ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wang Yibo X Xiao Zhan | Red Thread: A Labyrinth (红线: 迷宫) #ด้ายแดงป๋อจ้าน

    ลำดับตอนที่ #11 : Red Thread (红线) #ด้ายแดงป๋อจ้าน | 第十集 [100%] ♫

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.2K
      63
      28 ม.ค. 63

     BGM : 全球使命 3 OST - Occupied V.1


    10





    ห้องพักเสนาบดี, เมืองฉางอัน



    "เมื่อครู่นี้ท่านเพิ่งบอกว่าอดีตองครักษ์เซียวจ้านยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ"


    ภายในห้องของเรือนหลังหนึ่งมีเสนาบดีสามคนกำลังนั่งหารือกันล้อมโต๊ะทานอาหาร บนโต๊ะมีสำรับอาหารวางอยู่เล็กน้อยและมีร่องรอยการรับประทานไม่มาก เพราะว่าบัดนี้พวกเขาไม่สนใจที่จะทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง หากแต่ว่าสนใจถึงเรื่องเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวลือหนาหูกันภายในราชสำนักมากกว่า


    เมื่อสองสามวันก่อนที่กองทัพทหารจะเคลื่อนไพร่พลออกจากฉางอัน มีเสนาบดีคนหนึ่งได้ยินข่าวลือจากในตำหนักขององค์ราชาว่าอดีตองครักษ์ประจำตัวได้ฟื้นชีพอีกครั้ง อีกทั้งบัดนี้อยู่ในการคุ้มครองดูแลของห้าตระกูลปราบมาร ซึ่งเป็นเหตุทำให้ไพร่พลต้องเคลื่อนตัวออกจากฉางอันเพื่อปราบเขาให้สิ้นซาก ณ สถานที่ที่เรียกว่าทะเลสาบอี้หาน


    "นกพิราบของพวกเราส่งสารมา คนที่ส่งสารเขาบอกว่าอดีตองครักษ์เซียวจ้านยังมีชีวิตอยู่"


    "มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน" บัณฑิตคนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้าไปมา "เขาปลิดชีพตนเองไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้วมิใช่หรือ นี่อาจเป็นข่าวโคมลอยไม่มีต้นเหตุก็เป็นได้ คนตายจักฟื้นขึ้นมาได้เยี่ยงไร"


    อัครเสนาบดีที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั้นมีสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด เขายกเข่าขึ้นมาหนึ่งข้างและเอาแขนวางพาดไว้ ริมฝีปากก็เม้มเป็นเส้นตรงพร้อมกับถอนหายใจออกมาเสียงดัง ความเงียบบังเกิดขึ้นภายในห้องแห่งนี้เหมือนกับตอนแรกหลังจากที่เสียงถอนหายใจของเขาดังขึ้นมา เขาตกผลึกความคิดกับตนเองอย่างเงียบๆ ว่าข่าวลือมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่


    "ใต้เท้า ท่านจงอย่าลืมนะขอรับ" บัณฑิตคนนั้นกล่าวกับอัครเสนาบดีที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ "เมื่อหนึ่งปีก่อนอดีตองครักษ์เซียวจ้านได้กระทำสิ่งที่มิอาจให้อภัยได้ คือการปลิดชีพองค์จักรพรรดิองค์ที่แล้ว ท่านอย่าเชื่อข่าวโคมลอยโดยไม่มีต้นเหตุเลยขอรับ เขาเป็นคนต่ำช้าเลวทราม อย่าได้สงสัยถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อหนึ่งปีที่แล้วเลยขอรับ"


    "กัวเฉิง เจ้าเพิ่งมาใหม่ เจ้าอาจจะยังไม่รู้ความจริงที่เกิดขึ้น" อัครเสนาบดีที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพูดขึ้นมา "ข้านั้นรู้จักเซียวจ้านเป็นอย่างดี ข้าไม่เชื่อว่าเขานั้นจะกล้ากระทำสิ่งเลวทรามเช่นนี้ได้ ข้ามองเพียงแค่พริบตาเดียวก็เชื่อแล้วว่าอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงแต่งเรื่องกล่าวหาเขากับขุนนางคนอื่นๆ จนต้องหนีออกจากราชสำนัก แต่ข้าไม่สามารถสังหารเขาเพื่อแก้แค้นให้เซียวจ้านได้ เพราะพวกเขาทั้งสองคนนั้นรู้ดีว่าข้าเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขาและเป็นผู้นำกลุ่มบัณฑิตเฟิงหย่งเจิ้งข้าต้องทำตามคำสั่ง หากข้าแสดงอาการพิรุธเมื่อใด ข้าอาจถูกพวกเขาสังหารก็เป็นได้"


    "ท่านอัครเสนาบดีอวี๋ปิน ข้าคิดว่านั้นพวกเราอาจมีหวังก็เป็นได้" เสนาบดีอีกคนหนึ่งกล่าวเสริม "อดีตองครักษ์เซียวจ้านอาจขอความช่วยเหลือพึ่งใบบุญของห้าตระกูลปราบมาร พร้อมกับเกณฑ์ไพร่พลเข้าโค่นล้มอำนาจของอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงและเจ้ามารทมิฬฉีลา บัดนั้นพวกเราอาจมีชีวิตรอดและไม่ถูกสองคนนั้นตามล่าสังหารก็เป็นได้นะท่าน"


    อัครเสนาบดีที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพูด "หากอดีตองครักษ์เซียวจ้านฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง แล้วบัดนี้เขาอยู่แห่งหนใด นกพิราบของท่านส่งข่าวมาเพียงแค่นี้เองหรือท่านเสนาบดีจูจ้านจิ่น"


    "ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับว่าเขาพึ่งใบบุญจากตระกูลใด แต่อาจจะได้รับข่าวภายในไม่ช้านี้ขอรับ" เสนาบดีจูจ้านจิ่นกล่าว "กำลังไพร่พลของอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงและเจ้ามารทมิฬฉีลามีมากยิ่งนัก ข้าได้ข่าวโคมลอยมาจากตำหนักองค์ราชาอีกว่าพวกเขาใช้อาคมดำมืดชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริงในหมู่บ้านเป่ยหูมาแล้ว ชาวบ้านล้มตายกันเป็นเบือ แล้วด้วยเหตุฉะนี้อดีตองครักษ์เซียวจ้านจักผ่านวิกฤตเหล่านั้นไปได้เยี่ยงไร"


    "ใต้เท้าขอรับ" บัณฑิตกัวเฉิงกล่าวขึ้นมา "บัดนี้ทั้งอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงและฉีลาออกจากฉางอันไปยังซือโฉวเมื่อเช้าตรู่นี้ นี่เป็นโอกาสดีๆ ที่เราจะขอความร่วมมือจากอดีตอัครมหาเสนาบดีหลิวไห่ควานที่เมืองสวี่หลิวนะขอรับ ให้พวกเขารวบรวมกองกำลังบัณฑิตและทหารบุกโจมตีฉางอัน ยิ่งท่านหลิวไห่ควานนั้นเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อทางราชสำนักมาก่อน และแน่นอนว่าย่อมต้องมีเหล่าบัณฑิตนับถือเคารพเขา หากเขาอาสาที่จะช่วยเหลือพวกเรา เขาอาจจะร่วมมือกับท่านเซียวจ้านโค่นล้มอำนาจของสองคนนั้นก็ได้นะขอรับ"


    "กัวเฉิง เจ้ารู้จักอดีตอัครมหาเสนาบดีหลิวไห่ควานด้วยหรือ" จูจ้านจิ่นถาม


    "ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อนน่ะขอรับ" กัวเฉิงหันไปกล่าวแก่จูจ้านจิ่น "เขาทำงานให้กับทางราชสำนักจนได้รับความไว้วางใจและยังเป็นผู้นำกลุ่มบัณฑิตเฟิงหย่งเจิ้ง แต่แล้วเขาก็ลาออกจากทางราชการกลับไปที่บ้านเกิดของเขา ข้ารู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากที่ไม่ได้พบเขา เขาเป็นบุคคลต้นแบบของข้าที่พยายามสอบจอหงวนจนได้รับราชการเลยขอรับ"


    อัครเสนาบดีที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบหลังจากที่กัวเฉิงกล่าวจบ "ข้าว่ามันต้องเป็นเรื่องยากอย่างแน่นอน"


    "ยะ...ไยจึงเป็นเช่นนั้นขอรับ" กัวเฉิงถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก


    "เขาลาออกจากทางราชสำนักไปเมื่อสามปีก่อนเพื่อดูแลมารดาของเขาที่ป่วยหนัก หลังจากนั้นไม่กี่วันนางก็สิ้นชีวิต ซึ่งเขาเองก็ได้ไว้ทุกข์ให้กับนางเป็นเวลาสามปีด้วยเช่นกัน อีกทั้งเขาขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองอีกด้วย"


    หลิวไห่ควาน เป็นอดีตอัครมหาเสนาบดีฝั่งซ้ายของอดีตองค์จักรพรรดิเมื่อสามปีก่อน เขาเป็นผู้ที่เหล่าขุนนางให้ความยำเกรงและความเคารพ เพราะนอกจากที่เขาจะเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีที่มีตำแหน่งสูงและเป็นผู้นำกลุ่มบัณฑิตเฟิงหย่งเจิ้งแล้ว เขายังเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านการรบอีกด้วย การวางแผนทำศึกทุกอย่างนั้นล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของเขาทั้งนั้น


    ทว่าสาเหตุที่เขาต้องลาออกจากการรับราชการในราชสำนักก็คือ มารดาของเขาได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษ ซึ่งอาจมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ไม่นาน ในฐานะที่เขาเป็นลูกชายจึงต้องกลับไปยังเมืองสวี่หลิวเพื่อดูแลมารดา ทว่าอาการป่วยของนางทรุดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งแบกสังขารไม่ไหวจึงได้สิ้นชีวิตลง หลิวไห่ควานจึงจัดพิธีศพให้กับมารดาอย่างสมเกียรติและได้ไว้ทุกข์ให้กับนางเป็นเวลาสามปีด้วยกันนับตั้งแต่ที่นางจากโลกใบนี้ไป


    แท้จริงแล้วหลิวไห่ควานนั้นเป็นคนของตระกูลหลิวแห่งเสวี่ยนหยวนและมีฐานะเป็นลุงของหลิวเหวินจิน ทว่าเขาไม่ต้องการที่จะเป็นนักบุ๋นตามเจตนารมณ์ของวงศ์ตระกูล จึงได้ไปอาศัยอยู่กับมารดาของเขาที่เมืองสวี่หลิว ในเวลาต่อมาเขาก็สามารถสอบจอหงวนจนได้รับราชการในราชสำนัก เปิดสำนักเซียนให้กับผู้ที่อยากจะเป็นเซียนในเมืองฉางอัน อีกทั้งยังเป็นอาจารย์สอนวิชาเซียนให้เซียวจ้านอีกด้วย แม้ว่าอดีตที่ผ่านมาจะเกิดเหตุการณ์ที่ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลิวนั้นคัดค้านกับความคิดของเขาอย่างหนักจนต้องถูกขับไล่ออกจากเสวี่ยนหยวนก็ตาม



    แต่หลิวไห่ควานไม่รู้หรอกว่าบัดนี้ตระกูลหลิวได้ล่มสลายไปแล้ว และมีเพียงหลานสาวของเขาหรือหลิวเหวินจินคนเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิต



    กัวเฉิงกล่าว "แต่ว่าเขาก็เป็นถึงอดีตผู้นำกลุ่มบัณฑิตเฟิงหย่งเจิ้ง หากเขาเคลื่อนไหวหรือร่วมมือกับอดีตองครักษ์เซียวจ้านและห้าตระกูลปราบมารเมื่อใด กลุ่มบัณฑิตที่ถูกกดขี่ในราชสำนักต่างก็ลุกฮือขึ้นมาและพร้อมที่จะโค่นล้มอำนาจของอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงและเจ้ามารทมิฬฉีลาก็เป็นได้นะขอรับ"


    "หากเป็นเช่นนั้นข้าจะลองเขียนจดหมายไปหาท่านหลิวไห่ควานดูก่อน" อวี๋ปินขยับกายให้อยู่ในท่าที่สบายๆ ก่อนจะกล่าวสรุปเป็นลำดับสุดท้าย "หลังจากนั้นค่อนตามสืบเรื่องของเซียวจ้านต่อไป ข้าหวังว่าที่พวกเราทั้งสามได้พูดคุยกันในวันนี้จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ โดยเฉพาะเหอเสวี่ยตงและฉีลา แผนการของพวกเราต้องดำเนินไปให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากแผนการของเราถูกเปิดโปงเมื่อใด บัดนั้นชีวิตของพวกเราทั้งสามและเหล่าบัณฑิตทั้งหลายจะถึงคราวหาไม่ พวกท่านทั้งสองเข้าใจแล้วใช่หรือไม่"


    "รับทราบขอรับ!"


    จูจ้านจิ่นและกัวเฉิงรับคำด้วยสีหน้าอันแน่วแน่ หลังจากนั้นภายในห้องพักเสนาบดีจึงเต็มไปด้วยความเงียบงัน อวี๋ปินเม้มริมฝีปากบนล่างเข้าหากันแน่น หวังเอาไว้ในใจว่าแผนการของเขาที่ได้ร่วมมือกับจูจ้านจิ่นและกัวเฉิงนั้นจักต้องผ่านลุล่วงไปได้ด้วยดี ในขณะนั้นเองเขาก็ต้องสืบเสาะหาสหายของเขาให้พบ เมื่อสองวันก่อนนั้นเขาได้รับจดหมายจากนกพิราบส่งสารของจูจ้านจิ่นว่าเซียวจ้านได้ฟื้นชีพขึ้นมาจากความตาย แม้นว่าเขาจักรู้สึกดีใจมากเพียงใด ทว่าเขาก็ต้องสะกดความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจ มิให้ผู้ใดล่วงรู้


    เซียวจ้านเป็นสหายของอวี๋ปินเมื่อครั้นที่ยังรับราชการในราชสำนักแห่งนี้ พวกเขาต่างก็สนิทสนมรักใครกลมเกลียวจนรู้นิสัยใจคอกันเลยทีเดียว ในตอนนั้นเขายังรับตำแหน่งเป็นกรมพลาธิการของราชสำนัก แล้วกำลังจะถูกพิจารณาย้ายตำแหน่งให้มารับหน้าที่เป็นอัครเสนาบดีแทนตำแหน่งกรมพลาธิการ เรื่องราวและความโกลาหลภายในราชสำนักทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เขาจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตนี้


    ซึ่งในตอนนั้นเองอวี๋ปินกับเซียวจ้านกำลังดื่มสุราด้วยกัน ทว่าในคืนนั้นเองภายในราชสำนักต่างก็เต็มไปด้วยเสียงร้องอันเจ็บปวดของเหล่าขุนนางและบัณฑิต เมื่อพวกเขาเดินออกไปดูก็พบว่าเหล่าบัณฑิตกำลังถูกจับและลากตัวไปที่ไหนสักที่ หากผู้ใดขัดขืนก็จะมีการลงอาวุธ จนทำให้ขุนนางและบัณฑิตบางส่วนต้องสิ้นชีพด้วยอาวุธที่อยู่ในมือของทหารเหล่านั้นเป็นจำนวนมาก


    ความโกลาหลที่เกิดขึ้นในราชสำนักนั้นทำให้อวี๋ปินกับเซียวจ้านต่างก็หนีกันไปคนละทิศคนละทาง เมื่อเห็นทหารบางส่วนพุ่งเข้ามาหมายที่จะจับตัว แต่แล้วพวกเขาก็หนีไปไหนไม่รอดจึงถูกจับและทำร้ายจนเลือดกบปากเมื่อครั้นที่พวกเขาขัดขืน หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองถูกนำตัวไปยังท้องพระโรงเพื่อตัดสินโทษ


    เหล่าขุนนางที่เป็นพรรคพวกของอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงต่างก็แจ้งข่าวให้กับเหล่าขุนนางและบัณฑิตคนอื่นๆ ว่า สาเหตุที่ภายในราชสำนักนั้นต่างก็ลุกเป็นไฟและโกลาหลจนมีการใช้ความรุนแรงเช่นนี้ เนื่องด้วยว่าบัดนี้องค์จักรพรรดิเสด็จสวรรคตแล้ว ซึ่งพระศพของพระองค์นั้นถูกปักด้วยมีดสั้นกลางอก และแน่นอนว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์



    และบนด้ามมีดสั้นนั้นถูกสลักชื่อด้วยตัวอักษรสองตัว ซึ่งมันอ่านว่า 'เซียวจ้าน'



    ชีวิตของเซียวจ้านในตอนนั้นเหมือนตกอยู่ในหุบเหวลึกที่ไร้ก้นเหว อวี๋ปินผู้ซึ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกจึงตกอยู่ในความเงียบและมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา ใจหนึ่งก็บอกว่าเหตุใดเซียวจ้านถึงกระทำสิ่งเลวทรามเช่นนี้ และไม่สมควรที่จะเป็นสหายของเขาต่อไป แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่าเซียวจ้านไม่ผิด หากแต่ถูกใส่ร้าย สุดท้ายแล้วเสียงในใจอย่างหลังนั้นล้วนแล้วแต่มีน้ำหนักมากกว่า ทำให้เขาต้องออกนอกหน้าช่วยเหลือสหายของตนเองให้พ้นจากคำครหานี้ทันที


    แต่แล้วตัวเขาเองก็ต้องเจ็บตัว เหล่าทหารเข้ามารุมทำร้ายเขาจนบอบช้ำและสลบไป ทว่าก่อนที่จะไม่ได้สติอีกหลังจากนั้น เขาก็ตะโกนบอกเซียวจ้านว่าหนีไปให้ไกล อย่าได้เข้ามาช่วยเหลือเขา เซียวจ้านถูกลากตัวออกไปด้านนอกท้องพระโรงเพื่อเข้าคุมขังในคุกเพื่อรอการประหารชีวิต แต่แล้วก็สามารถหนีออกไปเพราะใช้พลังปราณที่ได้จากการฝึกเป็นเซียนของตนเองพัดร่างของเหล่าทหารให้พ้นจากกาย


    เซียวจ้านถูกใส่ร้ายจนต้องหนีออกจากวังและต้องปลิดชีวิตด้วยความผิดที่ไม่ได้ก่อที่ ณ เนินเขาแห่งนั้น นี่คือข่าวของสหายที่อวี๋ปินได้รับหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาในห้องพักของตนเอง เขารู้สึกเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากที่ได้รับข่าวว่าสหายของตนเองได้สิ้นชีพไปเสียแล้ว ตำแหน่งอัครเสนาบดีที่เขาจะได้รับในอีกเร็ววัน พร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะเฉลิมฉลองกับเซียวจ้านหลังจากที่ได้รับตำแหน่งนี้ก็พังทลายย่อยยับ


    อัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงตัดสินใจไว้ชีวิตเขาเพื่อรอใช้ประโยชน์ในอนาคต แต่มีข้อแม้ว่าหากได้ยินว่าเขานั้นคิดคดหรือว่าพยายามวางแผนบางอย่างเข้าจะไม่มีการไว้ชีวิตให้อย่างเด็ดขาดทั้งชีวิตของตัวเองและคนที่รัก ซึ่งอวี๋ปินมีตัวเลือกเดียวที่จะรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ก็คือ ยอมรับข้อเสนอของอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตง และยอมช่วยเหลืออย่างไม่มีทางเลือก เพื่อที่ว่าสักวันหนึ่งจะได้หาโอกาสแก้แค้นให้กับสหายที่ต้องตายอย่างไม่เป็นธรรม แต่โอกาสดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากยิ่งนัก


    ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปี ท่ามกลางความสิ้นหวังหลังจากที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีทางเลือกเพราะมีคนบังคับให้อยู่ต่อ และไม่สามารถคิดหาแผนการใดๆ เพื่อแก้แค้นได้เลย พลันนั้นปรากฏแสงสว่างที่สาดส่องลงมา เมื่อเขาได้รับข่าวลือหนาหูมาว่าบัดนี้เซียวจ้านได้ฟื้นคืนชีพจากความตายอีกครั้ง และได้พึ่งใบบุญของห้าตระกูลปราบมารผู้ยิ่งใหญ่เพื่อกลับมาแก้แค้น


    อวี๋ปินรู้สึกดีใจมากที่สหายของเขาได้กลับคืนชีพอีกครั้ง อย่างน้อยสวรรค์ก็ยังเห็นใจเซียวจ้านที่ต้องสิ้นชีพอย่างไม่เป็นธรรมจนต้องส่งวิญญาณกลับมาอีกครั้ง แม้ว่าจะรู้สึกดีใจมากเพียงใดกับการที่ได้ยินข่าวดีนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถแสดงอาการว่าตนเองรู้สึกดีใจออกมาได้ สิ่งที่เขาทำได้ก็คือวางแผนหาทางโค่นล้มอำนาจของอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงและฉีลา แม้นว่าทหนทางข้างหน้าล้วนจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด แต่ปณิธานเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือต้องโค่นล้มอำนาจมืดของมารทมิฬออกไปจากยุทธภพให้จงได้



    ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตาม





    ++





    นั่งบนเตียงมองจันทร์กระจ่างฟ้า

    พื้นดินสะท้อนแสงน้ำค้างขาว

    แหงนหน้ามองแสงจันทร์สุกสว่าง

    ก้มหน้าหวนคะนึงถึงบ้านเกิด



    เซียวจ้านเหม่อมองทัศนียภาพที่อยู่ตรงหน้าของตนเองด้วยสายตาที่เลื่อนลอย กลอนของนักกวีหลี่ไป๋ลอยเข้ามาในความคิดอีกครั้ง ทว่ากลอนบทนี้ทำให้รู้สึกนึกถึงบ้านเกิดของเขาในเมืองฉางอัน ซึ่งเป็นอดีตสำนักเซียนที่ปิดไปแล้ว จวบจนถึงบัดนี้ผู้คนสามารถเรียกได้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีบ้านเลยก็ว่าได้ เขาเป็นเซียนพเนจรอย่างที่หลิวเหวินจินกล่าวกับผู้อาวุโสตระกูลหวังเอาไว้จริงๆ เขาพเนจรไปมา เขาไม่มีบ้าน ครอบครัวก็ไม่มี มีเพียงแค่ตัวเขาคนเดียวเท่านั้น ตัวเขาที่เป็นเด็กสกปรกและมอมแมมคนหนึ่งที่ถูกสำนักเซียนนั้นอุปการะเอาไว้


    ภาพแห่งความทรงจำหวนคืนสู่ความคิดของเซียวจ้าน วันที่เขาฝึกจิตและกายท่ามกลางสายฝน นั่งสมาธิจนขาเป็นเหน็บชาไปหลายรอบ ถูพื้นรอบสำนักเมื่อถูกลงโทษที่เขาทำผิดพลาด นอนกลางดินกินกลางทรายเมื่อเรียนรู้ความยากลำบากของชีวิต ทว่าสำนักเซียนนั้นก็ยังคงเป็นบ้านของเขา


    สุดท้ายสำนักเซียนนั้นจึงถูกปิดหลังจากที่ลูกศิษย์เหลือน้อย ประกอบกับอาจารย์ของเซียวจ้านนั้นลาออกจากงานราชการหลังจากที่มารดาของเขาป่วยหนักจึงต้องกลับบ้านเกิด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาและสหายของเขาที่มีนามว่าอวี๋ปินเพิ่งสอบจอหงวนได้ จนสามารถเข้ารับราชการในราชสำนักเพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้องของตนเอง


    แม้นว่างานราชการนั้นจะแสนลำบากยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด บุคคลที่อยู่เคียงข้างและคอยรับฟังเรื่องราวปัญหาต่างๆ ของเขาฟังก็มีเพียงอวี๋ปินเพียงผู้เดียว เพราะนอกจากจะเป็นสหายตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กและอยู่สำนักเซียนเดียวกันแล้ว อวี๋ปินก็ยังเป็นสหายที่เข้าใจเขาทุกอย่างและไม่มีวันทิ้งเขา ทว่าหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น เขาก็ไม่ได้รับรู้ถึงข่าวคราวของอวี๋ปินอีกเลย


    อวี๋ปิน บัดนี้เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้างหนอ เซียวจ้านรำพึงรำพันอยู่ในใจ


    "คุณชายเซียวขอรับ"


    เสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านหลัง เรียกความสนใจของเซียวจ้านที่สติล่องลอยกลับมาเข้าร่างอย่างรวดเร็วและหันไปมอง ทันทีที่หันหลังไปมองนั้นจึงรู้ว่าเป็นอนุชนของตระกูลหวังเพราะสวมอาภรณ์สีขาว เด็กหนุ่มคนนั้นตัวเล็กกว่าเขา กิริยาท่าทางก็เรียบร้อยและมีสัมมาคารวะ มือทั้งสองยกขึ้นมาประสานกันตรงหน้าพร้อมกับก้มตัวเล็กน้อยและส่งยิ้มบางๆ ส่งมาให้เขา


    เซียวจ้านรู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มคนนี้มาก จึงยิ้มตอบกลับตามก่อนจะถามด้วยความสงสัยที่ถูกเรียก "มีสิ่งใดหรือเจิ้งฝานซิง"


    "คุณชายเซียวขอรับ พอดีว่าท่านประมุขหวังจื่ออี้เรียกท่านไปพบที่ดาดฟ้าเรือขอรับ"


    "ท่านประมุขหวังเรียกข้าอย่างนั้นหรือ" เขาเอ่ยเสียงเบา "ขอบใจเจ้ามาก ข้ากำลังจะไปบัดเดี๋ยวนี้แหละ"


    "ด้วยความยินดีขอรับคุณชายเซียว" เจิ้งฝานซิงคำนับอย่างนอบน้อม เซียวจ้านส่งยิ้มและพยักหน้าหนึ่งครั้งให้กับเด็กหนุ่มก่อนจะเดินลงบนบันไดไปยังดาดฟ้าเรือ ซึ่งปรากฏร่างของหวังจื่ออี้ยืนเอามือไพล่หลังรอและมองออกไปยังเบื้องหน้าของตนเองที่มีหมอกหนาปกคลุมอยู่ไกลๆ


    ร่างบางคิดคำนึงอยู่ภายในใจว่าเหตุใดท่านประมุขของตระกูลหวังผู้โด่งดังถึงเรียกพบเซียนพเนจรอย่างเขาได้ เพราะนอกจากจะเป็นผู้อยู่อาศัยด้วยแล้วยังสร้างแต่เรื่องราวชวนปวดศีรษะอยู่เสมอ หรือว่าที่หวังจื่ออี้เรียกเขามาพบในครานี้อาจเป็นเรื่องบางอย่างที่อยากจะแจ้งและอาจเป็นเรื่องร้าย อีกใจหนึ่งก็บอกว่าอาจเป็นเรื่องที่สำคัญและอยากจะแจ้งให้เขาได้ทราบก็เป็นได้ มิใช่สิ่งที่เขาคิดวิตกกังวลไปเอง ทว่าในความเป็นจริงแล้วลึกๆ ภายในใจก็อดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เลย


    ความคิดที่ยุ่งเหมือนยุงตีกันวกไปเวียนมาในความคิดนานจนไม่เอ่ยทักหวังจื่ออี้ ขณะนั้นเองประมุขตระกูลหวังที่รู้สึกว่ามีผู้ใดยืนอยู่ด้านหลังของตัวเอง ไม่รอช้าจึงรีบหันไปมองด้านหลังอย่างรวดเร็วเพราะอยากจะรู้ว่าเป็นผู้ใด ทันทีที่หันหลังไปก็พบเซียวจ้านกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งเขาเองก็ไม่อาจรู้ว่าเหตุใดเซียวจ้านถึงทำหน้าแปลกๆ เช่นนี้


    หวังจื่ออี้เรียก "คุณชายเซียว"


    เซียวจ้านได้สติจึงรีบตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว "ขอรับท่านประมุข! มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือขอรับ!"


    "เจ้ามาได้จังหวะพอดีเลย ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้าเสียหน่อย" ประมุขตระกูลหวังเอ่ย "หากเราพูดคุยกันตรงนี้อาจมิเหมาะมิควรเสียเท่าใด โปรดคุณชายเซียวตามข้ามาทางนี้" หวังจื่ออี้กล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงประโยคไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไป เขาเดินผ่านเซียวจ้านออกไปด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมและไม่ได้หันมามอง เซียวจ้านหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินตามหวังจื่ออี้ไปอย่างเงียบๆ โดยมิได้พูดสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว


    เหล่าอนุชนตระกูลอื่นๆ ต่างก็ทำกิจกรรมส่วนตัวของตนเองในขณะที่เรือกำลังเคลื่อนตัวไปยังทะเลสาบอี้หาน เซียนจ้านมองเห็นอนุชนตระกูลอื่นๆ บางคนก็นั่งจับเขาคุยกันบนฟางสีเหลืองอร่ามตา บางคนก็นั่งเช็ดอาวุธของตนเองให้คมเงาเพื่อเตรียมพร้อม บางคนก็ยืนพูดคุย บางคนก็นั่งเงียบๆ ชมนกชมไม้ แบบนี้ไม่ซ้ำกัน


    หวังจื่ออี้เดินลงบันไดไม้ไปยังชั้นล่างของเรือ บัดนี้พวกเขาทั้งสองเดินมาถึงท้องเรือแล้ว แสงอาทิตย์มิอาจส่องเข้ามาในท้องเรือได้ ทว่าโชคดีที่ยังมีคบเพลิงคอยส่องสว่างให้กับพื้นที่ในท้องเรือบางจุดเอาไว้ให้มองเห็น เซียวจ้านหยุดเดินทันทีที่หวังจื่ออี้หันหลังมาและพร้อมที่จะบอกกล่าวบางอย่างให้เขาได้รับรู้


    "คุณชายเซียว ต้องขออภัยด้วยหากข้าเรียกเจ้ามาพูดคุยในสถานที่มืดๆ แห่งนี้ ทว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นความลับ และข้าต้องการที่จะแจ้งให้เจ้าได้รับทราบ"


    เซียวจ้านรีบปฏิเสธอย่างเร็วไว ก่อนจะตอบกลับหวังจื่ออี้อย่างสุภาพ "มิเป็นไรดอกขอรับ หากเป็นเรื่องสำคัญที่ท่านประมุขต้องการจะแจ้งให้ข้าได้รับทราบ มิว่าสถานที่แห่งไหนจักเป็นเยี่ยงไร ข้าก็พร้อมที่จะรับฟังเรื่องราวที่ท่านประมุขอยากจะแจ้งให้ข้าเสมอขอรับ"


    หวังจื่ออี้พยักหน้าเบาๆ "คุณชายเซียวช่างถ่อมตนเสียจริง"


    เซียวจ้านยิ้มอย่างเขินอาย "ขอบพระคุณท่านประมุขขอรับ"


    "เรื่องที่ข้าอยากจะแจ้งคุณชายเซียวก็คือ...น้องชายของข้า หรือหวังอี้ป๋อนั่นแหละ เขาเป็นคนที่อย่างที่เจ้าเห็น เยือกเย็นและน่ากลัวจนทำให้ใครหลายคนต่างก็หวาดกลัวมาแล้ว เจ้าเองก็คงเป็นหนึ่งในนั้นด้วย"


    เขาหลอกเรามาเชือดด้วยเรื่องของเจ้าคนเย็นชาหวังเถียนเถียนหรือนี่ ร่างบางคิดในใจอย่างหวาดผวา แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นนิ่งๆ และจ้องตาของผู้พูดเอาไว้เพราะกลัวว่าจะเสียมารยาท ยิ่งคนตรงหน้าเป็นถึงกับประมุขตระกูลหวังและรักษากฎระเบียบที่ยาวเป็นหางว่าวอย่างเคร่งครัดเช่นนี้ มีหวังถูกคัดกฎระเบียบจนมือหงิกมืองอแน่นอน


    "แต่ว่า..." หวังจื่ออี้เว้นคำพูดให้คนตัวเล็กรู้สึกสงสัย "พักหลังนี้เขาช่างดูแปลกพิกลเสียจริงๆ "


    "แปลกพิกล?" เซียวจ้านเลิกคิ้ว "ไยจึงเป็นเช่นนั้นหรือขอรับ"


    ประมุขตระกูลหวังพูดต่อ พลางติดในใจว่าบัดนี้กระต่ายน้อยที่อยู่ตรงหน้าติดกับดักคำพูดของเขาเสียแล้ว "เขาดูไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเลยน่ะสิ ตัวข้าเองก็มิอาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ทว่าในเมื่อเจ้านั้นสามารถอยู่เป็นเพื่อนกับอี้ป๋อได้ หากมิเป็นการรบกวนเจ้าอันใด ข้าขอให้เจ้าช่วยดูแลเขาหน่อยไปสักพักหนึ่งได้หรือไม่"


    เราเนี่ยนะจักเป็นสหายกับหวังเถียนเถียนได้! ท่านประมุขหวังขอรับ! ท่านเสียสติไปแล้ว! เซียวจ้านอุทานในใจด้วยเสียงอันดังกัมปนาทเมื่อได้ยินคำพูดชัดถ้อยชัดคำของหวังจื่ออี้ เขารู้สึกว่าบัดนี้มีอสนียบาตขนาดใหญ่ผ่ากลางกระหม่อมของตนเองเข้าเต็มแรงก็มิปาน


    แม้นว่าภายในใจจักมิเห็นชอบกับสิ่งที่ได้ยินหรืออีกฝ่ายของร้องนั้น ทว่าสายตาของหวังจื่ออี้ที่มองมายังตนเองนั้นบอกว่าต้องตอบตกลง หากมิตอบตกลงเมื่อใด เจ้าก็คงคัดกฎสกุลหวังมากขึ้นเท่านั้น! เพราะว่าแผลเก่ายังไม่ทันหายดีก็ต้องรับแผลใหม่อีกแล้ว แน่นอนว่าบทลงโทษที่ให้คัดกฎนับร้อยๆ ข้อที่เซียวจ้านแอบเอาสุราเข้ามาในหวายหนาน และแอบออกไปข้างนอกหลังยามซวียังมิได้คัดสักตัว แม้แต่พู่กันกับหมึกก็ยังไม่ได้จับไม่ได้แตะต้องเลย หากฝ่าฝืนคำสั่งของประมุขตระกูลหวังเมื่อใด เขาก็ต้องคัดมากขึ้นเท่านั้น



    อำมหิตผิดมนุษย์มนายิ่งนัก! ท่านประมุขสกุลหวัง!



    แต่จักให้ทำเยี่ยงไรได้เล่า...เซียวจ้านเอ๋ย...ชีวิตเจ้าหลังจากฟื้นความตายนั้นสุดแสนจะคลุกฝุ่นคลุกดินยิ่งนัก



    "ท่านประมุขขอรับ" เซียวจ้านเอ่ยขึ้นมาอย่างจนใจ "หากเป็นสิ่งที่ท่านประมุขต้องการ ข้าอาสาที่จะช่วยดูแลท่านหวังเถียนเถียน เอ้ย! ท่านหวังอี้ป๋อให้เองขอรับ ท่านวางใจได้เลย"


    "ขอบคุณคุณชายเซียวมาก! ข้ารู้สึกดีใจยิ่งนักที่ได้ยินเช่นนี้! " หวังจื่ออี้มีสีหน้าดีใจขึ้นมามาก เขารีบยกมือขึ้นไปจับมือของร่างบางทันที "หากเป็นเช่นนี้ ข้าต้องรบกวนเจ้าแล้ว!"


    เซียวจ้านฉีกยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ ทว่าในขณะนั้นเอง เรือทั้งลำก็สั่นโคลงเคลงไปมาราวกับว่าถูกคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำอย่างไม่มีความปรานี ทั้งเซียวจ้านและหวังจื่ออี้ต่างก็ล้มลงไปนอนกับพื้นตามแรงสั่นสะเทือนของเรือลำนี้ จนทำให้มือที่ทั้งสองจับกันแน่นนั้นหลุดออกจากกันทันทีที่ล้มลงไปนั่งบนพื้นไม้


    เรือหยุดโคลงเคลงแล้ว หวังจื่ออี้มองหน้าเซียวจ้านด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ให้เอื้อนเอ่ยออกมา มีเพียงสายตาของทั้งสองที่บอกแทนคำพูดทั้งไปเรียบร้อยแล้วว่า บัดนี้ทัพของห้าตระกูลปราบมารนั้นได้เคลื่อนมาถึงทะเลสาบอี้หานแล้ว


    ประมุขตระกูลหวังรีบคว้ากระบี่ยาวที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไปยังข้างบน เซียวจ้านที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความสับสนว่าเหตุใดทัพห้าตระกูลปราบมารถึงได้มาที่ทะเลสาบอี้หานเร็วนักอยู่ครู่หนึ่ง มือบางก็รีบคว้าเข้าที่กระบี่ พยุงร่างของตนเองให้ลุกขึ้นพร้อมกับวิ่งตามหวังจื่ออี้ไปยังข้างบน


    เมื่อปลายเท้าแตะลงบนพื้นเรือ ดวงตากลมทั้งสองกวาดมองไปทั่วและมองเห็นสีหน้าของอนุชนตระกูลหวังที่อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทันทีที่สายตาของร่างบางมองตามสายตาของเด็กหนุ่มคนนั้นไปแล้ว เขาก็รู้ถึงเหตุผลทุกอย่างว่าเหตุใดเหล่าอนุชนตระกูลจึงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนั้นด้วย



    เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง คือกองทัพของเหล่ามารทมิฬนั่นเอง



    เซียวจ้านรู้สึกว่าหัวใจของตนเองกระตุกวูบ ร่างทั้งร่างหนักอึ้งจนแทบไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ โชคดีที่ในมือมีสิ่งของที่สามารถพยุงร่างกายของตนเองเอาไว้ สิ่งนั้นก็คือกระบี่สีแดงที่มีนามว่าเหลี่ยวเจี๋ยนั่นเอง


    "พะ...พวกมันมีจำนวนมากเหลือเกิน"


    "พวกเราจะสู้ไหวไหมนี่"


    คำพูดของเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังของเซียวจ้านนั้นดังแหวกผ่านแมกม่านของความเงียบที่เกิดขึ้นทันที เขาไม่หันไปมองไปหาต้นเสียง หากแค่คิดในใจว่ากองทัพของมารทมิฬนั้นมีมากอย่างที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างได้กล่าวเอาไว้เมื่อก่อนเคลื่อนทัพจริง อีกทั้งไอพลังสีดำและแดงที่พวยพุ่งออกมาจากกองทัพของพวกมันนั้นดูน่ากลัวยิ่งนัก ราวกับว่าพร้อมที่ลากวิญญาณของพวกเขาไปส่งที่หน้าประตูยมโลกไปได้ทุกเมื่อหาเพลี่ยงพล้ำไม่ว่าเรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง



    ไอพลังสีดำนั้น ช่างเหมือนเซียวจ้านเสียจริง



    หมอกสีเทาทึมๆ เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ลมอ่อนๆ พัดผ่านจนทำให้ธงศึกปลิวไสวตาม สิ่งที่เกิดขึ้นหาได้ช่วยให้พวกเขารู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลายไม่ หากแต่ว่าทำให้ร่างกายทั้งร่างร้อนรุ่ม จนทำให้เหงื่อกาฬเย็นๆ นั้นไหลออกมาตามกรอบใบหน้าเสียมากกว่า


    สวรรค์อันทรงโปรด ขอให้พวกท่านคุ้มครองพวกเราทั้งหมดด้วยเถิด เซียวจ้านคิดในใจ มือที่จับกระบี่อยู่ก็กระชับให้แน่น รับรู้ว่าบัดนี้ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายเต้นแรงมากแค่ไหน


    "หาญกล้ามากที่มาท้าทายพวกเราที่แห่งนี้!"


    เสียงอันคุ้นเคยนั้นดังแหวกความเงียบทั้งหมดขึ้นมา เสียงนั้นเรียกร้องความสนใจของทุกๆ คนที่อยู่ฝ่ายห้าตระกูลปราบมารต้องหันไปมองพร้อมกันและเซียวจ้านเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทันทีที่สายตาเข้าปะทะกับต้นเสียง เพลิงแค้นของเขาก็ลุกโชนขึ้นมาประดุจดั่งไฟนรกที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็นเถ้าธุลีภายในพริบตา



    ศัตรูที่เคยทำลายชีวิตของเขาจนย่อยยับ อัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตง


    มือขวากำกระบี่เหลี่ยวเจี๋ยแน่นจนสั่นเทา ฟันบนล่างกัดกันอย่างแรงจนขมับทั้งสองของตนเองเป็นสันนูนขึ้นมาจนเห็นได้ชัด ลมหายใจพ่นเข้าออกเสียงดังราวกับว่าระงับเพลิงแค้นไม่ไหวแล้ว หากปล่อยให้นานมากกว่านี้คงจะแผดเผาแม้กระทั่งพรรคพวกของตนเองแน่นอน


    หมับ


    "เย็นเข้าไว้ บัดนี้ยังมิใช่เวลาที่จะต้องประมือกัน"


    ทันใดนั้นเองเสียงของใครสักคนดังมาจากด้านข้างของตนเอง พร้อมกับกำต้นแขนข้างขวาและบีบเบาๆ เพื่อเตือนอารมณ์ที่คุกรุ่นให้เย็นลง เซียวจ้านค่อยๆ หันไปมองคนที่จับต้นแขนของตนเองก็พบว่าเป็นคนที่ตัวสูงกว่า มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็คือ สายตาอันเยือกเย็นคู่นั้นที่ทำให้เพลิงแค้นได้เบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ


    "ท่านหวังเถียนเถียน" เซียวจ้านเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงเบา


    หวังอี้ป๋อไม่ตอบ หากแต่มองตรงไปข้างหน้าของตนเอง


    "พวกเราย่อมมีความหาญกล้าที่จะกำราบมารทมิฬอย่างพวกเจ้า!" โจวเจี๋ยหลุน ประมุขตระกูลโจวตะโกนตอบ "มารทมิฬอย่างพวกเจ้านั้นได้สร้างความเดือดร้อนแก่ยุทธภพจนลุกเป็นไฟ! ขูดรีดภาษีจากประชาชนและใช้อาคมชั่วร้ายในการครองยุทธภพ! พวกเรามาที่แห่งนี้เพื่อกำราบมารผจญอย่างพวกเจ้าให้หายไป!"


    "หนึ่งปีที่ผ่านมาพวกเจ้าทำสิ่งใดกัน! เหตุใดจึงลุกฮือขึ้นมาต่อสู้กับพวกเราเยี่ยงนี้!" ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับเมื่อได้ยินประโยคที่ฟังแล้วไม่รื่นหู "หดอยู่แต่ในกระดองและไม่ยอมออกมา! พอมาถึงวันนี้กลับมีแรงในการต่อสู้ในวันที่สายเกินไป! ช่างน่าขันยิ่งนัก! พวกเราเหล่ามารทมิฬ! จงยึดเมืองเหลียวหนิงมาให้ได้! โจมตี!!"


    สุดเสียงประกาศนั้นเพื่อไม่ให้มากความและปล่อยให้เวลามันยืดเยื้อ น้ำในทะเลสาบวนเป็นวงกลมหลังจากที่เหล่ามารทมิฬยิงปืนใหญ่มายังฝ่ายของห้าตระกูลปราบมาร เหล่าอนุชนที่อยู่บนเรือต่างก็หลบแรงกระแทกของปืนใหญ่อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงเซียวจ้านกับหวังอี้ป๋อด้วย


    เรือของตระกูลจางนั้นได้รับแรงกระแทกของกระสุนปืนใหญ่เต็มแรง จนทำให้หัวเรือเป็นรูขนาดใหญ่และกำลังจะจมภายในไม่ช้า เหล่าอนุชนตระกูลอื่นๆ ที่อยู่บนเรือที่ไม่ถูกลูกกระสุนปืนใหญ่นั้นต้องช่วยลำเลียงอนุชนตระกูลจางขึ้นมาบนเรืออย่างทันที


    ทว่าพวกเขาก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง เมื่อวังน้ำวนที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้นั้นทำให้มีอสุรกายบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ มันกระโดดออกมาจากวังน้ำวนที่อยู่เบื้องหน้าเข้ามา พร้อมกับอ้าปากกว้างและเขมือบเข้าที่ร่างของอนุชนตระกูลจางและตระกูลอื่นๆ ที่ตกเป็นเป้าหมายของมันเข้าปากก่อนจะกระโดดลงน้ำไป ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ฝ่ายของห้าตระกูลปราบมารได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที


    "อสูรมัจฉา!"


    เซียวจ้านเบิกตากว้างทันทีที่เห็นอสุรกายเหล่านั้นที่ปลิดชีวิตของเหล่าอนุชนที่อยู่บริเวณการโจมตีของมัน อีกทั้งบริเวณโดยรอบของตระกูลหวังก็เกิดวังน้ำวนขึ้นมาเหมือนกับบริเวณที่เกิดเหตุเมื่อกี้ แน่นอนว่าต้องเป็นอสูรมัจฉาอีกตัวที่จะเข้ามาปลิดชีวิตของตระกูลที่เหลือ และเขาจะต้องกำราบมันให้ได้


    หวังอี้ป๋อเรียกเสียงดัง "เซียวจ้าน!"


    เซียวจ้านรีบชักกระบี่ออกมาจากฝักและวิ่งเข้าไปที่วังน้ำวนที่อยู่ด้านหน้าของเรือตระกูลหวัง เท้าทั้งสองวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปยังไม้ไผ่สีน้ำตาลที่อยู่ตรงหัวเรือ เดินข้ามผ่านไม้ไผ่ก่อนจะดีดร่างของตนเองให้สูงขึ้นไปหลายสิบจั้ง พร้อมกับพุ่งเข้าไปหาอสูรมัจฉาอย่างรวดเร็วก่อนจะยกกระบี่เหลี่ยวเจี๋ยขึ้นมา ลงน้ำหนักทิ่มแทงเข้าไปที่ท้องของมันจนเจ้าอสุรกายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด


    เท้าขวายกขึ้นมาเหนือศีรษะพร้อมกับดีดตัวตีลังกาไปหนึ่งตลบ มือบางที่จับด้ามกระบี่แน่นสะบัดดึงออกจากร่างของอสูรมัจฉาทันที เท้าทั้งสองชี้ฟ้าอีกครั้งเมื่อร่างของเจ้าอสุรกายกำลังจะกระแทกลงบนผิวน้ำ บัดนี้ร่างของเซียวจ้านอยู่เหนือผืนน้ำไปเกือบๆ เก้าจั้ง



    ตูม!!



    เสียงกระแทกของผิวน้ำดังกัมปนาทจนผิวน้ำสนั่นหวั่นไหว หยดน้ำนับหมื่นนับพันหยดกระทบคืนกลับผืนน้ำอีกครา พร้อมกับร่างของเซียวจ้านที่อยู่กลางอากาศและกำลังจะร่วงหล่นลงมาประดุจใบไม้ที่ปลิดปลิวจากต้น เพียบไม่กี่อึดใจ ร่างกายของเซียวจ้านก็ร่วงจากที่สูงลงมาที่ต่ำ


    หลิวเหวินจินยืนอยู่ตรงดาดฟ้าของเรือและท่ามกลางเหล่าอนุชนตระกูล ฉับพลันที่นางมองเห็นร่างของเซียวจ้านที่กำลังร่วงลงมา นางรีบดึงพัดขนนกออกมาอย่างรวดเร็วก่อนจะวิ่งไปที่ไม้ไผ่ที่อยู่ด้านหน้าของเรือ หากนางรับตัวเขาช้าอาจทำให้ร่างของเขากระแทกลงบนผิวน้ำอย่างแรง เหตุการณ์ที่ตามมาก็คือกระดูกซี่โครงจะหักทิ่มปอด โลหิตไหลออกเจ็ดทวาร** ก่อนจะจมสู่ก้นทะเลสาบอย่างเงียบๆ และแล้วเซียวจ้านก็จะมิมีชีวิตรอดกลับไป


    นอกเหนือจากนี้นางรู้วิธีที่เซียวจ้านจะปราบอสูรมัจฉา แน่นอนว่าต้องเหมือนกับที่นางและเขาปราบมันที่ริมแม่น้ำแห่งนั้น สถานที่ที่ได้พบกับตระกูลหวังเป็นครั้งแรก


    นางดีดร่างของตนเองให้กระโดดเข้าหาอสูรมัจฉา ก่อนจะหมุนตัวหนึ่งครั้งพร้อมโบกสะบัดพัดขนนกไปด้วย ผืนน้ำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางพลันนั้นพุ่งขึ้นมา ทันทีที่ฝ่าเท้าของหลิวเหวินจินแตะเข้าที่ผืนน้ำที่พุ่งออกมา มันก็ได้กลายเป็นน้ำแข็งผืนใหญ่ ซึ่งภาพนั้นได้สร้างความตะลึงแก่ฝ่ายของมารทมิฬเป็นอย่างมาก


    "หญิงผู้นั้น..." มารทมิฬตนหนึ่งอุทานเสียงเบา "นางคือนักบุ๋นจากสกุลหลิวแห่งเสวี่ยนหยวน"


    เจ้ามารทมิฬฉีลาพูดเสียงดัง "เป็นไปไม่ได้! สกุลหลิวล่มสลายไปแล้ว! คนในสกุลก็ตายที่เส้นทางบนเขาเพราะถูกลอบสังหารกันหมด! แล้วหญิงผู้นั้นรอดมาได้เยี่ยงไร!"


    "ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้อยู่แล้ว สหายข้า" อัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงกล่าวพลางยิ้มเย็น "แล้วข้าก็รู้ด้วยว่าไยนางถึงยังมีชีวิตอยู่"


    จบประโยคนี้ ทุกคนต่างก็มองตามสายตาของอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงทันที และทุกคนก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดหลิวเหวินจินถึงฟื้นมาจากความตายได้ มิต้องมีคำพูดใดๆ ให้เอื้อนเอ่ยออกมา พวกเขาก็สามารถเข้าใจกันอย่างถ่องแท้


    บัดนั้นเองเซียวจ้านก็เห็นผืนน้ำแข็งที่อยู่ใต้ศีรษะของตนเอง เขาจึงตีลังกากลับด้านอย่างรวดเร็ว จนทำให้เท้าและหัวเข่าจะสัมผัสเข้าที่พื้นน้ำแข็งอย่างสวยงาม ไรผมอ่อนๆ พัดตามลมจนปรกใบหน้าหวาน สายตาค่อยๆ ช้อนมองขึ้นมาพร้อมกับมองตรงไปยังด้านหน้าผ่านหน้ากากที่สวมอยู่


    เซียวจ้านยืดตัวลุกขึ้นมาจากพื้นน้ำแข็ง หลิวเหวินจินที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาทันที


    "ท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่"


    "ข้าปลอดภัยดี ขอบคุณเจ้ามาก" เขาตอบ มือที่ถือกระบี่เหลี่ยวเจี๋ยยกขึ้นมาให้ปลายของใบมีดชี้ไปข้างหน้า "เราต้องกำจัดพวกมันให้สิ้นซากไปเสีย ให้สมกับที่พวกมันทำกับข้าและสกุลหลิวของเจ้า


    หญิงสาวพยักหน้าหนึ่งครั้งโดยที่มิได้หันมามอง บัดนั้นทั้งเซียวจ้านและนางก็กระโดดพุ่งตัวจากพื้นน้ำแข็งตรงไปยับทัพของเหล่ามารทมิฬอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ได้ยินเสียงประกาศกร้าวดังมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงเฮลั่นจนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณนั้น


    โจวเจี๋ยหลุนชักกระบี่ออกมาและหันคมดาบชี้ไปด้านหน้าก่อนที่จะประกาศศึกยุทธนาวีอี้หาน บัดนี้ศึกระหว่างห้าตระกูลปราบมารและเหล่ามารทมิฬก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว


    "โจมตี!!"


    "เดินหน้าเต็มกำลัง!!"



    ปังๆๆ!!



    เสียงกระสุนปืนใหญ่ของทั้งสองฝ่ายดังขึ้นเป็นระลอก พลังปราณที่ถูกร่ายออกมา เสียงโลหะหนักกระทบกัน เสียงของเหล่าอสุรกายที่ผุดขึ้นมาจากใต้ผืนน้ำ เสียงเหล่านี้ดังไปทั่วบริเวณน่านน้ำของทะเลสาบอี้หานมิมีท่าที่ว่าจะสงบลง


    ความรุนแรง การนองเลือด กลิ่นควันที่เกิดจากการเผาไหม้ กลิ่นเลือดแห้งกรังที่คละคลุ้งไปทั่วสมรภูมิ สีของทะเลสาบเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง อันเป็นผลพวงของการทำศึกในครานี้ และแน่นอนว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ทำศึกที่มีการนองเลือดมากที่สุดของยุทธภพ


    ฝ่ายมารทมิฬระดมยิงกระสุนปืนใหญ่อย่างไม่ยั้ง เรือของฝ่ายห้าตระกูลปราบมารเริ่มเสียหายมากขึ้น และแน่นอนว่ากำลังทหารก็ย่อมลดลงไปด้วย ฝ่ายห้าตระกูลปราบมารเริ่มกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบขึ้นมาอย่างทันที หากมิสามารถพลิกชะตาได้ ย่อมต้องเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้


    หวังอี้ป๋อยืนอยู่บนแผ่นไม้กระดานขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางน้ำ ซึ่งไม้กระดานนั้นเป็นชิ้นส่วนของตัวเรือที่หลุดออกมา มือขวาที่กำกระบี่หมิงเยว่แน่นออกแรงกวัดแกว่งไปรอบกาย เหล่ามารทมิฬที่มองเห็นยอดเซียนอย่างหวังอี้ป๋อยืนอยู่ตัวคนเดียวจึงไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้ามาทำร้าย ทว่าพวกมันก็ต้องพ่ายแพ้กลับไป เพราะไม่สามารถเอาชนะฝีมือของหวังอี้ป๋อได้เลย


    "กำจัดหวังอี้ป๋อให้ได้!" ฉีลาตะโกน "กำราบเขาให้ได้! เร็วเข้าสิ!"


    ตวัดสายตามองไปที่ฉีลาก่อนจะกระโดดม้วนตัวไปด้านหลัง ไม้กระดานใหญ่ที่ตนเองใช้เป็นพื้นที่ในการประมือกับเหล่ามารทมิฬก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เนื่องจากว่ามีอสุรกายขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากผิวน้ำสูงขึ้นมาอยู่กลางอากาศ โชคดีที่เขาหลบทัน มิเช่นนั้นอาจบาดเจ็บก็เป็นได้


    เท้าทั้งสองสัมผัสเข้ากับพื้นน้ำแข็งที่หลิวเหวินจินใช้พลังบุ๋นสร้างมาก่อนหน้านี้อย่างสวยงาม บัดนี้รอบด้านของหวังอี้ป๋อมีเซียวจ้านและหลิวเหวินจินที่ยืนหันหลังเข้าหากัน หางตาของเขามองเห็นเซียวจ้านใช้กระบี่ยาวแทงทะลุร่างของมารทมิฬที่พยายามปีนขึ้นมาให้ตกลงไป ส่วนหลิวเหวินจินก็โบกพัดขนนกไปมาเพื่อให้พลังปราณน้ำแข็งของนางต้องร่างของศัตรู


    "เจ้ามีแผนหรือเปล่า!" เซียวจ้านตะโกนถามหลิวเหวินจิน "เรากำลังเพลี่ยงพล้ำให้กับพวกมันแล้ว!"


    "ข้าไม่มีหรอก!" นางตอบโดยที่ไม่ได้หันมามอง ขณะเดียวกันนั้นเองนางก็คิดบางอย่างออก "จริงด้วยสิ! ข้าสามารถใช้พลังปราณแช่แข็งทะเลสาบได้! อาจช่วยพลิกสถานการณ์ได้!"


    "งั้นเจ้าลงมือเลย!"


    "ได้!"


    จบวลีนั้น หลิวเหวินจินกระโดดม้วนตัวลงไปยังด้านล่างของพื้นน้ำแข็งยกสูง นางหลับตาทั้งสองแน่น ยกนิ้วชี้และกลางขึ้นมาอยู่บริเวณปากของตนเองและพึมพำบางอย่าง ก่อนที่ปลายเท้าจะสัมผัสกับผืนน้ำ หลิวเหวินจินลืมตาทั้งสองขึ้น กดนิ้วชี้และกลางลงไปอยู่ในแนวดิ่ง ทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสกับผืนน้ำพร้อมกับนิ้วชี้กับกลางแล้ว ฉับพลันนั้นเอง ผืนน้ำของทะเลสาบอี้หานก็กลายเป็นน้ำแข็งอย่างทันที


    "นี่มันอะไรกัน!" ฉีลาร้องเสียงดัง "ไยทะเลสาบจึงเป็นน้ำแข็งเช่นนี้!"


    "เป็นฝีมือของหญิงผู้นั้นขอรับ!"


    มารทมิฬตนหนึ่งยกนิ้วชี้ไปที่หลิวเหวินจิน


    "ทั้งเซียวจ้าน ทั้งหญิงสกุลหลิวผู้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นหนามยอกอกของพวกเรา! กำราบพวกเขาให้ได้!"


    สุดคำสั่งประกาศิตแล้ว เหล่ามารทมิฬต่างก็พุ่งเข้าหาฝ่ายห้าตระกูลปราบมารอย่างรวดเร็ว ทว่าพวกมันก็ต้องกลายเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำและเสียเปรียบ เพราะนอกจากจะสกัดพลังมารที่อยู่ใต้น้ำแล้ว ยังทำให้อสูรมัจฉาไม่สามารถออกมาทำร้ายได้อีก


    ฝ่ายห้าตระกูลพลิกจากการเสียเปรียบมาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ พวกเขาใช้พลังทั้งหมดเท่าที่มีกำราบเหล่ามารทมิฬให้สูญสิ้น ตระกูลเฉินระดมยิงธนูพุ่งเข้าใส่ร่างของมารทมิฬ ตระกูลเมิ่งก็ใช้สนับมือกรงเล็บและร่ม ตระกูลหยางใช้พลังเวทย์จากน้ำพัดพาและสร้างม่านวารี ตระกูลโจวก็ใช้พลังของสัตว์อสูรที่ปลุกขึ้นมา


    และสุดท้ายตระกูลหวังใช้พลังปราณของเซียนกำราบมารทมิฬ ส่วนตระกูลอื่นๆ ก็เป็นกองหนุนในกำลังไพร่พลเมื่อห้าตระกูลปราบมารเกิดการเพลี่ยงพล้ำ จนพวกมันจนล้มไปนอนกับพื้นน้ำแข็งเป็นรายแล้วรายเล่า


    อัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงทนดูอยู่ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขารีบชักดาบยาวออกมาจากฝักก่อนที่จะสั่งให้มารทมิฬที่อยู่ใกล้ๆ พาเขาไปยังสมรภูมิที่อยู่ตรงหน้า ขณะเดียวกันนั้นเองเซียวจ้านกำลังประมือกับมารทมิฬตนหนึ่งอยู่


    เมื่อหางตาของตนเองพบว่ามีศัตรูคู่แค้นกำลังพุ่วมาทางนี้ด้วยความเร็ว เขารีบใช้กระบี่ดันร่างของมารทมิฬตนนั้นออกไปและกวัดแกว่งกระบี่ในมือให้ต้องกายของมัน มารตนนั้นร้องเสียงดังก่อนจะล้มลงไปนอนแน่นิ่งบนพื้นน้ำแข็ง



    ชิ้ง!!



    เสียงกระบี่ของทั้งสองประสานกันดังลั่น เซียวจ้านเกร็งทั้งข้อมือและขาไม่ให้เคลื่อนไหว มิเช่นนั้นอาจเปิดช่องทางให้ฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสใช้ดาบยาวพุ่งแทงเข้าที่เอวแน่นอน มือทั้งสองสั่นเทาเพราะเริ่มทนไม่ไปอีกต่อไปแล้ว ในขณะที่เซียวจ้านกำลังตั้งสมาธิกับการป้องกันนี้ ศัตรูคู่แค้นของเขาก็เอ่ยขึ้นมาทันที


    "สวัสดีเซียวจ้าน" อัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงกล่าว "ลมกระไรพัดหอบเจ้ามาที่นี่หรือนี่ มิใช่ว่าเจ้าตายที่เนินเขารกร้างแห่งนั้นหรอกหรือ"


    "หุบปาก! เพราะเจ้า! เจ้าทำลายชีวิตของข้า! เจ้าต้องชดใช้! " เซียวจ้านตะโกนดังลั่นพร้อมกับใช้ดาบดันร่างของเหอเสวี่ยตงออกไป ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ ร่างของศัตรูเซถลาออกไปไกล จังหวะนั้นเองเซียวจ้านจำต้องรีบใช้กระบี่ยาวของเขาปลิดชีวิตของเหอเสวี่ยตงเสีย มิเช่นนั้นเขาอาจมิมีโอกาสนั้นอีกแล้ว


    ไม่รอช้าให้มากความ ร่างกายของเซียวจ้านลอยอยู่เหนือพื้นประมาณสองเค่อหลังจากที่เขากระโดดสูง มือทั้งสองขับกระบี่และยกขึ้นมาไว้เหนือศีรษะ หมายที่จะให้คมกระบี่เชือดเฉือนร่างของศัตรูให้เป็นรอยแผลขนาดใหญ่ ความโกรธแค้นพุ่งสูงขึ้นจนทำให้ฟันบนล่างกัดเข้าหากันแน่น เป็นผลทำให้ขมับทั้งสองข้างของเซียวจ้านเป็นสันนูนขึ้นมา


    "ตายไปเสีย! ชดใช้กรรมของเจ้าในนรกอเวจีซะ!"



    ชิ้ง!!



    ทันใดนั้นเองดวงตาทั้งสองของเซียวจ้านก็พลันเบิกกว้าง เมื่อพบว่าศัตรูจับท่าทางการโจมตีของเขาได้ และสามารถตั้งสติได้รวดเร็วมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เหงื่อเย็นไหลลงมาตามกรอบใบหน้าของตนเอง พลันนั้นหัวใจก็เต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากร่างกาย เหอเสวี่ยตงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว


    "คนอ่อนแอ จักให้ทำเช่นไรก็ยังคงเป็นคนอ่อนแอวันยังค่ำ"


    พูดจบมือก็รีบดันดาบยาวออกอย่างรวดเร็ว เซียวจ้านเผลอหันข้างตามแรงของมือที่ดันดาบออกเพราะแรงของศัตรูมีมากกว่า บัดนี้คมดาบยาวหลุดรอดออกจากการปะทะกันระหว่างคมกระบี่เหลี่ยวเจี๋ย เหอเสวี่ยตงเงื้อง่าดาบและออกแรงหมายที่จะเป็นฝ่ายปลิดชีวิตเสียเอง เซียวจ้านเผลอเพลี่ยงพล้ำให้กับศัตรูเสียแล้ว และหนทางต่อไปที่เขาจะเดินก็คือแดนโลกีย์


    "ท่านเซียวจ้าน! ระวังด้วยเจ้าค่ะ!"


    บัดนั้นเอง ทั้งเซียวจ้านและเหอเสวี่ยตงก็หันไปมองตามเสียงที่เรียกชื่อของเซียวจ้านโดยพร้อมกัน ในขณะที่เหอเสวี่ตงกำลังชะงักเพราะเสียงเรียกชื่อนั้น ร่างของเขาก็กระเด็นไปไกลเพราะถูกบางอย่างเข้ากระแทกอย่างแรง


    เมื่อเซียวจ้านตั้งสติได้ก็พบว่ามีร่มสีขาวขนาดกลางพุ่งเข้ากระแทกร่างของเหอเสวี่ยตง ร่มนั้นหมุนอยู่ตรงหน้าของเขาก่อนจะพุ่งกลับไปทางเดิมและเข้าหามือของผู้ที่ครอบครองมัน พบว่าเป็นดรุณีน้อยคนหนึ่งที่เขารู้จักนั่นเอง


    "เมิ่งเหม่ยฉี! ขอบใจเจ้ามาก!"


    เมิ่งเหม่ยฉีร้องตอบ "ด้วยความยินดีเจ้าค่ะ!"


    เหอเสวี่ยตงบาดเจ็บหนักจากการที่ร่มของเมิ่งเหม่ยฉีพุ่งเข้ากระแทกร่างของเขา แม้นดูว่ามันเป็นเพียงร่มชนิดหนึ่งที่มิมีพิษภัยอันใด ทว่าเมื่อเป็นร่มของตระกูลเมิ่งแล้วไซร้ ย่อมเป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่ทำให้ศัตรูบาดเจ็บปางตายกันเลยทีเดียว


    เซียวจ้านและเมิ่งเหม่ยฉีพุ่งเข้าหาเหอเสวี่ยตงอย่างรวดเร็วหมายที่จะปลิดชีวิตให้สูญสลายไป เหอเสวี่ยตงรีบถดกายหนีจากการโจมตีแต่ก็มิอาจจะหลบหลีกได้ พลันนั้นเองก็เกิดเสียงดังกัมปนาทจนทำให้ร่างของเซียวจ้านและเมิ่งเหม่ยฉีปลิวกระเด็นไปไกล เมื่อพวกเขาตั้งสติได้ก็พบว่าเป็นเจ้าแห่งมารทมิฬฉีลาที่เข้ามาขัดขวางเอาไว้


    เหอเสวี่ยตงร้องอย่างดีใจ "สหายข้า! ข้าต้องขอบคุณท่านมาก!"


    เซียวจ้านขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธแค้นที่ไม่สามารถชำระเพลิงแค้นของตนเองได้ เพียงชั่วสายตาก็พบว่าหวังอี้ป๋อพุ่งเข้าหาฉีลาพร้อมกับใช้กระบี่หมิงเยว่เฉือนเข้าร่างอย่างแรงจนเกิดเสียงร้องอันดังกังวานของศัตรูพร้อมกับแผลฉกรรจ์ที่ปรากฏบนหน้าท้องขนาดใหญ่ เซียวจ้านไม่เคยเห็นการโจมตีอย่างว่องไวและรุนแรงของหวังอี้ป๋อมาก่อนเลย หากลองคิดเปรียบเทียบดูก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจรวดเร็วกว่าอนุชนของตระกูลเมิ่งเลยด้วยซ้ำ


    หวังอี้ป๋อกระโดดและลงน้ำหนักของฝ่าเท้าไปกับพื้นอยู่ตรงหน้าของเซียวจ้าน ดวงตากลมทั้งสองจับจ้องไปยังท้ายทอยของอีกฝ่ายที่ปรากฏขึ้นอย่างวับๆ แวมๆ โดยมีเรือนผมสยายยาวกลางหลังถูกสายลมพัดผ่านทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมา เซียวจ้านที่นั่งอยู่บนพื้นและเงยหน้ามองอีกฝ่ายก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองหดเล็กลงเท่ามด ส่วนหวังอี้ป๋อนั้นคือขุนเขาสูงที่เขาเงยศีรษะมองขึ้นไป อีกทั้งยังให้ความรู้อีกว่าเป็นปราการขนาดใหญ่ที่คอยปกป้องเขาเอาไว้มิให้ได้รับอันตราย


    "หวังอี้ป๋อ!" ฉีลาร้องด้วยความเจ็บปวด "เจ้า! เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!"


    หวังอี้ป๋อ "..."


    ขณะเดียวกันนั้นเองหลิวเหวินจินที่รวบรวมพลังปราณของตนเองในการสร้างน้ำแข็งนั้นก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า เพราะว่าพลังหยินที่อยู่ใต้น้ำนั้นมีมากเสียจนพลังของนางไม่สามารถที่จะกำจัดหรือแช่แข็งพลังนั้นได้ ลำพังแค่นางสร้างน้ำแข็งแล้วยังจะต้องต่อสู้กับพลังหยินที่อยู่ใต้น้ำอีก หลิวเหวินจินรู้ดีว่าอีกไม่นานน้ำแข็งที่นางใช้พลังปราณนั้นก็จะต้องเสื่อมสลายลงแล้วก็จะกลายเป็นผืนน้ำอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นแล้วนางจึงรีบตะโกนเสียงดังเพื่อเรียกสติของเซียวจ้านทันที


    "ท่านเซียวจ้าน! พลังปราณของข้าใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว! รีบจัดการฉีลากับเหอเสวี่ยตงเสีย! เร็วเข้า!"


    เซียวจ้านที่ได้ยินเสียงของหลิวเหวินจินดังขึ้นมา เขาพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาพื้นอย่างยากลำบาก โชคดีที่เมิ่งเหม่ยฉีช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นมาและพร้อมที่จะประมืออีกครั้งหนึ่ง ทว่าก็ต้องชะงักมือเอาไว้ เพราะรอบกายของพวกเขานั้นเริ่มได้ยินเสียงปริแตกของพื้นน้ำแข็งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตนเอง ดวงตาทั้งสองของเซียวจ้านพลันเบิกกว้างทันทีที่พบว่ารอยร้าวของน้ำแข็งกำลังมุ่งหน้ามายังพวกเขาด้วยความรวดเร็ว



    พลังของหลิวเหวินจินถึงขีดจำกัดแล้วหรือนี่!



    "พวกเรา! วิ่งเร็วเข้า! น้ำแข็งกำลังจะแตกแล้ว!" เสียงของอนุชนคนหนึ่งดังลั่น เรียกร้องความสนใจของทุกคนต้องหันไปมองรอบๆ ตัว เมื่อเห็นว่าแผ่นน้ำแข็งกำลังร้าวนั้นจึงรีบวิ่งหนีกันอย่างจ้าละหวั่น ทั้งเซียวจ้าน หวังอี้ป๋อ และเมิ่งเหม่ยฉีต่างก็รีบวิ่งกันอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฉีลาและเหอเสวี่ยตงรับชะตากรรมท่ามกลางแผ่นน้ำแข็งที่กำลังแตกอยู่ตรงนั้น


    "มารทมิฬ! ถอยทัพ! เอาตัวรอดก่อน!" ฉีลาตะโกนก่อนที่จะโอบอุ้มร่างของเหอเสวี่ยตงและบินกลับทัพของตนเองไปอย่างรวดเร็ว


    เมื่อแผ่นน้ำแข็งร้าวมากขึ้นเท่าใด สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้ทะเลสาบนั้นย่อมโผล่ออกมาให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น อสูรมัจฉาที่ถูกแช่แข็งโดยฝีมือของหลิวเหวินจินแทรกกายของมันจากรอยร้าวของน้ำแข็งทันทีที่มันมองเห็นแสงสว่าง การแทรกกายของมันออกมาจากรอยร้าวนั้นทำให้แผ่นน้ำแข็งแตกออกเป็นสองส่วน ทำให้เหล่ามารทมิฬและอนุชนทุกตระกูลที่อยู่ในรัศมีของมันต่างก็ได้รับแรงกระทบเหล่านี้ไปด้วย พวกเขาล้วนร้องเสียงดังลั่นก่อนที่ร่างกายจะกระแทกเข้ากับแผ่นน้ำแข็งทันที


    บางคนที่รู้ตัวแล้วว่าบัดนี้พลังของหลิวเหวินจินเกินขีดจำกัดแล้วจึงรีบวิ่งกลับไปที่เรืออย่างทันทีโดยไม่ต้องมีบทสนทนาใดๆ เซียวจ้าน หวังอี้ป๋อและเมิ่งเหม่ยฉีวิ่งจ้ำอ้าวกลับไปที่เรือด้วยความรวดเร็ว ขณะเดียวกันนั้นเองก็ต้องหลบอสูรมัจฉาที่พุ่งออกมาและร่างของมันที่ตกกระทบเข้ากับแผ่นน้ำแข็งอย่างทุลักทุเลไปด้วย


    หวังอี้ป๋อรีบเอื้อมมือขวาของตนเองที่ว่างอยู่นั้นเข้าไปที่ข้อมือของเซียวจ้านพร้อมกับออกแรงวิ่งให้เร็วขึ้นไปอีก คนที่ถูกคว้าข้อมือนั้นก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็พุ่งจับเข้าที่ข้อมือและพาวิ่งกลับไปที่เรือเช่นนี้ แต่แล้วก็ต้องถอดถอนใจที่จะสะบัดมือที่ถูกจับแน่น เพราะว่าเขายังตายไม่ได้ หากปล่อยมือของหวังอี้ป๋อไปก็เท่ากับว่าเขาได้ทิ้งชีวิตของตนเองไปอีกครั้งแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาอาจไม่มีโอกาสให้กลับมามีชีวิตอีกต่อไปแล้ว


    ทันใดนั้นเองก็มีอสูรมัจฉาตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากแผ่นน้ำแข็งและตรงมายังเซียวจ้าน หวังอี้ป๋อและเมิ่งเหม่ยฉีที่กำลังวิ่งอยู่ มันอ้าปากกว้างเพื่อหมายที่จะเขมือบร่างของพวกเขาไปในคราเดียว เซียวจ้านเงยศีรษะของตนเองเมื่อเห็นเงาดำๆ ปรากฏว่าคลุมกายของตนเองอยู่ เมื่อเขาเงยศีรษะมองดูเงาแล้วก็พลันเห็นด้านในปากของอสูรมัจฉาที่ดำสนิท เขาร้องเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ ภาพที่ตนเองเห็นหลังจากนั้นก็คือร่างของอสูรมัจฉาที่กำลังดิ่งลงสู่ผืนน้ำพร้อมกับปากของมันที่อ้ากว้าง ชีวิตของเขาถึงฆาตแล้วหรือนี่



    ฉัวะ!!



    "ก๊าซซซซซซ!!" อสูรมัจฉาร้องดังลั่นพร้อมกับร่างของมันที่เปลี่ยนทิศทางตามแรงกระแทกของบางสิ่งบางอย่าง เซียวจ้านมองเห็นว่ามีแท่งน้ำแข็งนับหมื่นนับพันพุ่งเสียบแทงเข้าไปที่ร่างของมัน โลหิตสีดำกระฉูดออกมาจากบาดแผลที่ถูกแท่งน้ำแข็งพุ่งแทงจนมันเลอะพื้นน้ำแข็งไปหมด จากเดิมที่เป็นสีขาวได้มีสีดำปะปนเป็นจุดๆ ร่างของอสูรมัจฉากระแทกเข้ากับพื้นน้ำแข็งจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับเกิดเสียงกระทบกับน้ำ


    "เสี่ยวเหวิน! ขอบใจเจ้ามาก!"


    หลิวเหวินจินพยักหน้าหนึ่งครั้ง เมื่อนางเห็นว่าสหายวิ่งเกือบจะถึงเรือแล้ว จึงรีบดึงมือของตนเองกลับและหมุนตัววิ่งไปยังเรือของตระกูลหวังพร้อมกับหวังอี้ป๋อ เซียวจ้าน และเมิ่งเหม่ยฉีอย่างรวดเร็ว ทันทีที่นางดึงมืออกนั้นจึงทำให้พื้นน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว เหล่าอนุชนตระกูลหวังทุกคนรีบดึงทั้งสี่ขึ้นมาบนเรือจนเกือบไม่ทัน


    เซียวจ้านหันกลับไปมองทางเดิมที่เคยวิ่งมา พบว่าบัดนี้ทะเลสาบอี้หานได้กลับคืนสภาพมาเป็นน้ำอีกครั้ง พร้อมกับอีกด้านหนึ่งของฝ่ายห้าตระกูลปราบที่ไร้ซึ่งเงา เรือและร่างของฝ่ายมารทมิฬแม้แต่ตนเดียว ราวกับว่ามิเคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน ไร้ซึ่งร่องรอยของพลังหยิน แน่นอนว่าเหล่ามารทมิฬได้ยกทัพกลับไปแล้ว ศึกยุทธนาวีอี้หานครานี้เป็นชัยชนะของฝ่ายห้าตระกูลปราบมารที่แท้จริง อีกทั้งยังสามารถรักษาชีวิตนับพันในเมืองหน้าด่านเหลียวหนิงเอาไว้ได้


    "พวกมันยกทัพกลับไปแล้ว! เราชนะ!"


    "เราชนะ! เราชนะ! ฝ่ายห้าตระกูลปราบมารได้รับชัยชนะแล้ว!"


    เสียงของเหล่าอนุชนของตระกูลทั้งหมดดังไปทั่วทะเลสาบอี้หาน เซียวจ้านหอบหายใจอย่างแรงจนไหล่ทั้งสองยกขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของเขา พลันนั้นเองก็เหลือบมองไปที่ข้อมือข้างซ้ายของตนเองและพบว่ามีมือหนาขนาดใหญ่กำลังจับข้อมือเล็กอยู่ไม่ปล่อย สายตามองตามแขนแกร่งขึ้นไปยังไหล่จนถึงใบหน้าอันเรียบนิ่ง ปราศจากการแสดงสีหน้าใดๆ ของอีกฝ่าย เมื่อหวังอี้ป๋อรู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองมาที่ตนเองจึงหันไปมองตาม พลันนั้นเองทั้งสองก็ตกอยู่ในความเงียบงัน



    สองสายตาสอดประสานกันอย่างไม่วางตา และหนึ่งมือที่กำลังจับข้อมือของคนที่ตัวเล็กกว่าเอาไว้ ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ให้เอื้อนเอ่ยออกมา ปล่อยให้สัมผัสทางกายและสายตาสานต่อเรื่องราวเรื่องนี้ต่อไปอย่างเงียบงัน ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอย่างดีใจที่ศึกครานี้เป็นฝ่ายของห้าตระกูลปราบมารที่ได้รับชัยชนะ






    #ด้ายแดงป๋อจ้าน






    ________________________

    *สายลมแห่งความกล้าหาญและเที่ยงธรรม

    **ทวารทั้งเจ็ดบนศีรษะมนุษย์ มีดังนี้ สองตา สองหู สองรูจมูก และหนึ่งปาก



    TBC. [04.01.2020]

    ตอนนี้จะแต่งค่อนข้างนานพอสมควรเลยค่ะ เพราะว่าเราเจอเหตุการณ์บางอย่างที่แบบ...อยากจะร้องไห้เป็นภาษาสเปนจีๆ เนื่องด้วยว่าจู่ๆก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะตอนนี้ที่เราแต่งเอาไว้เกือบจบนั้นหายไปส่วนหนึ่งเลยค่ะ แล้วคือเหลือเพียงแค่ฉากบู๊อยู่เพียงน้อยนิดและไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เรานี่แทบอยากจะร้องไห้ออกมาสายเลือดเลยค่ะ TT

    ประเด็นก็คือกู้ไม่ได้ด้วย มีทางเดียวที่ทำได้ก็คือแต่งใหม่หมดเลย อาจเกิดความล่าช้าในการอัพส่วนที่เหลือหน่อยนะคะ แงงงงงงงง ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ฮือออออ ;-;

    แล้วก็ขอสวัสดีปีใหม่ย้อนหลังทุกๆคนเลยนะคะ ^^ หนึ่งปีที่ผ่านมานี้เราสนุกและมีความสุขมากๆค่ะที่ได้แต่งฟิคให้ทุกคนได้อ่าน ไม่คิดเลยว่าเวลาจะผ่านมาเร็วแบบนี้ เกือบๆห้าปีแล้วล่ะมั้งคะที่เราเดินในเส้นทางนักเขียน เรารู้สึกว่าเพิ่งจะเริ่มเขียนเมื่อวานนี้เอง หันกลับมามองเพียงชั่วสายตาก็ผ่านมาเกือบห้าปีแล้วด้วย แต่เรามีวันนี้ได้ก็เพราะทุกๆคนค่ะ ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างเราเสมอมาเลยนะคะ >///<

    หนึ่งปีหลังจากนี้เราขอแจ้งก่อนว่า เราอาจจะไม่ได้มาอัพฟิคบ่อยเหมือนที่ผ่านมาแล้วนะคะ เพราะว่าเราจะขึ้นชั้นม.6แล้ว แน่นอนว่าจะต้องทุ่มอ่านหนังสือและติวเพื่อเตรียมสอบเข้ามหา'ลัย หลังจากนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตด้วย ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เราไม่ทิ้งฟิคของเราไปไหนแน่นอนค่ะ อาจจะมาแวะเวียนและอัพทีละนิดทีละหน่อยให้อ่านบ้าง แล้วก็จะตั้งใจอ่านหนังสือและทบทวนบทเรียนเพื่อเตรียมพร้อมสอบเข้ามหา'ลัยไปด้วยค่ะ

    (ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณนักอ่านคนไหนอยากจะเรียกเราพี่หรือน้องก็สามารถเรียกได้เลยนะคะ เราไม่ซีอยู่แล้ว >///<)

    (อะไรนะ ชื่อของเราเหรอคะ...อ่อ...อืม...เอ่อ...คือ เอ่อ...อ่า เอ่อ...อ่อมมมมมมม แอะะะะะ)


    ยังไงก็อย่าลืมติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะทุกคน อย่าลืมเฟบ โหวต กดให้กำลังใจ สกรีมฟิคในทวิตเตอร์และคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังให้ไรเตอร์และป๋อตี้จ้านเกอของพวกเราด้วยนะคะ ><


    แถมๆ

    ป๋อตี้เมื่อเห็นจ้านเกออยู่กับคนอื่น :



    ป๋อตี้เมื่อเห็นจ้านเกอโดนทำร้าย :

     

     



    ป๋อตี้เมื่ออยู่กับจ้านเกอ :

     

     


    เลา... :

     

     

     



    เจียงเฉิง :




    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×