ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] #ลู่วิทยาฮุนวิศวะ

    ลำดับตอนที่ #14 : ลู่วิทยาฮุนวิศวะ : 12

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.7K
      14
      3 มิ.ย. 59

    ลู่วิทยาฮุนวิศวะ - 12







    แสงแดดยังคงจ้าแม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่ายแก่ๆแล้วก็ตาม ผมเดินหลบแดดมาตามซอยเล็กๆด้านหลังคณะที่สามารถเชื่อมต่อไปยังหน้ามหาวิทยาลัยได้ ตลอดทางเดินวันนี้เต็มไปด้วยนักศึกษาเพราะตลาดนัดยังไม่เก็บ มีเจ้าหน้าที่จากหลายๆคณะเดินกันขวักไขว่ ก่อนที่ผมจะเสียเงินให้กับของกินตรงหน้ามากไปกว่านี้ ผมจึงรีบเร่งเท้าเดินออกมาในที่สุด

     

    สองมือของผมถือถุงข้าวกล่องอยู่เกือบสิบกล่องหลังจากที่เด็กวิศวะฯตัวโตคนเดิมโทรมาบอกผมว่าเย็นนี้ที่คณะของเขามีกิจกรรม ผมเองก็ไม่รู้ว่ากิจกรรมนั้นคืออะไร แต่ฮุนก็ขอร้องแกมสั่งมาว่าให้ช่วยซื้อข้าวกล่องมาให้เขากับเพื่อนๆหน่อยหลังจากที่ผมเลิกเรียนแล้ว ผมเองก็ไม่มีปัญหาเพราะโรงอาหารกลางอยู่ติดกับคณะ ผมจึงเลือกเมนูง่ายๆอย่างข้าวหมูกระเทียมให้พวกเขาไปสิบกล่องตามต้องการ

     

    ผมเดินลัดเข้ามาด้านหลังตึกเก่าของคณะวิศวกรรมศาสตร์ตามที่ฮุนบอกมาในไลน์เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ตรงหน้าของผมคือสนามฟุตบอลและอัฒจรรย์ที่มีนักศึกษายืนอยู่กลางแดดเต็มไปหมด

     

    “ก้มหน้าครับ! ผมบอกให้พวกคุณเงยหน้าขึ้นมาแล้วหรือไง!

     

    ผมสะดุ้งตกใจเมื่อเสียงดังของรุ่นพี่คนหนึ่งตะโกนออกมา ไม่รู้ว่าอยู่ปีไหนปีเดียวกับผมหรือว่ารุ่นพี่ปี4 ผมพยายามมองซ้าย มองขวาไปรอบๆที่ผมยืนอยู่เพื่อจะหาคนที่นัดผมเอาไว้แต่ก็ยังไม่เจอ เมื่อแน่ใจว่าฮุนไม่ได้อยู่แถวนี้ ผมจึงวางถุงข้าวกล่องลงบนโต๊ะแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

     

    “พวกคุณคิดว่าตลอด3เดือนที่ผ่านมา คุณมีความพร้อมพอหรือยังที่จะเป็นรุ่นน้องของพวกผม!

     

    “ครับ/ค่ะ”

     

    “เสียงมีแค่นี้หรือไง กอดคอ! 10 ครั้ง!

     

    ผมยกโทรศัพท์ค้างไว้อย่างนั้นเมื่อพี่ว้ากคนเดิมยังคงตะโกนเสียงดังและสั่งทำโทษรุ่นน้องที่ยืนเข้าแถวกลางแดดอยู่ร่วม 300 ชีวิต

     

    10 ครั้ง”

     

    “เริ่ม!!

     

    หลังสิ้นเสียงให้เริ่ม พวกเด็กปีหนึ่งก็กอดคอลุกนั่งกันพร้อมนับเสียงดัง 10 ครั้งอย่างพร้อมเพรียง ผมเห็นว่าน้องๆแต่ละคนหน้าเริ่มแดงและเหงื่อเริ่มออกหวิดจะเป็นลมอยู่หลายคน แต่อีกมุมหนึ่งทุกคนก็ดูแลซึ่งกันและกันได้ดี

     

    ผมรู้ว่าการรับน้องของแต่ละคณะไม่เหมือนกัน อย่างช่วงเปิดเทอมแรกๆที่คณะผมก็มี ทั้งการละลายพฤติกรรม ทำกิจกรรมร่วมกัน หรือการทำโทษเช่นนี้ เพียงแต่คณะของผมสิ้นสุดการรับน้องไปตั้งแต่หมดงานเฟรชชี่คืนนั้นแล้ว แต่วิศวะฯที่ขึ้นชื่อเรื่องการรับน้องและการรักน้องคงจะมีอะไรอย่างอื่นที่แตกต่างกับคณะอื่นๆในมหาวิทยาลัย

     

    “อ้าว ลู่...มานานยัง”

     

    ผมละสายตาออกจากกลางสนามฟุตบอลมายังคนที่ส่งเสียงทัก ร่างสูงของชานกำลังยิ้มให้ผมก่อนจะมองไปยังถุงข้าวกล่องตรงหน้า

     

    “ของพวกเราป่ะ”

     

    “ใช่ๆ ฮุนฝากให้ซื้อมาให้”

     

    ชานทิ้งตัวลงนั่ง เขาหยิบข้าวออกมากล่องหนึ่งและเปิดกินทันที แต่ก็ไม่ลืมที่จะฉุดผมให้ลงมานั่งข้างๆกันด้วย แขนยาวๆของชานลากถุงใส่ข้าวกล่องออกไปไว้ตรงที่นั่งด้านข้างเพื่อให้พวกเรามองเห็นรุ่นน้องในสนามอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะเอ่ยถามเพื่อนคนเดียวในตอนนี้

     

    “ยังรับน้องกันไม่เสร็จอีกหรอ? เห็นปิดประชุมเชียร์ไปตั้งแต่งานเฟรชชี่”

     

    “วันนี้สุดท้ายแล้ว”

     

    “ทำโทษกันยันวันสุดท้ายเลยเนี่ยนะ โหดสมคำร่ำลือ”

     

    ผมเปรยออกมาให้คนข้างๆหัวเราะ ชานกินข้าวเร็วมาก ไม่ทันไรเขาก็ใช้ช้อนพลาสติกกวาดเศษข้าวเข้าปากคำสุดท้ายแล้วบิดฝาขวดน้ำกระดกตามปิดท้าย ก่อนจะหันมามองหน้าผม

     

    “ทำโทษนี่เรื่องปกติแล้วลู่ น้องมันก็ชินกันแล้ว อีกอย่างวันนี้มันวันสุดท้าย อย่าว่าแต่รุ่นน้องอยากให้จบเร็วๆ พวกเราหรือไอ้พวกตัวว้ากยังอยากให้รีบจบๆกิจกรรมเลย”

     

    “แล้ววันสุดท้ายแบบนี้มีอะไรพิเศษป่ะ จะมีดราม่าเสียน้ำตาเหมือนคณะอื่นไหม”

     

    อย่างคณะของผมนี่มีพิธีบายศรีรับขวัญน้องๆ พวกเราใช้วิธีสร้างสถานการณ์ที่ทำให้น้องๆกริ่งเกรง ก่อนจะบรีฟให้น้องๆตกใจกลัวจนจิตตก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องความสามัคคี ความรับผิดชอบต่อเพื่อนและสถาบัน สุดท้ายก็เป็นการจุดเทียน ผูกข้อมือรับเข้าเป็นรุ่นน้อง ผมก็เห็นว่าเป็นแบบนี้กันมาทุกปี แล้วก็น้ำตาไหลพรากสำเร็จอยู่ทุกรุ่น ไม่รู้ว่าวิศวะฯแตกต่างจากคณะอื่นหรือเปล่า

     

    “ดราม่าเสียน้ำตาคงไม่มีแล้วมั้ง พวกปีหนึ่งมันเสียน้ำตากันมาเยอะแล้ว...วันนี้พวกเรามีแจกเกียร์น่ะ เกรียร์ประจำรุ่น”

     

    “เกียร์? คืออะไร?”

     

    ผมไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่อยู่แล้ว เพื่อนที่คบหาก็มีแต่เพื่อนในคณะตัวเอง ไม่เคยรู้เรื่องราวภายนอกของคนอื่นเขาหรอก แต่พอผมถามแบบนั้นชานกลับหัวเราะแล้วยิ้มผมล้อๆจนต้องเลิกคิ้วถาม

     

    “เกียร์อ่ะลู่ นี่ไง”

     

    อยู่ๆชานก็ควัก เกียร์ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อชอปให้ผมดู ผมกระพริบตาปริบๆมองของตรงหน้าที่มีเชือกห้อยอยู่ ผมรู้ว่าเกียร์คือสัญลักษณ์ของคณะเขาอยู่แล้ว แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือรอยยิ้มของชานมากกว่า

     

    “พวกเราให้เกียร์รุ่นน้องไปก็เหมือนรับพวกเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะนี่แหละ เขาจะมีรุ่นเป็นของตัวเอง เด็กวิศวะที่ร่วมกิจกรรมด้วยกันเค้ามีเกียร์กันทั้งนั้น ถือว่าเป็นของสำคัญ เพราะกว่าจะได้มาแม่งยากมาก...แล้วพอมันเป็นของสำคัญ พวกเด็กวิศวะก็จะยกเกียร์ให้คนสำคัญอะไรแบบนั้นไง”

     

    “ขนาดนั้นเลยหรอ”

     

    ชานพยักหน้าตอบผม ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องในสนามเริ่มเปลี่ยนเป็นต่อแถวใหม่กันแล้ว แต่ชานก็ยังไม่วายยกมือขึ้นกอดคอผมให้เข้าไปใกล้เพื่อที่จะฟังเขาพูดได้ถนัด

     

    “อย่างเกียร์ของไอ้ฮุนน่ะ มันคงเก็บไว้ให้ลู่อยู่แล้วแหละ”

     

    ว่าจบชานก็กระโดดข้ามเก้าอี้ตรงหน้ารีบไปรวมกลุ่มกับเพื่อนในสนามทันที และตอนนั้นเองที่ผมมองเห็นฮุนยืนอยู่ตรงนั้น ฮุนอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวติดกระดุมคอ ผูกไทด์ กางเกงแสลคสีดำและทรงผมที่เซ็ตมาอย่างดี ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมไม่ต่างกับกลุ่มพี่ว้ากที่กำลังพูดอยู่ จนเมื่อชานเดินเข้าไปใกล้ พูดอะไรกับเขานิดหน่อย ฮุนก็หันมาที่ผม เขายิ้มให้ ก่อนจะหันหน้ากลับไปจัดการกับกิจกรรมของตัวเอง

     

    ผมนั่งรอได้ไม่นาน แถวของน้องปีหนึ่งก็กลับมานั่งลงบนสนามหญ้าด้วยท่าทางผ่อนคลายกว่าตอนแรกมาก อาการเกร็งต่อหน้ารุ่นพี่ลดลงและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมากขึ้น ท่าทางยินดีของทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องทำให้ผมหวนนึกกลับไปถึงสิ่งที่ชานได้พูดเอาไว้

     

    เพราะกว่าจะได้มาแม่งยากมาก เพราะแบบนั้นจึงทำให้เห็นคุณค่าล่ะมั้ง

     

    .

    .

     

    “โทษทีนะลู่ เลยต้องมารอนานเลย”

     

    “ไม่เป็นไรหรอก มาดูแบบนี้ก็สนุกดี เพลินๆ”

     

    ฮุนเดินกลับเข้ามาตรงที่ผมนั่งอยู่ เขาขอโทษพร้อมด้วยใบหน้ายิ้มๆที่เต็มไปด้วยเหงื่อ เห็นแบบนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะจับไหล่เขาให้หันหน้ามาหากันแล้วเป็นฝ่ายคลายเนคไทด์ให้ ผมสาละวนในการปลดกระดุมคอเสื้อให้เขา ก่อนจะคุ้ยหาของในกระเป๋าผ้าของตัวเอง

     

    “เช็ดหน้าก่อน ร้อนมากอ่ะดิ”

     

    ฮุนรับกระดาษทิชชู่จากมือผมไปซับเหงื่อ เขาแกะกระดุมที่แขนเสื้อแล้วดันๆมันขึ้นถึงข้อศอกลวกๆจนผมต้องรั้งแขนเขามาแล้วจัดการพับให้แทน

     

    “ยิ้มอะไร? มองแบบนี้เดี๋ยวเราจิ้มตา”

     

    เขามองผมด้วยแววตาวิบวับ ท่าทางของฮุนดูพอใจในตัวผมมากที่ทำแบบนี้ให้เขา ยิ่งเขาเห็นผมขู่จะจิ้มตาด้วยการยกสองนิ้วขึ้นมาตรงหน้ายิ่งทำให้เขาอารมณ์ดีจนผมเริ่มรู้สึกร้อนๆที่แก้มแทน ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่กับเขาแค่สองคนเหมือนทุกครั้ง มีสายตาหลายสิบคู่กำลังมองมา และนั่นทำให้ผมเริ่มทำตัวไม่ถูก

     

    “เดี๋ยวเราเอาข้าวกล่องไปให้ไอ้พวกนั้นก่อน ไปด้วยกันไหม?”

     

    “เรารอนี่ดีกว่า ไม่รู้จักใครอ่ะ” ฮุนไม่ว่าอะไรเมื่อผมปฏิเสธที่จะไปด้วย เขาเดินถือถุงข้าวหายไปกับกลุ่มเสื้อชอป ปล่อยผมไว้กับโทรศัพท์มือถือ

     

    ผมไถหน้าจอเข้าเฟซบุ๊ค เลื่อนดูข่าวหน้าไทม์ไลน์ไปเรื่อยจนเจอเข้ากับรูปของฮุนที่เพิ่งอัพไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว เขาถ่ายเซลฟี่ตัวเองทำหน้าขรึมๆดุๆ ในมือของเขาถือเชือกกำมะหยี่สีเลือดหมูที่ห้อยเกียร์ประจำรุ่นเอาไว้โดยไร้แคปชั่น แต่นั่นกลับเรียกยอดไลค์ได้มากแถมยังมีคอมเม้นท์อีกเป็นร้อยๆข้อความ

     

    ผมนั่งยิ้มเมื่อแฟนคลับของเขาคอมเม้นท์อะไรตลกๆ อย่างเช่น อยากได้เกียร์จากฮุน หรือ ไม่ขอเกียร์แต่ขอฮุนแทนเลยก็ได้ มีบ้างที่พาดพิงถึงผม ติดแท็กชื่อเฟซบุ๊คผมมาบ้าง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมถือสาอะไร ผมยังคงไล่อ่านลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะสะดุดใจกับคอมเม้นท์หนึ่งที่ทำให้ผมจ้องอ่านข้อความนั้นอยู่นาน

     

    เกียร์ของพี่ฮุน ก็ต้องอยู่กับน้องรินอยู่แล้ว ของสำคัญเขาก็ต้องให้คนสำคัญสิ

     

    รินไหน? คนสำคัญอย่างนั้นเหรอ?

     

    ผมหยุดค้างอยู่ที่ข้อความนั้นไม่นาน รูปภาพรูปหนึ่งก็ถูกอัปโหลดขึ้นมาต่อจากคอมเม้นท์นั้น

     

    ภาพของฮุนในสนามเมื่อสักครู่ กำลังยื่นเกียร์ประจำรุ่นให้รุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าน่ารักคล้ายตุ๊กตากำลังยิ้มให้กับฮุน โดยที่ใบหน้าเฉยเมยเป็นปกติของฮุนก็ติดจะยิ้มออกมาเหมือนกัน ข้อความที่ทิ้งท้ายไว้ทำให้ผมตัดสินใจกดออกจากแอพพลิเคชั่นทันที

     

    ตอนนี้รับเกียร์ของรุ่นไปก่อน เดี๋ยวอีกแป๊บคงได้เกียร์ของเจ้าตัว

     

    ผมเลิกสนใจและเลิกใส่ใจข้อความพวกนั้น ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรคนที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดก็คงมีแต่ฮุนคนเดียว ผมเชื่อเขามาตลอดกับความชัดเจนที่ฮุนมีให้ ผมไม่คิดว่าเขาจะคุยกับใครไปทั่วพร้อมๆที่คุยกับผม แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงกลับรู้สึกไม่โอเคกับข้อความพวกนั้น

     

    ฮุนหายไปกับกลุ่มเพื่อนสักพักจนผมแปลกใจ ผมหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายก่อนจะเดินออกมาหาเขา อย่างน้อยถ้าฮุนจะอยู่คุยกับเพื่อนต่อผมจะได้กลับก่อน ให้ผมกลับไปฟุ้งซ่านที่ห้องคนเดียวน่าจะดีกว่า

     

    “ชาน...ฮุนล่ะ?”

     

    ผมเห็นชานกำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่ ตรงนั้นคือกลุ่มของฮุนที่ผมรู้จักและคุ้นหน้า พวกเขาทักทายผมซ้ำยังชวนให้มานั่งคุยกันก่อน แต่ตอนนี้ผมอยากหาฮุนมากกว่า

     

    “เมื่อกี๊มันเอาข้าวมาให้ แล้วมันก็ไปไหนไม่รู้ว่ะ ไม่ได้ไปหาลู่หรอ”

     

    “เปล่าอ่ะ เราเห็นว่าฮุนไม่กลับมาสักทีเลยลองเดินมาหาดู งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวเราลองเดินหาดู”

     

    “โทรตามยัง?”

     

    “โทรศัพท์ฮุนอยู่กับเรา”

     

    ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของฮุนให้ชานดู เขายัดทั้งกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าผ้าของผมอยู่ตลอดทุกครั้ง...เมื่อชานเห็นแบบนั้นก็บอกว่าไม่รู้จะช่วยตามได้ยังไงเหมือนกัน ฮุนอาจจะไปห้องน้ำ หรือเข้าตึกไปเอาของ และบอกให้ผมลองเดินไปดูก็ได้

     

    “ถ้าฮุนกลับมาบอกให้รอเราตรงนี้นะ หรือชานโทรมาบอกเราก็ได้”

     

    ชานตอบตกลง หากแต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินไปไหน อยู่ๆโทรศัพท์ของฮุนที่อยู่ในมือผมก็สั่นขึ้น มันมาจากแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊คที่แจ้งเตือนว่ามีคนโพสต์รูปลงที่หน้าวอลของฮุน ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นมันสั่นเตือนอีกครั้งและมีข้อความหลายๆข้อความติดกันตามมา

     

    ผมไม่ใช่คนเจ้ากี้เจ้าการ ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย แต่แจ้งเตือนพวกนั้นมีชื่อผู้หญิงคนที่ผมเก็บมาคิดขึ้นในข้อความจนต้องตัดสินใจเปิดดู

     

    ภาพของฮุนที่ยื่นเกียร์อันเล็กออกมาให้สาวรุ่นน้องด้วยร้อยยิ้มเขินๆถูกโพสต์ลงมาบนหน้าวอล ตามมาด้วยข้อความนับสิบที่แซวอย่างออกนอกหน้า

     

    แจกเกียร์น้องไปแล้วไม่ใช่หรอ นี่มึงควักเกียร์ตัวเองให้น้องรินเป็นการแถมหรือไง

     

    สาววิศวะน่ารักๆก็โคตรน้อย แม่งเสร็จไอ้เสือฮุนไปซะและ

     

    น้องรินนางฟ้าของพี่ อย่าไปรับมันนะครับ

     

    พี่ฮุนให้เกียร์ไอรินจริงๆด้วย

     

    ผมอ่านตามข้อความพวกนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หงุดหงิด ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ แต่มันก็ไม่เท่ารูปภาพรูปเดียวที่ผมกำลังเปิดอยู่ตอนนี้

     

    “ชาน!...นี่คือตรงไหน พาเราไปหน่อย”

     

    ผมยื่นรูปให้ชานดู เสียงของผมคงแสดงความไม่ชอบใจออกมา จากที่เขากำลังหัวเราะให้กับเพื่อนๆกลายเป็นว่ากลุ่มเพื่อนของฮุนชะโงกหน้ามาดูในโทรศัพท์มือถือกันทุกคนพร้อมๆกับรอยยิ้มที่เริ่มหุบลงทีละคน

     

    “เฮ้ยลู่ ใจเย็น”

     

    “พาเราไป”

     

    ผมย้ำกับพวกเขาอีกครั้งก่อนที่ชานจะเป็นฝ่ายลากข้อมือผมให้เดินตาม เพื่อนๆอีกสามคนก็รีบเดินตามมาพร้อมทั้งเลื่อนเฟซบุ๊คของฮุนตามไปด้วย

     

    “เชี่ยแม่ง เป็นกระแสเลยว่ะ มึงตายแน่ไอ้ฮุน”

     

    ผมได้ยินเสียงพวกเขาที่บ่นอยู่ด้านหลัง แต่มันก็ไม่เท่ากับเสียงหัวใจของผมที่เต้นดังด้วยความกระวนกระวาย ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน ทำไมชานถึงปล่อยข้อมือผมออก แล้วเปลี่ยนเอามือใหญ่ๆนั้นรั้งผมให้เดินเข้าไปชิดตัวเขามากขึ้น ก่อนจะลูบหัวผมเบาๆและรั้งให้เดินมาด้วยกัน

     

    ผมมองไม่เห็นทางข้างหน้า ไม่รู้ว่าเดินมาไกลแค่ไหน หน้าเฟซบุ๊คของฮุนคงมีแต่คนยินดีให้กับพวกเขา...พอยิ่งคิดผมยิ่งกำมือของตัวเองแน่น ชานกดหัวผมให้ซบเขาเอาไว้ และตอนนั้นผมถึงได้รู้ว่าตัวผมกำลังสั่น สั่นเพราะโกรธ สั่นเพราะกลัว และสั่นเพราะผมกำลังพยายามกลั้นก้อนสะอื้น

     

    “อึก...”

     

    “ลู่ใจเย็น อย่าร้องดิวะ”

     

    ชานหยุดขาลงก่อนจะผละออกจากผม เขาเสยผมลวกๆแล้วบีบไหล่ผมไว้ ผมถูกเขาเอาชายเสื้อชอปขึ้นมาถูตา ถูจมูกเช็ดน้ำตาให้ก่อนจะพูดกับผมอีกครั้ง

     

    “มันนั่งอยู่นั่น...อยากทำอะไรก็ทำ กูจะไม่แก้ตัวอะไรให้ไอ้ฮุนทั้งนั้น เพราะกูก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน ตัดสินใจเอาเอง แต่ไม่ใช่คิดไปเองนะลู่”

     

    “อืม”

     

    ชานดันหลังผมให้เดินออกไป ฮุนยังคงนั่งอยู่กับไอรินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้พวกเขา ฮุนก็หันมาเห็นผมก่อน เขาทำท่าจะลุกขึ้นเดินออกมาหาผม ทว่ายังไม่ทันได้เดินมือเล็กๆของหญิงสาวตรงหน้ากลับรั้งฮุนไว้ ผมจ้องมองมือของทั้งสองคน ก่อนจะละสายตากลับมามองที่ฮุน

     

    ผมรู้สึกว่า...ผมยังไม่อยากคุยกับเขาตอนนี้

     

    “เรามีธุระว่ะฮุน ขอกลับก่อนนะ”

     

    ผมบอกเขาเท่านั้น ก่อนจะหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมาวางให้ ตามด้วยโทรศัพท์มือถือของเขาที่ผมกำเอาไว้แน่น ผมวางมันทับบนกระเป๋าสตางค์ ภาพหน้าจอบนโทรศัพท์ที่ผมเปิดค้างไว้ยังคงเป็นภาพเดิมกับที่ผมไม่พอใจอยู่ตอนนี้ ผมรู้ว่าเขามองมัน ทว่าฮุนก็คงตามผมที่เดินหนีออกมาไม่ทันแล้ว

     

    ผมน่าจะรู้...น่าจะรู้ด้วยซ้ำว่าผมไม่มีสิทธิ์ไม่พอใจเขาแบบนี้

     

    เราไม่ได้เป็นอะไรกัน






    TBC


    ตอนเขาชวนเป็นอะไรกันก็ไม่ยอมเป็นกะเขาเองนะ

    น้องรินคือไอรีนนะคะ
    ที่ชานขึ้นกูมึงกับลู่คือชานจริงจังนะ ชานเห็นลู่เป็นเพื่อนคนนึง เลยหลุดไม่สุภาพ

    ตอนนี้พระเอกค่าตัวแพง เราเลยเอาไปจ้างชานหมดแล้ว T^T
    ไว้ตอนหน้ามาเคลียร์กันเนาะ ฟิคเราไม่ดราม่าอะไรทั้งนั้นอยู่แล้วค่า หายห่วง

    สกอป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×