ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [แปล] บันทึกการสงครามของคุโระ

    ลำดับตอนที่ #26 : บทที่สอง ตอนที่ 9 บุกโจมตีในยามค่ำคืน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.36K
      9
      2 ก.ค. 57

    บทที่สอง หล่อหลอม

    ตอนที่ 9 บุกโจมตีในยามค่ำคืน

    ผู้ที่เสียชีวิตจากการต่อสู้ในวันนี้นั้นนับได้เป็นทหารม้าหนึ่งร้อย พลธนูสามร้อย ทหารราบอีกหนึ่งร้อย... ซึ่งถ้ารวมพวกเจ็บหนักไปแล้ว

    กองทัพของจักรวรรดิก็สูญเสียจำนวนคนไปเทียบได้กับจำนวนคนในกองทัพๆหนึ่งเลยทีเดียว

    ซึ่งเหตุผลการเสียชีวิตส่วนใหญ่นั้นก็คือทหาม้าของฝ่ายศัตรูนั่นเอง

    นอกจากนั้น บุคคลระดับแม่ทัพและทหารผู้ช่วยที่ไม่ใช่กองอัศวินยังลดไปกว่าครึ่ง....

    ถึงดูจากตัวเลขแล้ว มันจะไม่หนักหนาจนเกินไปก็เถอะ.....

    โครโน่คิดกับตนขณะเดินดูรอบๆกองทัพ

    ส่วนหลังของกองทัพนั้นถูกเปลี่ยนสภาพเป็นโรงพยาบาลจำเป็น... ถึงมันจะเป็นเพียงแค่เต้นท์ที่ถูกนำมาวางเรียงกันธรรมดาๆก็เถอะ

    ด้วยกลิ่นเลือดที่ฉุนจมูกและเสียงร้องของพวกทหารที่ระคายหูก็ช่วยทำให้มันสมจริงอย่างมากแล้ว

    แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีเตียง คนเจ็บนั้นนอนบนพื้นที่มีผ้าปูอยู่เท่านั้น

    พวกเขามีทั้งผู้ที่เสียแขนไป ผู้ที่เสียขาไป ผู้ที่ถูกฟันจนมีรอยแผลใหญ่ที่ท้อง

    ที่นี่นั้นถูกย้อมไปด้วยบรรยากาศแห่งความสิ้นหวังจริงๆ

    และพวกแพทย์ที่โครโน่พามาจากเขตตน ก็กำลังพยายามทำงานหนักเพื่อลดความสิ้นหวังนั้นอยู่

    ".....ท่านโครโน่"

    หมอคนหนึ่งหันมาหาโครโน่ และทำหน้าตกใจเมื่อเห็นมือทั้งสองข้ามที่เต็มไปด้วยเลือดของชายหนุ่ม

    "ไม่ต้องสนใจแผลของผมหรอก มันแค่แผลเล็กๆ..... นายน่ะ... ไปรักษาคนเจ็บคนอื่นเถอะ  แล้วก็อย่าเลือกปฏิบัติล่ะ.. ทั้งกึ่งมนุษย์ ทั้งมนุษย์ ทั้งขุนนาง ทั้งคนธรรมดา นี่เป็นคำสั่งๆเดียวที่ผมจะสั่ง"

    "ขอประทานอภัยด้วยครับ"

    หมอหนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้แล้วกลับไปทำงานของตนต่อ

    "ท่านแม่ทัพ ไหล่ไม่เป็นไรหรือ?"

    "พอขยับมันก็มีเสียงกระดูกลั่นน่ะ... แต่ไม่เป็นไรมั้ง?"

    จริงๆแล้วแผลที่ไหล่นั้น ก็เป็นเพราะคุณมิโนจับเขาไว้

    แต่จะไปโทษคุณมิโนก็ไม่ได้

    "แผลที่หน้าผากด้วย..."

    "มันจะทำหัวผมเถิกไหมเนี่ย..."

    พอเขาจับหน้าผากของตน เลือดก็ค่อยๆไหลย้อยลงมา

    ว่าแล้วเขาก็ปืนเนินขึ้นไป

    "ท่านโครโน่ ทางนั้นมันไม่ใช่เต้นท์พกวเรานะ"

    "ผมโดนเรียกไปร่วมประชุมวางแผนน่ะ ทางนี้ถูกแล้ว"

    "ได้รับการยอมรับจากเรื่องนี้หรืออะไรน่ะ?"

    "แม่ทัพกับผู้ช่วยตายกันเยอะจนต้องจำใจเรียกไปน่ะ"

    "งั้นเดี๋ยวผมไปดูแลคนอื่นๆแทนท่านโครโน่เอง"

    "รอก่อนๆ"

    โครโน่หันไปเรียกทหารผู้ช่วยของเขาไว้

    "นายเองก็เป็นทหารผู้ช่วยของผมนะ เพราะงั้นคุณมิโนเองก็ต้องมาเข้าร่วมการประชุมด้วยสิ"

    "นี่ท่านแม่ทัพ ผมเป็นกึ่งมนุษย์นา"

    "ผมเองยังมาจากต่างโลกเลย"

    โครโน่พยายามเกลี้ยกล่อมผู้ช่วยของตนสุดความสามารถ

    "เข้าใจแล้ว..."

    จนสุดท้ายผู้ช่วยของเขาก็ยอมไปด้วยจนได้

    "ผมว่าจะเสนอในที่ประชุมให้เข้าโจมตีตอนกลางคืนน่ะ... จะได้ไหมนะ?"

    "ก็นะ.... ทางนี้มีกึ่งมนุษย์เยอะอยู่แล้ว ถ้าบอกให้ทำก็ทำได้ล่ะ"

    แต่ว่า.... คุณมิโนมองโครโน่รอบหนึ่ง แล้วพูดต่อ

    "เดี๋ยวก็โดนหาว่าเป็นพวกขี้ขลาดหรอก"

    "ไม่เป็นไรหรอก ที่ผมเป็นห่วงคือทำได้หรือไม่ได้เท่านั้นแหละ"

    ถ้าเป็นไปได้ก็เหลือแค่ทำจริงแค่นั้นเอง

    "นี่ท่านแม่ทัพ ผมจะพูดเองมันก็ยังไงอยู่หรอก แต่พวกขุนนางมันศักดิ์ศรีเยอะนะ"

    "ผมต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรที่เรียกว่าศักดิ์ศรีของขุนนางน่ะ"

    ไม่สิ...

    เขาก็พอเข้าใจว่าการต่อสู้แบบขุนนางคือการสู้ซึ่งๆหน้า และก็พอเข้าใจว่าเหล่าขุนนางควรจะเดิมพันชีวิตไว้กับศักดิ์ศรีนั้น

    แต่เขาก็รู้สึกยอมรับไม่ได้อยู่ดี

    "ถ้าใช้วิธีฉลาดๆหน่อยแล้วลดจำนวนผู้เสียหายได้ล่ะก็ ใครจะเรียกอะไรผมก็ยอมทั้งนั้นแหละ"

    "ถ้าพูดได้อย่างนั้นก็ง่ายล่ะ"

    ว่าแล้วพวกเขาก็มาถึงเต้นท์ที่มีการประชุมจนได้

    "ทำไมกึ่งมนุษย์ถึงมาอยู่ที่นี่?"

    "เคานต์พิสเคย์ นี่เป็นผู้ช่วยของผมน่ะ แล้วก็เท่าที่ผมจำได้ มันไม่มีกฏห้ามหรืออะไรนี่?"

    เมื่อฟังดังนั้น เคานต์พิสเคย์ก็เดาะลิ้นหนึ่งครั้ง แล้วไม่พูดอะไรต่อ

    ข้างในเต้นท์นั้น มีคนอยู่หลายคน ประกอบไปด้วยเลออนฮัลท์ เคานต์พิสเคย์ ชายที่ดูถูกการตายของเลโอะ โดยทุกคนมีผู้ช่วยของตนยืนอยู่ข้างหลัง

    บุคคลที่สะดุดตาเขาที่สุดคือหญิงสาวอัศวินที่ยืนอยู่ข้างหลังเคานต์พิสเคย์

    ดูจากอายุของเธอแล้ว น่าจะจบมาจากโรงเรียนเตรียมทหารเพียงไม่กี่ปีล่ะมั้ง

    "อย่างที่ทุกคนรู้ พวกเราเสียทหารไปห้าร้อยนายกับการต่อสู้ครั้งนี้ และในนั้นก็มีแม่ทัพสามนาย ผู้ช่วยอีกสี่...  โดยหนึ่งในผู้ช่วยที่ตายไปนั้นก็เป็นผู้ช่วยของฉันด้วย... แต่ก็หาคนมาแทนได้แล้ว"

    อัศวินหญิงข้างหลังเคานต์พิสเคย์ยิ้มไม่หยุดเมื่อได้ยินคำพูดของเขา

    ..ก็เข้าใจอยู่หรอกนะ ว่าหัวหน้าตาย ก็เลยได้เลื่อนยศน่ะ.. แต่มันออกจะโจ่งแจ้งเกินไปนิดนึงมั้ง..

    โครโน่คิด

    "และเพราะการเสียชีวิตของแม่ทัพจำนวนมาก ก็ต้องทำให้คุณเลออนฮัลท์จากกองอัศวินที่หนึ่ง และฉันเอง จากกองอัศวินที่สิบสอง สลับเปลี่ยนตำแหน่งกับกองทัพที่สูญเสียแม่ทัพไปเอง"

    "วางใจให้ผมทำเถอะ"

    หลังเขาพูดจบ หลายๆคนต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

    ไม่ว่าใครก็เชื่อมั่นในตัวเลออนฮัลท์ทั้งนั้น

    จะเปลี่ยนตำแหน่งกันก็ถูกแล้ว

    "เอ่อ.... จะจบการประชุมเพียงแค่นี้หรือครับ?"

    "มีความเห็นอะไรหรือครับ คุณโครโน่?"

    ทำพูดของเลออนฮัลท์ทำให้ทุกคนหันมามองที่ชายหนุ่ม

    "...ผมพอเข้าใจนะว่าการสับเปลี่ยนตำแหน่งของกองทัพน่ะมันจำเป็นหลังจากการศึกวันนี้..."

    "หืม? นี่คุณไม่เชื่อใจท่านเลออนฮัลท์หรือคะ? ท่านเลออนฮัลท์น่ะ เป็นผู้สืบทอดของตระกูลพาลาทีมและเป็นผู้ใช้วิชาดาบและอำนาจเทพชั้นเซียนเลยนะคะ ว่ากันว่าเขาเหนือว่า "ผู้ล้างสังหาร" โคร์ลด พ่อของคุณด้วยซ้ำ"

    ผู้ช่วยของเคานต์พิสเคย์เริ่มชมเนออลฮัลท์

    หรือดึงเลออนฮัลท์มาเพื่อจะด่าโครโน่ก็ไม่ทราบได้

    "คุณไม่เชื่อผมหรือครับ คุณโครโน่?"

    "ผมไม่ได้จะพูดเรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อเลยนา..."

    โดนลากไปอีท่าไหนเนี่ย

    แต่เอาเถอะ ไม่ว่าคนจะปลิ้มเลออนฮัลท์แค่ไหน เรื่องที่เขาต้องพูดก็ต้องพูดให้จบ

    "...ผมกำลังคิดว่าจะบุกโจมตีกองทัพของราชอาณาจักรตอนกลางคืนน่ะ"

    "คิดอะไรอยู่น่ะคะ!"

    "ใช่! แกไม่มีศักดิ์ศรีของขุนนางหรือยังไง"

    "ไอ้ขี้ขลาด!"

    เมื่อเขาพูดจบ ผู้ช่วยของเคานต์พิสเคย์และแม่ทัพอีกทั้งสองก็พูดขึ้นมาทันที

    "พออยู่กับพวกกึ่งมนุษย์มากๆ ก็เป็นแบบนี้ล่ะนะ"

    ผู้ที่พูดคนสุดท้าย... คือแม่ทัพที่ดูถูกการตายของเลโอะนั่นเอง

    แต่เขาก็ต้องอดทนไว้ก่อน...

    ไว้มีโอกาสเถอะ.. พ่อจะฆ่าทิ้งให้...

    "ผมก็แค่เสนอแผนที่มีเหตุผลเท่านั้นเองครับ... แน่นอนว่าคุณเลออนฮัลท์ก็คงจะต่อสู้กับอัศวินในชุดเกราะสีแดงได้ไม่ยาก แต่ในฐานะผู้นำทัพ ผมคิดว่าเพื่อชัยชนะแล้วเราก็ควรจะใช้แผนการอะไรบ้าง... อย่างนี้นี่ก็เป็นสิ่งที่พ่อของผมสอนมา"

    "อืม... ถ้าเป็นคำพูดของคุณโครล์ดล่ะก็มีเหตุผลอยู่"

    จริงๆแล้วโกหกน่ะนะ

    สิ่งที่บิดาบุญธรรมของเขาสอนมาก็มีแค่วิชาดาบกับเรื่องพื้นฐานของโลกนี้เท่านั้นเอง

    แต่เลออนฮัลท์ก็ไม่รู้ถึงสิ่งนั้น

    "ถ้ามีศัตรูก็ต้องเข้าไปข้างหน้าตรงๆสิคะ! ถึงจะเรียกว่าขุนนางน่ะ"

    "เรื่องแบบนั้นรอเป็นผู้เสียหายเองค่อยพูดจะดีกว่านะ"

    พอชายหนุ่มเถียงหญิงสาวผู้ช่วยของเคานต์พิสเคย์ เธอก็เขม่นเขากลับมาเสียยกใหญ่

    "ลูกชายของขุนนางใหม่จะเข้าใจอะไรกันคะ?"

    "....ก็ไม่เข้าใจน่ะสิ"

    "ก็แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ถึงจะมีตำแหน่งขุนนางก็เป็นแค่ขุนนางใหม่..ไม่สิ... เป็นแค่ลูกชายของทหารธรรมดาๆจะไปเข้าใจเรื่องเกียรติยศก็แปลกแล้วค่ะ"

    เมื่อหันไปมองรอบๆ ทุกๆคนนอกจากเลออนฮัลท์และเคานต์พิสเคย์ก็ต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับคำพูดของเธอ

    "อืม ผมน่ะไม่เข้าใจไอ้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของขุนนางที่เธอพูดจริงๆ"

    เพราะงั้นนะ... ชายหนุ่มเริ่มยิ้มออกมาบ้าง

    "ช่วยไปอธิบายให้ทหารที่กำลังจะตายในเต้นท์พยาบาลฟังหน่อยสิ?"

    "วะ...ว่าอะไรนะคะ"

    "ก็นะ.. ช่วยไปบอกทหารที่สูญเสียแขนขา ทหารที่บาดเจ็บมีรูที่ท้องเพิ่มขึ้นมามากกว่าปกติน่ะ.... บอกว่าเรามีวิธีที่จะช่วยลดความเสียหายได้ แต่ศักดิ์ศรีและเกียรติยศมันไม่ยอมให้ชั้นทำ... น่ะ"

    เขาฝืนยิ้ม.. ทั้งๆที่ในใจไม่คิดตลกด้วยเลยซักนิด

    "เรื่องแบบนั้น.. มันไม่มีความหมายหรอกค่ะ!"

    "นั่นสินะ สำหรับทหารที่จะไปตายน่ะ ศักดิ์ศรีและเกียรติยศของขุนนางน่ะ ไม่มีค่าเลยแม้แต่นิดเดียว"

    ปึก...ปึก

    เขาเคาะโต๊ะด้วยปลายนิ้วสองครั้ง

    "เพราะงั้นแหละ ผมไม่อยากให้พวกเธอใช้เรื่องพวกนั้นมาเพิ่มจำนวนคนเจ็บแล้วก็คนตายในสนามรบน่ะ"

    จะว่าไปแล้ว.. เขาพยักหน้าให้กับตนเอง

    "ในลูกน้องของผม มีคนชื่อเฟย์อยู่น่ะนะ จะว่าไปพวกเธอก็เหมือนกันดีนี่"

    "จะ...จะบอกว่าเหมือนยัยสาวขี้ม้านั่นหรือคะ!"

    "ก็เปล่านี่"

    ว่าแล้วเขาก็ปล่อยเธอไปโดยไม่พูดอะไรต่อ เบนสายตามาทางเคานต์พิสเคย์แทน

    ดูเหมือนเขาเองก็ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อของเฟย์ที่นี่เหมือนกัน ทำให้ตอนนี้สีหน้าของเคานต์พิสเคย์นั้นดูไม่ดีเลย

    "มาร์ควิสเอรากิส... มีโอกาสสำเร็จเยอะไหม?"

    "แน่นอนครับ กึ่งมนุษย์น่ะ มองเห็นได้ในเวลากลางคืนอยู่แล้ว   แล้วผมก็จะใช้สิ่งนี่ในการทำให้การติดต่อกันง่ายขึ้นด้วย"

    โครโน่หยิบลูกแก้ว..เมจิคไอเท็มสำหรับสื่อสารขึ้นมา

    "ดูเตรียมการมาดีนี่.."

    "แผนบุกเวลากลางคืน... ก็ไม่ใช่อะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่ผมว่าพวกเราควรจะส่งทัพหลักลอบเข้าไปก่อความวุ่นวาย แล้วให้ทัพเสริมที่แยกไปต่างหากคอยจุดไฟเผาเสบียงของศัตรูน่ะ"

    "หึ.. ถ้าไม่มีเสบียง อีกฝั่งก็อยู่ต่อไปไม่ได้สินะ"

    "กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ นี่เป็นสิ่งที่เป็นจริงเสมอไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน ยุคสมัยไหน หรือแม้แต่โลกไหนๆก็ตาม"

    โครโน่ยิ้มตอบเคานต์พิสเคย์ที่หัวเราะแค่นๆใส่เขา

    "...ชิ"

    คราวนี้ถึงคราวเคานต์พิสเคย์ต้องเป็นฝ่ายเดาะลิ้นบ้าง

    คงกำลังหาทางรักษาตัวเองอยู่สินะ.. โครโน่มองหน้าเขาแล้วคิดขึ้น

    "...ดูเหมือนเราจะต้องถกเถียงกันอีกนานเลย ทุกคนนอกจากคุณเลออนฮัลท์กับมาร์ควิสเอรากิสไปพักก่อนเถอะ เก็บแรงไว้พวกนี้"

    ผลที่ออกมาคือการกีดกั้นคนออกไป

    "...ยะ...อย่ามาล้อเล่นนะคะ! เข้าตีตอนกลางคืนเนี่ย.."

    "เซชิลี่ ฉันบอกให้เก็บแรงไว้นะ หรือว่าอยากได้งานทำความสะอาดคอกม้าแทนงานผู้ช่วย?"

    "เข้าใจแล้วค่ะ!"

    สุดท้ายผู้ช่วยของเคานต์พิสเคย์... เซชิลี่ก็จำต้องออกไปจากที่ประชุมอย่างเสียไม่ได้

    แม่ทัพคนอื่นก็มีสีหน้าไม่พอใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดอีก

    สุดท้ายในเต้นท์ที่จัดการประชุมก็เหลือเพียงแค่เลออนฮัลท์ โครโน่ และคุณมิโนแค่นั้น

    "มาร์ควิส.... นายคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?"

    "คุณมิโนว่าไง?"

    "ทำผมถึงมาถามผมล่ะ?"

    ผู้ช่วยของเขาเบิกตากว้าง ตกใจที่หัวหน้าของตนหันมาถาม แล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่

    "....ขออนุญาตพูดได้ไหมล่ะครับ?"

    "ไม่นึกว่าจะต้องมาฟังกึ่งมนุษย์... ช่างมันเถอะ พูดมา โดนมาขนาดนี้แล้ว จะโดนอีกก็ไม่ต่างกัน"

    เคาน์พิสเคย์พูดออกมาทั้งๆที่สีหน้าแสดงถึงความเซ็งจากใจจริง

    "จากสายตาพวกผมสงครามวันนี้มันก็ไม่แย่อะไรขนาดนั้นหรอก แต่พวกเราน่ะ ไม่มีกำลังเสริมเลย แต่อีกฝ่ายยังมีมาได้เรื่อยๆ แถมกำลังใจของทหารก็เป็นซะแบบนี้... โจมตีกลางคืนหรืออะไรก็เถอะ รีบๆบุกเข้าเมืองดีกว่า"

    "ผมก็คิดเหมือนคุณมิโนนะ"

    โครโน่ยืดอกตอบอย่างภาคภูมิใจ

    "คุณเลออนฮัลท์?"

    "เรื่องเปลี่ยนตำแหน่งก็เรื่องหนึ่งแล้ว ผมว่าการจะตอบโต้สถานการณ์ปัจจุบันเราก็ควรจะปรับตัวตามมันเป็นดี"

    โครโน่แอบตกใจเล็กน้อยที่เลออนฮัลท์นั้นไม่ได้คัดค้านแผนของเขาอย่างโจ่งแจ้ง

    "มีอะไรหรือ?"

    "เปล่า... แค่ตอนแรกคิดว่าคุณเลออนฮัลท์จะเริ่มพูดเรื่องศักดิ์ศรีหรืออะไรออกมาน่ะ"

    "ถ้าผมคนเดียวล่ะก็ จะยืนรับศัตรูบนสนามรบนานเท่าไหร่ผมก็ทนไหว แต่ตอนนี้มีชีวิตของลูกน้องมากมาย ผมก็เลยไม่คัดค้านน่ะ"

    เมื่อได้ฟังความเห็นของเลออนฮัลท์ เคาน์พิสเคย์จึงเริ่มมองโครโน่อย่างมีเลศนัยน์

    ".....ในฐานะขุนนาง ฉันยอมรับแผนนี้อย่างเป็นทางการไม่ได้ แต่ถ้าจะให้อยู่เงียบๆล่ะก็ไม่มีปัญหา"

    "ก็คือจะให้เป็นแผนที่ผมทำขึ้นโดยพลการสินะ"

    "ผมว่ามันจะง่ายไปหน่อยไหม?"

    เมื่อโดนชายหนุ่มทั้งสองพูดใส่ตรงๆ เคาน์พิสเคย์ก็ทำเพียงพยักหน้ายอมรับเท่านั้น

    ...ไม่สิ

    ก็ไม่เลวเหมือนกัน

    "เข้าใจแล้วครับ"

    "คุณโครโน่!"

    "อา..! มาร์ควิสเอรากิส!"

    เลออนฮัลท์ส่งเสียงไม่พอใจออกมา ส่วนเคานต์พิสเคย์ก็ส่งเสียงดีใจออกมาพร้อมๆกัน

    "ไม่หรอก ผมไม่ทำฟรีแน่ๆล่ะ ไม่ว่าจะในกรณีที่แผนการสำเร็จหรือล้มเหลวผมก็ขอรางวัลที่สมเหตุสมผลและค่ารักษาพยาบาลชั้นดีให้ลูกน้องของผมด้วย"

    "ฉะ...ฉันที่เป็นแค่ขุนนางท้องพระโรงไม่มีเงินจ่ายหรอก!"

    "โกหกมันไม่ดีนะ เคาน์พิสเคย์"

    เมื่อเขาหันไปทางต้นเสียง โครโน่ก็พบกับริโอะที่ยืนอยู่นอกเต้นท์

    "มะ..หมายความว่ายังไง"

    "หืม... คิดว่าผมไม่รู้หรอกเหรออออ?"

    "ก็ได้! ฉันสัญญาว่าจะออกค่าพยาบาลให้ทหารแล้วก็หารางวัลมาให้แกเองก็ได้!"

    เคาน์พิสเคย์แทบจะกรีดร้องประโยคนี้ออกมา

    "ถ้างั้นเลออนฮัลท์คนนี้จะขอเป็นพยานเอง"

    "งั้นผมก็ต้องเป็นด้วยซะแล้ว"

    ด้วยเหตุนี้ เคาน์พิสเคย์จึงน้องส่ายหัวอย่างไร้เรี่ยวแรงให้กับผลลัพธ์ครั้งนี้


    *


    หลังจากคุยรายละเอียดต่างๆเสร็จ โครโน่ก็พาผู้ช่วยของตนและริโอะกลับมายังที่ตั้งของกองทัพของเขา

    ที่นั่นเต็มไปด้วยเหล่าลูกน้องของเขาที่ทานอาหารเสร็จแล้ว กำลังพักผ่อนอยู่รอบกองไฟ

    แต่ดูเหมือนจำนวนคนมันจะมากกว่าที่เขาจำได้อยู่....

    เขาก็ไม่ได้นับอะไรหรอก แต่ดูๆแล้วน่าจะเพิ่มขึ้นได้ซักสามสิบเปอร์เซ็นได้

    "นี่คุณมิโน ลูกน้องผมนี่มันเยอะขนาดนี้เลยหรือ?"

    "เผอิญแม่ทัพตายไปเยอะ กึ่งมนุษย์ก็เลยไหลมาฝั่งนี้น่ะ"

    จะว่าไปแล้วบางคนก็ใส่ชุดเกราะที่ดูไม่ค่อยดีนี่นะ

    "ถ้าเห็นท่านแม่ทัพเดินคุยกับลูกน้องตอนพักบ่อยๆ มาเยอะขนาดนี้ก็ปกติแล้วแหละ"

    "....กองทัพนี่มันง่ายกว่าที่คิดแฮะ"

    ช่างมันเถอะ....

    เสร็จเขาก็หันไปพูดกบัริโอะต่อ

    "ริโอะปล่อยหน่วยของตัวเองไว้จะดีหรือ"

    "ผมฝากผู้ช่วยไว้แล้วล่ะ อ่า... อย่าเข้าใจผิดล่ะ แต่ผู้ช่วยของผมน่ะ ทำงานเป็นพ่อบ้านของผมด้วย เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมไว้วางใจเลยนะ.. เพราะงั้นแหละ... ผมก็จะเข้าร่วมการต่อสู้คืนนี้ด้วย"

    "...คุณมิโน ผมไปหยิบของที่เต้นท์ก่อนนะ ระหว่างนี้ช่วยไปเรียกหัวหน้าหน่วยทุกคนมา แล้วเลือกสมาชิกที่จะเข้าร่วมรบคืนนี้ แล้วก็... เอาเกราะ ดาบ แล้วก็ธนูทดกำลังให้ริโอะด้วย"

    เขาพูดทิ้งไว้แล้วกลับไปยังที่พักของตน

    เขาหยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่ออกมาจากที่เก็บสัมภาระของตน แล้วกดปลดล๊อคมันออก

    เผยให้เห็นถึงเหรียญทองจำนวนมากและขวดไวน์ที่วางเรียงกันอยู่ข้างใน

    "....ดีจริง ที่ไม่แตกไปก่อน"

    "อะไรไม่แตกหรือ?"

    เขาหันไปทางบุคคลที่เข้ามาใหม่ทั้งๆที่ยังไม่ได้ปล่อยมือจากขวดไวน์

    ผู้ดูแลนั่นเอง

    "เฮ่อ.. ผู้ดูแลเองหรือ?"

    "...ว่าไงดีล่ะ.... พอขุนนางพร้อมหีบใส่เหรียญทองขนาดใหญ่หันมาเจอหน้าชั้นแล้วทำหน้าโล่งใจเนี่ย.... ควรจะตอบกลับยังไงดี..... ว่าแต่เอาเงินขนาดนั้นมาสงครามทำไมน่ะ?"

    "ก็นะ ใช่ว่าจะเกะกะมากซะหน่อยนี่"

    โครโน่หยิบเหรียญทองขึ้นมาดีดเล่นเหรียญหนึ่ง

    "ถ้ามีเงินล่ะก็.. ต่อให้อยู่ในที่ศัตรู เราก็อาจจะหาซื้อของใช้ได้ หรือถ้าใครโดนจับเป็นเชลยสงคราม จะไถ่ตัวออกมาก็อาจจะเป็นไปด้วยเหมือนกันนะ"

    "..ถ้าคิดเผื่อถึงเรื่องกรณีแย่ๆไว้เยอะขนาดนั้นแล้วไม่คิดเลยหรือว่าชั้นจะขโมยเงินไปน่ะ?"

    ชายหนุ่มดีดเหรียญเล่นอีกครั้ง

    "จะขโมยหรือ?"

    "ถ้าตั้งใจอย่างงั้นชั้นไม่เรียกท่านโครโน่แต่แรกหรอก"

    นั่นสินะ.... เขาพยักหน้าแล้วใส่เหรียญทองบนไว้ในที่เก่า

    "แล้วอาหารเย็นจะเอายังไง?"

    "คุณมิโนล่ะ?"

    "พึ่งไปบังคับให้กินมาเอง ถ้าท่านโครโน่ไม่อยากโดนเหมือนกันก็กินเสียดีๆ"

    เมื่อได้ยินดังนั้น เขาจริงหยิบช้อนบนถาดขึ้นมาตักซุปใส่ปากอย่างรวดเร็ว

    "จริงๆชั้นก็อยากจะทำอาหารให้มันดีกว่านี้หน่อยนะ..."

    "เอาน่า มันช่วยไม่ได้"

    เมื่อทานเสร็จ เขาก็เดินกลับออกไปนอกเต้นท์

    ที่นั่น เขาพบกับผู้ช่วยของตน ริโอะ เดเนป แอนริเด็ต ลิซาโดะ... แล้วก็วอร์ไทเกอร์ที่เลื่อนขั้นมาแทนเลโอะ.. ไทกะ... ยืนรออยู่

    ข้างนั้นก็ยืนอยู่ด้วยลูกน้องคนอื่นๆของเขา

    "คุณมิโน ใช้อะไรเป็นเกณฑ์หรือ?"

    "ก็.. พวกมิโนเทารุสอย่างผมมองในความมืดได้ไม่ดีเหมือนเผ่าอื่นๆ ก็เลยให้ฮอลส์อยู่ที่นี่ ส่วน เดเนป แอนริเด็ต กับไทกะก็ให้พาหน่วยของตัวเองไปทั้งด้วย ลิซาโดะพอจะขยับได้จากหินเผา ผมเลยให้ไปคุมลิซาร์ดแมนที่ไม่มีหน้าที่อื่นไปด้วยอีกประมาณสามสิบสี่คนกับที่มาใหม่อีกห้าสิบ..  แล้วก็ผมจะไปอยู่ปนกับหน่วยของเผ่าเอล์ฟกับเผ่าสัตว์ที่พึ่งตั้งใหม่"

    "หน่วยที่ตั้งใหม่นี่มีกี่คน?"

    "เผ่าสัตว์เจ็ดสิบ แล้วก็นักธนูเอล์ฟอีกสามสิบน่ะ"

    สี่ร้อยแปดสิบสี่คน...

    คนปกติเขาคงไม่มีใครคิดจะทำสงครามกับอีกฝ่ายด้วยคนแค่นี้สินะ

    เขาคิดแล้วยิ้มออกมา

    "....จากนี้ไปเราจะทำการบุกเข้าฐานศัตรูกัน.. แต่ก่อนอื่น"

    เขาเดินไปยังแอ่งน้ำที่ขังอยู่ใกล้ๆ แล้วกลิ้งตัวไปกลับพื้น

    "....เอ่อ ท่านโครโน่"

    "...สติสตังไปซะแล้ว.."

    เดเนปกับแอนริเด็ตทำสายตาสมเพชใส่ชายหนุ่ม

    "ยังไม่ไป! แค่นี้ผมก็ไม่เตะตาแล้วไง! ทุกคนทำตามผมนะ! คนที่ว่างๆอยู่ก็หาหญ้ามาแปะติดกับชุดเกราะด้วย! รีบๆหน่อยล่ะ!"

    "เอ๋~ พวกชั้นไม่ได้... กรี๊ด!"

    เขาเผยรอยยิ้มสุภาพบุรุษออกมาพร้อมกับดึงหนึ่งในสองสาวลงมายังแอ่งน้ำ

    "ดะ....เดี๋ยววว.. ยะ...อย่าบีบหน้าอกสิคะะะ!"

    "....มีมากกว่าที่เห็นนะเนี่ย"

    และแล้ว เหล่าลูกน้องของเขาก็ต่างแยกย้อยกับไปคลุกตัวเองกับโคลนด้วยความรวดเร็ว

    ส่วนเหตุผลนั้นจะเป็นเพราะเข้าใจถึงความตั้งใจของโครโน่ หรือไม่อยากโดนหัวหน้าลากลงแอ่งโคลนก็ไม่อาจทราบได้


    จนตอนที่ร่างของทุกคนนั้นเต็มไปด้วยโคลนและใบไม้แล้ว พวกเขาจึงกลับมารวมกันใหม่

    "....ยังไงดีล่ะ... สภาพแบบนี้เนี่ย..."

    "หาอะไรมาปิดหน้าไว้แล้วค่อยๆเคลื่อนทัพไปตามพุ่มหญ้าซะ!"


    *


    "ถึงเราจะไม่มีกองกำลังเสริมมาก็เถอะ แค่ทำให้ศัตรูเข้าใจผิดเราก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว!"

    อิคนิสทำได้เพียงแค่หน่ายใจให้กับคำพูดของผู้ฝึกสอนนักบวชที่นั่งจิบไวน์อยู่ข้างหน้าเขาเท่านั้น

    ค่าเสียหายที่ใช้ไปกับการ "หลอกศัตรู" นั้นคือพลธนูห้าร้อบคน พลทหารราบห้าร้อยคน และทหารม้าอีกร้อยคน

    ยิ่งถ้ารวมกับพวกที่บาดเจ็บจนสู้ต่อไม่ได้แล้ว จำนวนคนในกองทัพของพวกเขาก็น่าจะลดลงไปกว่าครึ่ง

    "พรุ่งนี้ตอนเย็นเดี๋ยวกำลังเสริมของจริงควรจะมาถึง"

    "...."

    ถึงกำลังเสริมจะเป็นเรื่องนี้

    แต่กำลังเสริมที่มาจากชาวนานั้น.. จะต้องแลกมากับการลดภาษีครั้งใหญ่แน่ๆ

    สุดท้ายเขาก็เดินออกจากเต้นท์ ปล่อยผู้ฝึกสอนให้มองโลกในแง่ดีไปคนเดียว

    "...ยังไงก็ไม่ชินจริงๆแฮะ กับการตายของลูกน้องเนี่ย"

    เขาใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ บุกเข้าโจมตีศัตรูจากที่ซ่อนบนเนิน

    ตอนแรกก็ไปได้สวยอยู่หรอก..

    ไม่สิ.... ตอนแรกเขาคิดว่า ถึงจะไม่เป็นไปตามแผน เขาก็ไม่น่าจะเสียคนไปถึงหนึ่งร้อยคน

    แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว

    "เวทมนตร์ที่จักรวรรดิคิดค้นมาใหม่หรือ...?"

    เวทมนตร์ที่ใช้ต่อกรกับเกราะเหล็ก.. ถ้าของแบบนั้นมีจริงล่ะก็ สงครามจะเปลี่ยนทิศทางแน่ๆ

    ถ้าฝั่งราชอาณาจักรหาทางมาแก้ไขไม่ได้ ก็เหลือแต่การเป็นประเทศราช หรือโดนถอนรากถอนโคนเท่านั้น

    "เอาเถอะ... คิดเรื่องสงครามพรุ่งนี้ก่อนดีกว่า"

    อิคนิสปัดความคิดนั้นทิ้งไป แล้วมุ่งหน้าไปยังที่พักของตนเอง


    *


    ที่ตั้งของค่ายทหารจากราชอาณาจักรนั้นตั้งอยู่บนพื้นที่ๆติดกับป่า ผ่านแนวหุบเขาที่พวกเขาต่อสู้กันไปเล็กน้อย

    "...ไม่โดนเจอจริงๆด้วยแฮะ"

    "....แต่งตัวแบบนี้ ถึงมองมาตรงๆยังไม่เห็นเลยมั้ง? แถมยังย่องเข้ามาเงียบๆแบบนี้เนี่ย... นี่มันไม่เหมือนสงครามที่ผมรู้จักเลยนะ"

    "เดี๋ยวอีกซักหลายร้อยปีมันก็เป็นเรื่องปกติเองแหละ พวกเราอาจจะเป็นผู้ริเริ่มการทำแบบนี้ก็ได้นะ"

    ห่างจากค่ายของศัตรูประมาณหนึ่งร้อยเมตร แต่จะเป็นเพราะศัตรูนั้นวางเวรยามไว้ไม่ดี หรือจะว่าพวกเขานั้นแอบเข้ามาได้อย่างเนียบเนียนก็ไม่ทราบ

    แต่พวกเขาก็ยังไม่ถูกพบ

    "แล้ว... จะเอายังไงต่อล่ะ?"

    "ก็.. ผมกับริโอะ คุณมิโน ลิซาโดะ กับไทกะจะเข้าไปโจมตีค่ายศัตรูตรงๆ ส่วนเดเนปกับแอนริเด็ตคอยเล็งศัตรูอย่างเงียบๆจากแถบป่าน่ะ... เดเนป แอนริเด็ต ไปถึงจุดหมายรึยัง?"

    "จะ..จุดหมายนี่?"

    "ตรงป่าอีกฝั่งน่ะ"

    เสียงของแฝดสาวดังผ่านเมจิคไอเท็มสื่อสารออกมา

    "ก็ถ้าพวกเธอไปถึงแล้ว เก็บทหารยามก่อนนะ หลังจากนั้นพวกผมจะแหกปากตระโกนออกมา แล้วบุกเข้าไปตรงๆ  พวกเธอมีหน้าที่คอยยิงสนับสนุนพวกผมจากเขตป่า อย่าให้ใครแยกตัวไปคนเดียวล่ะ คอยเล็งเป้าศัตรูเป็นกลุ่มๆ แล้วพวกที่ใช้เวทย์ไฟได้ก็ใช้ด้วย... แต่อย่าไปแตะผู้หญิงกับคนบาดเจ็บแล้วกัน"

    "หืม ใจดีนี่นา"

    "ที่ไม่ฆ่าผู้หญิงก็เพราะว่าผมไม่อยากให้ศัตรูคลั่งขึ้นมาน่ะ แล้วยิ่งมีคนบาดเจ็บเยอะ ศัตรูก็ยิ่งลำบากกับการดูแลรักษา"

    "...ผมขอถอนคำพูด โครโน่นี่ปีศาจชัดๆเลย"

    ริโอะยิ้ม...อย่างฝืนๆ

    ชายหนุ่มสูดหายใจลึกๆ ทั้งๆที่ตัวยังแนบไปกับพื้นดิน แล้วจีงเริ่มแผนการ

    "...ตอนนี้แหละ!"

    '"รับทราบ!""

    เสียงของแฝดสาวดังขึ้นพร้อมกันกับเสียงของทหารยามที่ถูกธนูปักเข้าอย่างจัง

    และยังไม่ทันที่ร่างของทหารยามจะตกลงกระทบพื้น..

    "ตอนนี้..... เฮ่ย.. ท่านแม่ทัพ!"

    "เอาล่ะนะ! ตามผมมา! ย๊ากกกกกกกกกกกกกกก!"

    โครโน่ชักดาบออกมาจากฝัก ออกวิ่งไปทางค่ายของศัตรู

    "ทะ..ท่านแม่ทัพ! รีบเกินไปมันอันตรายนะ!"

    "...วิ่งเถอะ"

    "รีบวิ่งเลย!"

    มอ~! แฮ่~! โอร่า~!

    เสียงที่แตกต่างกันไปของเหล่าลูกน้องเขาดังขึ้นทั่วที่พักของฝ่ายศัตรู

    แน่นอนว่าพวกศัตรูได้ยินเสียง และเดินออกมานอกเต้นท์ด้วยสีหน้างัวเงียกันแล้ว

    ส่วนโครโน่นั้น หลังจากลูกน้องของตนวิ่งมาทัน เขาก็ถอยออกมาจากแนวหน้าทันที

    ด้วยกำลังของเขา แค่จะไล่ตามพวกลิซาโดะก็เต็มแรงแล้ว


    ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังบ่นเรื่องความแตกต่างของมนุษย์กับเผ่าพันธ์อื่นๆอยู่ ไทกะก็ฟันทหารฝ่ายตรงข้ามแยกออกเป็นสองซีกแล้ว

    "เปลวไฟเอ๋ย!"

    เปลวเพลิงปรากฏขึ้นมาตามเสียงของวอร์ไทเกอร์หนุ่ม

    "ศัตรูบุก! ศัตรู.อ๊ากกกก!"

    หัวของทหารฝ่ายศัตรูนั้นอยู่ไม่ทันพูดจบประโยค

    เพราะโดนไทกะใช้ดาบใหญ่ฟันใส่นั่นเอง

    แต่ความพยายามของทหารฝ่ายศัตรูก็เป็นผล

    ตอนนี้อีกฝั่งเริ่มรู้ตัวว่ากำลังถูกโจมตีแล้ว

    แต่ทหารที่ยังไม่ได้ใส่ชุดเกราะนั้นก็ไม่ครณามือกึ่งมนุษย์พร้อมอาวุธครบมือหรอก

    พอโครโน่เดินมาถึง ที่นั่นก็กลายเป็นหุบเขาศพไปเสียแล้ว

    "ท่านแม่ทัพ เหงื่อแตกหมดแล้วน่ะ"

    "โทษที"

    เขาเก็บดาบลงฝัก ทั้งๆที่จิตใจยังไม่สงบนัก

    "จุดไฟตามแผนที่วางไว้เลย+"

    "ระบำแห่งเปลวเพลิง!"

    "กระสุนไฟ!"

    เอล์ฟฝาแฝดเริ่มทำตามคำสั่งของทหารผู้ช่วย จุดไฟใส่ที่พักของศัตรู

    เวทย์หนึ่งนั้นมีเพื่อส่งเสียงและสร้างความกลัว ส่วนอีกหนึ่งสาดกระสุนเปลวเพลิงเพื่อให้ไฟติดจริงๆ

    "อยากได้ลมด้วยแฮะ"

    "ระบำแห่งสายลม!"

    ทันทีที่เขาพูดจบ หญิงสาวชาวเอล์ฟ.. ผู้หญิงคนที่คุยกับเดเนปกับแอนริเด็ตตอนนั้นนั่นเอง... ก็ใช้เวทย์มนตร์ออกมา

    สายลมนั้นพัดแผ่สะเก็ดไฟให้กระจายออกไปในวงกว้างขึ้นไปอีก

    "ขอบคุณนะ"

    "...ไม่หรอกค่ะ"

    เมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงเข้าไปลูบหูของเธอเล่น ทำให้หญิงสาวก้มหน้าลงด้วยความเหนียมอาย

    "เอาล่ะ รีบวิ่งกลับป่าเถอะ"

    พวกเขารวมตัวกันเป็นกลุ่มเดียว และถอนกำลังออกจากที่พักของศัตรู

    ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ ทหารของศัตรูก็เริ่มกู้สติกลับมาได้มากเท่านั้น... ตอนนี้หลายคนก็รีบใส่ชุดเกราะกับเรียบร้อยแล้ว

    แต่ถึงอย่างนั้น มันก็แค่ประมาณครึ่งหนึ่งของทหารทั้งหมดเท่านั้นเอง อีกครึ่งยืนอึ้งกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าอยู่

    "ท่านแม่ทัพ มันดูแปลกๆนะ?"

    "นั่นสิ.... โดนล่อเข้าไปหรือเปล่าเนี่ย?"

    แค่ผู้ช่วยของเขาคนเดียวก็เล่นงานศัตรูไปกว่าสิบคนแล้ว

    ยิ่งถ้านับรวมหน่วยของไทกะกับลิซาโดะด้วยล่ะก็ น่าจะจัดการทหารอีกฝั่งไปเกินห้าร้อยคนแล้วด้วยซ้ำ

    แต่เขาไม่ได้ข่าวว่าลูกน้องของตนมีคนตายเลย...

    ราวกับว่าพวกเขากำลังถูกล่อเข้าไปและจะถูกปิดทางหนี

    ถึงอย่างนั้น การเคลื่อนไหวของศัตรูก็ดูวุ่นวายเกินกว่าจะทำตามแผน..

    "มาทดสอบกันเถอะ"

    "ยังไงหรือ?"

    "ศัตรูมันเล็งคลังเสบียงเราอยู่! ป้องกันคลังเสบียงไว้ให้ได้!"

    "ศัตรูมันเล็งคลังเสบียงเราอยู่"

    "รีบไปที่คลังเสบียงเร็ว! "

    เมื่อโครโน่และผู้ช่วยตะโกนขึ้นเสียงดัง พวกเขาก็ได้ยินเสียงของฝั่งศัตรูตระโกนตามบ้าง

    "ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีวิถีติดต่อกันแบบพวกเราหรอก... เดเนป แอนริเด็ต รอทหารศัตรูเคลื่อนที่ไปหาคลังเสบียงก่อนค่อยไล่เก็บ แล้วก็หาคนที่ดูจะเป็นแม่ทัพด้วย"

    "ไม่ต้องบอกก็ทำอยู่แล้ว!"

    "ยิ่งวิ่งแบบนี้ยิ่งเล็งยากเข้าไปอีกอ่ะ!"

    เสียงของสองแฝดดังขึ้นจากเมจิคไอเท็มที่เขาพกติดตัวไว้

    "ถึงศัตรูจะดูกำลังอยู่ในช่วงโกลาหลแต่ก็ระวังตัวดีๆล่ะ"

    "รับทราบ"

    "...รับทราบ"

    เมื่อรู้แน่ชัดว่าศัตรูไม่ได้กำลังล่อตนเข้าไป พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายเดิม


    แต่ระหว่างทาง เขาก็รู้ถึงความผิดพลาดของตนอีกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง

    ลูกน้องเก่าของเขานั้นคุ้นเคยกับเครื่องป้องกันของตนเองอยู่ดีแล้ว

    แต่เหล่ากึ่งมนุษย์ที่มาใหม่นั้นไม่ใช่

    ทั้งๆที่ตอนแรกวิ่งเกาะกลุ่มกันอยู่ดีๆ พอเวลาผ่านไปซักพัก ก็เริ่มมีคนรั้งท้าย

    ผู้ที่ต้องตกเป็นเหยื่อสังเวยคนแรกคือลิซาร์ดแมนคนหนึ่ง เขาโดนหอกที่พุ่งมาจากข้างหลังแทงจนเสียชีวิต

    ดูท่าศัตรูจะไม่เข้ามาประทะตรง แต่ใช้วิธีโจมตีพวกที่ออกห่างจากกลุ่มหลัก

    ซึ่งก็ได้ผลอย่างดีทีเดียว...

    ลูกน้องใหม่ของเขาค่อยๆตกเป็นเหยื่อสังเวยทีละคน

    โครโน่กัดฟันกรอดให้กับความผิดพลาดของตน

    ทั้งๆที่แผนนี้มีเพื่อให้มีคนของเขาต้องตายน้อยลงแท้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นผู้ที่ขับไล่ลูกน้องของตนสู่ความตายเสียเอง

    "เดนเป! แอนริเด็ต! กองกำลังคุ้มกันล่ะ!"

    "ก็พยายามคุ้มกันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ!"

    "จำนวนของศัตรูมันมากเกินไปอ่ะ!"

    "สถานาการณ์ทางนู้นเป็นยังไงบ้าง!"

    "หน่วยของไทกะกับลิซาโดะกำลังต้านไว้อยู่.. แต่ แต่"

    "ศัตรูน่ะมากันไม่หยุดเลย แถมยังหลบอยู่ใต้ที่กำบังอีก จะยิงจากใกลๆก็ได้!"

    โถ่ว้อย... เขาไม่อยากได้ยินคำบ่นของพวกเธอตอนนี้! แต่ชายหนุ่มก็ต้องอดทน และนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีริโอะอยู่

    "ริโอะ! ริโอะอยู่ตรงนั้นรึเปล่า"

    "...อยู่ตรงนี้ครับ"

    "เปลี่ยนให้ผมคุยที!"

    "ไง โครโน่! ทางนี้กำลังลำบากอยู่เลยล่ะ ตรงนั้นเป็นยังไงบ้าง"

    ริโอะตอบเขามาด้วยน้ำเสียงรื่นเริงผิดกับเขา

    "ริโอะช่วยฝ่าศัตรูออกไปรวมกำลหน่วยของเดเนปกับแอนริเด็ตที! ตรงไหนศัตรูอัดกันอยู่เยอะๆก็ใช้อำนาจเทพเป่ามันให้ปลิวเลย"

    "เข้าใจล่ะ!..... แต่ถ้าผมไป ตรงนั้นจะเหนื่อยขึ้หน่อยนะ.... อย่าตายล่ะ"

    "อย่าพูดเป็นลาง... เหวออออออออออออออ!"

    ไม่ทันจะขาดคำ หอกของศัตรูก็ลอยมาหาชายหนุ่ม โดยผู้ช่วยของเขาก็ฟันหัวทหารศัตรูที่ขว้างมันออกมาแทบจะทันที

    "ท่านแม่ทัพ! ตั้งสติหน่อยสิ! ถึงแผนครั้งนี้จะสำเร็จ แต่ท่านถ้าแม่ทัพตาย สำหรับพวกเรามันก็ล้มเหลวดีๆนี่เองนะ!"

    "ผะ...ผมตั้งสติมาแต่แรกแล้วนะ!"

    โครโน่ลุกขึ้นมาหลังจากกลิ้งไปกับพื้นเพื่อที่จะหลบการโจมตีของศัตรู แล้วฟาดดาบใส่ศัตรูอีกคนที่โผล่ออกมา

    แต่เพราะเขาไม่ได้จับดาบให้ตรงก่อนฟัน ทำให้สิ่งที่ไปกระทบกับศีรษะของศัตรูเป็นใบดาบ ไม่ใช่คมดาบ

    ถึงอย่างนั้น มันก็ได้ผลเหมือนกัน.. ศีรษะของศัตรูนั้นยุบลง ลูกตาพุ่งออกมาทันที

    ถึงภาพตรงหน้ามันจะสยดสยองแค่ไหน เขาก็ต้องวิ่งต่อไป


    ไม่ทันที่เวลาจะผ่านไปมาก เขาก็เข้าใจที่ริโอะพูดทันที

    ศัตรูที่โผล่ออกมาจากข้างทางนั้นเยอะขึ้นจากเห็นได้ชัด ลูกน้องของเขาที่ล้มลงไประหว่างทางก็มากขึ้น ลูกน้องเก่าของเขาที่ใส่ชุดเกราะพิเศษอยู่ก็รวมอยู่ในจำนวนนั้นด้วย

    ดูเหมือนระหว่างที่เขาไม่่เห็น ริโอะจะทำได้ดีเกินควรเลย

    "ท่านแม่ทัพ!"

    "ผมรู้แล้ว! แต่ตอนนี้ต้องเชื่อริโอะเท่านั้น! ริโอะน่ะ.. ถึงจะทำตัวดูร่านไปหน่อย แต่ก็เป็นผู้หญิงที่ดีนะ!"

    "นะ..นั่นจะดูยังไงก็ผู้ชายนะครับ!"

    ทันใดนั้นเอง เสียงเหมือนนกหวีดก็ดังขึ้น

    แสงสีเขียวที่อยู่ห่างจากทั้งสองแทงทะลุเพดานเต้นท์ๆหนึ่งสู่ฟากฟ้า และระเบิดออกกลางทาง

    ฝุ่นผงและร่างของทหารฝ่ายศัตรูปลิวกระจายขึ้นมาราวกับเป็นฉากหนึ่งของหนังสงครามไซไฟ

    เมื่อพวกเขาตกลงมาสู่พื้น ก็ไม่มีใครสามารถขยับได้แล้ว

    ทุกคนมีเลือดไหลออกมาจากหู ตา จมูก ตายหมด

    "ผมไม่ได้ร่านนา.."

    "ริโอะสุดยอด! รักนะ!"

    "เอ่อ... เอาเถอะ"

    ด้วยความช่วยเหลือของริโอะ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

    ศัตรูที่ดักซุ่มอยู่โดนริโอะเป่าเสียบินกระจุยกระจาย

    "ทางนี้ครับ!"

    ไทกะหันมาตระโกนหาเขาขณะกำลังฆ่าศัตรูคนหนึ่งอยู่

    อีกนิดเดียวจะถึงเขตป่าแล้ว

    ถ้าเข้าไปได้แล้ว อีกไม่กี่สิบวิ พวกเขาก็หนีรอดแน่ๆ

    "ท่านแม่ทัพ!"

    เมื่อเขาหันหลังกลับไปทางเสียงตระโกนของผู้ช่วยตน เขาก็พบกับเอล์ฟสาวคนหนึ่งถูกศัตรูล้อมอยู่

    ..เอล์ฟที่เขาลูบหูไปเมื่อกี้นี้นี่เอง

    เธอหันมามองเขา แล้วเบนสายตาหนี

    ราวกับว่ารู้ตัวดี... ว่าเขาจะไม่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเอล์ฟแค่คนเดียว

    "....ชิ!"

    ชายหนุ่มออกวิ่ง ไม่ใช่ไปหาป่า แต่ไปหาเอล์ฟคนนั้น

    เขารู้ตัวดี ว่ากำลังทำเรื่องโง่ๆอยู่

    แต่ถึงอย่างนั้น

    เขาก็ไม่รู้วิธีตอบแทนลูกน้องที่เชื่อในตัวของตนนอกจากวิธีนี้แล้ว

    "ความาสำราญของพระผู้เป็นเจ้า!"

    บอลน้ำสีดำปรากฏขึ้นฉุดศีรษะของทหารศัตรูหายไป

    แต่ยังวางใจไม่ได้

    ศัตรูนั้นยังมีถึงสามคน

    เขาใช้มีดสั้นแทงใส่ทหารอีกคน

    สองคนที่เหลือนั้นต่างหันมาเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าเขาจะมาช่วยหญิงสาว

    ไม่รอช้า โครโน่ถีบร่างของชายที่โดนแทงที่กระดูกสันหลังจนอุจจาระราดออกมาใส่สองคนที่เหลือ แล้วจึงใช้ดาบของตนฟันคอของพวกเขาที่ยกมือมารับร่างของเพื่อนขาดอย่างไม่ลังเล

    "ระบำกระสุนไฟ!"

    ห่าเปลวไฟปรากฏขึ้นเข้าย่างสดอีกคนที่เหลืออยู่

    สุดท้ายเขาก็ต้องล้มลงไปกับพื้น และหยุดขยับไปในที่สุด

    เขาหันไปจะขอบคุณผู้ร่ายเวทย์นั้น.. ตั้งใจจะบอกว่าถ้าไม่มีเธอผมคงแย่

    แต่เขาก็ถูกแรงมหาศาลของผู้ช่วยตนกดลงกับพื้นก่อน

    เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ภาพของเอล์ฟสาวที่ถูกไฟลุกลามไปทั่วตัวก็ปรากฏแก่สายตา

    เธอร้องลั่น.. แล้วก็ล้มลง

    "ปล่อยผม! คุณมิโน! ยัง.. ยังช่วยได้อยู่!"

    "สายไปแล้วท่านแม่ทัพ! เด็กคนนั้นน่ะตายไปแล้ว! ตายไปแล้ว!"

    อา... รู้สึกเหมือนแรงหายไปจากร่างกายเลย

    ทำไม?

    ทำไมเขาถึงอ่อนแอขนาดนี้?

    เขาไม่ใช่ผู้มาจากต่างโลกหรอกหรือ?

    ไม่ใช่ผู้ที่ควรจะมีพลังพิเศษอะไรซักอย่างหรอกหรือ?

    ทำไม.. ทำไม.. ทั้งดาบ ทั้งเวทมนตร์... เขาก็ใช้มันไม่ได้ดีซักอย่าง!

    ทำไม. แค่ผู้หญิงคนเดียวยังปกป้องไม่ได้?

    "ไม่คิดเลยนะว่าจะมาเจอกันอีกในที่แบบนี้"

    ชายคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากเงาของเต้นท์ข้างๆ

    อายุอานามน่าจะประมาณสามสิบ

    เขาจำหน้าของชายคนนี้ไม่ได้หรอก

    แต่แขนเสื้อขวาที่ปลิวไปตามลมนั้นเป็นหลักฐานอย่างชัดเจน

    ชายคนที่นำทัพของราชอาณาจักรมาเมื่อปีที่แล้วนี่เอง

    "ท่านแม่ทัพ เดี๋ยวผมถ่วงเวลาให้เอง"

    "ไม่หรอก ในฐานะขุนนางของจักรวรรดิ ผมจะถอยไม่ได้"

    เขาผลักผู้ช่วยที่ทำหน้าตกใจออก แล้วยืนประจันหน้ากับชายแขนด้วน

    "ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของคนเข้ามาโจมตีชาวบ้านตอนกลางคืน... ฉันอิคนิส อิคนิส ฟอร์มัลเฮาท์"

    "ผมโครโน่.. แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง"

    "นั่นสินะ"

    อิคนิสหัวเราะแค่นๆ แล้วชักดาบของตนออกมา

    "เทพเอ๋ย.. ขอจงอวยพรดาบแห่งข้าด้วย"

    เปลวเพลิงสีชาดปรากฏขึ้นมาปกคลุมคมดาบของเขา

    "คมดาบศักดิ์สิทธิ์"

    อำนาจเทพที่จะเสริมพลังให้แก่อาวุธของผู้นับถือ

    ดาบที่ได้พลังจาก "เทพสีแดงผู้นำมาซึ่งการทำลายล้าง" นั้น สามารถฟันเกราะเหล็กขาดได้ง่ายๆเลยทีเดียว

    "ไม่ชักดาบออกมาหรือ? หรือว่าจะใช้กำปั้นนั่นสู้กันล่ะ?"

    "วิชาจากบ้านเกิดผมเองน่ะ"

    โครโน่ตั้งท่าเตรียมรับมือ แล้วขว้างขวดอะไรซักอย่างใส่ฝ่ายตรงข้ามระหว่างที่เขากำลังมองอย่างสนอกสนใจ

    "มุกหลอกเด็ก"

    อิคนิสฟันขวดที่ชายหนุ่มปามาขาดเป็นสองเสี่ยงอย่างง่ายๆ

    แต่เรื่องที่เขาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
    ของเหลวข้างในนั้นกระจายใส่ตัวเขาแล้วลุกไหม้ขึ้นมา

    "อ...อั๊ก... ตะ..ตาฉัน... แก...แกทำอะไร!"

    โครโน่หยิบมีดสั้นขึ้นมาถือแล้วพุ่งเข้าใส่อิคนิสที่กุมใบหน้าของตนเองในทันที

    "อั่ก....!"

    ใบหน้าของอิคนิสบิดเบี้ยวอย่างน่าสงสารเมื่อโดนมัดสั้นแทงเข้าไปที่ท้องอย่างจัง

    ถ้าเป็นคนธรรมดาคงยอมไปแล้ว

    แต่เขาไมใช่คนธรรมดา

    ชายหนุ่มคว้าคอโครโน่แล้วร่างกายของเขายกขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว

    "อะ...ไอ้ขี้ขลาด.... ศักดิ์ศรีของแกหายไปไหนหมดแล้ว!"

    "ของแบบนั้นโยนให้หมากันนานแล้วว้อยย+"

    "!"

    โครโน่บิดมีดสั้นที่ยังปักท้องอิคนิสเต็มแรง ส่งผลให้แรงบีบของอิคนิสอ่อนลง เปิดโอกาสให้เขาหนีไปได้

    "คุณมิโน!"

    ไม่รอช้า ผู้ช่วยของเขาชูอาวุธขึ้นพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายทันที

    "เทพเจ้าเอ๋ย...!"

    "ลมเอ๋ย!"

    กำแพงสีแดงปรากฏขึ้นมาป้องกันอิคนิสไว้ แต่มิโนก็ฟาดขวานด้ามยาวของตนใส่โดยไม่ย่อท้อ

    การประทะกันใช้เวลาพริบตาเดียวเท่านั้น

    ขวานของคุณมิโนพังเขตแดนสีแดงฟาดเข้าใส่อิคนิสเต็มแรง ส่งผลให้เขาต้องกระเด็นออกไป

    และเมื่อเขาตกถึงพื้น เขาก็ไม่ขยับอีกแล้ว

    "คุณมิโน หนีเถอะ!"

    "ท่านแม่ทัพ เมือกี้อะไรน่ะ?"

    ผู้ช่วยของชายหนุ่มถามขณะกำลังวิ่ง

    "เมื่อกี้?"

    "ที่ใส่ในขวดน่ะ"

    "แอลกอฮอล์น่ะ ผมเอาเบียร์กับไวน์ที่เหลือๆมาทำน่ะ"

    แอลกอฮอล์?

    ผู้ช่วยเอียงคอ ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ชายหนุ่มพูด

    "ว่าแต่โดนเล่นไปกี่คน"

    "....สิบคน"

    "ยี่สิบคนครับ"

    "หน่วยผมก็มีแค่เอล์ฟคนเมื่อกี้แหละ"

    เมื่อเข้ามายังเขตป่า โครโน่ก็รีบตรวจสอบจำนวนคนเสียชีวิตทันที

    ถ้าเขามีพลังมากกว่านี้ล่ะก็...

    ถ้าเขาให้ริโอะรอในป่าตั้งแต่แรกล่ะก็

    ถ้าเขาระวังมากกว่านี้ล่ะก็

    ถ้าเขาจัดกองทัพให้ดีว่านี้ล่ะก็

    ความเคียดแค้นความอ่อนด้อยตนเองค่อยกัดกินชายหนุ่มอย่างไม่หยุดยั้ง

    "ท่านแม่ทัพ เอายังไงต่อ?"

    "....จะถอยก็ได้ แต่ผมอยากทำอะไรอีกอย่างหน่อย"

    โครโน่พูด.... แล้วหัวเราะออกมา


    *


    อิคนิสลืมตาโผลง กระโดดออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว

    แต่เขาก็ต้องหยุด เพราะความเจ็บปวดนั้นเริ่มแล่นไปทัวร่าง

    "ที่นี่?"

    "เต้นท์พยาบาลน่ะครับ ถึงพวกที่บุกมาเมื่อคืนจะเผาเสบียงของเรา แต่ก็ดีที่ไม่ได้ทำอะไรกับหมอหรือคนเจ็บดลย"

    "ผลเมื่อคืน... ศัตรูเป็นยังไงบ้าง"

    ชายหนุ่มพุ่งตัวออกจากเต้นท์พยาบาลโดยไม่สนคำเตือนของหมอ แล้วจึงถึงกับอับจนคำพูด

    ที่พักนั้นถูกเผาไปมากกว่าหนึ่งในสาม รอบเต้นท์พยาบาลก็เต็มไปด้วยคนเจ็บนอนร้องระงม

    "มะ..แม่ทัพอิคนิส!"

    "นายเองหรือ?"

    ชายที่เขาหันไปพูดด้วยเป็นทหารเก่าแก่ที่เข้าบุกจักรวรรดิด้วยกันเมื่อปีที่แล้ว

    เป็นนักรบที่อยู่ในแนวหน้าของสมภูมิ

    แต่ตอนนี้ เขาที่อยู่หน้าอิคนิสนั้น

    กลับร้องไห้ราวกับเด็กตัวเล็กๆ

    "ทะ...ท่านแม่ทัพ.... พะ...พวกเรา...พวกเราถูกให้สู้กับตัวอะไรกัน.."

    "ร้องไห้อย่างเดียวฉันก็ไม่เข้าใจสิ"

    ชายหนุ่มเริ่มอธิบายทั้งน้ำตาให้อิคนิสฟังถึงสถานการณ์เมื่อคืน

    ดูเหมือนว่าหลังจากที่เขาหมดสติไป พวกกึ่งมนุษย์ก็หนีไปทางป่า

    และก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกซักพัก

    ไม่ว่าใครก็เริ่มโล่งใจ คิดว่าพวกนั้นคงไม่มาอีกเป็นครั้งที่สอง

    แล้วฝันร้ายก็เริ่มต้นขึ้น....

    เริ่มต้นจากทหารยามที่โดนยิงธนูใส่ขา ตามด้วยคนอื่นๆที่อยู่ระแวกนั้นโดนห่าฝนธนูโปรยเข้าใส่

    ชายหนุ่มก็พยายามจะเข้าไปช่วยพวกพ้อง แต่ก็ไม่สำเร็จ

    ลูกธนูที่ลอยมาจากไหนไม่รู้นั้นปักเข้าใส่ขาของเขาเช่นเดียวกับทหารยาม

    ธนูที่ปักอยู่ที่ขามันทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่ได้ จำต้องอยู่เฉยๆดูพรรคพวกโดนฆ่า

    แม้ว่าเหล่าทหารที่ถูกยิงจะไม่ขยับตัวแล้ว พวกนั้นก็ยังไม่หยุดยิงธนูใส่

    ราวกับต้องการจะเย้ยหยันพวกเขา

    พวกที่แตกกลุ่มออกไปช่วยนั้นโดนยิงใส่ที่ขาทุกคน

    จนสุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าขยับตัวอีก

    เพียงแค่ใช้โล่ของตนป้องกันลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาตนเองไว้

    "....เลยทิ้งพวกพ้องไปงั้นหรือ"

    "มันช่วยไม่ได้ครับ! จริงอยู่ที่มีพวกที่คิดจะไปช่วยอยู่เหมือนกัน"

    ชายหนุ่มชี้นิ้วไปที่ศพของทหารคนหนึ่งด้วยร่างกายสั่นเทิ้ม

    อิคนิสจึงเข้าไปเปิดผ้าที่คลุมศพไว้ แล้วถึงกับพูดอะไรไม่ออก

    ศพนั้นถูกทำลาย.. ราวกับว่าโดนสัตว์ป่าลากไปขย้ำ

    เครื่องในหายไปหมด

    ลูกตาถูกยัดไว้ในปาก

    แผ่นอกถูกสลักไว้ด้วยคำด่าทอ


    ..บ้าไปแล้ว

    เป็นคำสั่งจาก... ชายคนนั้น... ชายตาเดียวคนนั้นไม่ผิดแน่

    อะไร?

    ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันอะไร?

    มีความแค้นอะไรกับราชอาณาจักร.... มีความแค้นอะไรกับเหล่าทหารของเขาเรอะ?

    เขาไม่อาจรู้ได้

    ไม่สิ

    ของแบบนั้นจะไปเข้าใจมันไม่ได้

    ไม่ใช่ของที่ควรจะเข้าใจแน่

    ถ้าเข้าใจมันเข้าล่ะก็ จบสิ้นแน่...

    อิคนิสทำได้เพียงแค่ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น


    *

    เคานต์พิสเคย์... เวทิล พิสเคย์นั้นเกิดขึ้นมาใส่ตระกูลของอัศวิน

    เป็นตระกูลที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง เป็นตระกูลที่มีดีแค่การรับใช้จักรวรรดิมารุ่นต่อรุ่น

    เวทิลสมัยหนุ่มๆนั้นเฝ้าฝึกฝนเพื่อที่ซักวัน เขาจะใช้ดาบของตนเองกู้ตระกูลที่ตกต่ำขึ้นสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้งจนได้

    เขาเชื่อเสมอว่ายิ่งพยายามเท่าไหร่ ผลก็แทนก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น

    เขาเชื่อแบบนั้นอยู่สิบปี

    เป็นช่วงเวลาที่จะว่ายังเด็กอยู่ก็ได้

    เมื่อเขาได้เข้ามาเป็นอัศวินรักษาพระองค์ เขาก็ไม่ลดละการเอาใจเจ้านาย

    ถ้ามีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย เขาก็ไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมพรรคฝ่ายเหล่านั้น

    และก็ไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนฝ่ายด้วย

    เพื่อที่จะยกจุดยืนของตนเองให้สูงขึ้นแม้จะซักนิดก็ยังดี


    ที่เขาเป็นตัวเขาในวันนี้นั้น ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก

    เขาไม่เคยโดนเพื่อนหรือคนรักหักหลัง

    เขาไม่เคยโดนหัวหน้าปฏิบัติด้วยเหมือนกับเป็นหมากใช้แล้วทิ้ง

    และตอนนี้เขาก็แต่งงานกับภรรยาจากตระกูลที่ใหญ่ในระดับหนึ่ง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดี

    ถ้าจะให้หาเหตุผลที่เขาเป็นเขาในตอนนี้ล่ะก็

    ก็คงต้องบอกว่าเพราะเขาอายุเยอะขึ้นจนเริ่มมองเห็นความจริงแล้วนั่นเอง

    พอมาลองคิดดู เขาก็ทำกับเฟย์ มิวริเฟนเกินไปหน่อย

    อาจจะเป็นเพราะเขามองเห็นตนเองในวัยหนุ่มที่เชื่อว่าความพยายามจะได้การตอนแทนเสมอในตัวเธอก็ได้

    เอาเถอะ... ป่านนี้แล้ว

    "....มาร์ควิสเอรากิสเป็นยังไงบ้าง"

    สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่งกับคนในกองทัพ

    หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ อัลฟอร์ดอยากจะให้เลออนฮัลท์อยู่ใกล้ตัวตนเอง เลยไม่ได้เปลี่ยนนั่นเอง

    จริงๆก็พอเข้าใจอยู่หรอก แต่อยากจะให้คิดถึงอัศวินที่เป็นคนต่อสู้อย่างตนบ้าง

    ดูจากไกลๆแล้ว จำนวนของศัตรูก็ลดลง แต่ตอนนี้มาร์ควิสยังไม่กลับมา เลยไม่รู้ว่าแผนประสบความสำเร็จหรือไม่

    "หยุดยิง! แล้วตามฉันมา!"

    เขาสั่งทหารม้าที่ตามตนมาทั้งสองร้อยคน

    พอเวลาผ่านไปซักพัก พวกทหารม้าถึงจะเริ่มขยับ

    เขาล่ะอยากจะร้องให้จริงๆ

    ขนาดกลุ่มทหารม้าที่ขึ้นชื่อด้านการบุกโจมตีด้วยหอกยังพึ่งไม่ได้จริงๆ

    แต่จะหยุดม้าก็ไม่ได้ ไม่งั้นโดนยิงแน่ เวทิลจำต้องวิ่งต่อไปอย่างเสียไม่ได้

    เขากวาดตามองรอบด้าน แล้วพบกับกลุ่มของศัตรูที่กำลังจ้องสิ่งเดียวกันอยู่

    สิ่งที่พวกเขาจ้องอยู่นั้น... คือสัตว์ประหลาดใบไม้ดีๆนั่นเอง

    เมื่อสัตว์ประหลาดนั้นชูดาบขึ้นแล้วออกวิ่ง... สัตว์ประหลาดตัวอื่นก็ตะเบ็งสองแล้วออกวิ่งด้วย

    เป็นภาพที่ชวนให้น่าไปตรวจสภาพจิตจริงๆ

    แต่ว่า

    "พะ...พวกกึ่งมนุษย์นี่"

    "โถ้ว้อย... อะ..ไอ้พวกปีศาจ! ฆ่าพวกเราไปขนาดนั้นแล้วยังไม่พอใจเหรอ!"

    "วะ...ว้ากกกกก"

    ห่าฝนธนูถูกโปรยลงสู่ทหารฝ่ายศัตรู

    อย่างนี้นี่เอง

    สัตว์ประหลาด.. ไม่สิ.. คนที่อยู่ตรงกลางนั่นคือมาร์ควิสสินะ

    ส่วนพวกพลธนูก็อยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปพอสมควร.. วางตำแหน่งไม่ให้ยิงโดนพวกเดียวกันสินะ

    แต่ยังไงก็เถอะ

    เป็นธนูที่มีพลังจริงๆ แรงพุ่งขนาดนี้นี่ถึงยิงลงน้ำ ก็ไม่น่าจะเบี้ยวเลยด้วยซ้ำ

    "นะ..หนีเถอะ!"

    "ว้ากกกกก!"

    "อะ..ไอ้พวกปีศาจ! จะให้พวกเราสู้กับของแบบนี้จริงเหรอ!"

    พอทหารคนหนึ่งเริ่มทิ้งอาวุธ พวกที่เหลือก็เริ่มทำตาม

    "บุกเข้าไปเลย! แต่อย่าไปฆ่าสัตว์ประหลาดล่ะ! นั่นพวกเรา+"

    ว่าแล้วเขาก็ออกม้าวิ่งไล่ล่าศัตรูอย่างโล่งใจ


    *


    หลังจากการล้างสังหารข้างเดียวที่เรียกไม่ได้ว่าเป็นสงครามจบลง เวทิลก็รายงานผลให้กับอัลฟอร์ด

    "ยะ...ยอดเยี่ยมเลย! เคาน์พิสเคย์"

    "มิได้ขอบรับ"

    เขาคำนับอัลฟอร์ดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

    ด้วยผลจากการบุกโจมตีเมื่อคืน ทำให้สงครามวันนี้ง่ายมาก

    ถ้าไม่อยู่ต่อหน้าอัลฟอร์ดเขาคงหัวเราะออกมาแล้ว

    "ถะ...ถ้าเรากลับไปอัลฟิลก์ ระ...เราจะคุยกับอัครมหาเสนาบดีอัลกอลเรื่องมอบที่ดินให้ท่านเอง"

    "จะ...จริงหรือขอรับ!"

    เดี๋ยวก่อนสิ

    ถึงอัลฟอร์ดบอกให้จะให้ที่ดินแก่เขาก็เถอะ ตอนนี้เขาเป็นเพียงลูกนอกสมรสของจักรวรรดิลามัลที่ห้าเท่านั้น

    ถึงจะได้เป็นจักรพรรดิจริงๆ คนอย่างอัลกอลก็คงไม่ปล่อยอัลฟอร์ดเป็นจักรพรรดิง่ายๆ

    แน่นอนว่าถ้าเขาพูดแบบนี้ เขาก็คงพยายามทำตามที่พูดแหละ

    ดีไม่ดีอาจจะโดนส่งไปยังที่ไกลๆเหมือนขุนนางใหม่ซะอีก

    แถมถึงจะมีที่ดิน เขาก็ไม่มีลูกน้องจะมาช่วยบริหารอยู่ดี

    แน่นอนว่าเขาอาจจะได้เงินจำนวนมหาศาลมาก็ได้

    แต่แค่คิดถึงความลำบากก็ไม่ชวนให้ทำแล้ว

    เขาเองก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรกับชีวิตตอนนี้ แถมยังต้องมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลกับรางวัลให้พวกกึ่งมนุษย์ที่ไปบุกโจมตีตอนกลางคืนอีก

    ไม่มีเงินเหลือให้มาพนันกับเรื่องที่ดินหรอก

    "ความแล้วนะครับ ท่านอัลฟอร์ด ถึงผมจะบอกละเอียดไม่ได้ แต่เป็นเพราะผลงานของมาร์ควิสเอรากิส ถึงทำให้เราประสบความสำเร็จขนาดนี้.. ถ้าจะให้รางวัลก็ให้รางวัลเขาเถอะครับ"

    "ขะ..เข้าใจแล้ว"

    เวทิลลอบยิ้มกับตัวเอง

    แค่นี้สัญญากับมาร์ควิสก็สำเร็จไปหนึ่งอย่างแล้ว

    แถมตนเองยังดูดีในสายตาอัลฟอร์ดอีก


    *


    โครโน่กำลังพาลูกน้องของเขาส่วนหนึ่งไปยังพื้นที่ที่เคยเป็นของศัตรู

    โดยมีเป้าหมายคือการฝังศพของเหล่าลูกน้องของเขานั่นเอ

    แต่จะให้คนๆเดียวมาขุดหลุมฝังศพของทุกคนก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแต่การหลับตาลงแล้วพนมมือเท่านั้น

    ต่อหน้าหลุมศพของคนสามสิบเอ็ดคนนั้น เขาไม่สามารถขยับออกไปได้เลย

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนอนไม่พอหรืออะไร

    เหมือนกับสมองมันหยุดทำงานไป

    "ท่านแม่ทัพ เป็นอะไรรึเปล่า?"

    "..ไม่เป็นไร แล้วคนอื่นๆล่ะ?"

    "เราจะเดินทัพกันพรุ่งนี้เลยพักกันอยู่น่ะ แต่ก็นะ... ดูเหมือนทุกคนกำลังกลัวท่านแม่ทัพกันอยู่หน่อยๆอ่ะนะ"

    "ก็นั่นสินะ"

    เขาถอนหายใจ

    เมื่อวาน เขาเป็นคนสั่งพลธนูให้ยิงใส่ทหารของฝ่ายตรงข้ามเอง

    เป็นวิธีที่เขาเห็นในหนังบ่อยๆ

    ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่การดูถูกศพของคนตาย เขาก็เป็นคนทำเอง

    "...บางทีผมอาจจะบ้าไปแล้วก็ได้"

    เขาไม่คิดว่าตนเองจิตปกติหรอก

    พริบตาที่จะฆ่าคน เขาจะรู้สึกลังเล

    แต่หลังจากนั้นความรู้สึกผิดบาบก็ไม่มีอีกแล้ว

    เหลือเพียงแต่ความเหนื่อยอันหนักอึ้ง

    บางทีถ้าเขาฆ่าคนต่อไป เขาก็อาจจะเริ่มรู้สึกผิดบาปขึ้นมาก็ได้

    วันนั้นมันจะมาถึงจริงรึเปล่านะ?

    "...ท่านแม่ทัพ"

    "ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าใครจะดูถูกผม ถึงทุกคนจะกลัวผม ก็ไม่เป็นไรหรอก ผมน่ะ... ถ้าเพื่อให้ลูกน้องตายน้อยลงแม้ซักคนเดียวล่ะก็... จะเรื่องโหดร้ายขนาดนั้นก็ยอมทำ"

    ไม่เป็นไรหรอก...

    เขากระซิบกับตนเอง














    มุมบ่นของผู้แปล

    อีกสองตอนจะจบสงคราม....
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×