ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] #ลู่วิทยาฮุนวิศวะ

    ลำดับตอนที่ #5 : ลู่วิทยาฮุนวิศวะ : 05

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.16K
      39
      23 พ.ย. 58

    ลู่วิทยาฮุนวิศวะ - 5




    แสงไฟหลากสีภายในมหาวิทยาลัยกับเสียงจ้อกแจ้กของบรรดานักศึกษาบริเวณนี้ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจ ปกติแล้วเมื่อไหร่ที่ฟ้าเริ่มมืด ทางเดินในมหาวิทยาลัยก็จะค่อนข้างมืดและเงียบสงบ ไม่มีเสียงของรถราหรือเสียงของผู้คน หากแต่วันนี้นั้นกลับกันอย่างสิ้นเชิง

     

    แสงไฟนีออนสว่างสดใสสมกับเป็นคืนเฟรชชี่ไนท์ และเพราะมหาวิทยาลัยของผมไม่ได้ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองหลวงของกรุงเทพฯ ท้องฟ้าจึงเปิดโล่งมองเห็นพระจันทร์สีเหลืองนวลและดวงดาวระยิบระยับคล้ายจะต้อนรับเดือนและดาวคนใหม่ของปีนี้

     

    ผมเดินไปตามทางอย่างไม่รีบร้อนเพราะเห็นว่ายังมีเวลาอีกมาก ตอนนี้บนเวทีก็คงจะยังไม่มีอะไรผมจึงตัดสินใจเดินไปที่คณะวิทยาศาสตร์ของตัวเองเสียก่อนเผื่อว่าจะเจอเพื่อนที่รู้จักอยู่บ้าง อีกอย่างคณะของผมก็ไม่ได้อยู่ไกลจากหน้าเวทีสักเท่าไหร่

     

    “ไอ้ลู่!

     

    “ไง...มีไรให้ช่วยป่ะ”

     

    เสียงเพื่อนร่วมคณะที่ค่อนข้างสนิทกันทักผมขึ้นมา ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปหามันพร้อมแสดงความมีน้ำใจทันที แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือท่าทางที่ดูตกอกตกใจจนโอเวอร์ และไม่นานไอ้หัวเกรียนคนเดิมก็เดินมาสมทบแถมยังเอ่ยปากแซวคนเก็บตัวอย่างผมอีกต่างหาก

     

    “มาได้ไงวะ แล้วคิดไงถึงมาเนี่ย สองปีที่ผ่านมาชวนมาทีไรก็ปฏิเสธตล๊อด”

     

    “ก็...ว่างๆ”

     

    “เหรออออ”

     

    ผมมองหน้าพวกมันที่ลากเสียงถามอย่างกวนตีนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ท่าทางที่เหมือนจะรู้อะไรของมันทำผมเบ้ปากใส่ไม่รู้ไม่ชี้

     

    “ก็เออสิ! แล้วตกลงทำไรกัน มีไรให้ช่วยเปล่า?”

     

    พวกมันยักไหล่ก่อนจะชี้ไปที่ห้องสโมสรนักศึกษาที่เต็มไปด้วยบรรดาน้องปีสอง ตอนนี้พวกผมอยู่ปีสามแล้วจะว่าไปก็ไม่ค่อยมีหน้าที่อะไรเท่าไหร่เพราะปีสองเป็นฝ่ายจัดกิจกรรมรับน้องทุกอย่างเอง เพียงแต่พี่ปีสามก็จะคอยเป็นหูเป็นตา ช่วยดูแลเล็กๆน้อยๆเท่านั้น

     

    “ปีสองมันจับน้องแต่งตัวอยู่ เดือนดาวปีนี้ของพวกเราเจ๋งนะเว่ย...แต่ตัวเก็งอย่างหมอกับวิศวะแม่งก็คงคาบไปแดกอีก”

     

    “ใครวะ เดือนกับดาว”

     

    “น้องแบ็คกับน้องจอย...มึงรู้จักป่ะ”

     

    ผมพยักหน้ารับเพราะรู้สึกคุ้นหูทั้งสองชื่อ ถึงแม้ว่าตอนรับน้องผมจะไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องเท่าไหร่ แต่ก็ได้ยินเพื่อนร่วมรุ่นกับรุ่นน้องในคณะพูดถึงอยู่บ้าง และถึงคณะวิทยาศาสตร์ของเราจะมีหลายภาค แต่พวกเราก็ไม่ได้ห่างเหินกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

     

    ผมไม่ได้สนใจประเด็นดาวและเดือนอะไรอีกเมื่อเสียงตามสายประกาศว่ากิจกรรมเฟรชชี่ไนท์กำลังจะเริ่มขึ้น นักศึกษาหลายคนก็วิ่งกรูกันไปอยู่ที่ลานกิจกรรมใหญ่ทันที ผมหันไปมองเพื่อนร่วมคณะที่ดูจะตื่นเต้น และก็เหลือบไปมองเพื่อนสนิทอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน

     

    “ไปกับพวกกูเปล่า” พวกมันถามผม แต่ผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป ผมยังต้องไปหาใครบางคนที่นัดเอาไว้ก่อน

     

    “พวกมึงไปกันก่อนเลยก็ได้ ถ้าไงเดี๋ยวกูโทรหาอีกที”

     

    ผมเดินแยกออกมาพลางนึกถึงคนที่ร้องขอกำลังใจผ่านเฟซบุ๊ค ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกเบอร์ที่เพิ่งบันทึกไว้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา รอสายไม่นานเสียงโวยวายและเสียงวุ่นวายก็ดังมาจากปลายสายจนผมต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู

     

    (ลู่...ฮัลโหล ได้ยินไหม)

     

    “อือ ได้ยินแล้ว”

     

    เสียงของเขาดูหอบนิดๆ และจากเสียงดังวุ่นวายรอบข้างเมื่อสักครู่ก็เงียบสงบลง ผมคิดว่าเขาคงเดินออกมาหาที่เงียบๆเพื่อคุยกับผม

     

    (โทษที เมื่อกี๊เคลียร์ของกันอยู่...มาถึงแล้วหรอ)

     

    “ถึงแล้ว อยู่ที่คณะอ่ะ”

     

    (โคตรอยากเจอ...อยากได้กำลังใจ)

     

    เสียงของเขาผ่านสายโทรศัพท์ทำให้ผมรู้สึกแปลก มันไม่เหมือนเสียงทุ้มที่เคยฟังเวลาเจอหน้า แต่มันก็ไม่ได้แย่เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าเสียงเขาอยู่ใกล้จนอดที่จะยิ้มให้ตัวเองไม่ได้ น้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นดีใจของเขายิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มปวดแก้ม นี่ถ้าได้เห็นดวงตาเป็นประกายด้วยผมคงต้องเผลอทำร้ายร่างกายเขาอย่างแน่นอน

     

    “เมื่อเช้าก็เพิ่งเจอกัน” ผมเปรยเบาๆจนเขาหัวเราะออกมา

     

    (แต่อยากเจอตอนนี้ด้วย)

     

    “....”

     

    (ลู่...มาหาได้ไหม)

     

    เขาถามเสียงเบาคล้ายกับไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบของผม ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงจึงได้แต่ยืนเตะเท้าไปกับฝุ่นข้างหน้าอย่างชั่งใจ...และดูเหมือนน้ำเสียงที่ไม่มีความมั่นใจแบบนั้นก็ทำให้ผมใจอ่อน

     

    “ที่ไหนล่ะ”

     

    (หลังเวที...มานะครับ เดี๋ยวออกไปรอ)

     

    ผมตัดสายลงก่อนจะเดินไปตามทางที่นักศึกษาหลายคนยืนมุงอยู่ เวทีใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ผมพยายามกวาดตามองหาช่องว่างเพื่อที่จะแทรกตัวผ่านไปยังด้านหลังเวที...ผมไม่ชอบที่ที่มีคนเยอะ เพราะแบบนี้ผมจึงไม่เคยมางานอย่างนี้เลยสักครั้ง

     

    เสียงบนเวทีเริ่มดังขึ้น ก่อนที่ผมจะเห็นพิธีกรในชุดนักศึกษาถูกระเบียบทั้งชายและหญิงเดินออกมา พวกเขาแนะนำตัว พูดถึงกิจกรรมในวันนี้ซึ่งมันเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวาของผมโดยสิ้นเชิง ผมเดินลัดเลาะไปทางด้านข้างของเวที และสุดท้ายผมก็หลุดออกมาอยู่บริเวณหลังเวทีที่เป็นสนามหญ้ากว้างๆได้ในที่สุด

     

    ผมชะเง้อมองหาเขาแต่กลับไม่เจอ ไหนว่าออกมารอแล้วเขาอยู่ตรงไหนกัน จะให้เดินบุ่มบ่ามโผล่เข้าไปในเต็นท์ที่ตั้งอยู่ติดกันก็ไม่ใช่ ผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมโทรออกหาเขาอีกครั้ง

     

    ทว่า...ผมกลับรู้สึกได้ถึงฝ่ามือใหญ่ที่แตะทับลงบนไหล่จนต้องหันไปมอง และนั่นก็เรียกรอยยิ้มดีใจของผมจนอีกคนเผลอยิ้มตาม

     

    “พี่ป๋อ!

     

    “ไงลู่...เป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่เปิดเทอมยังไม่ได้เจอกันเลยนะครับ”

     

    “สบายดีครับ แต่พรุ่งนี้มีควิซ เริ่มรู้สึกไม่สบายแล้ว”

     

    ผมหัวเราะใส่พี่รหัสของตัวเองที่ตั้งแต่เปิดเทอมมาได้เดือนกว่าๆเพิ่งจะได้เจอกันครั้งแรก พี่ป๋ออยู่ปีสี่ และวิชาเรียนก็ไม่ตรงกัน บางครั้งก็มีวิชาเรียนนอกคณะหรือต้องออกไปเรียนที่วิทยาเขตอื่นจึงทำให้พวกเราแทบไม่ได้เจอกันเลย...พี่ป๋อเป็นพี่ชายใจดีที่ผมจัดว่าเป็นบุคคลที่ค่อนข้างสนิทด้วย เขาเป็นที่พึ่งให้ผมได้มาก และเขาก็คอยช่วยเหลือผมมาตลอดในหลายๆเรื่อง

     

    “มีควิซแล้วทำไมถึงมางานเฟรชชี่ล่ะเนี่ย ปกติก็ไม่ชอบอะไรแบบนี้ไม่ใช่หรือเรา”

     

    “ลู่นัดเพื่อนไว้ครับ...สัญญากันไว้แล้วว่าจะมาดู”

     

    “หื้ม? เพื่อนที่ไหน เดี๋ยวนี้ตัวเล็กของพี่เปิดโลกกว้างกับเขาแล้วหรอ”

     

    “โธ่ พี่ป๋อ...ลู่ไม่ได้เป็นคนเก็บตัวขนาดนั้นสักหน่อย”

     

    ผมยู่ปากใส่ ก่อนจะถูกฝ่ามือใหญ่ๆอุ่นๆนั่นขยี้ลงบนหัวจนผมเสียทรง ถึงแม้ว่าจะเบี่ยงตัวหลบขนาดไหนแต่ก็แพ้พี่ชายตรงหน้าอยู่ดี พี่ป๋อยิ้มให้ผมเหมือนเช่นทุกครั้งที่เราเจอกัน และนั่นก็ทำให้ผมยอมยืนอยู่เฉยๆให้เขาลูบผมให้กลับมาเป็นทรงเดิมในที่สุด

     

    “แล้วพี่ป๋อมาทำอะไรตรงนี้ครับ”

     

    “พี่มาเป็นกรรมการประกวดเฟรชชี่น่ะ...เขาให้เดือนมหาลัยปีสี่มาเป็นหนึ่งในกรรมการ พี่ก็เพิ่งรู้ธรรมเนียมเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง”

     

    “ลืมไปเลยนะเนี่ยว่าสายรหัสเรามีคนหล่ออยู่”

     

    ผมเอ่ยแซวพี่รหัสคนดีของผมจนเขาต้องหัวเราะถูกใจออกมา พี่ป๋อเองก็เป็นเดือนมหาวิทยาลัยเหมือนกัน และถึงผมจะรู้เพราะคำบอกเล่าของบรรดารุ่นพี่ แต่ผมก็แทบลืมไปแล้วว่าพี่ชายคนนี้มีดีกรีอย่างไร...เมื่อนึกได้ว่าอดีตเดือนมหาวิทยาลัยอย่างพี่ป๋ออยู่ตรงหน้า ผมก็นึกถึงอดีตเดือนมหาวิทยาลัยอีกคนที่นัดแนะผมเอาไว้เสียดิบดีแต่กลับอยู่ไหนก็ไม่รู้

     

    ผมกวาดตามองไปรอบตัวอีกครั้งก็เห็นแต่เต็นท์สีขาวที่เก็บตัวของทีมงานตั้งเต็มไปหมด แอบรู้สึกขัดใจเล็กๆจนคนที่ยืนอยู่ด้วยกันคงจะสังเกตเห็น

     

    “เป็นอะไรอีกล่ะเรา ทำหน้ายุ่งใหญ่แล้ว”

     

    “หาเพื่อนน่ะสิครับ บอกว่าจะออกมารอลู่...แต่ยังไม่เห็นเลย”

     

    ผมบ่นให้พี่ป๋อฟังแล้วก็มุ่ยหน้าลง ตั้งใจว่าจะโทรหาอีกครั้งแต่ก็ทันได้ยินเสียงฝีเท้าของใครอีกคนที่กำลังวิ่งมาทางนี้เสียก่อน คนมาใหม่ค้อมตัวลงเท้ามือไว้ที่หัวเข่าตัวเองก่อนจะหอบหายใจแล้วรีบโกยอากาศเข้าปอด ผมมองใบหน้าชื้นเหงื่อของฮุนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือลูบลงไปบนแผ่นหลังกว้างของเขา

     

    “โทษทีนะลู่ โดนใช้ให้ไปขนของว่ะ รอนานไหม”

     

    “ไม่นานหรอก เรายืนคุยกับรุ่นพี่เราพอดี...เออนี่พี่รหัสเราพี่ป๋อ...พี่ป๋อครับ นี่ฮุน น่าจะรู้จักกันอยู่แล้วใช่ป่ะ”

     

    ผมแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน  ซึ่งแน่นอนว่าคนทั้งคู่ต้องรู้จักกันอยู่แล้ว อย่างน้อยตอนส่งต่อตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยเขาก็ต้องรับสืบทอดต่อกันมานั่นแหละ

     

    “ฮุนเองหรอที่ลู่มายืนรอน่ะ” พี่ป๋อถามขึ้นมาพร้อมทั้งมองไปยังคนมาใหม่ก่อนจะยิ้มให้น้อยๆเป็นการทักทายกัน

     

    “ครับ”

     

    “สนิทกันหรือ? ทำไมพี่ไม่เห็นเคยรู้”

     

    ผมยิ้มให้พี่รหัสตัวเอง แต่มันเป็นยิ้มเจือนๆนิดหน่อยเพราะคิดไม่ออกว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไร...จะว่าสนิทก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะเราเพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน แต่ถ้าจะบอกว่าโดนจีบอยู่ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ควรป่าวประกาศแม้ว่าเวลามีเรื่องอะไรผมมักจะเอาไปปรึกษาพี่ป๋ออยู่เสมอก็ตาม

     

    “ก็...”

     

    “เรากำลังจะสนิทกันครับพี่”

     

    ในขณะที่ผมกำลังอึกอักกับคำตอบ แต่ฮุนกลับตอบคำถามนั้นออกไปก่อน และก็เป็นผมเองที่ทันได้เห็นแววตาคมทั้งสองคู่กำลังจ้องมองกันคล้ายประเมินอะไรบางอย่างซึ่งกันและกัน...ฮุนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนที่เขาทำเป็นประจำ แต่พี่ป๋อกลับยกยิ้มมุมปาก

     

    “ป๋อ...ป๋อ! กองประกวดตามแล้ว ไปเร็ว”

     

    พี่ป๋อกับฮุนผละสายตาออกจากกันทันทีเมื่อมีเสียงของรุ่นพี่คนหนึ่งตะโกนขัดขึ้นมา ท่าทางรีบร้อนนั่นทำให้พี่ป๋อพยักหน้ารับก่อนที่พี่รหัสของผมจะหันมาลูบหัวผมอีกครั้ง

     

    “พี่ต้องไปก่อน ไว้คุยกันนะครับ พรุ่งนี้ขอให้ทำควิซได้นะ”

     

    “ขอบคุณครับ แล้วลู่จะโทรหานะ”

     

    ฮุนค้อมศีรษะลาพี่ป๋อนิดหน่อยพลางหันกลับมามองผม เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ท่ามกลางสายตางงงวยของผม ตอนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อชอปสีน้ำเงินตัวเดิมกับกางเกงยีนส์สีซีดขาดที่หัวเข่าและรองเท้าผ้าใบเก่าๆผิดกับลุคถูกระเบียบเมื่อเช้าอย่างลิบลับ จะมีก็แต่ทรงผมเท่านั้นที่ยังถูกเซ็ทให้ผมด้านหน้าเปิดขึ้นโชว์หน้าผากสวย

     

    “ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

     

    ผมถามฮุนที่ยังคงทำหน้านิ่ง ถึงแม้ว่านี่จะเป็นใบหน้ายามปกติของเขาแต่ผมกลับไม่รู้สึกชินสักครั้ง เพราะทุกครั้งที่เขาอยู่กับผม ฮุนจะผ่อนคลายมากกว่านี้ เขาจะมีรอยยิ้มให้ผมเสมอ

     

    “ไม่มีไรหรอก เราคิดอะไรนิดหน่อย...ขอโทษที่ช้าอีกครั้งนะ”

     

    “ไม่เป็นไร นี่เหงื่อออกจนแป้งที่ทาหน้าลอกหมดแล้วดิเนี่ย”

     

    ผมมองคนตรงหน้าด้วยแววตาล้อเลียน ใบหน้าขาวที่คาดว่าน่าจะถูกแต่งมาก่อนขึ้นเวทีเริ่มเยิ้มเพราะหยาดเหงื่อ หากแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆฮุนก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ มือของเขาล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อชอปของตัวเองก่อนจะควักก้อนกระดาษทิชชู่ที่ขยุ้มเละเทะแล้วมาให้

     

    “เช็ดให้หน่อย มองไม่เห็น”

     

    “ก็เอาหน้าออกไปก่อนสิ อย่ามาเนียน”

     

    ผมดันอกกว้างออกให้มีระยะห่างระหว่างกัน รับเอาก้อนทิชชู่ใช้แล้วมาพลางอาศัยแสงไฟจากบนเวทีซับหน้าให้เขาอย่างเบามือ ฮุนหลับตาลงให้ผมทำได้ถนัดมากขึ้นจนผมบอกว่าเสร็จแล้วเขาจึงเปิดเปลือกตา ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันไม่มากและผมก็ต้องยอมรับกับตัวเองอีกครั้งว่าเขามีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบมากจริงๆ

     

    “หล่ออ่ะดิ” เขาทำลายความเงียบขึ้นเมื่อผมจ้องหน้าเขาไม่วางตา

     

    “โห...หลงตัวเองว่ะ”

     

    “ไม่หรอก...หลงลู่มากกว่า”

     

    “หึ...” ผมพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับปากระดาษทิชชู่ในมือใส่เขา เชื่อเขาเลยว่ายังจะมีอารมณ์มาหยอดกันอยู่ได้

     

    “ขี้หยอดแบบนี้ มิน่าถึงแฟนคลับเยอะ” ผมเปรยขึ้นมานิดหน่อยแต่ดูเหมือนจะเข้าทางอีกคนอย่างไรไม่รู้ เพราะเขาก็เล่นตอบกลับมาให้ผมได้แต่อยากโก่งคออ้วกอยู่ที่พงหญ้าแถวนั้น

     

    “แฟนคลับอะไรไม่เคยหยอดหรอก อยากจะหยอดแค่แฟนครับเท่านั้นแหละ”

     

    “แหวะๆๆๆ พอเหอะฮุน เราขนลุกไปหมดแล้ว”

     

    ผมยกแขนให้เขาดูว่าขนสั้นๆที่แขนมันทำท่าจะลุกจริงจนเขาต้องหัวเราะออกมาเหมือนกันกับที่ผมเผลอหัวเราะตามไปด้วย

     

    “แล้วตกลงนี่จะโชว์อะไรอ่ะ ไม่ต้องเตรียมตัวหรือไง”

     

    “เตรียมเสร็จแล้ว เดี๋ยวหลังจากพวกเฟรชชี่ตอบคำถามเสร็จก็ขึ้นแล้ว...ลู่จะไปยืนตรงไหน”

     

    “เดี๋ยวเราไปยืนกับเพื่อนแล้วกัน ตรงกลุ่มวิทยาฯอ่ะ น่าจะอยู่ด้านซ้ายของเวทีมั้ง”

     

    “รอดูเรานะ...”

     

    “รู้แล้ว...ก็มาเพราะให้มาดูไม่ใช่หรือไง”

     

    ผมมองเขาที่ยิ้มตอบกลับมาแล้วระหว่างพวกเราก็เงียบลง เสียงบนเวทียังคงดำเดินพร้อมกับเสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาคนดูที่คอยเชียร์ดาวและเดือนคณะต่างๆ ลมเย็นๆที่พัดเข้ามาท่ามกลางความอบอ้าวทำให้ผมรู้สึกสงบ ผมไม่รู้ว่าหลังมือของเราชนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ผมก็ไม่ได้ขยับออกและฮุนก็ไม่ได้ล่วงเกินมากกว่านั้น

     

    เรายืนมองท้องฟ้าข้างกันเงียบๆและก็เป็นเขาที่ทำลายความเงียบขึ้นมา

     

    “เราชอบลู่ว่ะ...หลังจากนี้รับเราไปพิจารณาด้วยนะ”

     

    ผมอยากจะเถียงเขาว่าตอนนี้ผมก็พิจารณาเขาอยู่ไม่ใช่หรือไง เพียงแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรกลับไป

     

    ผมทำเพียงแค่ครางอือในลำคอก่อนจะตัดสินใจเลื่อนมือของตัวเองเข้าไปในฝ่ามือใหญ่ของเขา...ผมบีบมืออุ่นๆนั้นเบาๆก่อนจะถอนมือออกมาแล้วมองหน้าเขาที่ยังคงมีรอยยิ้มติดมาให้ผมอยู่เสมอ

     

    “ก็พยายามเข้าแล้วกัน...เราเป็นกำลังใจให้”

     

    ท่าทางที่เหมือนเด็กได้ของเล่นของเขาทำให้ผมรู้สึกร้อนๆที่แก้ม อยากจะโทษท้องฟ้า โทษต้นหญ้า โทษอากาศ แต่สุดท้ายก็ต้องโทษตัวเองที่เผลอทำเอง พูดเองแล้วก็เขินเองอยู่อย่างนี้

     

    “งั้น...เราไปรอหน้าเวทีนะ”

     

    -------------------------

     

    “และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่ทุกคนตั้งตารอคอยค่ะ ท่าทางพี่ๆเขาก็จะพร้อมกันแล้วด้วย ถ้าอย่างนั้นขอเสียงต้อนรับวง เฉพาะกิจของพี่ฮุนเดือนมหาวิทยาลัยปีสามของเราหน่อยค่า”

     

    ผมกลับมายืนอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆคณะวิทยาศาสตร์ข้างเวที เสียงกรี๊ดและเสียงโห่ร้องดังขึ้นเมื่อพิธีกรประกาศคั่นรายการประกวดเฟรชชี่ด้วยวงดนตรีของคนที่เพิ่งขอให้ผมรับเขาไปพิจารณา ผมเห็นแฟนคลับของเขามากมายที่กรีดร้องพร้อมชูป้ายเชียร์ หากแต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมสนใจเท่าคนตัวสูงในชุดเสื้อชอปสีน้ำเงินที่กำลังปรับขาตั้งไมค์โครโฟน

     

    “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราขอยกเวทีให้วง เฉพาะกิจไปเลยคร้าบบ”

     

    สิ้นเสียงของพิธีกรรุ่นน้องจังหวะของกลองที่ผมจำได้ว่านั่นคือเพื่อนของฮุนที่ชื่อชานกำลังเคาะให้สัญญาณ ก่อนที่เสียงทุ้มของเขาจะร้องเพลงขึ้นมาเรียกเสียงกรี๊ดไปอีกครั้ง ดนตรีจังหวะสนุกสนานและเพลงยอดนิยมทั้งหลายถูกหยิบยกขึ้นมาร้องจนคนดูข้างล่างอดที่จะโยกตามไม่ได้

     

    ฮุนสะกดสายตาของทุกคนให้สนใจไปที่เขารวมทั้งผมด้วย เขามีเสน่ห์ที่ดึงดูดอย่างเหลือเชื่อไม่ว่าจะเป็นท่าทางหรือเสียงร้อง ไม่รู้ว่าผ่านไปทั้งหมดกี่เพลงแล้วกับคอนเสิร์ตย่อมๆที่ทำเอาผมและเพื่อนๆที่ยืนโยกอยู่ข้างๆกันหอบหายใจหนักๆได้ ก่อนที่เขาจะยอมหยุดพักแล้วกวาดตามองลงมาที่เวทีด้านล่าง

     

    ผมไม่รู้ว่าเขากำลังมองหาอะไร หรือว่าเขาจะมองหาใคร หากแต่ดวงตาคมของเขากลับประสานเข้าที่ดวงตาของผมก่อนที่ใบหน้านิ่งๆนั้นจะยิ้มออกมา

     

    “เพลงนี้เห็นทีคงจะต้องเป็นเพลงสุดท้ายแล้วเพราะน้องๆเฟรชชี่ที่รอประกวดอาจจะหลับไปก่อนได้”

     

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

     

    “ก็ไม่มีอะไรจะพูดมากครับ แต่อยากให้ใครบางคนได้ฟัง...อยากให้รู้ว่าผมจริงจังนะ”

     

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

     

    “ช่วยกันร้องด้วยนะครับ”

     

    สายตาของเขายังคงจ้องมองมาที่ผม แม้ว่าผมจะพยายามเสตามองที่อื่นอย่างไรก็หนีไม่พ้น ผมรู้สึกว่าไม่ได้มีแค่คนบนเวทีเท่านั้นที่ส่งสายตามา แต่นักศึกษามากมายที่ยืนอยู่รอบๆผมก็จ้องมองมาเช่นกัน ผมออกอาการเงอะๆงะๆขึ้นมาทันทีจนต้องเกาจมูกเก้อๆ แต่อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่ไอ้หัวเกรียนที่อยู่ข้างๆกันยกแขนขึ้นมากอดคอผมแล้วโยกพอให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย

     

    ผมยอมเงยหน้ากลับไปจ้องจากคนบนเวทีอีกครั้ง ก่อนที่เสียงทุ้มของเขาจะร้องขึ้นต้นเพลงขึ้นมา

     

    “ก็คงเป็นคุณเท่านั้นที่ทำให้ใจผมหยุดเหงา

    ก็มีแต่คุณเท่านั้นที่ทำให้ใจผมคลายเศร้า

    คงไม่มีโอกาสถ้าคุณไม่ให้โอกาส

    คงจะต้องทำพลาดอีกครั้งหนึ่ง”

     

    เสียงกรี๊ดมากมายดังลั่นทั่วลานของมหาวิทยาลัย ก่อนที่เสียงดนตรีจะตามมาพร้อมกับฮุนที่ดึงไมค์โครโฟนออกจากขาตั้งแล้วเปลี่ยนเป็นเดินมูนวอร์คมาหยุดที่หน้าเวที

     

    “ตั้งแต่วันที่คุณเดินเข้ามา วันที่เราได้นั่งมองตา

    ก็บอกหัวใจเอาไว้ว่า”

     

    เขาหยุดท่อนร้องนั้นก่อนจะส่งไมค์ลงมาข้างล่างให้ทุกคนช่วยกันร้อง

     

    “อยากลองอีกสักครั้ง!!

     

    ผมยืนดูเขาที่ยังคงร้องเพลงอยู่ แถมเพลงสุดท้ายนี้เขายังลุกขึ้นมาเต้นไปด้วย เสียงกรี๊ดที่ว่าดังอยู่ยิ่งดังมากขึ้นไปอีก ผมคิดว่าเราสบตากันบ่อยทั้งๆที่เรายืนอยู่ห่างกัน และเพียงแค่เขาขยิบตาส่งมาผมก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองกำลังเต้นแรงแข่งกับเสียงกลองที่ชานกำลังตีอยู่เสียอีก

     

    “ก็คงเป็นคุณเท่านั้นที่ทำให้ใจผมหยุดเหงา

    เป็นคุณและคุณเท่านั้นที่ทำให้ใจผมคลายเศร้า

    คงไม่มีโอกาสถ้าคุณไม่ให้โอกาส

    คงจะต้องทำพลาดอีกครั้งหนึ่ง”

     

     

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด







    TBC


    ขอบคุณเพลงคุณและคุณเท่านั้นของแก้งส้ม
    ตอนนี้มีตัวละครเพิ่ม แล้วก็แอบยาว
    ฝากด้วยนะคะ แท็กหรือเม้นจะดีจายยย 

    สกอป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×