาจิมะโบกมือทั้งสองข้างไปมาราวกับจะบอกว่าตัวเองอยู่ตรงนี้
“แน่จริงก็จับให้ได้สิ!”
สิ้นคำกล่าวนั้นร่างสูงของชายผมดำก็รีบวิ่งแจ้นไปโดยไม่รอเจ้าของแว่นอย่างผมเลย ผมกัดฟันตัดสินใจรีบวิ่งตามไปโดยเร็วเพื่อหวังแย่งเอาของสำคัญกลับคืนมา
“อ...เอาคืนมานะ!” มือขวาของผมเกือบจะคว้าจับแว่นตาทรงเหลี่ยมได้แล้ว แต่เจ้าทาจิมะกลับแกล้งด้วยการพยายามชักมือหลบเสียทุกที นักเรียนใหม่ยิ้มร่าราวกับสนุกสนานในความทุกข์ของผู้อื่นเช่นผม และยังจะทำต่อไปจนกว่าจะพอใจ
โดยเจ้าตัวป่วนไม่ทันสังเกตเลยว่า ผมเริ่มออกอาการเหนื่อยหอบขนาดไหน
“อ...เอาแว่นฉันคืน ม...มานะเว้ย!”
ผมเริ่มหอบหายใจถี่พลางวิ่งไล่เจ้านักเรียนใหม่ไปทั่วสนาม ทาจิมะยังคงหัวเราะสนุกสนานโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรเลยสักนิดเดียว เสียงเริ่มดังเอะอะโวยวายของเหล่าเพื่อนฝูงเพศชายที่เริ่มเห็นลางไม่ดี จึงรีบตะโกนบอกให้เจ้านักเรียนใหม่มันหยุดโดยเร็วก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่ตามมา
“เฮ้ย! เลิกแกล้งเจ้าอาซามะมันได้แล้ว!” หลังจากนั้นก็มีเสียงเหล่านี้ดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นทำนองเดียวกันว่าให้เจ้านักเรียนใหม่สุดป่วนหยุดแกล้งเพื่อนได้แล้ว
แต่คนอย่างทาจิมะฟังคำพูดพวกนั้นซะทีไหน!
“ฮ่าๆๆ จ้างให้ก็ไม่หยุดเว้ย!” ตัวป่วนประจำห้องยังคงวิ่งพล่านไปทั่วสนาม ท่ามกลางสายตาของเหล่าเพื่อนฝูงที่ชักใจคอไม่ดี เสียงเอะอะโวยวายเหล่านั้นทำให้กลุ่มนักเรียนหญิงที่จับกลุ่มคนกันเริ่มสนอกสนใจว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น...
ดวงตาดุจอัญมณีของยูกิเนะพลันเบิกกว้าง ก่อนที่เธอจะรีบดันตัวลุกขึ้นยืนจากพื้นหญ้าข้างสนาม และวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
‘...แม่ฝากหนูช่วยดูแลเรียวด้วยนะ’
ตัวผมเริ่มเหนื่อยล้าจากการออกแรงกายวิ่งไล่ตามเจ้านักเรียนใหม่จนทั่วสนามฟุตบอล สายตาของผมเริ่มพล่ามัวพร้อมกับสติที่ใกล้หลุดลอย ลมหายใจหอบถี่ทำเอาผมหน้ามืดและเริ่มยืนไม่ไหวอยู่รอมร่อ ก่อนจะทรุดตัวล้มลงอย่างหมดเรี่ยวไร้แรงในเวลาต่อมา
“เรียวจัง!” ยูกิเนะวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาร่างของผมที่กำลังพลิกตัวให้นอนหงาย
“มะ..ไม่เป็นอะไรนะ ทำใจดีๆ ไว้...” เสียงหอบหายใจรุนแรงของผมแสดงถึงความเหนื่อยสร้างความกังวลตัวหญิงสาวเป็นอย่างมาก อาจารย์พละหนุ่มรีบวิ่งเข้ามาหาผู้ป่วยก่อนจะสายเกินแก้เพื่อพาไปห้องพยาบาลด่วน ...ส่วนเจ้าตัวก่อเรื่องอย่างทาจิมะตอนนี้กำลังทำหน้าหงอยเหมือนสำนึกผิด ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ผู้ป่วยหรือผมพลางยื่นแว่นตาคืนพร้อมกล่าวคำขอโทษ
“ฉ...ฉันขอโทษ”
เพียะ!
ใบหน้าของทาจิมะสะบัดตามแรงตบของหญิงสาว ยูกิเนะเม้มปากราวกับข่มน้ำตาที่คลอเบ้าจวนจะร้องไห้ ตัวป่วนไม่กล่าวอะไรหรือจะเรียกว่าไม่มีข้อโต้แย้งในความผิด เพราะเดิมทีต้นเหตุของเรื่องราวมันก็เริ่มจากตัวเขาที่ดันไปเล่นพิเรนทร์หรืออะไรไม่เข้าท่า หัวหน้าห้องตวาดเสียงดังก่อนจะคว้าเอาแว่นตาทรงเหลี่ยมของผมจากมือนักเรียนใหม่มา
“อย่ามายุ่งกับเขาอีก!!”
สิ้นคำสั่งจากท่านหัวหน้าห้อง ทาจิมะเพียงยืนนิ่งไม่ตอบ เขาหมุนร่างและเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมห้องแต่โดยดี ครูพละวิ่งเข้ามาถึงก็จัดการล้วงกระเป๋าผมเพื่อหยิบเอาเครื่องพ่นละอองยาแก้หอบหืดแบบพกพามาใช้งานเพื่อบรรเทาอาการให้ทุเลา ก่อนจะช้อนร่างผมขึ้นและรีบพาตัวผมส่งห้องพยาบาลของโรงเรียน ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมห้องทั้งหญิงชายที่เป็นห่วง กับร่างของยูกิเนะที่วิ่งตามไปอย่างเป็นห่วงไม่แพ้กัน
‘เธอเป็นคนที่คอยปกป้องผมมาตลอด ต่างจากผมที่ไม่เคยปกป้องหรือทำอะไรเพื่อเธอ’
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ” ผมกล่าวขอบคุณคุณหมอสุดสวยประจำห้องพยาบาล ข้างกายมียูกิเนะที่คล้องแขนขวาอย่างเป็นห่วงไม่ห่างมันทำให้ผมใจเต้นแรง ผมสลบไปประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมงได้และตอนนี้ก็ใกล้ได้เวลาเลิกเรียนแล้ว
“เรียวจังไม่เป็นไรอะไรแล้วใช่ไหม?”
“อื้ม! ผ...ผมสบายดี” เธอเอ่ยถามอาการอย่างเป็นห่วงพร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมือนจะตรวจเช็คดูให้แน่ใจ แต่เป็นผมที่หน้าแดงระเรื่อและชิงตอบกลับไปก่อน เธอคลี่รอยยิ้มอย่างคลายกังวลซึ่งมันทำให้ผมใจเต้นตุบตับจนไม่เป็นจังหวะ
“พ...พวกเรากลับกันห้องเถอะ” ผมพูดเสนอออกความคิดเห็นซึ่งเธอก็พยักหน้ารับไปเชิงเห็นด้วย พวกเราสองกล่าวคำอำลาอาจารย์พยาบาลก่อนจะเดินออกจากห้องพยาบาลพร้อมกับ ผมเอื้อมมือเลื่อนปิดประตูห้องจนเกิดเสียงครืดเพราะแรงเสียดทาน
ผมที่กำลังจะก้าวเท้าเดินนำแต่กลับถูกใครบางคนสวมกอดจากด้านหลัง กลิ่นน้ำหอมยี่ห้อแบรนด์ดังที่เธอมักจะใช้เป็นประจำทำให้ผมรู้ดีว่าคนๆ นี้เป็นใคร...
“ยูกิเนะ...”
“ฉันกลัว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ “...กลัวว่าจะไม่ได้เจอเรียวจังอีก” หยาดน้ำตาสีใสไหลรินเปื้อนเสื้อผ้าแต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมหนักใจแต่อย่างใด เธอกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นคล้ายจะพิสูจน์คำพูดตัวเอง ผมเอื้อมมือกลับไปลูบผมของเธออย่างอ่อนโยนคล้ายจะปลอบปะโลมใจ
“แต่ตอนนี้ผมก็อยู่นี่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ยูกิเนะเหมือนจะเข้าใจจึงยอมคล้ายอ้อมกอดออกช้าๆ ผมหมุนร่างกลับไปมองและสบสายตากับเธอ ดวงตาสีมรกตคู่งามนั้นสั่นไหวคล้ายจะร้องไห้อีกครั้ง เธอทำท่าจะยกมือปาดคราบน้ำที่เลอะแก้มแต่เป็นผมที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เสียก่อน ...เธออมยิ้มเล็กน้อยและรับมันเอาไว้ด้วยความเต็มใจ
“ขอบใจนะ”
“ม...ไม่เป็นไรหรอก” แสงอาทิตย์ยามเย็นสอดผ่านบานหน้าต่างตึกเรียนที่เปิดกว้างจนเกิดเป็นเงาทอดยาวช่างงดงาม สายลมหนาวพัดผ่านให้เรือนผมสีน้ำตาลสลวยกับกระโปรงยาวพริ้วสวยราวกับเทพธิดาก็ไม่ปาน เสียงตึกตักดังชัดเจนจากอวัยวะในอกซ้ายคือหัวใจของผมมันเต้นแรงเมื่อได้เห็นภาพเธอเบื้องหน้านี้
“เรียวจัง” เธอพูดเอ่ยชื่อของผมอย่างสนิทสนม “...วันเสาร์นี้พวกเราไปเที่ยวกันไหม?”
“อ...อื้ม!” ผมเผลอกล่าวรับคำไม่รู้ตัว ยูกิเนะเหมือนจะดีใจเพราะส่วนใหญ่ผมมักจะใช้เวลาวันหยุดเพื่ออ่านหนังสือเป็นประจำ เธอคว้ามือของผมและกุมเอาไว้อย่างหลวมๆ ก่อนจะเอยถามย้ำเพื่อความแน่ใจให้ชัวร์ว่าเมื่อตะกี้ตัวเองไม่ได้หูฟาด
“จริงๆ นะ!”
ผมพยักหน้ายืนยันก่อนจะคลี่รอยยิ้มอย่างเปี่ยมสุข สมองลองคิดทบทวนกลับไปกลับมาว่าทำไมในครั้งก่อนๆ ตัวผมถึงปฏิเสธคำเชิญชวนของเธอ ถ้ารู้ว่าหากตอบรับแล้วจะได้เห็นภาพเธอดีใจ จะได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสของเธอดังเช่นวันนี้ละก็...
และแล้วก็ถึงวันนัดหมาย…
“ทางนี้เรียวจัง!” เสียงหวานๆ ดังขึ้นเอ่ยทักเรียกให้ผมหันไปมอง ผมก็ยังคงเป็นผมเหมือนเคย บุรุษผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มกับดวงตาสีฟ้าครามหลังกรอบแว่นทรงเหลี่ยม ชุดคอกลมสีดำสวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกางเกงยีนส์คู่เก่งและรองเท้าผ้าใบคู่โปรด
ราวกับโลกทั้งใบหยุดเคลื่อนไหวเพราะสายธารแห่งกาลเวลาพลันหยุดนิ่งลง ท่ามกลางผู้คนมากมายนับร้อยพันคน เธอเป็นคนเดียวที่โดดเด่นและมีเสน่ห์มากที่สุด เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนถูกรวบเก็บเป็นหางม้าปล่อยด้วยโบว์สีขาวเช่นเดียวกับชุดเดรสยาวสีบริสุทธิ์ กระเป๋าสีน้ำตาลสะพายไหล่กับรองเท้าส้นสูงทำให้เธอดูน่าหลงใหล
“เรียวจัง?” เสียงของเธอนั้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด ยูกิเนะเดินเข้ามาประชิดตัวผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “...เป็นอะไรหรือเปล่า? ไม่สบายเหรอ” เธอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเช่นทุกครั้ง ผมลนลานรีบตอบกลับไปในทันที
“ป...เปล่า ผมสบายดี!”
ผมคว้ามือเธอก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อกลบเกลื่อนความอายทันที
“พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ” ว่าแล้วก็รีบเดินเข้าไปในสวนสนุกสุดหรรษาประจำเมืองอย่างรวดเร็ว ยูกิเนะก้มต่ำมองสองมือที่จับประสานกันก็เผยรอยยิ้ม เธอปล่อยมือนั้นแล้ววิ่งไปคล้องแขนผมก่อนจะเป็นฝ่ายพาวิ่งไปเองแทน...
“น่าสนุกจังเลย” เธอกล่าวขึ้นหลังจากเห็นเจ้ารถไฟเหาะตีลังกาสุดหวาดเสียวก็เกิดความอยากจะลองนั่งดูสักครั้ง ไอ้เรื่องเงินทองนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด หากแต่ประเด็นสำคัญคือผมไม่ค่อยถูกโฉลกกับเจ้าของเล่นประเภทนี้!
“ยูกิเนะเล่นเถอะ ด...เดี๋ยวผมนั่งรออยู่ตรงนี้ก็ได้” ผมพยายามหาหนทางรอดจนสถานการณ์ ณ ปัจจุบันอยู่โดยใช้ทุกวิธีการ แต่ดูเหมือนคุณเธอจะไม่ยอมเพราะยังไงก็จะพาผมขึ้นไปเล่นด้วยให้ได้
“ไม่เอา!” เธอทำแก้มป่องคล้ายจะงอนแต่ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ ว่าแล้วเธอก็คว้าข้อมือผมก่อนจะออกแรงดึงเพื่อลากตัวผมไปเล่นเจ้ารถไฟเหาะด้วยกัน ถึงผมจะพยายามปฏิเสธสักแค่ไหน เธอก็ไม่ยอมท่าเดียว
ดังนั้นจึงมีทางเดียวคือการยอมรับชะตากรรม
หลังจากพึ่งผ่านขุมนรกมาหมาดๆ พวกเราสองก็ไปเล่นอะไรต่อมิอะไรตั้งหลายอย่างอาทิเช่นตีตุ่นสนุกสนาน บ้านผีสิงสุดสยองขวัญ พักเที่ยงทานอาหารกลางวัน ต่อด้วยนั่งเรือเป็ด เล่นรถบั๊มกับเรือไวกิ้งสุดหวาดเสียว ม้าหมุนสุดหรรษาและปิดท้ายด้วยการชิงช้าสวรรค์นั่งชมบรรยากาศของเมืองยามเย็น
“สวยจัง” ยูกิเนะเปรยเสียงเบาแต่ถึงกระนั้นผมก็ยังได้ยิน ภาพจิตรกรรมแสนสวยงามของเมืองที่พวกเราอยู่มีฉากหลังเป็นพระอาทิตย์ตกดินที่กำลังทอแสงอัสดงเป็นครั้งสุดท้ายของวัน ท้องฟ้าพลันเปลี่ยนสีและเริ่มปรากฏพระจันทร์อยู่รางๆ ผมและเธอมองภาพเบื้องหน้าด้วยกันในกระเช้าชิงช้าสวรรค์
“...นั่นสิ” ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้นของเธอ
ช่างเป็น ‘ความทรงจำ’ ที่น่าประทับใจเสียจริง
“หืม?” เช้าวันใหม่คือวันจันทร์แสนสดใสกับวันแรกของสัปดาห์ อากาศเริ่มหนาวจนผมต้องใส่ผ้าพันคอที่คุณแม่อันที่เป็นรักถักทอให้เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วกับเสื้อกันหนาวตัวอุ่นสีขาวบริสุทธิ์ที่คุณพ่ออันเป็นที่รักซื้อให้เป็นของขวัญเมื่อครั้งผมเลื่อนชั้นเป็นนักเรียนมัธยมปลาย กับเสียงสุดแปลกใจของผมที่เห็นความปิดปกติบางอย่างหลังจากก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียน
เธอคนนั้น ...ไม่อยู่
‘วันนี้ไม่มาโรงเรียนเหรอ?’ ผมคิดสันนิษฐานอยู่ในใจพลางเดินตรงไปยังโต๊ะเรียนที่นั่งประจำหลังห้อง จากนั้นก็บรรจงเลื่อนเก้าอี้เพื่อกระเป๋าวางกระเป๋าสะพายอย่างเบามือเป็นที่สุด ผมทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคางและทอดสายตามองท้องฟ้ายามเช้าเหมือนเช่นเคย...
“นี่ๆ รู้หรือเปล่าว่าหัวหน้าห้องน่ะย้ายไปเรียนที่ฮอกไกโดแล้ว”
เสียงๆ หนึ่งดังแว่วมาจากกลุ่มนักเรียนหญิง มันเรียกความสนใจให้ผมที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้าอย่างเพลินๆ ต้องเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ เพราะเมื่อตะกี้เหมือนได้ยินอะไรเกี่ยวกับเธอคนนั้น
“จริงเหรอ! กะทันหันแบบนี้เนี่ยนะ”
“เห็นว่าต้องย้ายตามคุณพ่อไปน่ะ...” ดวงตาของผมเบิกกว้างหลังจากได้ยินคำพูดประโยคนั้น ภาพแห่งความทรงจำเมื่อครั้งวันวานย้อนหวนคืนกลับมา และผมก็ไม่รอช้ารีบลุกออกจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว
“...จากโตเกียวไปฮอกไกโดประมาณ 11 ชั่วโมง” ผมพึมพำพูดกับตัวเองเบาๆ พลางมองนาฬิกาข้อมือเพื่อเช็คและคำนวณเวลา ณ ขณะนี้คือเกือบแปดโมงเช้า ฉะนั้นคงถึงสถานที่ปลายทางเมื่อเวลาเกือบ 1 ทุ่มโดยประมาณไม่ขาดไม่เกิน
“นี่นายอย่าวิ่งบนอาคารเรียนสิ!” เสียงดุๆ ของท่านประธานนักเรียนสุดสวย หญิงสาวผู้มีเรือนผมและดวงตาสีดำเหมือนกับเจ้าทาจิมะทุกประการ สัญลักษณ์คณะกรรมการนักเรียนที่ติดแขนเสื้อขวาคือสิ่งยืนยันและคงไม่มีใครในโรงเรียนไม่รู้จักเธอ
ทาจิบานะ อายาเสะ ...นั่นคือชื่อของเธอ
“ผ...ผมขอโทษครับ!”
ว่าแล้วผมก็รีบวิ่งหักหลบลงบันไดไปอย่างรวดเร็วเพื่อหนีการจับกุมของท่านประธาน
“เดี๋ยวสิ!” ประธานนักเรียนสุดสวยเหมือนจะพยายามห้ามแต่กลับไม่เป็นผลเพราะอีกฝ่ายหรือผมได้วิ่งไปไกลเกินกว่าเธอจะตามทันเสียแล้ว หญิงสาวจำหน้าของผู้ชายคนนั้นได้แม่น แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงกล้าทำอะไรที่ผิดระเบียบอย่างการโดดเรียน...
“อาซามะ เรียว ...อันดับหนึ่งของชั้นเรียน”
“ฮ...แฮ่กๆๆ” ผมเริ่มเหนื่อยเพราะไม่เคยวิ่งมาราธอนติดต่อกันนานขนาดนี้ ระยะทางจากโรงเรียนไปยังสถานีรถไฟความเร็วสูงอย่างชินคันเซ็นคือประมาณ 10 กิโลเห็นจะได้ มือขวากระชับเครื่องพ่นละอองยาแบบพกพาเพราะกลัวหล่นและคอยฉีดเพื่อบรรเทาอาการเป็นระยะๆ
ขาของผมเริ่มอ่อนแรงจวนจะวิ่งต่อไปไม่ไหว ถึงสมองผมจะฉลาดปราดเปรื่องแต่ร่างกายกลับไม่ใช่และตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง แต่ไหนแต่ไรแล้งตั้งแต่สมัยเด็กๆ ผมก็มักจะป่วยหนักเป็นประจำจนต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นไม่เว้นวัน คนที่คอยดูแลผมเห็นจะมีแต่คุณพ่อกับคุณแม่ และยูกิเนะเท่านั้น
ชีวิตนี้มีเพียงผู้มีพระคุณทั้งสองและเธอเท่านั้นที่ผมห่วงใยและอยากจะอยู่กับพวกเขาไปนานๆ ความทรงจำเมื่อครั้งวันวานราวกับถูกฉายซ้ำเป็นฉากๆ คล้ายหนังย้อนอดีตไล่มาตั้งแต่ผมจำความได้จวบจนถึงเมื่อวันเสาร์ที่เราสองได้ไปเที่ยวด้วยกัน
‘เรียวจัง’ เธอเป็นทั้งเพื่อนสนิทและเพื่อนสมัยเด็กของผม
‘ไม่เป็นอะไรนะ เรียวจัง’ เธอเป็นคนที่คอยดูแลคอยห่วงใยในวันที่ผมไม่สบาย
‘เรียวจังไปวิ่งเล่นกันเถอะ!’ เธอเป็นคนที่มักจะมาเล่นกับผมเป็นประจำในวันที่ผมเหงา
‘ตรงนี้นะเรียวจัง วิธีแก้สมการแบบนี้คือ...’ เธอเป็นคนที่คอยสอนหนังสือในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ
...ผมไม่อยากจะเสียเธอไป
“ยูกิเนะ” ผมเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
‘สถานีต่อไป สถานีซับโปโระ...’ เสียงสัญญาณบอกเตือนเพื่อรายงานว่าอีกไม่ช้ารถไฟขบวนนี้จะเข้าเทียบชานชาลาในสถานีถัดไปที่จะถึงในอีกมีกี่วินาทีเบื้องหน้านี้ ผมโดยสารนั่งขบวนรถไฟในโบกี้เกือบสุดท้าย และพยายามสอดส่องสายตาเพื่อมองหาด้วยความหวังในใจว่าจะพบเธอคนนั้น
รถไฟรางที่ผมโดยสารเริ่มลดความเร็วลงตามระดับและเข้าเทียบชานชาลาในเวลาต่อมา ประตูอัตโนมัติเปิดอ้าพร้อมกันทุกบานให้ผู้โดยสารลงจากพาหนะเดินทางขบวนยาว ผมลุกขึ้นยืนเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดโดยเลือกที่นั่งติดทางออกเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ครั้นพอก้าวเหยียบสถานีก็ไม่ยืนเฉยให้เสียเวลา สายตาส่องมองหาเธอคนนั้นอย่างเร่งด่วน
“ยูกิเนะ!”
ผมตะโกนเสียงดังก่อนจะรีบวิ่งไปในทันทีเมื่อเห็นเธอ หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเหมือนจะชะงักหยุดชั่วขณะหนึ่งคล้ายกับจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ผมไม่รอช้ารีบสาวเท้าก้าวยาวไปเอื้อมมือแตะไหล่เธอหวังจะพูดคุยเพื่อบอกลา แต่...
“ข...ขอโทษครับ”
หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่ยูกิเนะ ที่เธอหยุดเพราะรู้สึกว่าโทรศัพท์สมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงมันสั่นคล้ายจะมีคนโทรหา ประกอบกับได้ยินเสียงเรียกเข้าเป็นเพลงที่เธอตั้งเอาไว้เพื่อความเป็นเอกลักษณ์จึงหยุดเดินเพื่อตั้งใจจะหยิบขึ้นมาดูก็เท่านั้น
ผมกล่าวคำขออภัยก่อนจะรีบมองหาเธอคนที่กำลังตามหาต่อทันที
“ยูกิเนะ...” ผมพูดเสียงเบาคล้ายจะสิ้นหวัง เพราะตามหามาก็หลายนาทีแล้วก็ไร้วี่แววเธอผู้นั้น ผู้คนจากที่เคยหนาแน่กลับเบาบางลงจนเหลือไม่กี่สิบคนเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ยังไม่ถอดใจยอมแพ้ ผมฝืนร่างกายวิ่งไปที่หน้าปากทางออกอีกครั้งเผื่อโชคดีจะได้เจอเธอคนนั้น แต่...
“...” หิมะบริสุทธิ์ร่วงโรยจากผืนฟ้ายามราตรีลงสู่ผืนดินย้อมสีพื้นเทาให้กลายเป็นขาวโพลน รอยเท้าของผู้คนสัญจรมากมายจนแยะไม่ออกว่าเป็นของใครบ้าง อากาศหนาวเหน็บจนผมต้องกระชับเสื้อหนาวและผ้าพันคอเพิ่มความอบอุ่น ไอควันเกิดเวลาหายใจบอกอุณหภูมิ ณ ตอนนี้ได้เป็นอย่างดี...
สิ้นหวัง
ความรู้สึกนี้มันถาโถมสู่จิตใจของผมอย่างหนักหน่วงจนความหวังที่จะเจอเธอเหมือนอย่างนิยายรักหรือละครน้ำเน่าเวลาพระเอกออกตามมานางเอกแล้วก็เจอกันทุกครั้งไป แต่นี่คือชีวิตจริงที่ทุกสิ่งล้วนถูกชะตาฟ้าลิขิตเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ...ผมจะไม่มีวันได้เจอกับเธออีกครั้ง
“เรียวจัง?”
เสียงหวานของหญิงสาวทำให้ผมหลุดจากภวังค์แห่งความคิด เสียงอันคุ้นเคยเสียงนั้นดังมาขากข้างหลังไม่ห่าง กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ยี่ห้อประจำที่เธอมักใช้ถูกสายลมหนาวพัดโชยมาแตะจมูกผมทำให้ต้องหันร่างกลับไปมอง
สาววัยรุ่นผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลยาวสลวยถึงกลางหลัง ดวงตากลมโตสีมรกตคู่นั้นช่างงดงาม ชุดโค้ทตัวหนาสีขาวหม่น ผ้าพันคอสีชมพูอ่อน กางเกงขายาวีดำกับรองเท้าบูทดูทะมัดทะแมงพร้อมกระเป๋าลากทำให้เธอเหมือนนักเดินทางเที่ยวรอบโลกอย่างไรอย่างนั้น แต่ไม่ว่าเธอจะใส่ชุดอะไร
เธอก็ยังคงเป็นเธอไม่เปลี่ยนแปลง
“มาทำอะไรที่...” ผมคว้าตัวกอดเธอเอาไว้จนหญิงสาวที่กำลังจะกล่าวถามต้องหยุดพูดไป ผมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเหมือนไม่อยากให้เธอจากไปท่ามกลางหิมะขาวที่โปรยปราย ผมกล่าวเสียงเบาคล้ายจะกระซิบให้เธอได้ยินเพียงคนเดียว
“ได้โปรด...อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว” เสียงสะอึกสะอึ้นดังคลอตามมา หยดน้ำตาลูกผู้ชายไหลรินอาบพวงแก้มทั้งสอง “ผมรักเธอนะยูกิเนะ ผมอยากจะอยู่กับเธอตลอดไป ผม ...ผม” มือขวาอันนุ่มนวลของหญิงสาวยกขึ้นลูบศีรษะผมอย่างอ่อนโยนราวกับปลอบประโลมใจ เธอดีใจจนน้ำตาคลอกเบ้า เพราะในที่สุดผมหรือผู้ชายปากแข็งยอมพูดความรู้สึกตัวเองออกมาสักที
“โอ๋ๆๆ...อย่าร้องนะ” เธอพูดติดตลกเหมือนผมเป็นเด็กน้อย น้ำเสียงของเธอดูสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้แต่พยายามอดกลั้นฝืนมันเอาไว้ ยูกิเนะผละตัวออกจากอ้อมกอดเพราะเธออยากจะมองหน้าชายคนที่เธอรักเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าให้เลือกเธอก็ไม่อยากจะจากเขาไปหรอกแต่เพราะคำสั่งคุณพ่อเธอจึงปฏิเสธมันไม่ได้
“ก...กลับไปกับผมน...นะ”
ผมวิงวอนขอร้องเธอตรงหน้า หญิงสาวยกสองมือแตะแก้มพลางคลี่รอยยิ้มอันสดใสเหมือนเช่นทุกวันพร้อมเช็ดปาดหยาดน้ำตาที่เลอะหน้าให้สะอาดเอี่ยม ทั้งสองสบสายตามองกันและยืนนิ่งเงียบไม่พูดจาหรือคุยสนทนาเกือบหนึ่งนาทีก่อนจะยูกิเนะที่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“สัญญากับฉันได้ไหม? ...ว่าจะรอ รอวันที่ฉันกลับไป”
“ม...ไม่” ยังไม่ทันที่ผมจะกล่าวจบ ริมฝีปากอวบอิ่มของผมและเธอก็จุมพิตสัมผัสกัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเอื้อนคำพูดใดๆ ก็สามารถใช้บอกแทนความรู้สึกทั้งหมดในจิตใจของทั้งสองผ่านการกระทำนี้
“...สัญญานะ” เธอถามย้ำอีกครั้ง
“อื้ม” ผมรับปากให้คำสัญญาด้วยสัตย์จริงต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางหิมะขาวที่ร่วงโรยและโปรยปราย ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเท่าไหร่ ความรู้สึกในหัวใจดวงนี้ก็จะไม่มีวันแปรเปลี่ยนไปจากเดิม ...มันจะยังคงรักเธอเพียงคนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง
เปิดเทอมวันแรกของภาคเรียนใหม่กับชั้นเรียนใหม่และนักเรียนใหม่จากห้องอื่นที่ย้ายมาและสอบเข้ามาจากโรงเรียนอื่น ดอกซากุระผลิบานสะพรั่งเต็มต้นใกล้จะร่วงโรย เพราะจวนจะหมดฤดูใบไม้ผลิแล้วเนื่องจากช่วงนี้เป็นกลางเดือนพฤษภาคม ผมเดินขึ้นบันไดเพื่อมุ่งตรงไปยังห้องเรียนใหม่ที่ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของอาคารมัธยมปลายแห่งนี้
“เฮ้ยไอ้เรียว!” เสียงห้าวๆ เรียกชื่อของผมดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมต้องหมุนร่างกลับไปมอง บุรุษหนุ่มเจ้าของเสียงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าทาจิมะ คัตสึโตะหรืออดีตนักเรียนใหม่สุดป่วน ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนสถานะจากไอ้ตัวแสบเป็นหัวหน้าคณะกรรมการรักษากฎระเบียบประจำโรงเรียน
“...อรุณสวัสดิ์เว้ย!”
“อ...อรุณสวัสดิ์
”ว่าแล้วเจ้าตัวแสบก็วิ่งมาตบไหล่ขวาผมจนร่างแทบทรุด จากนั้นก็วิ่งหนีความผิดพลางหัวเราะเสียงลั่นและโบกไม้โบกมืออำลาไปเสียดื้อๆ แล้วก็ไม่พ้นโดนท่านประธานสาวสุดสวยด่าไปตามระเบียบเนื่องจากมีกฎห้ามไม่ให้วิ่งเล่นบนตึกอาคารเรียน เป็นภาพชวนขำทำให้ผมอมยิ้มก่อนจะเดินผ่านไป
ผมกระชับแน่นกระเป๋าสะพายหลังก่อนจะหยุดฝีเท้าและมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียน
สายลมเย็นพัดเอาความเหน็บหนาวติดมาจนผมขนลุกซู่จนต้องเอามือถูแขนพลางป้องปากเป่าควันเพื่อเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย เสียงเจื้อยแจ้วดังแผ่วผ่านช่องว่างระหว่างประตูที่ปิดไม่สนิทบ่งบอกอารมณ์อันร่าเริงมากด้วยความคิดถึงของเหล่าเพื่อนฝูงทั้งหลายหลังจากหยุดปิดเทอมไปเกือบสองเดือน...
จู่ๆ ผมก็คลี่รอยยิ้มอย่างไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าเพราะอะไร เห็นเขาว่าวันนี้จะมีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามาจากโรงเรียนอื่น ผมเองก็ไม่หวังอะไรมากขอแค่ไม่เป็นตัวป่วนสุดแสบชนิดชวนปวดหัวเหมือนเจ้าทาจิมะเป็นพอก็แล้วกัน
แต่ในใจกลับคาดหวังอยู่ลึกๆ ว่านักเรียนใหม่คนดังกล่าวอาจจะเป็นเธอ
เสียงครืดเพราะแรงเสียดทานจากประตูเลื่อนของห้องเรียนใหม่ถูกเปิดออกจนเผยให้เห็นสิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้หลังฉากไม้บานนี้ เป็นภาพบรรยากาศอบอุ่นของเหล่าเพื่อนฝูงมากมายที่จับเข่าเข้ากลุ่มคุยกันอย่างสนิทสนม ดวงตาสีฟ้าครามสอดส่องมองไปเรื่อยจนไปสะดุดหยุดกับนักเรียนหญิงคนหนึ่ง...
สาวสวยผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลยาวสลวยมัดด้วยโบว์ขาวเป็นทรงหางม้า ในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนหญิงคุ้นตา รอยยิ้มแสนสดใส เสียงหัวเราะอันร่างเริงเปี่ยมด้วยความสุขอันล้นปรี่ ดวงเนตรดุจอัญมณีสีมรกตคู่นั้นช่างงดงามน่าหลงใหลไม่เปลี่ยนแปลง หญิงสาวผู้นั้นหันหน้ามาสบสายกับผมพอดิบพอดี และเป็นเธอที่คลี่รอยยิ้มชวนสะกดดั่งต้องมนตรา...
เธอกลับมาแล้ว
‘เธอ’ ...ผู้เป็นที่รักของผม
~ จบบริบูรณ์ ~
ผลงานอื่นๆ ของ TelluriumZ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ TelluriumZ
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น