ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wang Yibo X Xiao Zhan | Red Thread: A Labyrinth (红线: 迷宫) #ด้ายแดงป๋อจ้าน

    ลำดับตอนที่ #1 : Red Thread (红线) #ด้ายแดงป๋อจ้าน | 第一集 [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.44K
      200
      26 ม.ค. 63

    01




    เซียวจ้านรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายของตนเองที่ลดต่ำลงเป็นเท่าตัว แขนทั้งสองไร้เรี่ยวแรงที่จะยกขึ้นหรือขยับไปมา บริเวณช่องท้องเกร็งแน่น อีกทั้งยังรับรู้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆ ของเหลวในร่างกายของตนเองบนฝ่ามือทั้งสอง ทันทีที่มันซึมลงบนพื้นดินมันก็เย็นตาม ลมหายใจผ่อนเข้าออกอย่างรวยริน หากขยับร่างกายเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ร่างทั้งร่างแหลกสลายเป็นเถ้าธุลีได้


    ดวงตาทั้งสองปริ่มไปด้วยหยาดน้ำสีใส เพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างของตนเองที่เพิ่มพูนมากขึ้นและไม่มีทางที่จะหายไปได้ เซียวจ้านอยากจะพลิกตัวเหลือเกิน ทว่ามันกลับเป็นไปได้ยากยิ่งนัก ลมหายใจอันอ่อนแรงผ่อนเข้าออกอย่างช้าๆ ก่อนที่มันจะหยุดลงพร้อมกับเปลือกตาที่ปิดลง จมลงสู่ห้วงแห่งความดำมืดไปตลอดกาลโดยไร้ซึ่งการลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง


    บนเนินเขาอันรกร้างและอยู่ท่ามกลางป่าใหญ่ ยากยิ่งนักที่จะมีใครสักคนเดินผ่านมาแถวนี้และเห็นร่างของเซียวจ้านนอนอยู่บนพื้นดินอันชื้นไปด้วยหยาดโลหิตสีแดงฉาน ซึ่งเขาเองก็ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเห็นสภาพร่างของเขาและให้การช่วยเหลืออยู่แล้ว เพราะเขาเลือกที่จะจบทุกสิ่งทุกอย่างลงไว้ ณ ที่เนินเขาอันรกร้างแห่งนี้


    เซียวจ้าน เซียนหนุ่มที่มีชีวิตแสนอ้างว้าง ล่องลอยและสุดแสนจะโดดเดี่ยว เขาเติบโตขึ้นมาในสำนักเซียนชื่อดังแห่งเมืองฉางอัน* มีคนหลายคนต่างก็บอกเขาเป็นเสียงเดียวกันว่าเขานั้นเป็นเด็กกำพร้า สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นเรื่องจริงอย่างที่คนอื่นเขากล่าวคำขาน เพราะทั้งชีวิตที่ผ่านมานั้นเขาไม่เห็นพบเห็นหน้าของบิดาและมารดาเลยสักครั้ง ส่วนหนึ่งของชีวิตอันแสนอบอุ่นนั้นก็หายไป ฉะนั้นเซียวจ้านจึงยึดถือสำนักเซียนนั้นเป็นบ้านหลังเดียวในชีวิตของเขา ถึงจะอัตคัด ทว่ามันก็เป็นบ้านหลังหนึ่งที่ต้องตื่นขึ้นมาพบเจอในทุกๆ วัน


    หลังจากวันนั้นเซียวจ้านก็เติบใหญ่ขึ้นจนมีวิชาเซียนติดตัว และพร้อมที่จะเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง เขาออกเดินทางเพื่อที่จะสอบเป็นจอหงวน** ในราชสำนักตามที่ตนเองวาดฝันเอาไว้ครั้นยังเป็นเด็ก และได้รับหน้าที่คุ้มครององค์จักรพรรดิโดยใช้วิชาเซียนของตนเอง เขาทำงานในหน้าที่นี้ได้ดีมากจนทำให้เป็นที่ประทับใจและโปรดปรานขององค์จักรพรรดิเป็นอย่างมาก


    ทว่าในดีย่อมมีเสีย คุณงามความดีที่ได้ลงมือกระทำนั้นกลับทำให้เหล่าขุนนางต่างก็อิจฉาริษยา จึงได้ลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิและใส่ความเซียวจ้านว่าเขาคือมือสังหาร จนทำให้เขานั้นต้องหนีลี้ภัยไปหลายต่อหลายที่เพื่อหนีการจับกุม ทว่าทุกๆ ครั้งที่เขาปลอมตัวและเดินผ่านชาวบ้านเหล่านั้น เขาก็ได้ยินเสียงนินทาถึงชื่อเสียของเขาอย่างไม่หยุดปาก อีกทั้งยังสาปแช่งขอให้ลงนรกไปกล่าวคำขอขมาจากองค์จักรพรรดิที่ตนเองได้พลั้งมือฆ่าไว้


    ทุกสิ่งทุกอย่างได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ความสุขในครั้งก่อนกลับกลายเป็นฝุ่นควันและปลิดปลิวไปตามอากาศ ในตอนนี้กลับมีแต่ความขมขื่นและตรอมตรมที่เขาต้องแบกรับเอาไว้บนบ่าทั้งสอง เซียวจ้านหลบหนีการจับกุมจากส่วนกลางอย่างยากลำบาก ในตอนแรกเขาคิดว่าจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้กับกลุ่มคนเหล่านั้นได้รับรู้ หากแต่เป็นไปได้ยากยิ่งนัก เนื่องจากเหล่าทหารนั้นย่อมเชื่อฟังเหล่าขุนนางมาเสียยิ่งกว่าเซียนอย่างเขาเสียอีก ฉะนั้นเขาจึงไม่มีโอกาสได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกไปได้เลย


    สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะจบชีวิตของตนเองบนเนินเขารกร้างแห่งนี้ เพราะหัวใจของเขานั้นมิอาจแบกรับบาดแผล คำกล่าวขานถึงชื่อเสียและคำสาปแช่งของชาวบ้านได้อีกต่อไป เซียวจ้านคิดว่าชีวิตนี้แสนอาภัพยิ่งนัก ในเมื่อสหายและคนรอบข้างไม่เหลือแล้วแม้แต่คนเดียว ไม่มีผู้ใดรับฟังถึงเรื่องราวของเขา ไม่มีผู้ใดปลอบประโลมเขา อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดอยู่เคียงข้างเขาเลย แล้วเขาจักมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสิ่งใดหรือ


    เซียวจ้านมองท้องฟ้าที่ยังคงหม่นหมองเฉกเช่นหัวใจของเขา ไอดินที่อยู่บนพื้นนั้นมิได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย หากในทางกลับกัน มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาจะได้สูดกลิ่นนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ดวงวิญญาณจะหลุดออกจากร่างและดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความมืดไปชั่วกัปชั่วกัลป์ โดยที่เขามิสามารถลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่นี้ได้อีกแล้ว เซียวจ้านเกร็งมือของตนเองให้จิกลงบนพื้น สูดลมหายใจเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผ่อนมันออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับดวงตาทั้งสองที่ปิดลงและลมหายใจอันเย็นเฉียบ หลงเหลือไว้เพียงความอบอุ่นของร่างกายนี้ที่กำลังเย็นลงเรื่อยๆ



    สถานที่แห่งหนึ่งที่เซียวจ้านรับรู้อยู่ได้เพียงตอนนี้ มันเบาบางดุจปุยนุ่นและขาวสะอาดเยี่ยงใยไหม ทั้งร่างกายนั้นเบาเสียยิ่งกว่าขนนกเสียอีก ตอนแรกเซียวจ้านขยับได้เพียงแขน เขาคิดว่าควรวาดแขนขึ้นมาถึงกกหูและกางแขนวาดออกไปด้วย สิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในพลันดลนี้มันแสนหฤหรรษ์เสียเหลือเกิน นอกเหนือจากนี้เขาไม่เคยรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มแสนสบายเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต ดวงตาทั้งสองยังคงปิดแน่น ฝืนให้เปิดก็มิอาจจะทำได้ อีกทั้งเซียวจ้านยังรู้สึกอีกว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังมัดอยู่บนข้อเท้าข้างซ้ายของเขา ความสงสัยใคร่รู้นั้นมีมากล้นจนจะห้ามใจเอาไว้ไม่ได้ เขาฝืนลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทว่ากลับได้ยินสดับเสียงของใครบางคนดังขึ้นมาเสียก่อนที่จะกระทำสิ่งนั้นที่คาดหมายเอาไว้


    เซียวจ้านเอ๋ย...ชีวิตของเจ้านั้นแสนอาภัพยิ่งนัก เจ้ามิควรที่จะตัดสินใจจบชีวิตลงเช่นนี้เลย


    เซียวจ้านขมวดคิ้วเป็นปมแน่น เสียงนี้คือเสียงของชายชราคนหนึ่ง เขารับรู้ได้เนื่องจากว่าเสียงแหบๆ ยานคางและความชราภาพของเจ้าของเสียงนี้ เขาไม่สามารถมองเห็นของผู้ที่กำลังสนทนาด้วยเลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งสองของเขาปิดแน่นและไม่สามารถฝืนลืมตาขึ้นมาได้ เขาอยากจะเห็นหน้าของเฒ่าชราท่านนี้เหลือเกินว่ามีหน้าตาเป็นเยี่ยงไร แล้วเหตุใดถึงรู้จักชื่อของเขา


    ท่านคือผู้ใดกันหรือ เหตุใดถึงรู้จักชื่อของข้า เซียวจ้านคิดในใจ เขาไม่ได้คาดคิดเลยสักครั้งเดียวเลยว่าเจ้าของเสียงนี้จะตอบเสียงในใจของเขาด้วยประโยคหลังจากนั้น


    ข้าเป็นผู้ใดไม่สำคัญหรอก ตัวข้านั้นมองเห็นเจ้าตั้งแต่วัยเยาว์นัก เจ้าโดดเดี่ยว อ้างว้างและเดียวดายยิ่งนัก ซ้ำยังถูกใส่ร้ายจนต้องมาจบชีวิตอยู่บนเนินเขารกร้างแห่งนี้ เสียงนั้นบอกเซียวจ้านด้วยประโยคเหล่านี้ที่จี้จุดในใจของเขา เจ้าเหงายิ่งนัก เจ้าต้องการสหายหรือคนรักที่รู้ใจของเจ้า คอยให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างเจ้าในยามยากลำบาก นี่คือเจ้าใช่ไหม


    เซียวจ้านครุ่นคิด ชายชราผู้นี้คือผู้ใดกันแน่ เหตุใดถึงเฝ้าดูเขามาตั้งแต่วัยเยาว์และยังรับรู้ถึงหัวใจที่แท้จริงของเขา ว่าการที่จมปลักอยู่กับความโดดเดี่ยวอันแสนทรมานมาโดยตลอดนั้นมันเป็นเช่นไร เซียวจ้านอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ ให้อีกเสียงนั้นได้ยินว่าเขานั้นทรมาน อ้างว้างและโดดเดี่ยวมาเพียงใด ทว่ามันกลับเป็นได้เพียงความคิดลมๆ แล้งๆ ประเภทหนึ่งเท่านั้น


    เจ้ากล้ำกลืนฝืนทนมาก มากเสียจนหัวใจของเจ้านั้นรับไม่ไหวอีกต่อไป ไฉนเจ้าถึงซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงของตนเองไว้ด้วยเล่า หากแบกรับเอาไว้ไม่ไหวก็ปล่อยมันออกมาบ้างจะเป็นไรไป


    น้ำตาพาลจะไหลออกมาอย่างดื้อๆ เซียวจ้านไม่เคยพบเจอกับผู้ใดที่อ่านใจเขาออกและจี้จุดแบบนี้มาก่อน คนทุกคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าเขานั้นเป็นคนโหดเหี้ยม เลือดเย็นและไร้ซึ่งการต่อกร เห็นได้จากการที่มีข่าวใส่ร้ายป้ายสีว่าเขาเป็นคนที่ลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ คนทั้งโลกตราหน้าว่าเขานั้นเป็นคนที่แสนโหดเหี้ยมและสมควรที่จะลงโลกีย์ชั่วกัปชั่วกัลป์ไปเสีย อย่าได้ผุดได้เกิดอีกเลย แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นที่พวกเขาเห็นมันเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ภายในใจของเซียวจ้านนั้นแตกสลายไม่มีชิ้นดี


    เซียวจ้านเอ๋ย...เจ้าอย่าได้ร้องไห้ไปเลย เจ้ายังมีโอกาสพิสูจน์ตัวเจ้าอีกครั้ง ว่าเจ้านั้นมิใช่คนผิดและสมควรที่จะได้รับความรักเหมือนคนอื่นๆ


    ข้าจะทำได้เยี่ยงไร ในเมื่อข้าเลือกที่จบชีวิตไปแล้ว เซียวจ้านกู่ร้องในใจ ข้าจะมีชีวิตอยู่ไปด้วยเหตุผลใดหรือ ในเมื่อคนรอบข้างข้านั้นไม่เหลือใครอีกแล้ว ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ คนรอบตัวต่างก็หันหลังให้กับข้า


    ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายเสมอไป เซียวจ้าน เสียงนั้นพูดตอบกลับมาอีกครั้ง เจ้าได้รับโอกาสที่จะแก้ไขและพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ว่าเจ้ามิใช่สิ่งที่พวกเขาคิด ข้ารู้สึกสงสารและเอ็นดูเจ้ายิ่งนัก ฉะนั้นเจ้าได้รับโอกาสที่จะกลับไปมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง จงเบิกตาให้กว้าง จงเข้มแข็งและจงศรัทธาในเส้นทางที่เจ้าเลือก เพราะหลังจากนี้เจ้าจะได้รับในสิ่งที่เจ้าควรจะได้รับแล้ว



    เซียวจ้านตกใจตื่นขึ้นมา พบว่าตอนนี้ตนเองอยู่เบื้องล่างของเนินเขา


    เมื่อไม่นานมานี้เขารู้สึกว่ามีเสียงของใครสักคนกำลังพูดกับเขาในห้วงแห่งความฝัน เสียงนั้นเหมือนจริงราวกับเป็นคันฉ่องสะท้อนสภาพของตนเองกับโลกแห่งความเป็นจริง เขามองไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีสิ่งใดอยู่แถวนั้นบ้าง ทว่าเขาก็ลืมไปเสียสนิทเพราะเขามาที่นี่ตัวคนเดียว ไม่มีผู้ใดติดตามมาด้วย


    เขาจำได้เลือนรางว่าเสียงนั้นกล่าวกับเขาด้วยถ้อยคำเหล่านี้ 'เจ้าได้รับโอกาสให้มีชีวิตอีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเจ้านั้นมิใช่อย่างที่พวกเขามองเห็น' เซียวจ้านถอนหายใจออกมายาวๆ เมื่อนึกถึงถ้อยคำเหล่านี้ได้ เขานี่น่ะหรือที่จะได้รับโอกาสให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ให้เขาตายๆ ไปเสียยังจะดีกว่าอีก


    เราก็ตายดีๆ อยู่แล้วก็ให้ฟื้นขึ้นมา เฮ้อ...ให้เราตายเสียยังจะดีกว่าอีก เซียวจ้านคิดในใจพร้อมกับยกมือขึ้นมากุมศีรษะของตนเอง คิดเอาไว้ว่าอาจพบกับหยาดโลหิตสีแดงฉานซึ่งเป็นร่องรอยว่าเขานั้นกระโดลงมาจากเนินเขาตกลงมาด้านล่าง พร้อมกับศีรษะด้านหลังกระแทกอย่างแรงจนกระโหลกเละไม่มีชิ้นดี ทันทีที่ฝ่ามือบางสัมผัสกับท้ายทอย ราวกับว่าเป็นปาฏิหาริย์ บาดแผลสักรอยบนร่างกายของเขานั้นก็ไม่มี ทั้งแขน ขา ใบหน้าหรือส่วนต่างๆ ตามร่างกายนั้นไม่มีหยาดโลหิตสีแดงฉานหรือบาดแผลเลย


    เซียวจ้านรีบลุกขึ้นมาจากพื้น ใช้มือปัดฝุ่นและดินเปียกๆ ออกไปจากร่างกายของตนเอง เหลือเชื่อมาก! เขาได้รับโอกาสให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเหมือนอย่างที่เสียงนั้นกล่าวมาจริงด้วย เซียวจ้านเงยหน้ามองไปยังด้านบนของเนินเขาและต้องปีนขึ้นไปให้ได้ เขาจึงรีบใช้มือคว้าไปที่รอยแยกของเนินเขา ดีดร่างขึ้นไปด้านบนและใช้เท้าเหยียบลงไปที่รอยแยก เขาทำแบบนี้ไปซ้ำๆ จนมาถึงด้านบนของบนเนินเขาในที่สุด


    ร่างบางพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากที่ปีนขึ้นมาได้สำเร็จ ไหนๆ ก็ได้รับโอกาสให้มีชีวิตอีกครั้งแล้วก็จงใช้ให้คุ้มเสียจะดีกว่า เซียวจ้านยกขาขึ้นมาเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อออกจากบริเวณตรงนี้ก็สะดุดไปเห็นเส้นด้ายสีแดงที่อยู่ตรงข้อเท้าข้างซ้ายของตนเอง ความสงสัยใคร่ครวญนั้นทำให้เขาต้องย่อตัวลงไปจับเส้นด้ายนั้นและยกไปยกมาเพื่อตรวจดูว่ามันมาจากที่ไหน พยายามแกะออกก็ทำได้ยากยิ่งนัก เขาดันทุกรังแกะเส้นด้ายนี้อยู่นานแสนนาน สุดท้ายก็ยอมแพ้และปล่อยให้มันมัดข้อเท้าของตนเองไปเสียจะดีกว่า


    เซียวจ้านมองตามเส้นด้ายสีแดงที่มัดข้อเท้าของตนเอง พบว่ามันยาวออกไปจากเนินเขาแห่งนี้ อาจเป็นเส้นทางที่จะทำให้เขาเดินออกไปจากป่าอันแสนวังเวงและมืดมนแห่งนี้ก็เป็นได้ จนถึงบัดนี้แล้วเซียวจ้านก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าใครมามัดข้อเท้าของเขาด้วยด้ายแดงอันยาวเหยียดเช่นนี้ ด้ายแดงเหล่านี้มาจากที่ใด แต่ที่น่าแปลกที่สุดก็คือเหตุใดเขาถึงไม่รู้สึกอึดอัดที่เห็นมันมัดอยู่ที่ข้อเท้า ขณะนั้นเองเขาได้ยินเสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้นมาเพื่อเป็นการกำชับถึงเรื่องบางเรื่อง


    เซียวจ้านเอ๋ย...นี่เป็นเหตุการณ์หนึ่งปีให้หลังจากที่เจ้าตายไปแล้ว ไม่มีผู้ใดพบเห็นร่างของเจ้าเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งมนุษย์ สัตว์และเหล่าเทพเทวดาที่สิงสถิตอยู่ หลายๆ คนคิดว่าเจ้านั้นตายหายไปจากโลกใบนี้แล้ว ยกเว้นกลุ่มคนบางคนที่ยังเชื่อว่าเจ้านั้นยังไม่ตาย เพราะฉะนั้นเจ้าต้องหลบซ่อนใบหน้าของตนเองเอาไว้ เดินไปเรื่อยๆ แล้วเจ้าจะพบกับหน้ากาก จงสวมมันเสีย


    ร่างบางขมวดคิ้วเป็นปมแน่นเมื่อได้ยินเสียงกระซิบแสนแปลกประหลาดนี้อีกครั้ง สรุปคนที่เขาได้ยินและพูดคุยนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ เป็นผีก็มิอาจใช่ เป็นคนก็ไม่เชิง หรืออาจเป็นจิตใต้สำนึกของเขาเอง วลีมากมายผุดเข้ามาในความคิดของเซียวจ้านซ้ำๆ ไปมาเช่นนี้


    เซียวจ้านเดินตรงไปตามสิ่งที่เสียงกระซิบได้บอกเขา จนมาพบกับหน้ากากที่ปิดเพียงแค่บริเวณดวงตา มือบางเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาและใส่เข้าไปอย่างว่าง่าย ถึงจะหลวมไปหน่อยแต่ก็สามารถใส่ได้พอดีและพอที่จะปกปิดใบหน้าของเขาได้ส่วนหนึ่ง อย่างน้อยกันไว้ดีกว่าแก้นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต


    แต่นี้ต่อไปเจ้าต้องเป็นผู้ที่ลิขิตชีวิตของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง ให้เหตุการณ์หรือสิ่งที่เจ้าฝังใจนั้นลืมเลือนไปจากความทรงจำของเจ้าเมื่อครั้นก่อนตายเสีย บัดนี้เจ้าเป็นคนใหม่และไม่มีผู้ใดที่รู้จักเจ้า สิ่งที่ข้าจะบอกเจ้าก็คือ ให้ตามหาชายที่มีนามว่าหวังอี้ป๋อ เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่จะช่วยเหลือเจ้าได้ หากเจ้าไม่รู้ทิศทางโปรดจงตามด้ายแดงเหล่านี้ไป ข้าบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ขอให้เจ้ามีความสุขและโชคดี เซียวจ้าน...


    และแล้วเสียงกระซิบก็หายไปดุจดั่งสายลมอ่อนๆ เซียวจ้านรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าหวังอี้ป๋อนั้นคือผู้ใด มีชื่อเสียงเรียงนามหรือไม่ พำนักอยู่ที่แห่งใด เซียวจ้านรู้สึกว่าดวงตาและหูทั้งสองข้างของตนเองนั้นดับสนิท มองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น เขาและอีกฝ่ายไม่เคยพบเจอหน้ากันเลยสักครา แล้วจะให้เขาตามหาได้เยี่ยงไรกันนี่


    คิดมากไปก็มิอาจให้ความกลัดกลุ้มในความคิดหายไปแต่อย่างใด เซียวจ้านเงยหน้ามองท้องฟ้าและพบว่านี่ก็ใกล้จะพลบค่ำแล้ว หากยามราตรีกาลมาถึงนั้นอาจทำให้สัตว์ป่า พวกมารหรือปีศาจเข้ามาทำร้ายก็เป็นได้ และเขาอาจตายซ้ำสองโดยที่ไม่ทันได้ใช้ชีวิตหลังจากฟื้นคืนชีพนี้ให้คุ้มค่า หลังจากนี้เขาอาจไม่มีโอกาสได้ฟื้นขึ้นมาอีกเป็นแน่แท้


    เราต้องเดินเข้าเมืองเพื่อหาที่พักแล้ว เขาคิดในใจ หากชักช้าเหล่ามารก็จะออกมาล่าก็เป็นได้


    เซียวจ้านกระชับกระบี่ในมือแน่น ก่อนจะก้าวขาเดินออกไปโดยตามเส้นด้ายสีแดงที่มัดข้อเท้าของเขาพร้อมกับขนาดความยาวของมันที่หดลงเรื่อยๆ ในทุกๆ ก้าวที่ก้าวตรงไปหามัน ผ้าไหมสีดำจากเสื้อที่เขาสวมอยู่นั้นสะบัดพลิ้วปลิวลู่ลม ทิ้งไว้เพียงร่องรอยถึงการมาเยือนที่แห่งนี้ของเขา


    ด้ายแดงนั้นจะพาเขาไปจบลงที่ใด แล้วโชคชะตาฟ้าดินจะอำนวยให้เขาพบเจอกับสิ่งใดต่อไป เขาไม่มีทางรู้ แต่ที่แน่ๆ ก็คืออาคมดำเหล่านั้นยังคงครอบครองปฐพีนี้หมายจะให้มอดม้วยเป็นผุยผง ซึ่งเขาเองก็ต้องสะสางเรื่องนั้นให้เสร็จสำเร็จลง แลกกับหนึ่งชีวิตที่เขาได้ฟื้นจากความตายมาแล้วคราหนึ่ง





    #ด้ายแดงป๋อจ้าน






    ________________________

    *ปัจจุบันคือเมืองซีอาน

    **ตำแหน่งราชบัณฑิตที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบขุนนางของประเทศจีนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์



    TBC. [20.09.2019]

    ต้าเจียห่าวค่ะทุกคนนนนน ยินดีต้อนรับสู่ฟิคเรื่องใหม่ของเรานะคะ >< ขอเกริ่นนำก่อนเลยนะคะสำหรับสาเหตุที่แต่งฟิคเรื่องนี้ เนื่องด้วยว่าช่วงนี้เราติดปรมาจารย์มากกกกกก มากๆๆๆๆๆ มากถึงมากที่สุด โดนป๋อตี้กับจ้านเกอตกด้วย บวกกับเพื่อนเชิญชวนเข้าสู่เขากูซูแล้วตอนนี้ก็หาทางกลับไม่เจอและมูฟออนเป็นวงกลมค่ะ แงงงงงง ถ้าหากว่าใครฟอลทวิตเราก็จะรู้นะคะว่าเรารีคู่ป๋อจ้านมากแค่ไหน 5555555

    แล้วก็ขอมาแบบสั้นๆเท้าความก่อนนะคะ ส่วนดีเทลหรือรายละเอียดอื่นๆกั๊กเอาไว้ก่อน แล้วไปพบกับตอนใหม่นะคะ


    ถ้าใครชอบก็อย่าลืมกดเฟบ โหวต แชร์เรื่องนี้ คอมเมนต์และสกรีมฟิคในทวิตเตอร์เพื่อเป็นกำลังให้ไรเตอร์และจ้านเกอของเราด้วยนะคะ ฟีดแบคดีเท่ากับเรามีกำลังใจและตอนต่อไปน้า อยากบอกว่าเรานี๊ดเมนต์ของทุกคนมากๆเลย สักเมนต์หนึ่งเราก็มีกำลังใจในการทำงานและเขียนฟิคต่อไปแล้วค่า เมนต์ให้เราหน่อยน้าาาาาาาา ไม่งั้นเราส่งเวินหนิงไปขี่คอแน่!


    ขอย้ำ! ใครไม่เมนต์เดี๋ยวส่งเวินหนิงไปขี่คอนะคะ!

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×