nexstep0.1
ดู Blog ทั้งหมด

น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย

เขียนโดย nexstep0.1
BackpacksBackpackSchool BackpacksJansport BackpacksVolcom BackpacksBackpack PurseBackpack PursesSling BackpacksTeen BackpacksbackpackDrawstring BackpackLeather BackpacksKids BackpacksLeather Backpackdrawstring backpackDesigner BackpacksRoxy BackpacksBackpack Geargucci backpack bambooSmall BackpackRolling BackpackVera Bradley BackpackDickies BackpackSingle Sling BackpacksRolling Backpack For GirlsDrawstring BackpacksRolling BackpacksVolcom Backpack SalebackpacksJansport BackpackWheeled BackpackBackpack Diaper BagsBackpack Reviewbackpack onlineZebra Print Backpack PursesMessenger BackpacksBackpack DufflesCheap Drawstring BackpacksJansport Big Student Camo BackpackJansport Half Pint Mini BackpackNylon Drawstring BackpackLeather Backpack PurseJansport Big Student BackpackBackpacks In SchoolJansport Backpacks WholesaleDiscount Leather BackpacksLeather Backpack PursesJansport Backpacks 12 In A Case WholesaleJworld Rolling BackpackProtege 20 Sport Rolling BackpackClear Sling BackpacksJansport Backpack RatingsJansport Backpacks In BulkNylon Drawstring BackpacksKids Rolling BackpacksWholesale Children BackpacksCanvas Urban Sling BackpackBoston Red Sox Drawstring BackpackDrawstring Backpack PatternJansport Legend BackpackJansport Carson BackpackBeige Leather Backpack For WomenVintage E.B. Leather BackpackWholesale Nylon Drawstring BackpacksRoller Backpacks For SchoolJansport Wheeled BackpackBest Backpacks For KidsJansport Backpack SaleDrawstring Nike BackpacksExtra Large Acu Military BackpacksVictorinox Rolling BackpacksDiscount Canvas Drawstring Backpack BagsJansport Carson External Frame BackpackLiberty Drawstring BackpackKids Rolling Luggage BackpackJansport Laptop BackpacksWomens Leather Backpack PursesLittle Mermaid Rolling BackpackBest School BackpacksProfessional Leather BackpacksNike Sling BackpacksBackpacks JansportJansport Big Student Carolina Blue BackpackVera Bradley Backpacks WholesaleWheeled Carry On BackpacksSpiderman Drawstring BackpacksLaptop Sling BackpackSchool Clear BackpacksWheeled Computer BackpacksKids Rolling BackpackWomen'S Leather Backpack PursesLeather Backpack GreenMcklein Leather BackpackJansport Super Break BackpacksDickies Mini BackpacksWholesale Prada BackpacksCanvas Drawstring Backpack WholesaleMan Leather BackpackTooled Leather BackpackBackpack SlingBlogBlogBlogBlogBlogBlogBlogBlogBlogBlog
สัญญาณอันตราย น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย คอลัมน์ โลกสามมิติ โดย บัณฑิต คงอินทร์ 
นับเป็นข่าวร้ายของคนทั้งโลก เมื่อนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ข้อมูลน้ำแข็งและหิมะแห่งชาติ(National Snow and Ice Data Center–NSIDC) มหาวิทยาลัยโคโรลาโด ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ของนาซาและมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เผยผลการศึกษาว่า แผ่นน้ำแข็งที่อาร์กติก ขั้วโลกเหนือกำลังละลายอย่างรวดเร็วในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา

เป็นผลทำให้แผ่นน้ำแข็งเกือบ 7 ล้านตารางกิโลเมตรหดตัวเหลือเพียง 5.32 ล้านตารางกิโลเมตร ลดลงไปประมาณ 1.3 ล้านตารางกิโลเมตร หรือขนาดสองเท่าของรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงมาก

การละลายที่รุนแรงนี้เปิดเส้นทางเดินเรือ "Northwest Passage" เส้นทางซึ่งเชื่อมระหว่างยุโรปและเอเชียที่สร้างตำนานการผจญภัยของนัก บุกเบิกซึ่งสูญเสียลูกเรือหลายคนในความพยายามแล่นเรือฝ่าแผ่นน้ำแข็งที่มี ความหนาและสภาพอากาศที่หนาวจัดเมื่อต้นศตวรรษที่ผ่านมา

แผ่นน้ำแข็งอาร์กติกคือบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งอย่าง น้อยที่สุด 15% น้ำแข็งจะเริ่มละลายในฤดูใบไม้ผลิ และจะละลายมากที่สุดในเดือนกันยายนซึ่งเป็นปลายฤดูร้อน และจะฟื้นคืนสภาพเป็นน้ำแข็งอีกครั้งในช่วงฤดูหนาว

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าปรากฏการณ์นี้มีความสำคัญต่อทุกคนบนโลกซึ่งกำลัง เผชิญกับภาวะโลกร้อนและผลกระทบที่ตามมาหลายอย่าง เช่น พายุที่รุนแรงและความแห้งแล้งในหลายพื้นที่ของโลก การละลายของธารน้ำแข็งที่ทวีปแอนตาร์กติกซึ่งทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

ทีมนักวิทยาศาสตร์ของ NSIDC และนาซาทำการศึกษาการลดลงของแผ่นน้ำแข็งที่อาร์กติกโดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม ตั้งแต่ปี 1978 จนถึงเดือนกันยายน 2005 พวกเขาพบว่าแผ่นน้ำแข็งที่อาร์กติกลดลงในอัตราเร่งในช่วงปี 2002-2005 เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการลดลงในช่วงเวลาก่อนหน้าปี 2002

ข้อมูลจากดาวเทียมในช่วงปี 1979-2001 บ่งชี้ว่าอัตราการลดลงของแผ่นน้ำแข็งต่อทศวรรษมากกว่า 6.5% เพียงเล็กน้อย แต่ปี 2002 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 7.3% และปี 2005 ขยับขึ้นไปอีกเป็น 8%


ในขณะที่ปริมาณน้ำแข็งที่คืนสภาพในช่วงฤดูหนาวของปี 2004-2005 มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นอกจากนั้นยังพบว่า ตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมาช่วงเวลาน้ำแข็งละลายในฤดูใบไม้ผลิเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติในบริเวณ ทางตอนเหนือของอลาสกาและไซบีเรีย และในปี 2005 ช่วงเวลาน้ำแข็งละลายทั่วอาร์กติกเร็วขึ้นถึง 17 วัน

อุณหภูมิบริเวณอาร์กติกสูงขึ้นในสองทศวรรษที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบกับ เมื่อ 50 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์พบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2005 สูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของมหาสมุทรอาร์กติก
ประมาณ 2-3 องศาเซลเซียส หรือ 3.6-5.4 องศาฟาห์เรนไฮต์

จูเลียนเน สโตรเฟว นักวิทยาศาสตร์ของ NSIDC บอกว่า เมื่อดูจากปริมาณน้ำแข็งในปี 2005 จนถึงเดือนกันยายน มีปริมาณน้ำแข็งน้อยกว่าในปี 2002 ซึ่งเป็นปีที่น้ำแข็งมีปริมาณน้อยที่สุดมานานกว่าศตวรรษ และว่า ถ้าน้ำแข็งลดลงในอัตราเช่นนี้ต่อไป จะไม่พบน้ำแข็งในฤดูร้อนของอาร์กติกอีกเลยก่อนสิ้นศตวรรษนี้

ดร.มาร์ค เซอร์เรซ นักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งของ NSIDC บอกว่า น้ำแข็งที่อาร์กติกมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและคำอธิบายที่ดีที่สุด ก็คือเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น

นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า แนวโน้มการลดลงของน้ำแข็ง การไม่คืนสภาพของน้ำแข็ง การละลายที่เร็วขึ้นในช่วงดูใบไม้ผลิและอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าอุณหภูมิ เฉลี่ยเป็นฟีดแบ๊คต่ออินพุตของระบบซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ

ฟีดแบ๊คที่สำคัญคืออุณหภูมิที่สูงขึ้น เซอร์เรซอธิบายว่า การลดลงของน้ำแข็งก็เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น และการลดลงของน้ำแข็งจะทำจะให้น้ำแข็งลดลงมากขึ้นไปอีก เพราะน้ำแข็งสีขาวสะท้อนรังสีหรือพลังงานจากดวงอาทิตย์กลับไปยังอวกาศ ขณะที่น้ำทะเลสีเข้มในมหาสมุทรดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์ ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้มหาสมุทรจะร้อนขึ้น เมื่อมหาสมุทรร้อนขึ้นก็ยากที่น้ำทะเลกลับคืนสภาพเป็นน้ำแข็งอีกครั้งในฤดู ใบไม้ร่วงและฤดูหนาว


ในที่สุดการสะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์ของโลกทั้งใบก็ลดลงด้วยขณะที่โลกดูด กลืนพลังงานมากขึ้น โลกก็จะร้อนขึ้น

ผลกระทบจากน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายได้เกิดขึ้นแล้วในระดับท้องถิ่น น้ำทะเลกำลังกัดเซาะชายฝั่งไซบีเรียและอลาสกาทำให้ประชาชนที่อาศัยตามแนวชาย ฝั่งต้องอพยพ ในขณะเดียวกันน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นดินก็กำลังละลายเช่นกัน ความแห้งแล้งอย่างยาวนานที่เกิดขึ้นในรัฐทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ก็อาจจะเป็นผลกระทบอย่างหนึ่งซึ่งนักวิทยาศาสตร์กำลังหาคำตอบกันอยู่

นอกจากผลกระทบต่อมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกก็จะสูญพันธุ์ไปในเวลาไม่เกินศตวรรษนี้เพราะพวกมันอาศัยอยู่บน แผ่นน้ำแข็ง

สิ่งที่หลายคนอยากรู้ก็คือ การเกิดพายุเฮอร์ริเคน "แคทรีนา" และเฮอร์ริเคน "ริตา" ที่มีกำลังรุนแรงเชื่อมโยงกับการละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือซึ่งเปลี่ยน แปลงความหนาแน่นของความชื้นและลมหรือไม่

ยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าทั้งสองปรากฏการณ์เกิดจากสาเหตุเดียวกันคือ สภาวะโลกร้อนจาก "ปรากฏการณ์เรือนกระจก" ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าสภาวะโลกร้อนอาจเกิดจากจุดดำของดวง อาทิตย์

โลกร้อนทำให้เกิดพายุเฮอร์ริเคนอย่างไร? คำอธิบายมีอยู่ว่า พายุเฮอร์ริเคนเกิดในบริเวณที่อุณหภูมิสูง เรือนกระจกทำให้มหาสมุทรร้อนขึ้นซึ่งก็เท่ากับว่าเติมเชื้อให้กับพายุเฮอร์ ริเคนและทำให้มีกำลังแรงขึ้นด้วย

ดร.คลอส วอลเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ของ NOAA"s Climate Diagnostics Center มหาวิทยาลัยโคโลราโด บอกว่า เมื่อเดือนสิงหาคม 2005 ก่อนที่พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาจะถล่มอเมริกาในวันที่ 29 สิงหาคม 2005 นั้น อุณหภูมิของผิวทะเลในอ่าวเม็กซิโกสูงที่สุดในรอบ 100 ปีเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เคยเกิดเฮอร์ริเคนที่มีกำลังแรงระดับ 5 สองลูกซ้อนในฤดูเดียวกันและในที่เดียวกันอีกด้วย "มันเป็นเรื่องที่พิเศษมากที่มีเฮอร์ริเคนสองลูกที่มีความแรงระดับ 5 มาด้วยกันและจากที่เดียวกัน แต่น้ำทะเลทางตะวันตกของฟลอริดาร้อนจริงๆ และร้อนในระดับลึกด้วย เราวัดได้ 79 องศาฟาห์เรนไฮต์ที่ความลึก 150 เมตร"

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ความเชื่อมโยงระหว่างการละลายของน้ำแข็งขั้ว โลกเหนือกับการเกิดพายุเฮอร์ริเคน สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์รู้ในขณะนี้ก็คือโอกาสที่จะเกิดพายุเฮอร์ริเคนที่มี ความรุนแรงและมีจำนวนมากขึ้นในอนาคตมีสูงมาก

ดร.เคอรี เอ็มมานูเอล นักฟิสิกส์ของเอ็มไอที เผยผลการวิจัยในวารสารเนเจอร์ฉบับเดือนสิงหาคม 2005 ว่า ความรุนแรงของพายุเฮอร์ริเคนเพิ่มขึ้นในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา ความเสียหายที่เกิดจากอำนาจการทำลายล้างของพายุเฮอร์ริเคนทางตอนเหนือ ของมหาสมุทรแอตแลนติกมีมากกว่าเกือบเท่าตัวกับที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1970 และพายุเฮอร์ริเคนทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกก็มีกำลัง เพิ่มขึ้นด้วย

และล่าสุด ผลงานวิจัยของศาสตราจารย์ ปิเตอร์ เว็บสเตอร์ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร เจอร์นอล ไซนซ์ ฉบับเดือนกันยายน 2005 ระบุว่า จำนวนพายุเฮอร์ริเคนในมหาสมุทรซึ่งมีความรุนแรงระดับ 4-5 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในระหว่างปี 1990-2005

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น