CHAP 07 : คนสำคัญอันดับหนึ่ง
ไปเทสงานวันแรกกลับมาก็แทบจะสลบ
ทั้งที่ปกติต้องเลิกงานตอนห้าโมงครึ่ง แต่วันนี้บุญญากรต้องอยู่ดึกอีกนิดหน่อยเพราะแปลนยังไม่ลงเท่าที่ควร
ส่วนคุณเจ้านายจอมกวนประสาทน่ะเหรอ?
ตอนนี้คงยังไม่ได้กลับบ้านหรอก...สงสัยจะนอนค้างที่บริษัทล่ะมั้งงานนี้ ก็เอาเวลามานั่งกวนเขาตลอดทั้งวัน ไม่ยอมทำงานอะไรเลย พอตกเย็นคุณเลขาเข้ามาเอางานก็เลยวุ่นวานกันใหญ่ บุญญากรเห็นแล้วก็อยากจะขำ
งานไม่เสร็จก็สมควรแล้วล่ะ ชอบแกล้งดีนัก...สมน้ำหน้า
“กลับมาแล้วเหรอคะลูก~”
คุณหนูของบ้านเดินยืดตัวขึ้นด้วยท่าทางเป็นปกติสุดๆ บุญญากรกลัวคุณแม่จะเป็นห่วงเขาก็เลยต้องทำแบบนั้น และมันก็เป็นอย่างที่คิด เพราะตอนนี้คุณหญิงกำลังวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“น้องบุ้ง! ทำไมกลับหนึ่งทุ่มเลยล่ะคะ!”
“เอ่อ...”
“ไหนบอกงานเลิกห้าโมงครึ่งไงลูก! เหนื่อยไหมคะ?”
“ไม่เหนื่อยครับคุณแม่ พอดีบุ้งแวะซื้อครีมทาผิวก็เลยกลับช้านิดหน่อยครับ”
โกหกไปคำใหญ่เลย...
ขืนบอกคุณแม่ว่างานเลิกตั้งนานแล้วแต่เขาไม่ยอมกลับบ้านเพราะอยากทำงานต่อมีหวังกลายเป็นเรื่องดราม่าอีกแน่
“แล้วได้ครีมอะไรมาบ้างคะ”
“เอ่อ...เยอะเลยครับ”
“ไหนล่ะลูก?”
“บุ้งร้อนครับ...เดี๋ยวบุ้งไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”
“ค่ะลูก”
“บุ้งอยากแช่น้ำนมมากเลยครับป้าบัว”
“ได้เลยค่ะคุณหนู เดี๋ยวป้าเตรียมให้นะคะ”
“ขอบคุณครับ”
พอได้ทีก็รีบเลี่ยงออกมาก่อนที่คุณแม่จะสงสัยมากไปกว่านี้
บุญญากรโกหกไม่เก่งแต่เขาเนียนเก่ง เรื่องหลบหลีกสายตาคุณแม่เขาถนัด
แต่ไม่ค่อยชำนาญ...
“งั้นบุ้งขึ้นไปก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวค่ะ!”
“ครับ?”
“เจอพี่ชาวินไหมลูก...พี่เขาดูแลหนูดีไหมคะ?”
“ดีครับ ดีมากเลย...”
“ดีจังเลยน้า~”
“บุ้งไปอาบน้ำก่อนนะครับ...เหนียวตัวแล้ว”
“ค่ะลูกรัก~”
ดีอะไรกันล่ะครับคุณ ทั้งถูกแกล้งถูกแหย่สารพัด...
บุ้งแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว หนึ่งวันมันช่างเหนื่อยล้าเหลือเกิน
เมื่อไหร่จะเทสผ่านสักที!
.
.
.
.
.
พอเดินขึ้นมาบนห้องป้าบัวก็ผสมน้ำนมจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว บุญญากรใช้เวลาเพียงน้อยนิดในการชำระร่างกายด้วยสบู่ขัดผิวอ่อนๆ ก่อนจะลงแช่อ่างอีกประมาณสิบห้าทีถึงจะพอเหมาะต่อผิวและสภาพร่างกายของเขา
วันนี้ทำงานมาหนักพอสมควร การได้นอนอ่างที่มีน้ำนมหอมๆแบบนี้ก็ช่วยผ่อนคลายได้เยอะมากเหมือนกัน
อันที่จริงงานก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากหรอก...แต่เขาเหนื่อยกับเจ้านาย!
คุณชาวินเอาแต่แกล้งเขาอยู่ตลอดเวลา...คิดแล้วก็หงุดหงิดทุกที!
“น่ารำคาญที่สุดเลย!”
ร่างสมส่วนถอนหายใจแล้วมุดแก้มลงไปในน้ำนมครึ่งหนึ่ง
แต่พอนึกถึงปากกาแท่งสีเงินเย็นเฉียบที่ถูกปัดผ่านมาตอนบ่าย...แก้มสีขาวก็กลายเป็นสีแดงตัดกับสีของน้ำนม
“หมอนั่นต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ”
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว...
น่าหงุดหงิดที่สุดคือการเอาไปดมแล้วบอกว่าแพ้อากาศ
คราวก่อนที่เจอกันก็เคยพูดแบบนั้นมาครั้งหนึ่งแล้วด้วย บุญญากรไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนแพร่เชื้อทางอากาศ เขาเนื้อตัวสะอาดแล้วก็สะอาดมากด้วย!
มีแต่หมอนั่นคนเดียวนั่นแหละที่ผิดปกติ
กวนประสาทไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที ไม่อยากจะคุยด้วยเลย!
‘หลังจากอายุสิบสองผมก็เป็นภูมิแพ้หนัก สาเหตุมาจากตรงนี้นี่เอง’
คำพูดของคนบ้าในวันนั้นเขายังจำได้
ว่าแต่ตอนนั้น...
เราเคยถูกหอมแก้มจริงเหรอ?!
ทั้งที่อายุแค่สองขวบ แต่ต้องถูกคนบ้ารังแกแถมยังเอามาล้อเลียนอีก...
ทำไมคุณแม่ถึงไม่ปกป้องบุ้งนะ! ตอนนั้นไม่น่าให้เขามาหอมแก้มบุ้งเลย!
พอคิดแล้วก็ต้องรีบวักน้ำนมขึ้นมาถูแก้มแรงๆหลายที ทำเหมือนจะลบรอยที่ถูกฝากไว้เมื่อยี่สิบหกปีก่อน...แม้บุญญากรจะยังไม่รู้ความเลยก็ตาม
“ไม่หอมก็อย่าหอม! คนบ้า!!”
KhunChawin
#คุณชาวิน
ในส่วนของบ้านอีกหลังหนึ่ง
ชาวินเพิ่งกลับเข้ามาตอนสี่ทุ่มเพราะวันนี้เลิกงานดึกกว่าปกติมาก เขาไม่เป็นอันทำงานเลยเพราะมีแต่เรื่องน่าสนุกเต็มไปหมด
กว่าจะได้เริ่มงานก็ปาเอาเกือบหกโมงเย็นเสียแล้ว แต่นั่นก็คือความบันเทิงของชีวิต...ชาวินยอมทำโอทีทุกวันหากมีเจ้าอสูรน้อยนั่งอยู่แบบนั้นให้มอง
เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
เป็นความผิดของคุณนายแย้มศรีคนเดียว...
ไปลากเจ้าปีศาจน้อยมาทำงานร่วมกับเขาทำไม
“ตาวิน~”
“ยังไม่นอนอีกเหรอครับคุณนาย”
เข้ามาก็เจอคุณนายที่ยิ้มหน้าบานอยู่ตรงบันได ชาวินเดินไปหอมแก้มแม่หนึ่งฟอด ก่อนจะถูกดึงตัวเอาไว้ด้วยคำถามที่พอจะเดาออก
“น้องบุ้งเป็นไงบ้าง”
“ก็ธรรมดานี่ครับ...แม่ถามทำไม”
“แกได้ดูแลน้องดีหรือเปล่า ได้เกริ่นกับน้องเรื่องขอแต่งงานหรือยัง?”
“มากไปคุณนาย! ไปนอนได้แล้วครับดึกแล้ว”
“บอกแม่มาก่อนสิว่าแกขอน้องแต่งงานแล้ว แม่จะได้นอนหลับฝันดี”
“เพ้อเจ้อครับแม่! ไปนอนเถอะครับ”
“ชักช้าไม่ได้ดั่งใจฉันเลย!”
ชาวินคิดว่าแม่คงจะไม่ยอมจบง่ายๆแน่ เขาจึงลากแขนคุณนายขึ้นไปบนห้องแล้วทำเป็นเอาหน้าซบมือเหี่ยวๆแล้วบอกลาฝันดีก่อนนอน
“ผมไปนอนนะครับแม่”
“แกต้องรีบนะตาวิน! เดี๋ยวก็โดนคนอื่นแย่งไปหรอก”
“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ สบายๆ”
“สบายอะไรของแกล่ะ! คุณนายเดือนแขเขาอยากได้ลูกเขยมาดูลูกเขาเร็วๆ ถ้าน้องบุ้งถูกคนอื่นแย่งไปก่อนแล้วแกจะทำยังไงห้ะ?!”
“คุณป้าแขไม่ยกเด็กนั่นให้คนอื่นหรอกครับ”
“แกเอาความมั่นใจมาจากไหนมิทราบ!”
“แม่ดูหน้าตากับความสมบูรณ์แบบของผมสิ ตัวเลือกพรีเมียมแบบผมเนี่ย ไม่ต้องออกอาการเยอะหรอกครับ...ยังไงน้องบุ้งของแม่ก็ต้องเป็นของผม”
“แหม~ไม่ออกอาการเยอะเลยจ้า! เสิร์ฟชาร้อนทุกสามสิบนาที แถมยังลากน้องไปทานอาหารญี่ปุ่นสองต่อสองบนห้องอาหารส่วนตัวอีก แบบนี้น่ะเหรอที่แกบอกว่าไม่ออกอาการน่ะ ฮึ! ทำขนาดนั้นน้องยังไม่สนแกเลย”
“เลขาแอนบอกแม่เหรอครับ?!”
“ใครบอกก็ช่าง! แกรีบลงมือได้แล้วนะตาวิน เมื่อวานแม่ไปออกงานสังคมมา ตอนนี้หนูบุ้งกำลังเนื้อหอมและเป็นที่จับตามองของทุกคน ถ้าแกไม่อยากให้น้องหลุดไปถึงมือของลูกชายบ้านอื่น แกก็อย่าชะล่าใจไปล่ะ”
ไม่มีทาง...
ปีศาจน้อยจะไปอยู่ในกำมือของคนอื่นได้ยังไง
“หยุดฟุ้งซ่านเถอะครับแม่...นอนได้แล้วครับ”
“รีบเลยนะตาวิน! รีบเลย!!”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
ส่งคุณนายเข้าห้องเสร็จก็รีบปิดประตูแล้ววิ่งเข้าห้องตัวเองเพราะกลัวแม่จะตามมากดดันอีก
ตอนแรกชาวินก็ไม่ค่อยอยากจะรีบร้อนสักเท่าไหร่ แต่พอได้ยินคุณแม่พูดแบบนั้นเขาก็ชักจะคันไม้คันมือขึ้นมา
ดูเหมือนว่าเจ้าปีศาจจะเนื้อหอมใช่เล่น ตอนไปทำค่ายก็เป็นที่รู้จักของทุกคนไม่เว้นแม้แต่ไอ้หมอเพื่อนรักของเขา แบบนี้ชาวินควรจะต้องเร่งมืออย่างที่แม่เขาบอกจริงๆสินะ?
จำเป็นหรือเปล่า?
ก็แค่อสูรตัวน้อยๆ จะรีบร้อนอะไรนักหนา
ความจริงก็ไม่ได้กลัวอะไรมากนักหรอก เพราะสุดท้ายเจ้าปีศาจน้อยก็ต้องมาเป็นของเขาอยู่ดี เขาจะตัดจบเกมตอนไหนก็ได้...แต่ทุกวันนี้ชาวินก็แค่อยากยืดเวลาออกไปก่อนเพราะไม่อยากให้เกมมันจบเร็วมากก็เท่านั้นเอง
แต่ในเมื่อคุณนายแย้มศรีเขารีบมาก...ชาวินก็คงจะต้องสนองท่านสักหน่อย
ลูกกตัญญูก็แบบนี้แหละ
“บุญญากร...ผมเห็นแก่คุณแม่หรอกนะ ไม่อย่างนั้นผมก็คงทำตัวสบายๆต่อ...เพราะยังไงคุณก็แค่ลูกอสูรตัวน้อยๆในกำมือผม”
พูดกับรูปภาพในมือถือตนเองด้วยสีหน้าของผู้ชนะ แม้ตอนนี้จะยังมองไม่เห็นภาพอนาคตอย่างชัดเจน แต่ชาวินก็พอจะเดาออกว่ามันจะเป็นยังไง
หน้าบึ้ง...จมูกเชิดแบบนี้...มันน่าจับมาบีบให้เปลี่ยนรูปชะมัด!
เปลี่ยนจากลูกเสือ...กลายเป็นลูกแมว
แค่คิดว่าตัวเองกำลังถูกเจ้าอสูรน้อยอ้อนเหมือนลูกเหมียว...ชาวินก็ขนลุกขนชันไปหมดทั้งตัว
“เฮ้ย! เป็นบ้าอะไรของกูวะ!”
นิ้วยาวรีบกดปิดหน้าจอก่อนที่จะเป็นเอามากไปกว่านี้
วันนี้เขาก็สติหลุดมาหลายรอบแล้ว แค่เห็นแก้มใสที่เคยสัมผัสตอนทาแป้งเด็กเมื่อคืนนั้นที่กระท่อมบนเขา ชาวินก็แทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลย แล้วนี่ยังมาเคลิ้มกับรูปถ่ายอีก! ไม่รู้จะเซฟเก็บมาทำอะไรนักหนา!
เปลืองเม็ม เปลืองพื้นที่เก็บข้อมูล!
แต่ถ้าถามว่าชาวินจะลบไหม?
คำตอบที่ได้ก็คือ...ไม่มีทาง
ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
ย้อนแย้งได้แม้กระทั่งความคิดของตัวเอง...หรือเจ้าอสูรมันจะไม่ธรรมดา
“กูต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
ไม่ได้การล่ะ!
ชาวินต้องรีบจัดการก่อนที่มันจะเหิมเกริมมากกว่านี้
แม้จะเป็นช่วงต้นเดือนแต่การประชุมก็ยังยืดยาวเหมือนละครน้ำเน่าที่เขาไม่ชอบดู งานช่วงนี้เยอะมากและไม่สามารถปล่อยผ่านได้เลยสักโปรเจคเดียว
ชาวินเข้าใจแต่เขาไม่อยากทำตาม...
เขาทิ้งห้องทำงานออกมาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ก็ปาไปเกือบจะบ่ายโมงแล้ว
ไม่รู้ว่าเจ้าปีศาจน้อยจะออกไปทานข้าวมาหรือยัง?
วันนี้ทั้งวันชาวินยังไม่เห็นหน้าบุญญากรเลย มีแต่ข้อความจากคุณแอนเท่านั้นที่ส่งมาบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี....ไม่มีปัญหาอะไร
ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้ว
เพราะคนที่มีปัญหา....น่าจะมีแค่ชาวินคนเดียว
“จบการประชุมแค่นี้ครับ ไปทานข้าวกันได้แล้ว”
รองประธานหนุ่มพูดจบก็เดินลิ่วออกจากห้องประชุมเป็นคนแรก
ปกชาวินไม่ค่อยเร่งรีบอะไรแบบนี้มากนัก แต่วันนี้มันเกิดอาการแปลกๆขึ้นกับเขา เหมือนว่าจิตใจมันไม่ค่อยจะสงบ ห้องประชุมก็ดูน่าอึดอัดจนแทบอยากจะหนีออกมา
ชาวินอยากไปที่อื่นจนแทบจะบ้า เขาอยากเห็นอะไรที่มันสบายตาไม่น่าเบื่อแบบนี้
ซึ่งห้องทำงานเขามีตัวน่ามองรออยู่หนึ่งคน...
“คุณชาวิน!”
“บุญญากรล่ะ?”
เลขาสาวที่เดินออกจาลิฟท์ทำหน้ามึนงงเมื่อเจอท่านรองประธานหนุ่มเดินลิ่วเข้ามาหาพร้อมกับคำถามที่ฟังแล้วน่าประหลาดใจ
ปกติคุณชาวินจะเดินลิ่วเข้าห้องทำงานเลย โดยที่ท่านไม่คิดจะแวะทักทายใครเลยทั้งนั้น แต่วันนี้คุณเจ้านายกลับหยุดถามเธอก่อน แถมยังทำหน้าเหมือนคนตื่นเต้นอีกต่างหาก
“แอนเพิ่งไปทานข้าวมาค่ะ ไม่ทราบว่าคุณบุญญากรขึ้นมาหรือยัง”
“เขาลงไปทานข้าวข้างล่างเหรอ?”
“เห็นบอกว่าจะเดินลงไปทานก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่ซอยข้างตึกน่ะค่ะ”
“ก๋วยเตี๋ยวเป็ด?”
“ค่ะ”
ลงไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่ซอยข้างตึก...
ถ้าชาวินจำไม่ผิด
ร้านรถเข็นเหรอ?!!
“ทำไมถึงปล่อยเขาลงไปกินข้างล่าง!”
“คะ?!”
“ทำไมไม่เอาบัตรร้านอาหารข้างบนให้เขาล่ะ?!“
“บัตรร้านอาหาร?”
“บัตรสำหรับผู้บริหารน่ะ! ทำงานไม่ได้เรื่องเลย!!”
“คะ?!!”
พ่นไฟเสร็จก็เดินเข้าห้องไปด้วยความหงุดหงิดระดับร้อย ทิ้งเลขาสาวให้ยืนอ้าปากค้างอยู่หน้าห้องคนเดียวแบบไปไม่เป็น
ตอนนี้ชาวินแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว...เขาโมโหการทำงานที่สะเพร่าของแอนนิต้ามาก แม่นั่นมองไม่ออกหรือไงว่าเจ้าอสูรน้อยมันเป็นลูกคุณหนู!
ปล่อยออกไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดข้างทางแบบนั้นถ้าคุณแม่เขามาเห็นมีหวังถูกเรียกตัวกลับบ้านแน่...ยายแอนนิต้านี่มันซื่อบื้อจริงๆ
ว่าแต่....เขาจะหงุดหงิดมากขนาดนี้ทำไม?
ก็อก ก็อก ก็อก...
ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้แต่เจ้าตัวก่อปัญหาก็เดินเข้าห้องมาเสียก่อน
ชาวินมองตามร่างสมส่วนในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตากับกางเกงสแล็กสีดำ
ก่อนจะไปสะดุดตากับแก้วน้ำที่มากับหลอดเขียวสะท้อนแสงปลอมๆ
ไม่น่าใช่กาแฟสตาร์บัคส์หรอกมั้งแบบนี้
“สวัสดีครับท่านรองประธาน”
แม้ตามไรผมจะมีเหงื่อซึมน้อยๆ แต่เจ้าปีศาจก็ยังมีสีหน้ายิ้มแย้มไม่เหมือนกับเมื่อวานที่เอาแต่ทำหน้าบึ้งตอนออกไปทานข้าวกับเขา
แบบนี้มันไม่แฟร์
“ไปทานอะไรมา”
“ก๋วยเตี๋ยวเป็ดครับ”
“ร้านไหน?”
“ก็...ก็แถวนี้แหละ คุณจะถามทำไมเนี่ย!”
“ผมก็ถามเผื่ออยากกินบ้างไง”
“........”
“ทำไม? หรือว่าคุณแอบไปกินรถเข็นข้างทางมา”
“คุณ...”
“แต่คงไม่หรอก...เพราะถ้าคุณทำแบบนั้นแล้วมีคนเอาไปฟ้องป้าแขล่ะก็...รับรองคุณโดนลากกลับบ้านแน่นอน จริงไหม?”
“คะ คะ ใครจะไปทำแบบนั้นล่ะ!!”
ก็คุณไง! อสูรน้อยตัวแสบ....
“แล้วซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย”
“โอเลี้ยงกับมะยมดอง”
“ห้ะ?!”
“คุณอย่าไปบอกคุณแม่นะ! อันนี้เขาทำสะอาด ผมดูตอนเขาทำแล้ว”
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยสักคำ”
“........”
“........”
“ว่าแต่ผมเอาเข้ามากินในห้องนี้ได้หรือเปล่า?“
“คุณอยากกินอะไรก็เชิญเถอะ ให้งานเสร็จละกัน”
“ครับ!”
ดูเหมือนชีวิตการทำงานแบบชาวบ้านทั่วไปคงจะถูกใจคุณหนูบุ้งไม่เบา
ดูจากการออกออกไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดข้างทางแล้วซื้อมะยมดองกลับมาก็รู้แล้วว่าแสบแค่ไหน แถมบนหน้าก็ยังมีแต่ความผ่อนคลาย ไม่เหมือนกับเมื่อวานที่เอาแต่นั่งเกร็งกับเขาตลอดทั้งวัน
ช่วงเช้าที่ไม่มีเขาคงมีความสุขมากสินะ
การออกไปกินข้าวคนเดียวคงจะมีความสุขมากจนหุบยิ้มไม่ได้เลย
แต่น่าเสียดาย...ความสุขนั้นคงจะอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่วัน
เพราะชาวินไม่ชอบกินข้าวคนเดียว
“แบบไปถึงไหนแล้ว ก่อนห้าโมงเสร็จไหม?”
“ครับ เสร็จทันแน่นอน”
“ดี ถ้างานเสร็จแล้วคุณก็มาทำแบบสัมภาษณ์ก่อนเลยนะ ผมต้องส่งให้ฝ่ายบุคคลก่อน ส่วนผังงานค่อยนำเสนอหลังจากนั้น”
“ครับ ผมขอเวลาอีกสองชั่วโมง”
.
.
.
.
.
หลังจากอีกฝ่ายรับปากเขา ชาวินก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
คุณหนูของป้าเดือนแขเข้าสู่โหมดตั้งใจทำงานอีกแล้ว ส่วนชาวินก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน...นั่นคือการนั่งจ้องเหมือนระบบกล้องวงจรปิด
แววตาที่มุ่งมั่นไม่ต่างไปจากสองอาทิตย์ก่อนเลย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูตั้งใจไปหมด ทั้งจริงจังแล้วก็พยายามทำทุกอย่างให้ออกมาดีสมบูรณ์แบบเสมอ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวินคิดว่าคนตรงหน้าช่างแตกต่างกับลูกคุณหนูบ้านอื่นอย่างสิ้นเชิง
บุญญากรมีความอดทน...แถมยังบ้างาน
ตัวแค่นั้นแต่แสนจะอวดดี
เรียกว่า ‘ถึก’ น่าจะเหมาะสมมากที่สุดแล้ว
.
.
.
.
.
2 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับคนที่นั่งทำงานหลังขดหลังแข็งกับแบบทดสอบที่เยอะยิ่งกว่าโปรเจคตัวจบจากมหาลัย
บุญญากรไม่คิดว่าเขาจะทำทัน แต่สุดท้ายมันก็เสร็จสมบูรณ์จนได้
เป็นเพราะการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอตอนที่เขาได้ไปช่วยงานของมูลนิธิต่างๆ
เขาจำได้ว่าตนเองเคยยื่นแบบเกือบสิบครั้งเพื่อขอปรับปรุงสภาพพื้นที่นี้ และสิ่งนั้นมันก็กลับมาช่วยเขา...เพราะตอนนี้แบบออกมาดูดีมาก แถมยังทำคล่องไม่มีติดขัดอะไรเลยสักนิดเดียว
คุณลุงคุณป้าชาวเขาต้องดีใจมากแน่นอน
บุญญากรจะต้องทำให้สำเร็จ!
“คุณชาวินครับ”
“ครับ”
“ผมทำเสร็จแล้วครับ”
“อือ มานั่งตรงนี้สิ”
“ครับ?”
“คุณต้องกรอกเอกสารแล้วก็ตอบคำถามอีกนิดหน่อย ซึ่งผมจะถามคุณเอง”
“ครับ”
ร่างสมส่วนลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของท่านรองประธานใหญ่
พอดูตอนนี้แล้วคุณชาวินก็ดูน่าเกร็งขามมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะว่าตำแหน่งเก้าอี้ของท่านประธานนั้นมีพลังอำนาจบางอย่าง บุญญากรก็เลยรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังหดเล็กลงเรื่อยๆ เพราะนี่คือการสัมภาษณ์งาน...เขาก็เลยประหม่าขึ้นมานิดหน่อย
“เป็นอะไรครับ นั่งใกล้ผมแล้วใจสั่นเหรอ?”
“อะไรนะ?”
“ไม่ต้องตื่นเต้น...เรื่องแบบผมจะดูอีกทีหลังจากที่คุณสัมภาษณ์งานเสร็จแล้ว”
“ครับ”
“ผมจะถามคำถามคุณไปเรื่อยๆ ส่วนคุณก็กรอกแบบสอบถามของฝ่ายบุคคลไปด้วยเลยก็แล้วกัน จะได้เสร็จเรียบร้อยเร็วๆ”
“ครับ”
กระดาษสีขาวสองแผ่นถูกดันมาตรงหน้า บุญญากรกวาดตามองแล้วก็พบว่ามันเป็นคำถามธรรมดาที่ตอบไม่ยากเท่าที่ควร...เทียบกับการเทสแล้วคนละเรื่องกันเลย
“ผมจะเริ่มคำถามแรกนะ”
“ครับ”
“คุณชอบชาหรือกาแฟมากกว่ากัน”
“ห้ะ?”
“ชาหรือกาแฟ?”
“คุณจะถามทำไมเนี่ย?”
นี่มันเป็นคำถามแบบไหนกันนะ
ทำไมถึงเป็นแบบนี้...
เขากำลังโดนแกล้งหรือเปล่า?
“ก็ฝ่ายบุคคลเขาส่งฟอร์มแบบนี้มา คุณจะมาดูตรงหน้าจอผมเลยไหมล่ะ!”
“ก็ผมแค่อยากทราบ...ทำไมคุณต้องตะคอกด้วย!”
“ก็คุณสงสัยผม”
“ผมสงสัยไม่ได้เลยเหรอ?”
“........”
“มันน่าสงสัยนี่! คุณชอบแกล้งผมอ่ะ”
“แกล้งอะไรของคุณล่ะ! เขาจะจัดแคนทีนเครื่องดื่มหน้าห้องทำงานของคุณไง”
“.......”
“ทำไมคุณต้องสงสัยเยอะด้วยเนี่ย! ช่วยตอบคำถามสักทีเถอะผมจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นครับคุณหนู”
อะไรของเขาเนี่ย! บุญญากรก็แค่สงสัย...ทำไมจะต้องหงุดหงิดเขาด้วยล่ะ
แค่อธิบายมาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ชากับกาแฟมันเป็นคำถามปกติเสียที่ไหน!
“สรุปชาหรือกาแฟครับ...เฮ้อออ”
“ชา!”
“ก็แค่นี้แหละ”
เหอะ! เชื่อเขาเลย...
คอยดูนะต่อไปเขาจะไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว
จะตอบให้มันจบๆไปแบบนี้แหละ!
ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนเป็นโรคประสาท...อยากจะถามอะไรก็เชิญ!
“ชอบกิจกรรมกลางแจ้งหรือในร่ม”
“กลางแจ้ง”
“สีดำกับสีขาวล่ะ”
“สีขาว”
“ใส่เสื้อเบอร์อะไร”
“เอ็มกับแอล”
“ส่วนสูงล่ะ”
“ร้อยเจ็ดสิบหก”
“น้ำหนัก?”
“ห้าสิบแปด”
“รอบเอว?”
“ยี่สิบ-...เฮ้ย!!! คุณจะถามทำไมเนี่ย?!”
คำถามบ้าอะไรของเค้า! ทำไมบุญญากรจะต้องบอกขนาดรอบเอวกับออฟฟิตด้วย ไม่เห็นความจำเป็นเลยสักนิดเดียว
“โวยวายอะไรของคุณอีกเนี่ย!”
“ก็มันแปลกนี่นา! ผมอยากรู้ว่าคุณจะเอาขนาดรอบเอวของผมไปทำไม”
“เขาจะเอาข้อมูลไปตัดชุดกีฬา!!”
“ห้ะ?”
“ทุกวันอังคารที่บริษัทเราจะต้องมีการออกกำลังกายช่วงเย็น ซึ่งผมก็ถามไปตอนแรกแล้วว่าคุณชอบกีฬากลางแจ้งหรือในร่ม แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?!”
“ก็ผมจะรู้หรือเปล่าล่ะ?! ทำไม่คุณไม่บอกตั้งแต่แรก”
“แล้วคุณจะมีปัญหาอะไรนักหนาเนี่ย! ผมแค่ขอขนาดรอบเอว ถ้าขอขนาดรอบอกคุณก็ว่าไปอย่าง...ทำเป็นสะดีดสะดิ้งไปได้!”
อะไรนะ
สะดีดสะดิ้งอย่างนั้นเหรอ?!
นี่เขาพยายามจะไม่มีเรื่องด้วยแล้วนะ แต่อิคุณชาวินก็ช่างสรรหาเรื่องมากวนประสาทเขาอยู่ดี แถมยังชอบขุดคำศัพท์แปลกๆมาต่อว่าเขาอยู่เรื่อย
ทำตัวเหมือนคนแก่ขาดความอบอุ่นไม่มีผิด
“ตกลงจะตอบคำถามต่อได้หรือยังครับ ผมไม่ได้มีเวลามานั่งอธิบายให้คุณฟังทั้งวันหรอกนะคุณหนู รีบกรอกแบบสอบถามแล้วก็ตอบมาสักที”
เหอะ! เรื่องที่ต่อว่าเขาเมื่อสักครู่ยังไม่ได้เคลียร์กันเลย ตอนนี้ยังมานั่งทำหน้าเข้มเหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเขาอย่างนั้นแหละ
บุญญากรคิดไม่ออกเลยว่าชีวิตเขาจะเป็นยังไงหากต้องมานั่งทำงานร่วมกับคนบ้าตลอดทั้งวัน ดีแค่ไหนแล้วที่ตำแหน่งของเขามีห้องทำงานส่วนตัว ไม่อย่างนั้นคงจะต้องลาออกตั้งแต่สองวันแรกที่เริ่มทำงาน...
นับถือใจคุณแอนนิต้าจริงๆ
“คุณจะถามอะไรก็ถามมาสิ”
“รอบเอวอ่ะ สรุปจะตอบหรือยัง”
“ยี่สิบห้า”
“โห! เอาตอนกินข้าวแล้วนะคุณ ไม่เอาตอนตื่นนอนสิ!”
“...........”
“ผมเขียนยี่สิบหกไปก่อนแล้วกัน ถ้าสวมกางเกงแล้วมันเข้าตัวไม่ได้คุณค่อยไปปรับยางยืดเอาเองนะ”
กวนประสาท...กวนประสาทจริงๆ!
เขาไม่ได้อ้วนขนาดนั้นสักหน่อย! แต่จะพูดอะไรก็แล้วแต่เลย...
บุญญากรไม่อยากจะทะเลาะด้วยแล้ว
“เอาเสื้อแขนสั้นหรือแขนยาว”
“แขนสั้น”
“แล้วกางเกงล่ะ”
“เอาขายาว“
“ไม่เอาดีกว่าคุณ...คุณสั่งขาสั้นแล้วกัน”
“แต่ผมชอบกางเกงขายาว”
“คุณสวมขาสั้นก็ออกมาเป็นขายาวนั่นแหละ”
“หมายความว่าไง!?”
“สวมขาสั้นออกมา...เผลอๆยาวลากพื้นด้วยซ้ำ”
“อึก....”
“อะไรคุณ? อิ่มมะยมดองเหรอ”
ไม่ไหวแล้วนะ!!
บุญญากรวางปากกาแล้วทำหน้าบูดอย่างเอาเรื่อง เขาไม่ได้อ้วนแล้วก็ไม่ได้ตัวเตี้ยขนาดนั้นด้วย...ทำไมจะต้องมีปัญหากับสัดส่วนของคนอื่น คิดว่าตัวเองหุ่นดีมากหรือไง!
“หยอกเล่นน่าคุณหนู ตกลงเอาขายาวนะครับ?”
ไม่ทันแล้ว...
แม้ตอนนี้อีกคนจะทำหน้าอารมณ์ดีแล้วหันไปกรอกข้อมูลต่อ แต่บุญญากรหมดความอดทนแล้ว...เขาไม่อยากตอบคำถามอะไรแล้วทั้งนั้น!
“ชอบดูหนังหรือฟังเพลง”
“........”
“คุณครับ ชอบดูหนังหรือฟังเพลงครับ?”
ไม่ตอบ....
เหมือนอสูรน้อยจะรู้ตัวซะแล้ว...
รองประธานหนุ่มมองหน้าลูกน้องคนใหม่ด้วยความขบขัน แม้ตอนนี้อีกคนจะนั่งก้มหน้ากรอกแบบสอบถามนิ่งๆ แต่เชื่อได้เลยว่าภายใต้หน้าตาเมินเฉยนั้นกำลังเก็บซ่อนความหงุดหงิดเอาไว้อยู่
ปกติชาวินชอบปีนเขา...ยิ่งเป็นภูเขาไฟที่กำลังประทุแล้วด้วยเขาก็ยิ่งอยากท้าทายมากกว่าเดิม
“ชอบดูหนังหรือฟังเพลง”
“.......”
“คุณ! เอาหนังหรือเอาเพลง?!”
“เพลง!”
.
.
.
.
.
.
“แล้วนมผงกับแพมเพอร์สล่ะ จะพกอะไรติดตัวมาทำงานด้วยครับ”
ป็อก!
เสียงกระแทกปากกาดั่งลั่น ร่างสูงก็ทำท่าสะดุ้งด้วยการยืดตัวขึ้นน้อยๆไปด้วย
แต่ทำยังไงมันก็ออกมาดูเสแสร้งมากกว่าอยู่ดี...
และนั่นก็เป็นโอกาสสุดท้ายของชาวินแล้ว เพราะตอนนี้มือใหญ่ที่วางอยู่บนเมาส์กำลังตกเป็นเป้าสังหาร โดยการถูกบิดจากมือสวยๆอย่างแรง
“โอ๊ย! คุณ!”
“กวนมากนักเหรอ!”
“โอ้ยๆๆ”
บุญญากรใช้นิ้วสวยที่มีเล็บสะอาดจิกลงไปบนเนื้อหนาด้วยความสุดจะทน
ภาพคนตรงหน้าที่แกล้งเขาแล้วเอาแต่ยิ้มเคาะปุ่มเมาส์นั้นน่าหมั่นไส้เสียเหลือเกิน...เขาจะไม่ยอมเป็นเป้านิ่งอีกต่อไป
นี่คือครั้งแรกที่เขาทำร้ายคนอื่น ปกติมดสักตัวบุญญากรก็ยังไม่กล้าแตะเลย!
“โอ้ย! คุณ! ปล่อยเดี๋ยวนี้!!”
“ไม่!”
“คุณ!!!”
กว่าจะหลุดออกมาได้เนื้อก็แทบจะฉีกออกจากกัน ร่างสูงสะบัดมือตัวเองด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำเพราะความไม่อยากเชื่อ!
ชาวินไม่คิดเลยว่าเขาจะถูกเอาคืนแบบนี้ คุณหนูหน้าตาซื่อๆเหมือนลูกหมากัดเจ็บที่สุด!...เล่นบิดมาเสียเต็มแรงเหมือนจะทำให้หนังเขาหลุดออกมาจริงๆ
“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!”
“สมควร!”
“เลือดผมซิบเลย...อาาา”
ชาวินไม่ได้พูดเล่น หลังมือของเขามีเลือดซิบออกมาจริงๆ รอยจิกของคุณหนูตัวแสบลึกมาก ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขามาก่อน!
“ทำร้ายร่างกายผม แล้วคิดว่าผมจะรับคุณเข้าทำงานเหรอ ผมเป็นรองประธานบริษัทนะครับคุณหนู!”
“แต่ผมมีคุณป้าแย้มศรีเป็นประธานบริษัทครับ ถ้าคุณมีปัญหาก็เชิญไปพูดกับท่านเองละกัน พอดีเมื่อวานท่านบอกแล้วว่าจะรับผมเข้าทำงาน”
“ใช้เส้นสายเหรอ? ไหนบอกเป็นคนดีนักหนา”
“ผมจะดีกับคนที่ดีกับผมเท่านั้น ส่วนคุณน่ะเป็นข้อยกเว้น!”
“แสบนักนะ!”
“โดนแค่นี้อย่าสะดีดสะดิ้งหน่อยเลยครับ คุณเจ้านาย!”
“อวดดี!!”
“แล้วก็อย่ามาแกล้งผมอีก เส้นสายของผมไม่ได้มีแค่ประธานบริษัทนี้เท่านั้น”
“.......”
“และถ้าผมทนไม่ไหวขึ้นมา...ผมจะส่งคนไปกระทืบคุณถึงบ้านเลย!”
โอยยย กลัวจนแทบจะร้องไห้แล้วววว...
ชาวินทั้งขำทั้งเจ็บ!
ร่างสูงกุมมือตัวเองแล้วกลั้นหัวเราะ
คุณหนูบุญญากรขู่ว่าจะส่งคนมากระทืบเขา นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยสินะ...
“คุณขำอะไร?!”
“เปล่า! ผมแค่คิดว่าตอนคุณสั่งลูกน้องมา...คุณจะทำหน้ายังไง”
“........”
“‘ไปเก็บหม่อนั่นซะ!’ อย่างนั้นเหรอ? หึ! คงจะเหมือนแก๊งหมีน้อยในการ์ตูน”
“คุณชาวิน!”
“เลิกอวดดีแล้วรีบเขียนแบบสอบถามซะ เดี๋ยวคุณแอนจะเข้ามาแล้ว!”
“ไม่! ผมจะค่อยๆเขียน บนกระดาษบอกให้เวลาตั้งสามสิบนาที!”
“อวดเก่งอวดดี...ปีศาจน้อยตัวกะเปี๊ยกเอ้ย!”
“อย่ามาพูดกับผมแบบนั้นนะ!”
“หยุดพูดมากแล้วเขียนเดี๋ยวนี้เลย!”
“คุณ!!”
“เขียนครับคุณหนู....อย่ามัวแต่เล่น”
เด็กหนุ่มหน้าแดงเพราะความหงุดหงิดไม่หาย แต่สุดท้ายก็ยอมก้มหน้าลงแล้วเขียนข้อมูลต่อ...ความจริงแล้วเขาอยากสงบสติอารมณ์มากกว่านี้
บุญญากรรู้สึกไม่ดีเลยที่ตนเองกลายเป็นคนขี้หงุดหงิดไปได้
.
.
.
.
ยิ่งเหลือบไปเห็นรอยเล็บของตนเองที่ขีดอยู่บนหลังมือเขา...บุญญากรก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อตัวเอง
เขาไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน...นี่เป็นครั้งแรก
“คำถามมันยากเหรอ ผมช่วยดูไหม”
“ไม่ต้อง ผมทำเองได้”
“........”
“ขอโทษ”
“เรื่องอะไร?
“ที่ผมหยิกคุณ”
ตอนนี้ตัวหนังสือบนกระดาษดูจะมีความหนาเพิ่มมากขึ้น สงสัยคนเขียนจะไม่รู้ตัวเองเลยว่ามือนั้นกำลังสั่นอยู่ แถมจมูกสวยก็แดงเหมือนคนจะร้องไห้ออกมา พอเห็นแบบนั้นชาวินก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาด้วยอีกคน...
แต่เสียใจด้วย...ชาวินไม่สามารถขอโทษคืนได้
เพราะสติกำลังหลุดลอยไปกับสายตาหม่นหมองที่กำลังจ้องมองบนหลังมือของเขาอย่างน่ารัก แผลพวกนี้น่าอิจฉาชะมัดเลย...
เอาอีกแล้ว...อสูรน้อยปล่อยพิษอีกแล้ว
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็น่าจับตามองไปหมด ลูกชายคุณนายเดือนแขพิเศษกว่าคนทั่วไปจริงๆ โดยเฉพาะตอนทำหน้าเศร้าแบบนี้ ชาวินอยากจะเอากลับบ้านไปปลอบแล้วป้อนข้าวป้อนนม
ติดอยู่แค่ตอนนี้เขายังทำไม่ได้...
เพราะฉะนั้นชาวินควรจะต้องรีบทำอะไรสักอย่าง
“ผมจะถามคำถามต่อแล้วนะ”
“แต่ผมไม่อยากตอบแล้ว คุณชอบแกล้งผม”
“.......”
“หยุดแกล้งผมสักที”
“ผมไม่ได้แกล้ง”
“งั้นก็เอามาดูสิ! ไหนล่ะคำถามที่คุณว่า”
“อันนี้คำถามจริง...คุณจะตอบไม่ตอบก็เรื่องของคุณแล้วกัน”
บุญญากรมองอย่างไม่ค่อยแน่ใจ แต่สุดท้ายก็ยอมนั่งนิ่งแล้วฟังคำถามจากท่านรองประธาน ที่ตอนนี้เริ่มทำหน้าเครียดอีกครั้งเมื่อเข้าสู่โหมดทำงานอย่างเต็มตัว
แบบนี้ค่อยน่าเชื่อถือหน่อย...แต่ถ้ามาหลอกแกล้งเขาอีกบุญญากรจะเดินออกจากห้องแล้วจริงๆ เขาไม่อยากเป็นคนนิสัยไม่ดีอีกแล้ว
“คุณเรียนจบมาหลายที่หลายสาขา คุณคิดว่าตัวคุณเองเหมาะกับสายอาชีพอะไรมากที่สุด”
ค่อยยังชั่วหน่อย...แบบนี้สิ
คำถามเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งานของจริง
“ผมชอบทำเกี่ยวกับแลนสเคปมากที่สุดครับ”
“เพราะอย่างนั้นคุณถึงได้เลือกเรียนสถาปัตยกรรมสิ่งแวดล้อมมาตั้งสองที่อย่างนั้นสินะ ”
“ครับ
“แล้วมันแตกต่างกันยังไงครับ คุณบอกผมได้หรือเปล่า”
พอเริ่มได้คุยกันเรื่องงาน ทั้งสองคนก็เปลี่ยนจากคู่กัดเป็นเจ้านายกับลูกน้องได้ทันที โดยที่ทั้งคู่ก็ไม่รู้ตัวเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้มันดีมากแค่ไหน
“คุณรู้หรือเปล่าว่าผมก็จบสายนี้มาเหมือนกัน”
“ครับ”
“แต่ผมเรียนจบที่อังกฤษอย่างเดียว เพราะฉะนั้นคุณพอจะอธิบายความแตกต่างของงานทั้งสองประเทศหน่อยได้ไหม”
“ที่แรกผมจบมหาวิทยาลัยแถบเอเชียครับ ก็เลยได้สัมผัสงานทางฝั่งบ้านเราเป็นส่วนใหญ่ แต่พอผมมีโอกาสผมก็เลยเลือกเรียนของฝั่งตะวันตกบ้าง ซึ่งมันก็จะแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งเรื่องแนวคิดของการออกแบบ เรื่องแนวคิดของคนที่มีต่อธรรมชาติ ไปจนถึงเรื่อง planting design ด้วยครับ ทุกอย่างแปลกมากสำหรับผม แต่ผมก็ชอบที่จะเรียนรู้มันนะครับ...งานนี้มันสนุกมากเลย”
“แล้วอะไรสำคัญที่สุดสำหรับการทำงานของคุณ”
“ความเข้าใจครับ”
“......”
“ทุกงานที่ได้รับมอบหมาย ผมจะทำความเข้าใจกับมันก่อนเป็นอันดับแรก งานที่ผมจับทุกชิ้น ผมจะทำมันอย่างเข้าอกเข้าใจ และดูแลมันเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่ผมสนิทด้วย ทุกปัญหาผมจะช่วยแก้ แล้วผมก็จะช่วยค้นหาแต่สิ่งดีๆให้กับเพื่อนคนนี้จนจบงาน”
พูดได้ดี...
แถมชาวินยังเคยพิสูจน์มาแล้วด้วยว่าคนตรงหน้ามักจะทำแบบนั้นเสมอเมื่อได้รับมอบหมาย
ดูจากประวัติส่วนตัวทางด้านการศึกษาและผลงานที่เคยทำมาตลอดหลายปี ชาวินเชื่อแล้วว่าคนตรงหน้าทำงานมาอย่างหนัก แม้จะไม่เคยอยู่บริษัท แต่ผลงานที่เคยสร้างกับมูลนิธิต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศก็ไม่น้อยหน้าใครเลย แถมงานระดับผังเมืองก็เคยจับมาแล้วด้วย ถือว่าเป็นคนที่เก่งมากในระดับหนึ่ง
ความสามารถแบบนี้ ไม่ต้องมีเส้นสายก็สมัครงานได้เกือบทุกที่ ถึงจะไม่รู้จักกันมาก่อน หากชาวินได้เห็นผลงานของผู้สมัครคนนี้เขาก็คงจะรับเข้าทำงานทันทีโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ
แต่นี่คือคำถามปราบเซียนที่นักออกแบบจะต้องเจอ ไม่เว้นแม้แต่คุณหนูบุญญากรด้วย...
“แล้วคุณคิดว่าอะไรสำคัญที่สุด...ระหว่างลูกค้า...กับธรรมชาติที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงเพราะความต้องการจากเจ้าของโครงการ”
แน่นอนว่าทุกคนจะต้องหนักใจกับคำถามแบบนี้
แต่สำหรับคนตรงหน้าแล้ว...
ชาวินกลับเห็นแต่ความเป็นธรรมชาติ...
ไม่เสแสร้งแกล้งทำ
“คำตอบนี้ก็เหมือนกันครับ...แค่ทุกอย่างอยู่บนความเข้าใจ ผมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเลือก”
“........”
“การทำงานร่วมกับคนและธรรมชาติคือหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว ผมจะทำความเข้าใจกับธรรมชาติก่อน เสร็จแล้วก็นำสิ่งนั้นไปทำความเข้าใจกับลูกค้าอีกที ผมเชื่อว่าทุกอย่างมีความสำคัญเท่ากันหมด พวกเราอยู่ร่วมกันได้ครับ เพราะระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์แล้ว เราอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่แรก...ด้วยความเข้าใจเสมอมา”
หมดแล้วคำถามที่ต้องการ...
หมดแล้วจริงๆ
ชาวินไม่อยากหลุดยิ้มเพราะความฉลาดคิดนี้ คุณแม่ของเขาต้องตาดีมากแค่ไหนถึงได้เห็นความพิเศษนี้ตั้งแต่แรกพบ ทั้งคำพูดคำจาและความคิด ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ชาวินคิดว่ามันช่างเข้ากันเหลือเกิน...
น้ำเสียงที่ฟังแล้วสบายหู บวกกับความคิดในเชิงบวกนั้นมีค่ามากที่สุด
บุญญากรเหมาะกับตำแหน่งนี้ เขาอยากได้คนแบบนี้เข้ามาพัฒนาองค์กร...
ยิ่งถึกแถมยังสู้งานแบบนี้ด้วยแล้ว ขอเงินเดือนหลายแสนชาวินก็ยอมทุ่มจนหมดตัว แต่ถ้าเป็นไปได้เขาขอจ่ายรวบยอดเลยน่าจะดีกว่า...
ค่าสินสอดจะสักเท่าไหร่ดีนะ...
สักเก้าร้อยล้านพอไหม?
ชาวินจะได้จ่ายเงินแล้วพากลับบ้านตอนนี้เลย...
“คำถามสุดท้าย...สำคัญมาก”
“ครับ”
“ลูกค้า ธรรมชาติ แล้วก็ผม อันไหนสำคัญที่สุดครับ?”
“......”
“ถ้าคุณตอบคำถามดี ผมจะบอกฝ่ายบุคคลตอนนี้เลยว่าคุณผ่านการคัดเลือกจากผมแล้ว วันจันทร์เราจะเริ่มงานด้วยกันทันที โดยที่คุณไม่ต้องรอประกาศผลจากฝ่ายบุคคลอีกต่อไป...ผมจะปิดรับสมัครที่คุณคนเดียว”
รองประธานหนุ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจังมากกว่าที่จะเป็นการล้อเล่นเหมือนปกติ
สายตามุ่งมั่นกับท่าทางประสานมือไว้บนโต๊ะเหมือนกับคนที่กำลังต่อรองทางธุรกิจพันล้าน และชาวินคิดว่าเขามีอำนาจมากพอที่จะหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ตัวน้อยได้
คำถามนี้จะตัดสินหลายอย่าง
มันจะเป็นตัวชี้วัด...ว่าชาวินควรจะเริ่มแผนการจับปีศาจตอนนี้เลยดีไหม
แล้วอีกฝ่ายพร้อมจะเข้ากรงด้วยความเต็มใจเลยหรือเปล่า
“ผมต้องตอบไหมครับ...คำถามนี้”
“แน่นอนสิ ตอบเดี๋ยวนี้เลย...”
.
.
.
.
“ลูกค้า ธรรมชาติ กับผม อันไหนสำคัญสุดครับ”
“ก็คงจะเป็น...”
“.......”
“คุณชาวินมั้งครับ”
จบเกม...
ชาวินไม่เคยพลาดเรื่องแบบนี้เลยสักครั้ง
ถึงจะอวดดีแค่ไหน แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องสยบอยู่แทบตักเขา และนี่เป็นการตอกย้ำความคิดของเขาไปอีกว่า...
ยิ่งถูกแกล้งก็ยิ่งชอบ...ยิ่งงอนก็ยิ่งรัก
เด็กหนุ่มจอมอวดดีแบบบุญญากรน่ะ ต้องลงเอยกับอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
ชาวินฉลาดที่สุด
“กรอกเสร็จแล้วก็พักผ่อนได้ครับ เสร็จแล้วค่อยกลับมาพรีเซนต์งานต่ออีกทีตอนบ่ายสามครึ่งก็แล้วกัน”
“ครับ”
“แต่คุณไม่ต้องห่วงนะ ยังไงผมก็รับคุณอยู่แล้ว”
“ทำไมเหรอครับ?”
“ก็วันนี้ผมมีความสุขไง”
“.......”
“คุณหนูแบบคุณ....เอ่ยปากบอกว่าผมสำคัญ”
“ครับ...ตามนั้นเลย”
ใบหน้าหล่อกลับมามีสีสันอีกครั้งเพราะคำตอบที่น่าฟังได้หลุดออกมาจากปากคุณหนูตัวน้อยตรงหน้าแล้ว แน่นอนว่าชาวินต้องสำคัญที่สุด...และคนอย่างบุญญากรถ้าไม่เริ่มชอบเขาแล้วก็คงจะไม่ยอมตอบแบบนี้ออกมาเด็ดขาด
เขาจะถือว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ดี....
“งั้นผมขอตัวไปเดินเล่นแถวนี้ก่อนนะครับ”
“เชิญ”
“แล้วผมจะกลับมาอีกครั้งครับ...คุณเจ้านาย”
เกิดอะไรขึ้น....
มีบางอย่างเข้าสิงเจ้าอสูรน้อยหรือเปล่า
ท่าทางที่เอามือยันโต๊ะแล้วลุกขึ้นช้าๆ พร้อมกับอมยิ้มหวานมาทางเขาแบบนี้มันคืออะไร...ชาวินตาฝาดไปหรือเปล่า?
“บุญญากร คุณจะทำอะไร?”
หัวใจของหนุ่มใหญ่อายุสามสิบกว่าเต้นตึกตักจนแทบจะหลุดออกมา
เมื่อหนุ่มน้อยตรงหน้าล้วงเอาซองกระดาษเล็กๆออกมาจากกระเป๋าสตางค์ ฉีกมันออกด้วยปากเรียวสวย ก่อนจะแปะปาสเตอร์แผ่นเล็กลงไปบนหลังมือของเขาอย่างนุ่มนวล...ทั้งที่ยังคาบซองนั้นเอาไว้อยู่เหมือนเดิม
ให้ตาย...ชาวินจินตนาการไปไกลมาก
เขาคิดว่ามันเป็นซองอย่างอื่นไปแล้ว...
ดีมาก...ดีมากจริงๆ
“เพราะผมอยากเห็นคุณอารมณ์ดีมากขึ้นอีก...ผมจะบอกกับคุณครับ”
“หือ?”
“ผมจะบอกเหตุผลกับคุณ ว่าทำไมคุณถึงเป็นตัวเลือกที่สำคัญที่สุดในตอนนี้”
การเอามือยันโต๊ะแล้วช้อนตาขึ้นมองเขานั้นไม่ธรรมดาเสียแล้ว
ชาวินไม่เคยอยากรู้คำตอบใดๆมากมายเท่านี้มาก่อนเลย เหตุผลที่จะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
โดยเฉพาะเหตุผลที่ออกมาจากปากน้อยจิ้มลิ้มนั้น...
“บอกผมมาสิ ผมอยากรู้...”
“เพราะธรรมชาติกับลูกค้า ผมจะสามารถเข้าใจมันได้เสมอหากค้นหาข้อมูล”
“........”
“แต่สำหรับคุณ....ผมไม่เคยเข้าใจอะไรเลย”
“........”
“คุณก็เลยมีความสำคัญมาก...เป็นข้อยกเว้นทุกอย่างสำหรับผม ปกติผมเป็นอยากรู้อยากลองนะครับ แต่กับคุณ...ผมไม่อยากทำความเข้าใจเลยด้วยซ้ำ!”
“มากไปแล้วนะ!!”
“คนกวนประสาทแบบคุณน่ะ สำคัญที่สุดแล้ว!”
“บุญญากร!”
“ถ้าหมดคำถามแล้วก็ช่วยส่งชื่อผมไปที่ฝ่ายบุคคลด้วย ผมไม่ชอบลัดคิวคนอื่น รอประกาศผลตามกระบวนการน่าจะดีกว่า...ขอตัวก่อน”
“อวดดีนักเหรอ?!”
“ยอมรับครับ พอดีมีส่วนดีเยอะ อวดชาวบ้านหน่อยคงไม่เป็นไร”
“คุณอยากลองดีกับผมสินะ...ไอ้เด็กอวดดี”
“ก็แล้วแต่จะเห็นสมควรเลยครับ...ตาลุงชาวิน!!”
Talk :
โด๊นนนโดนแล้วล่ะ~
ลุงเคลิ้มเชียวนะ...ตื่น!!
ไหนบอกเขาเป็นอสูรน้อยในกำมือไง
ทำไมถูกจิกจนเลือดออกได้ล่ะคะลุง?!
โอยย 55555555555
เก่งมากลูก เป็นงัยลุง
คุยกันดีได้แป๊บเดียวก็ขึ้นเสียง เจ็บคอกันบ้างมั้ยคะ55555
น้องบุ้งก็คือน้องบุ้งนะจ๊ะคุณชาวิน อย่าประเมินน้องต่ำไป5555555555
คิดดีบ่ได้เลยเด้อออออออออ