ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] #ลู่วิทยาฮุนวิศวะ

    ลำดับตอนที่ #11 : ลู่วิทยาฮุนวิศวะ : 09

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.51K
      23
      13 เม.ย. 59

    ลู่วิทยาฮุนวิศวะ - 09






    ผมไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน ตื่นมาอีกทีผมก็นอนอยู่บนเตียงของฮุนแล้ว เท่าที่จำความได้คือผมกลับห้องมากับเขาตั้งแต่บ่ายโมง ทำแผลให้เจ้าของห้องและโดนปั่นหัวจนใจสั่น เสร็จแล้วก็หลับไม่รู้เรื่อง พอตื่นมาเจ้าของห้องกลับไม่อยู่... ฮุนไม่ได้อยู่ด้านนอก ไม่ได้เขียนโน๊ตอะไรไว้ให้

     

    ผมเดินขยี้ตาออกมานั่งเล่นอยู่ที่โซฟา สักพักประตูห้องก็เปิดออกโดยเจ้าของห้อง ในมือของเขามีถุงจากซุปเปอร์มาเก็ตหลายถุงจนผมอดที่จะนั่งมองเฉยๆไม่ได้

     

    “ซื้ออะไรมาเยอะแยะ อยู่คนเดียวไม่ใช่หรอ?”

     

    ผมคุ้ยๆของในถุงดู มันมีทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง นม เบียร์และน้ำผลไม้อีกจำนวนหนึ่งซึ่งเยอะกว่าที่เขาจะกินคนเดียวหมดแน่ๆ...ฮุนเหลือบมองมาที่ผมนิดหน่อยก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา ร่างสูงๆของเขาเดินมาคร่อมผมเอาไว้จากโต๊ะกินข้าว แขนทั้งสองข้างกั้นผมเอาไว้ไม่ให้หนีจนต้องเงยหน้าขึ้นไปสบตา

     

    “อยู่คนเดียว...แต่อยากให้มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน”

     

    ฮุนไม่พูดเปล่า แต่ใบหน้าของเขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนผมต้องเอนตัวหนี สายตาของเขาติดจะมีรอยยิ้มยามมองหน้าผม คิ้วของเขาเลิกขึ้นอย่างกวนๆเมื่อผมเบ้ปากใส่

     

    “อยากให้มีคนมาอยู่เป็นเพื่อนก็ไปชวนเพื่อนๆนายมาอยู่สิ”

     

    “อ้าว...ลืมไป”

     

    “อ...อะไร”

     

    “คนนี้ต้องเป็นมากกว่าเพื่อน”

     

    ผมเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆปลายจมูกของฮุนก็ขยับมาใกล้ใบหู ลมอุ่นๆเป่ารดจนรู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้า และยิ่งคนทำยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมกลับยิ่งไม่กล้าสบตาเขา...ฮุนหัวเราะใส่เมื่อเห็นหูแดงๆหน้าแดงๆของผมจนต้องผลักไหล่เขาออกแล้วให้ความสนใจกับของในถุงต่อ

     

    “ไปนั่งเหอะ เดี๋ยวทำไรให้กิน”

     

    “ทำแล้วกินได้แน่ใช่ป่ะ?”

     

    ผมยืนพิงตู้เย็นมองร่างสูงที่หยิบนู่นหยิบนี่ในครัวอย่างคล่องแคล่ว ฮุนทำเพียงแค่ยักไหล่ก่อนจะปล่อยให้ผมออกมานั่งดูโทรทัศน์คนเดียว แต่ถึงแม้ว่าหูผมจะให้ความสนใจกับบทสนทนาของพระเอกนางเอกในละคร แต่สายตาของผมกลับเอาแต่จ้องมองแผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อเชิ๊ตนั่นอย่างไม่เข้าใจตัวเอง

     

    “มองกันแบบนี้อยากซบหลังหรือไง” ผมสะดุ้งเมื่อฮุนเอ่ยทัก ไม่รู้ว่ามีตาหลังหรือไงถึงรู้ว่าผมกำลังจ้องอยู่

     

    “ตลกล้ะ” แล้วก็ต้องแกล้งเฉไฉรีบหันมาให้ความสนใจโทรทัศน์ต่อก่อนที่ฮุนจะหันมาให้ผมต้องอายมากกว่าเดิม

     

    กลิ่นหอมของข้าวสวยที่หุงอยู่เรียกให้น้ำย่อยในกระเพาะของผมเริ่มร้อง ผมก็เพิ่งมาคิดได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า เพราะนอกจากมื้อเช้าแล้วผมก็วุ่นวายทั้งสอบแล้วก็คนตรงหน้าจนลืมหิว และเพียงไม่นาน ฮุนก็ยกจานข้าวมาตั้งไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้า

     

    “ข้าวไข่เจียวเนี่ยนะ...เรานึกว่าจะทำอะไรเวอร์ๆให้กินซะอีก”

     

    “ก็อยากทำอยู่ แต่เสียเวลา...ไม่ได้กินอะไรมาเลยไม่ใช่หรอ วันนี้กินแค่ไข่เจียวไปก่อนแล้วกัน”

     

    “สรุปนี่ทำกับข้าวเป็นจริงดิ”

     

    “อือฮึ”

     

    เขาพยักหน้าจริงจังให้พร้อมทั้งตักข้าวเข้าปาก เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องรออะไรจึงกินข้าวไข่เจียวที่ฮุนทำให้โดยไม่มีข้อแม้ พวกเราต่างคนต่างกินไม่พูดไม่จา มีบ้างที่ฮุนคอยส่งขวดซอสมาให้ผมแล้วเราก็นั่งกินกันต่อไป มันอาจจะเพราะความหิว จึงทำให้ทั้งผมและฮุนกินเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว

     

    “สอบเสร็จแล้วรู้สึกดีจัง”

     

    พอกินอิ่มผมก็ทิ้งตัวลงไหลไปกับโซฟาทันที ก่อนที่ฮุนจะทรุดตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้นแล้วเกยคางไว้ที่ตักผม

     

    “ขึ้นมานั่งดีดีดิ”

     

    “เราชอบนั่งบนพื้นมากกว่า”

     

    “ตามใจ...ไหนขอมือหน่อย”

     

    อยู่ๆผมก็อยากแกล้งเขา ยิ่งเห็นมุมปากที่เป็นแผลแบบนั้นกับดวงตาเซื่องๆของฮุนตอนนี้แล้วทำให้นึกถึงเจ้าหมาตัวโตอยู่ไม่น้อย ฮุนช้อนตามองผม เขาไล่สายตาลงมาที่มือ ก่อนจะวางมือใหญ่ทับลงบนฝ่ามือผมอย่างว่าง่าย

     

    “อยากโดนอีกจุ๊บหรือไง”

     

    “เปล่าสักหน่อย”

     

    ฮุนกอบกุมมือผมเอาไว้ด้วยมือของเขาเพียงข้างเดียว และน่าแปลกที่ผมรู้สึกว่ามันอุ่น...อุ่นจนไม่ได้ทักท้วงหรือดึงมือข้างนั้นออกมา ฮุนไม่ได้จูบมือผมเหมือนจูบขอบคุณเมื่อตอนกลางวันอย่างที่ขู่ แต่เขาทำเพียงแค่เล่นปลายนิ้วของผมก่อนจะยิ้มออกมาบางๆให้ผมยิ่งรู้สึกแปลกๆกับตัวเอง

     

    “อาทิตย์หน้ามีแข่งกีฬาแล้ว เล่นอะไรกับเขาเปล่าเนี่ย?”

     

    “ไม่อ่ะ...กลัวลู่เหนื่อย”

     

    “หื้อ? เหนื่อยอะไร? เราเกี่ยวไรด้วย?”

     

    ผมเอียงคอมองฮุนที่พูดออกมาอย่างหน้าตาย เขายิ้มมุมปากข้างที่มีพลาสเตอร์ปิดอยู่ก่อนจะเฉลยให้ฟังด้วยความมั่นใจ

     

    “ก็เราเป็นเดือนมหาลัย เล่นดนตรีก็เก่ง ร้องเพลงก็เพราะ ทำอาหารก็ได้ ถ้าให้ไปแข่งกีฬาอีกก็คงฮอตมาก แล้วลู่จะไม่เหนื่อยใจได้ไง”

     

    “เดี๋ยวนะ! ตื่นก่อนนะครับฮุน ฮ่าๆ”

     

    ผมหัวเราะใส่เขา ไม่รู้ว่าผมเคยบอกหรือยังว่าผมเกลียดสกิลการหยอดของเขามาก แล้วไอ้การชมตัวเองอย่างไม่มีการเขินอายนี่มันทั้งน่าขำทั้งน่าหมั่นไส้จนอดตบไปบนแก้มเขาเบาๆไม่ได้

     

    “โคตรหลงตัวเองเลย เอาคำตอบที่จริงจังหน่อยดิ”

     

    “จริงจังไง บอกว่าไม่ได้หลงตัวเอง...หลงลู่เนี่ย หลงลู่” เขาใช้นิ้วจิ้มลงบนขาผมซ้ำๆทั้งๆที่กลั้นขำ แล้วพาลจะทำให้ผมขำไปด้วยอีกคน

     

    “เลิกเล่นมุกซ้ำเถอะ เราอายแทนว่ะ” ผมส่ายหน้ายิ้มๆให้เขา ก่อนที่ฮุนจะยอมกลับมาคุยกันแบบปกติเสียที

     

    “คณะเราคนเยอะ ไม่เหลืออะไรมาถึงเราหรอก”

     

    “แต่ชานยังแข่งบาสเลยนะ...ฮุนไม่แข่งอะไรหรอ?”

     

    “มันแค่อยากโชว์สาว แต่เราไม่ได้อยากโชว์ใคร”

     

    “เอาดีดีดิ”

     

    ผมหรี่ตาลงมองคนตัวโตๆตรงหน้า ที่ทู่ซี้ถามฮุนอย่างนี้ความจริงผมก็แค่อยากรู้ว่าฮุนจะแข่งกีฬาอะไรหรือเปล่า หรือถ้าแข่งฟุตบอลเหมือนกันขึ้นมา แล้วเราต้องเจอกันผมจะได้ทำตัวถูก หากแต่คำตอบที่ได้ กลับทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของวัน

     

    “ไม่แข่งอะไรจริงๆ...โธ่ ลู่...เราไม่เก่งกีฬาว่ะ อุตส่าไม่บอกเนี่ย...ไม่เท่เลยดิ”

     

    เขาทำปากคว่ำใส่ผมเหมือนเด็กๆที่ต้องบอกความจริงเพราะผมเอาแต่คะยั้นคะยอถาม ใครจะคิดว่าเขาจะไม่เก่งกีฬา ทั้งที่รูปร่างของเขามันเหมือนคนที่ชอบออกกำลังกายด้วยซ้ำ

     

    “พอใจกับคำตอบยัง”

     

    ผมยิ้มให้กับท่าทางงอแงและคำพูดกึ่งประชดของเขาแล้วก็ต้องรู้สึกเอ็นดู ฮุนตอนนี้เหมือนหมาตัวโตกำลังงอนเจ้าของอย่างไรอย่างนั้น เขาแกล้งไม่มองหน้าผม แถมยังดึงมือออกจากมือผมทั้งๆที่เมื่อกี๊เขายังวอแวกับนิ้วของผมอยู่เลยด้วยซ้ำ

     

    “พอใจแล้วก็ได้...ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆก็เป็นเดือนมหาลัยแล้ว เล่นดนตรีก็เก่ง ร้องเพลงก็เพราะ ทำอาหารก็เป็นขนาดนี้ แบ่งกีฬาไว้ให้คนอื่นดูหล่อบ้างก็ได้เนอะ”

     

    ผมดึงแก้มฮุนทั้งสองข้างให้ยืดออกอย่างหมั่นไส้ อย่างน้อยผมก็รู้แล้วว่าคนเพอร์เฟ็คแบบฮุนก็มีมุมที่ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน

     

    “แล้วลู่อ่ะ แข่งอะไร? เปตอง?”

     

    “เปตองอะไรเล่า! เราคงเตะบอลช่วยปีหนึ่งอ่ะ”

     

    “ถามจริง?”

     

    “อือ”

     

    “ไปเชียร์ได้ป่ะวะ?”

     

    ฮุนดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีผิดจากตอนแรกลิบลับ ผมเองก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรซ้ำยังขอน้องปีหนึ่งลงเป็นตัวสำรองอีกต่างหาก จะมาเชียร์ก็ไม่รู้จะผิดหวังหรือเปล่า...แต่ไม่รู้ทำไมลึกๆแล้วผมก็อยากให้เขามาเชียร์อยู่ดี

     

    อาจจะเป็นเพราะตอนนี้...ผมเองก็ชอบที่ฮุนให้ความสนใจผมอยู่ก็เป็นได้

     

    ผมพยักหน้าให้เขา ก่อนจะเปิดดูข้อความในเฟสบุ๊คของเพจคณะวิทยาศาสตร์ ที่ประธานรุ่นปีหนึ่งได้โพสไว้ว่านัดแรกเราแข่งกับใคร...

     

    “อื้มมม...วิทย์กีฬาฯ”



     

    -------------------

     

    สนามฟุตบอลหลังมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยบรรดานักกีฬาและกองเชียร์ของทั้งคณะที่แข่งกันอยู่และคณะอื่นที่มาสอดแนม อัฒจรรย์ทั้งสองฝั่งเนืองแน่นไม่แพ้กันแล้วเสียงก็ดังมากไม่แพ้กันด้วย เมื่อคู่แรกที่เปิดสนามดันเป็นวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ปกติแล้วต้องมาเจอกันในรอบชิงชนะเลิศ แต่ปีนี้ดันเจอกันตั้งแต่รอบแรกเสียได้

     

    “แล้วปีนี้ใครจะชนะล่ะวะ ตัวเก็งเจอกันแบบนี้ ใครแพ้ก็ตกรอบก่อน...มึงเชียร์ใครไอ้ลู่”

     

    ผมที่กำลังก้มหน้าผูกเชือกรองเท้าเตรียมลงสนามแข่งรอบต่อไปอยู่หันมองป้ายคะแนนที่อีกฝั่งสนาม คะแนนที่ขึ้นโชว์ยังคงเสมอที่ 1-1 แต่เวลานั้นใกล้จะหมดลงแล้วซึ่งยากจะคาดเดาผู้ชนะ ผมหันไปมองไอ้หัวเกรียนที่ยืนหมุนหัวไหล่ค้ำหัวผมอยู่ หากแต่ยังไม่ทันตอบคำถามอะไรมันก็ยกยิ้มอวดฟันขาวๆของมันอย่างกวนตีนขึ้นมา

     

    “แต่ไม่น่าถามโน๊ะ...อย่างมึงคงเชียร์วิศวะอยู่แล้ว”

     

    “อะไรของมึง”

     

    “ก็นู่นนน...”

     

    “นู่นอะไร ไอ้โล้น”

     

    ผมยืนขึ้นเผชิญหน้าเข้าหามัน แม้ว่าผมจะเตี้ยกว่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะพอยืนขึ้นมันก็คว้าคอผมแล้วชี้ไปที่ นู่นนนน ของมันให้ผมดู

     

    “เดือนวิศวะพ่อมึงไง”

     

    “พ่ออะไรเล่า”

     

    “อะ อะ ไม่พ่องั้นผะ...โอ้ย ไอ้ลู่!

     

    “หุบปากไปเลยมึงอ่ะ ไปวอร์มกันได้แล้ว”

     

    ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนจะลากแขนมันให้เดินตามรุ่นน้องปีหนึ่ง ปีสองไปวอร์มที่สนามข้างๆ...ผมหันไปมองฮุนนิดหน่อย เขายังยืนกอดอกอยู่ริมสนามดูรุ่นน้องคณะของตัวเองแข่งกับสถาปัตย์ฯ  หน้าตายู่ยี่ไปหมดสงสัยเพราะแดดและอากาศร้อนๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความดูดีของฮุนลดลงได้เลย

     

    “ไอ้ลู่!

     

    “เออ ไปแล้ว”

     

    ผมรีบวิ่งตามทุกคนออกไป แม้จะไม่มีรุ่นน้องคนไหนกล้าว่าก็เถอะ จะมีก็แต่ไอ้หัวเกรียนนี่แหละที่แซวผมไปตลอดการวอร์มร่างกายในสนามให้ต้องวิ่งไล่ตบหัวมันแทน

     

    ผลฟุตบอลรอบแรกที่แข่งไปเมื่อสักครู่จบลงที่วิศวะฯเอาชนะสถาปัตย์ไปได้ด้วยลูกโทษ ไม่รู้ว่าทั้งสองทีมจะรู้สึกอย่างไร เพราะก็ผลัดกันชนะผลัดกันแพ้มาตลอดทุกปี ผมมองเข้าไปในสนามที่นักกีฬาทั้งสองคณะเดินเข้ามาจับมือกัน กองเชียร์บนอัฒจรรย์ทยอยกลับไปแล้วหลังจากคณะของตัวเองแข่งเสร็จ ก่อนจะแทนที่ด้วยกองเชียร์ของคณะผมและวิทยาศาสตร์การกีฬา

     

    ผมมองน้องแบ็คที่เดินอุ้มกลองมาวางไว้ด้านล่าง โดยมีน้องประธานเชียร์ปีสองที่คุ้นหน้าช่วยอีกแรง เจ้าตัวอยู่ในเสื้อยืดสีน้ำเงินสกรีนหน้าเสื้อว่า ‘science’  เหมือนกับทุกๆคนตรงนั้น ในมือถือไม้กลองพร้อมกับแจกรอยยิ้มสดใสส่งให้ทุกคนที่นั่งลงบนสแตนด์อย่างพร้อมเพรียง ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเดือนคณะปีหนึ่งของผมจะเป็นทีมสันทนาการและตีกลองได้เสียงดังขนาดนี้ทั้งที่ตัวเล็กนิดเดียว

     

    เสียงกรรมการเรียกให้กัปตันทีมทั้งสองคณะไปเสี่ยงดวงหัวก้อยเลือกฝั่งสนาม ผมไม่รู้ว่าเราได้อะไรเพราะยังนั่งหลบแสงแดดที่แยงตาอยู่ในร่มข้างสนาม ผมยังไม่ได้ลงเล่นตั้งแต่เริ่มเกม เพราะบอกกับรุ่นน้องไปแล้วว่าอยากให้ปีหนึ่งกับปีสองเล่นให้เต็มที่ไปก่อน แล้วถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่ผมจะลงไปสมทบให้ทันที เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นกิจกรรมของเฟรชชี่

     

    ไอ้หัวเกรียนขยับมานั่งอยู่ข้างผมพลางบ่นคู่แข่งไปตามประสา โดยที่ผมยังไม่ทันสังเกตนักกีฬาฝ่ายตรงข้ามเลยสักนิด แต่เพียงแค่มองไปบนกองเชียร์ของวิทย์ฯกีฬาผมก็ตกใจแล้ว เพราะสแตนด์ฝั่งนั้นมีแต่เด็กผู้ชายตัวโตๆทั้งนั้น ซึ่งผิดกับคณะของผมอย่างลิบลับเพราะมีแต่สาวๆนั่งกันเต็มทุกชั้น...ก็แหงล่ะ ผู้ชายลงมาเตะฟุตบอลกันจะครึ่งรุ่นแล้ว

     

    “อะแฮ่ม”

     

    จู่ๆเสียงกระแอมไอก็ดังมาจากเพื่อนข้างๆเรียกให้ผมละสายตาจากรุ่นน้องที่ร้องเพลงเชียร์ด้านหน้ามาเป็นคนที่ยืนทอดเงาลงมาอยู่ด้านบนแทน ฮุนยิ้มออกมานิดหน่อยเมื่อเห็นผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาด้วย เขาถอดเสื้อชอปสีน้ำเงินของตัวเองพาดไว้บนไหล่ เหลือเพียงแต่เสื้อยืดคอวีสีขาวชื้นเหงื่อพร้อมกับลำคอที่ขึ้นสีแดงนิดหน่อยจากอากาศร้อน

     

    “เข้ามานั่งก่อนไหม เมื่อกี๊ก็ยืนเชียร์อยู่กลางแดดนี่”

     

    “เห็นด้วยหรอ”

     

    “อือ”

     

    ผมเสตาหลบดวงตาของอีกฝ่ายทันทีเมื่อมันมีแววระริกระรี้จนรู้สึกเขินขึ้นมาดื้อๆ แล้วไหนตัวชงอย่างไอ้หัวเกรียนที่หัวเราะคึคึอยู่ในลำคอนั่นอีก ยิ่งทำให้ผมรู้สึกร้อนตามใครอีกคนทั้งๆที่ผมนั่งอยู่ใต้ร่มแท้ๆ

     

    “แก้มแดงว่ะลู่”

     

    “เออ รู้แล้วน่า จะนั่งได้ยัง”

     

    ผมขมวดคิ้วบอกฮุนพร้อมกับความร้อนวูบวาบบนสองข้างแก้ม แล้วก็ไม่รู้ว่าอีกคนจะมีความสุขอะไรขนาดนั้น เพราะทันทีที่ฮุนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เขาก็ใช้ฝ่ามือใหญ่ผลักหัวผมไปทีอย่างหยอกล้อให้ต้องรีบใช้มือตัวเองหยุดความขี้เล่นของคนตัวโตไว้แบบนั้น

     

    “จะลงเมื่อไหร่”

     

    “ครึ่งหลังมั้ง ให้น้องๆเล่นกันไปก่อน”

     

    “อย่าไปวิ่งสะดุดล้มล่ะ ยิ่งเป๋อๆอยู่”

     

    “เราไม่เป๋อเหอะ คอยดูเลย เดี๋ยวยิงให้ดู”

     

    แล้วประโยคนั้นของผมก็เรียกเสียงหัวเราะของฮุนขึ้นมาอีกครั้งจนอดที่จะเอาศอกกระทุ้งเอวคนข้างๆไม่ได้ ไม่รู้จะเส้นตื้นอะไรนักหนา ฮุนยกมือยอมแพ้แบบขอไปทีเมื่อเห็นว่าผมชักเอือมกับการแกล้งของเขา...ผมสนใจเกมในสนามเป็นพักๆสลับกับคนข้างๆที่ยังคงชวนคุยได้ไม่มีเบื่อ แต่พอผมหันกลับมาอีกครั้งรุ่นน้องคนหนึ่งกลับโดนพยุงตัวออกจากสนามมาเสียอย่างนั้น

     

    “เห้ย!เป็นอะไรมากหรือเปล่าวะ?”

     

    “ขัดขากันนิดหน่อยว่ะพี่ น่าจะข้อเท้าพลิก ไม่เป็นไรมั้ง”

     

    ไอ้หัวเกรียนย่อตัวลงพ่นสเปรย์บรรเทาอาการปวดให้น้องก่อนจะเงยหน้าขอความเห็นว่าจะเอาอย่างไรต่อ พวกเขาให้สิทธิ์ทั้งหมดกับปีหนึ่ง เพราะฉะนั้นจะเปลี่ยนตัวใครเข้าหรือออกก็เป็นสิทธิ์ของรุ่นน้อง

     

    “เดี๋ยวให้ตัวสำรองปีหนึ่งลงก่อนก็ได้ครับพี่ เหลืออีกคน ถ้าไม่ไหวคงต้องให้พวกพี่ช่วย”

     

    “ได้ๆ ไม่ต้องซีเรียส เดี๋ยวกูดูมันให้เอง”

     

    ผมยืนมองไอ้หัวเกรียนคุยกับกัปตันทีมก่อนจะช่วยมันพยุงน้องให้เข้ามานั่งในร่ม พวกเราทอดสายตามองไปในสนามอีกครั้งเป็นจังหวะเดียวกับที่น้องคนเดิมชี้นิ้วไปยังใครคนหนึ่งบนสนาม

     

    “เชี่ยนั่นวิ่งโคตรไว โคตรพลิ้วอ่ะพี่...ถ้าลงไปแล้วระวังมันด้วย ผมสะดุดตีนมันนี่แหละ”

     

    ร่างสูงโปร่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นพิเศษ ผิวสีแทนธรรมชาติที่ยังคงดูดี สีหน้าจริงจังที่กำลังเขี่ยลูกบอลด้วยปลายเท้าดึงดูดสายตาให้ผมมองเด็กตัวโตตรงหน้า ก่อนที่อยู่ๆภาพตรงหน้าจะมืดลงด้วยฝ่ามือของคนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน

     

    “มองมันอะไรขนาดนั้น”

     

    “เปล่า...ปล่อยก่อนฮุน”

     

    ผมวางมือทับฝ่ามือใหญ่ที่ทาบทับดวงตาทั้งสองข้างของผม พยายามแกะมือปลาหมึกนั่นออกแต่อีกฝ่ายกลับไม่ให้ความร่วมมือ

     

    “ฮุน”

     

    “โอเค ปล่อยแล้ว อย่าทำเสียงดุดิ”

     

    ฮุนจิ๊จ๊ะอยู่ในลำคอ แต่ก็ยอมละฝ่ามือลงให้ เพียงแต่ผมกลับถูกมือใหญ่คู่เดิมประคองแก้มเอาไว้แล้วจับให้หันไปมองหน้าอีกฝ่ายแทน ใบหน้าขี้เล่นของฮุนมุ่ยลงจนคิ้วเรียวขมวดกันมุ่นเรียกให้ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาจนได้

     

    “เล่นอะไรเป็นเด็กๆไปได้”

     

    “ก็ไม่อยากให้มองไอ้เด็กนั่น...รู้ๆอยู่”

     

    “ก็มองเฉยๆ ไม่เคยเห็นน้องมันเล่นกีฬา ท่าทางมันฟอร์มดีออก”

     

    “เหอะ”

     

    ผมยิ้มให้กับความงอแงของผู้ชายตัวโตตรงหน้าก่อนจะยักไหล่ให้แล้วหันกลับไปมองที่สนามต่อ คะแนนตอนนี้ยังเป็น 0 – 0 และเวลาครึ่งแรกก็หมดลง ผมถูกไอ้หัวเกรียนเดินมาสะกิดเรียก น้องปีหนึ่งทำท่าจะหมดแรงกันไปหลายคนจนปีสองที่เหลือกับปีสามอย่างผมถูกเรียกไปเตรียมตัว

     

    “พี่ลู่ลงตั้งแต่เริ่มครึ่งหลังเลยได้ไหมครับ”

     

    “ได้ๆ ไม่มีปัญหา”

     

    ผมยืนยืดร่างกายนิดหน่อยก่อนจะเดินตามรุ่นน้องออกไปที่สนาม หากแต่ฝ่ามือใหญ่ๆกลับรั้งข้อศอกผมเอาไว้ก่อน พอผมหันกลับไปเจ้าตัวกลับทรุดลงไปนั่งชันเข่าอยู่ที่พื้นพลางก้มหน้าก้มตาดึงเชือกผูกรองเท้าของผมให้แน่นก่อนที่เขาจะยืดตัวขึ้นมาสบตากัน

     

    “เวลาใครมาขัดขาจะได้ไม่สะดุดล้มง่ายๆ”

     

    ผมหลุดขำออกมาทันทีเมื่อรู้ว่าฮุนตั้งใจกระทบกระเทียบใคร

     

    “ไม่ล้มง่ายๆหรอกน่า ระดับนี้แล้ว คอยดูแล้วกัน”

     

    ผมตบบ่ากว้างของคนขี้ห่วงพลางยักคิ้วให้ และสิ่งที่ฮุนทำกลับมาก็เป็นเพียงอาการหัวเราะให้กับความมั่นใจของผม เขาดันไหล่ผมให้ก้าวเดินไปในสนามก่อนจะเนียนกอดคอแล้วกระซิบที่ข้างหูให้รู้สึกร้อนวาบบนแก้มทั้งสองข้างเป็นรอบที่สองของวัน

     

    “ครับ คนเก่ง”

     

    โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าสายตาของฮุนไม่ได้จ้องมองอยู่ที่ผมเพียงคนเดียว เพราะดวงตาคมคู่นั้นกำลังสื่อความหมายอะไรสักอย่างไปให้เด็กหนุ่มผิวเข้มอีกคนในสนามเช่นกัน



     





    100%

    มีเสียงเปรี๊ยะ ออกมาจากลูกตาฮุนและน้องไคแน่ๆ 555555

    ขอโทษที่หายไปนานเลยค่ะ กลับมาพร้อม 100% และตอนหน้าเร็วๆนี้(จริงๆ)
    เราแก้งานจนหลอน ไม่กล้าต่อฟิคเลย กลัวหลอนไปด้วยกัน

    ยังไงจะรีบมานะคะ ยังจำเนื้อเรื่องกันได้ใช่ไหม ฮือๆ

    เม้นท์ แท็ก ทวง อะไรก็ว่ามาโลด #ลู่วิทยาฮุนวิศวะ
    สกอป.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×