ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wang Yibo X Xiao Zhan | Red Thread: A Labyrinth (红线: 迷宫) #ด้ายแดงป๋อจ้าน

    ลำดับตอนที่ #14 : Red Thread (红线) #ด้ายแดงป๋อจ้าน | 第十二集 [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.24K
      65
      9 ก.พ. 63

    12





    ห้องพักเสนาบดี, เมืองฉางอัน



    "ใต้เท้าขอรับ! บัดนี้ฝ่ายห้าสกุลปราบมารได้รับชัยชนะแล้วขอรับ!"


    กัวเฉิงพลุกพล่านเข้ามาในห้องพักเสนาบดีและแจ้งข่าวให้กับอวี๋ปินที่นั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะเตี้ยๆ เขาย่อตัวลงให้นั่งไปกับพื้นตรงข้ามกับอวี๋ปินพร้อมกับทำความเคารพด้วยรอยยิ้มอันเปรมปรีดิ์ คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามนั้นเผยยิ้มน้อยๆออกมาเท่านั้น และมิได้แสดงอาการดีใจเหมือนเช่นเขาเลยแม้แต่น้อย ยกเว้นเสนาบดีจูจ้านจิ่นเท่านั้นที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ


    จูจ้านจิ่นพูด "จริงหรือนี่! ช่างเป็นข่าวที่ดีกระไรเช่นนี้!"


    "แน่นอน เพราะข้ามั่นใจฝีมือของห้าสกุลปราบมารมาก" อวี๋ปินกล่าว "พวกเขามีหน้าที่ปราบมารเป็นปกติ อีกทั้งขึ้นชื่อว่าห้าสกุลใหญ่แล้ว มิมีเรื่องใดที่พวกเขาทำไม่ได้แน่นอน"


    กัวเฉิงกล่าวต่อ "ใต้เท้าขอรับ อดีตองครักษ์เซียวจ้านฟื้นคืนชีพกลับมาแล้วขอรับ และมิใช่เพียงแค่เขาเพียงคนเดียว หญิงสาวสกุลหลิวแห่งเสวี่ยนหยวนก็ฟื้นคืนชีพมาด้วยเช่นกัน อีกทั้งข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักเลยขอรับ มิใช่เพียงแค่ในวงสนทนาของเหอเสวี่ยตงและฉีลาแล้วขอรับ"


    จูจ้านจิ่นเลิกคิ้วขึ้น "เจ้าว่ากระไรนะ หญิงสาวแห่งสกุลหลิวก็ฟื้นคืนชีพกลับมาด้วยเช่นนั้นหรือ มันเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน"


    กัวเฉิง "ใต้เท้าอาจยังไม่รู้ หญิงสาวผู้นั้นที่ถูกกล่าวขานคืออนุชนแห่งสกุลหลิวที่ถูกลอบสังหาร ณ เส้นทางบนเขาเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว มีข่าวลือว่าสกุลหลิวแห่งเสวี่ยนหยวนล่มสลายจากเหตุการณ์ครานั้น พร้อมกับดาบไร้ฆาตที่เก็บรักษามาเกือบร้อยปีก็สูญหายไปด้วยขอรับ ทว่าบัดนี้ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักว่านางฟื้นคืนชีพกลับมาเช่นเดียวกับอดีตองครักษ์เซียวจ้าน อีกทั้งร่างกายของเขาและนางต่างก็มีไอพลังสีดำติดมาด้วยขอรับ"


    "ไอพลังสีดำอย่างนั้นหรือ" จูจ้านจิ่นทวนคำถาม "เป็นไอพลังของเหล่ามารทมิฬและความตายนี่ ไยพวกเขาทั้งสองมีไอพลังนั้นได้เล่า"


    กัวเฉิง "อาจเป็นเพราะพวกเขาฟื้นมาจากความตายก็ได้ขอรับ"


    จูจ้านจิ่น "ก็อาจมีความเป็นไปได้"


    กัวเฉิงหันไปกล่าวกับอวี๋ปินที่นั่งเงียบๆอยู่เพียงคนเดียว "ใต้เท้า เป็นไปได้ไหมขอรับว่าบัดนี้อดีตองครักษ์เซียวจ้านได้พึ่งใบบุญของสกุลหวังแห่งหวายหนาน เพราะว่าข้าได้ยินเหล่าทหารของมารทมิฬพูดคุยกันเมื่อครู่นี้นี่เองขอรับ เช่นนั้นแล้วพวกเราควรส่งสาส์นไปทางนกพิราบให้กับเขาที่หวานหนานนะขอรับ เพราะอย่างน้อยก็ให้เขาได้ทราบข่าวว่ายังมีพวกเราสามคนที่เป็นปฏิปักษ์แก่ฝ่ายมารทมิฬ"


    จูจ้านจิ่นแย้งกัวเฉิง "สาส์นที่ส่งไปให้กับอดีตอัครมหาเสนาบดีหลิวไห่ควานยังมาไม่ถึงเลยนะกัวเฉิง เจ้าโปรดใจเย็นและรอสักหน่อยเถอะ หากคำตอบจากเมืองสวี่หลิวยังมาไม่ถึง เราก็ยังไม่สามารถทำสิ่งใดเป็นลำดับต่อไปได้ เพราะอย่างน้อยอดีตอัครมหาเสนาบดีหลิวไห่ควานก็ยังมีกองกำลังไพร่พลลูกศิษย์จากสำนักเซียนของเขาเองมาช่วยเหลือพวกเรา หากเรากระทำการเพียงแค่สามคน มันเกินความสามารถของพวกเรามาก และอาจมีความเสี่ยงที่จะถูกจับได้และถูกสังหาร เจ้าต้องการเช่นนั้นจริงๆหรือ"


    "ใต้เท้าขอรับ เราต้องรีบหาทางจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดนะขอรับ เราจะรอคำตอบจากเมืองสวี่หลิวต่อไปก็คงหามิได้ เราควรส่งสาส์นไปให้อดีตองครักษ์เซียวจ้านผ่านนกพิราบไปที่หวายหนานด้วยขอรับ" กัวเฉิงเริ่มอธิบายอย่างมีหลักการ "อีกอย่าง บัดนี้เหอเสวี่ยตงและฉีลาอาจวางแผนเพื่อโจมตีห้าสกุลปราบมารและสังหารอดีตองครักษ์เซียวจ้านอีกครั้งอย่างแน่นอน หากเราไม่เริ่มทำการต่อไป เราอาจช่วยชีวิตอดีตองครักษ์เซียวจ้านไม่ทันการแน่นอนขอรับ หากเรารีบจัดการส่งสาส์นไปหาเขาในบัดนี้เราอาจช่วยชีวิตเขาได้ และรวมไปถึงรักษาชีวิตของประชาชนตาดำๆที่ต้องตกเป็นเป้าหมายของสองคนนั้นด้วยขอรับ"


    ความมืดเข้าปกคลุมทั้งแปดด้าน แผนการทุกอย่างในตอนนี้เริ่มมืดแปดด้านว่าวิธีการต่อไปควรทำเช่นไรดี เป็นระยะเวลาเกือบหนึ่งวันแล้วที่สาส์นผ่านนกพิราบไปยังเมืองสวี่หลิวก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับมา หรือว่าควรทำตามที่กัวเฉิงกล่าวเอาไว้เพื่อเป็นแผนการสำรองดี นอกเหนือจากนี้สิ่งที่กัวเฉิงกล่าวเอาไว้นั้นก็เป็นความจริง เพราะอย่างน้อยพวกเราก็ควรที่จะส่งสาส์นไปบอกเซียวจ้านที่หวายหนานว่าพวกเขายังมีชีวิตและปลอดภัยดี อีกทั้งยังร่วมด้วยช่วยกันหาทางโค่นล้มอำนาจของมารทมิฬเหมือนกันกับเขาอีกด้วย


    จริงอยู่ที่ว่าการรอคำตอบจากเมืองสวี่หลิวนั้นถือว่าเป็นการดีที่จะดำเนินแผนการต่อไป ทว่าในเมื่อข่าวลือที่ว่าเซียวจ้านฟื้นคืนชีพและได้พึ่งใบบุญของตระกูลหวังได้แพ่สะพัดไปทั่วราชสำนักแล้ว มีหรือที่ควรจะอยู่เฉยๆและรอคำตอบจากเมืองสวี่หลิวที่ไม่รู้ว่าจะตอบกลับมาเมื่อใด หากว่าในบัดนี้มีโอกาสและช่องโหว่ต่างๆหลังจากศึกยุทธนาวีอี้หานผ่านพ้นไป จึงเหมาะสมยิ่งนักแก่การดำเนินแผนการโค่นอำนาจของมารทมิฬต่อไป ดีกว่ารอคำตอบจากเมืองสวี่หลิวต่อไปเช่นนี้


    อวี๋ปินพูดขึ้นมา "กัวเฉิง เจ้าไปเอาหมึกกับกระดาษมา ข้าจะส่งสาส์นไปให้เซียวจ้านที่หวายหนาน"


    กัวเฉิงเลิกคิ้วถาม "ตอนนี้เลยหรือขอรับ"


    อวี๋ปิน "ก็อย่างที่เจ้าบอกนั่นแหละ เรายังไม่รู้ว่าบัดนี้สองคนนั้นกำลังวางแผนกระทำสิ่งใดอยู่ พวกเราต้องรีบฉกชิงโอกาสนี้ก่อนที่พวกเขาจะไหวตัวทันว่าพวกเราแอบวางแผนโค่นอำนาจของมารทมิฬอยู่ ไปเอามาเร็วเข้า"


    กัวเฉิงรับคำก่อนที่จะลุกพรวดพราดไปหยิบหมึกกับกระดาษตามที่อวี๋ปินเอ่ยปากสั่งเขา จูจ้านจิ่นมองตามกัวเฉิงที่ก้าวฉับๆออกไปจากห้องจึงรีบหันมาถามอย่างรวดเร็ว "ท่านจะทำเช่นนี้จริงๆหรือ ท่านไม่กลัวถูกจับได้หรือ ยิ่งเหอเสวี่ยตงและพรรคพวกของเขานั้นเฝ้าจับตาดูท่านอยู่ มันจะไม่เป็นการเสี่ยงไปหน่อยหรือ"


    "เราไม่มีสิ่งใดที่ต้องเสียอีกต่อไปแล้วท่านเสนาบดี" อวี๋ปินกล่าว "ในเมื่อพวกเรารู้หลักรู้แหล่งแล้วว่าบัดนี้เซียวจ้านอยู่แห่งหนใด พวกเราต้องรีบส่งสาส์นไปบอกเขาให้เร็วที่สุด อย่างน้อยเขาก็อาจรวบรวมกองกำลังของห้าสกุลเข้าโจมตีฉางอันก็เป็นได้ นี่เป็นหนทางเดียวที่พวกเราจะเอาตัวรอดได้"


    จูจ้านจิ่น "จริงของท่าน"



    อวี๋ปินมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก หากแต่นั่งเงียบๆพร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปมเท่านั้น





    ++






    เรือนพิสุทธิ์, หวายหนาน



    เซียวจ้านค่อยๆลืมตาขึ้นมาและกระพริบอย่างช้าๆเพื่อรับแสงที่ส่องผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาในห้อง พบว่าบัดนี้มีแสงจันทราสาดส่องเข้ามาในห้อง อีกทั้งท้องฟ้าในบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เขาใช้มือทั้งสองยันร่างของตนเองให้ลุกขึ้นมาจากตั่งนอน ดวงตากลมทั้งสองกระพริบไปมาเพื่อไล่หมอกในความคิดออกไปให้หมด พยายามมิให้ตนเองต้องรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนอีกต่อไป


    นี่เราเผลอหลับยาวจนตะวันลับขอบฟ้าเลยหรือนี่ เขาคิดในใจในขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ขาทั้งสองทิ้งตัวลงเป็นทางยาวกับตั่งนอน เซียวจ้านยันกายของตนเองให้ลุกขึ้นมาจากพื้นตรงไปยังสุราฉางเอ๋อร์ หากจิบสักกรึบหนึ่งคงจะดี ปราศัยกับตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบไหสุราขึ้นมาพร้อมกับเปิดจุดไหออก กระดกสุราที่อยู่ในไหเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว


    น้ำสุราไหลชะโลมไปทั่วโพรงปาก ลากยาวลงมาในลำคอ จนสุดท้ายมาจบลงตรงที่ช่องท้องของตนเอง เซียวจ้านกลืนน้ำสุราเป็นอึกสุดท้ายหลังจากสุราที่อยู่ในไหหมดแล้ว สุราฉางเอ๋อร์มีรสชาติดีสมคำร่ำลือเสียจริง ไม่เสียดายเลยที่เขายอมลำบากลำบนปีนกำแพงกลับเข้ามาในหวายหนานหลังจากที่ลงไปซื้อ แม้นว่าบัดนี้สุราสามไหที่ซื้อมานั้นจะหมดไปแล้ว ทว่าความทรงจำที่เขาต้องประมือกับหวังอี้ป๋อบนหลังคานั้นจักไม่มีวันเลือนหายไปอย่างแน่นอน


    เซียวจ้านมีความคิดอยากจะออกไปข้างนอกห้องและไปพบปะกับหลิวเหวินจินเสียหน่อย ทว่าลืมไปว่าบัดนี้นางอาจพักผ่อนเพื่อฟื้นพลังปราณของนางก็เป็นได้ แม้นว่าภายในใจจักรู้สึกเสียดายมากเพียงใด แต่ด้วยความที่อยากจะออกไปข้างนอกห้องพักของตนเองและเดินไปเดินมาอย่างไม่มีจุดหมายนั้นคาดคั้นอยู่ในความคิด สุดท้ายแล้วจึงเลื่อนเปิดประตูและแทรกกายออกไปข้างนอกเรือนพิสุทธิ์


    ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม มิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง บรรยากาศเดิมๆของหวายหนานในยามค่ำคืนไร้แสงสีที่ทำให้เซียวจ้านคุ้นชินกับมันไปเสียแล้ว เท้าเล็กย่างก้าวเดินตรงไปยังทางเดินอันแสนเงียบเชียบ เดินผ่านห้องพักของหลิวเหวินจินก็พบว่าด้านในห้องของนางมีแสงไฟจากตะเกียงสลัวๆส่องผ่านกระดาษสาสีขาว นางคงตื่นแล้วกระมัง


    เซียวจ้านยกมือขึ้นมาพร้อมกับเคาะลงบนแผ่นไม้สีน้ำตาลเข้มประมาณสองสามครั้ง ก่อนที่จะมีเสียงตอบรับมาจากด้านในอนุญาตให้เขาเข้าไปได้


    หลิวเหวินจิน "ท่านเซียวจ้านหรือ เข้ามาสิ"


    คนตัวเล็กเลื่อนประตูออกอย่างช้าๆ พบว่าหลิวเหวินจินกำลังนั่งสมาธิอยู่กลางห้อง ข่ายอาคมสีฟ้าอมขาวปรากฏขึ้นรอบตัวของนาง ร่างอรชรลอยเหนือจากพื้นประมาณสองสามคืบ เซียวจ้านเดินเข้าไปหานางพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าของนางอย่างเงียบๆโดยที่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา ร่างของหลิวเหวินจินสัมผัสกับพื้นไม้อย่างเบาๆพร้อมกับข่ายอาคมสีฟ้าอมขาวที่หายไป นางค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆก่อนที่จะเอ่ยปากถามเมื่อเห็นสีหน้าของเซียวจ้าน


    หลิวเหวินจิน "ท่านมีเรื่องกระไรหรือ ไยจึงมีสีหน้าเช่นนั้นเล่า แล้วไฉนจึงไม่สวมหน้ากาก"


    เซียวจ้าน "ข้าไม่อยากใส่ อนุชนและคนในสกุลหวังคนอื่นๆต่างก็อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไม่ออกไปไหนหลังยามนี้หรอก ฉะนั้นแล้วข้าจักใส่ไปไย"


    หลิวเหวินจินเอนกายให้อยู่ในท่าที่สบาย "จริงของท่าน" นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยปากถามอีกครา "ท่านเซียวจ้าน ท่านอยากจะใส่หน้ากากเช่นนี้อยู่ต่อไปหรือไม่"


    เซียวจ้าน "แท้จริงแล้วข้าก็ไม่อยากใส่หรอก ทว่าในเมื่อหลายๆคนต่างก็หมายหัวข้าแล้วว่าเป็นผู้ที่ลอบสังหารองค์จักรพรรดิแล้ว ข้าก็ต้องจำเป็นต้องใส่เพื่อรักษาชีวิตของตัวเองอีกสักนิด ในเมื่อข้าได้รับโอกาสให้มีชีวิตก็จงใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็ยังดีที่ข้าสามารถพบเนื้อคู่ของข้าด้วยการมองเห็นด้ายแดง ตั้งแต่ตอนที่ข้าพบเจอเขาคนนั้น ข้ารู้สึกว่าชีวิตของข้านั้นพบแต่สิ่งดีๆเชียวล่ะ"


    หลิวเหวินจินเอ่ยปากถามเขาเสียงดัง "ท่านมองเห็นด้ายแดงด้วยหรือ"


    เซียวจ้านเลิกคิ้วขึ้น "ใช่ ทำไมหรือ"


    หลิวเหวินจิน "ข้าเคยได้ยินเรื่องราวเรื่องหนึ่งน่ะสิ ว่ามีเทพเจ้าองค์หนึ่งมีนามว่า 'เฒ่าจันทรา' ที่สามารถมองเห็นด้ายแดงทุกเส้นบนโลกใบนี้และลิขิตชีวิตของคนเราให้ได้มาพานพบกับเนื้อคู่ แต่ข้าเพิ่งรู้เช่นกันว่าท่านมีความสามารถมองเห็นด้ายแดงได้ด้วย มิใช้แค่เฒ่าจันทราผู้นั้น ท่านนี่มีความสามารถเปี่ยมล้นเสียจริง"


    เซียวจ้านยิ้มบางๆและมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา


    หลิวเหวินจินพูดต่อ "ท่านเซียวจ้าน ท่านจะว่ากระไรหรือไม่หากข้าอยากจะตัดผมของท่านน่ะ"


    คนตัวเล็กถามเสียงสูงทันทีที่ได้ยินคำพูดของหญิงสาว แผ่นหลังบางยืดตัวขึ้นอย่างทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น "เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ! จะมาตัดผมของข้านี่นะ! ข้ารักผมของข้ามาก! ข้าไม่ยอมให้เจ้าตัดได้ง่ายๆหรอก!"


    "ข้ามิได้อยากตัดผมของท่านให้สั่นลงเสียหน่อย โปรดใจลงหน่อยได้หรือไม่" หญิงสาวกล่าวพลางขมวดคิ้วไปด้วย "ข้ามิได้จะตัดผมของท่านให้สั้นลง แต่ข้าจะเปลี่ยนทรงผมของท่านให้ดูดีต่างหากเล่า เพื่อที่ท่านจักได้ไม่ต้องสวมหน้ากากอำพรางใบหน้าอีกต่อไป เพียงแค่ท่านเปลี่ยนทรงผมก็มิมีผู้ใดจดจำท่านได้แล้ว ท่านเห็นด้วยกับข้าหรือไม่"


    เซียวจ้านมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา หากแต่แสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนคำพูดทั้งหมดที่มีอยู่ในใจของตนเอง นางคิดได้เยี่ยงไรกันนี่ว่าจะให้เขาเปลี่ยนทรงผมแล้วคนอื่นๆก็จะจำเขามิได้ ให้เขาสวมหน้ากากอำพรางใบหน้าไปจะดีกว่าอีก ทว่าอีกใจหนึ่งก็ลังเลว่าควรจะเปลี่ยนทรงผมตามที่นางบอกกล่าวหรือไม่ เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะสวมหน้ากากแำพรางใบหน้าแบบนี้ต่อไปหรอก นอกจากจะรู้สึกขวางหูขวางตาแล้วยังทำให้เขาต้องมัดผูกปมบ่อยๆเพื่อมิให้หลุดออกมาอีก มันแสนน่าเบื่อยิ่งนัก


    ท้ายที่สุดแล้วเซียวจ้านจึงยอมรับข้อเสนอของหลิวเหวินจินอย่างจนใจ เพราะว่าเขาเองก้ไม่อยากจะให้นางต้องมานั่งรบเร้าให้เปลี่ยนทรงผมนี้อยู่ตลอดเวลาหรอก นอกเหนือจากนี้เขายังได้ยินมาอีกว่าสตรีนั้นมีฝีมือในด้านการแต่งตัวและความสวยความงาม หากไว้วางใจให้นางช่วยเปลี่ยนโฉมหน้าของเขาคงไม่น่ามีปัญหากระไร


    หลิวเหวินจินหยิบกรรไกร หวีและคันฉ่องทองเหลืองที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับมานั่งตรงหน้าของเซียวจ้าน ก่อนที่นางจะสั่งให้เขาหลับตาทั้งสองลง และลงมือจัดการตัดเปลี่ยนทรงผมของเขาโดยที่มิได้พูดสิ่งใดออกมา เสียงกรรไกรดังสลับซ้าย ขวา และบริเวณหน้าผากของเซียวจ้านไปมา เขาเชื่อใจแล้วว่านางมิได้ตัดผมของเขาที่ทิ้งตัวสยายยาวกลางหลังอย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้วเซียวจ้านจึงนั่งหลับตาพลางอมยิ้มน้อยๆไปด้วยเพราะเพลิดเพลินกับการที่ได้จินตนาการว่าท้ายทุดแล้วทรงผมของเขาจะออกมาแบบไหน


    เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่หนึ่ง หลิวเหวินจินก็ตัดแต่งทรงผมของเขาจนเสร็จเรียบร้อยจึงสั่งให้เขาลืมตาทั้งสองขึ้นมาได้ ดวงตาทั้งสองของเซียวจ้านเข้าปะทะกับแสงไฟของเทียนที่ส่องสลัวๆผ่านมา ผมสีดำของตนเองที่ถูกตัดออกได้กองพะเนินอยู่บนตักเป็นกองขนาดใหญ่ คันฉ่องทองเหลืองที่อยู่ตรงหน้าสะท้อนเงาของตนเอง ทำให้เขามองเห็นทรงผมที่หลิวเหวินจินจัดการตัดให้ พลันที่มองเห็นเงาของตนเองในคันฉ่องนั้นแทบจะไม่เชื่อในสายตาเลยแม้แต่น้อย



    นางตัดหน้าม้าให้เขา!



    เซียวจ้านเดือดดาลพลางถามนางเสียงดัง "เสี่ยวเหวิน! เจ้าตัดผมอะไรของเจ้า! ไยข้าจึงมีหน้าม้าเช่นนี้ได้!"


    ทว่าหลิวเหวินจินไม่สนใจ หากแต่เอ่ยปากชมผลงานฝีมือของตนเองที่อยู่ตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจ "ท่านเซียวจ้าน! ดูสิ! มันเข้ากับท่านมากๆเลย! ข้านี่คิดถูกและเก่งจริงๆที่ตัดแบบนี้ให้ท่าน! ใครที่ไหนเห็นต้องชื่นชอบแน่นอน!"


    เซียวจ้านย่นคิ้วลง "เจ้าแน่ใจนะ"


    หลิวเหวินจินพูดเสียงดังพลางยกนิ้วโป้งขึ้นมา "แน่ใจสิท่าน!"


    มือบางทั้งสองกำคันฉ่องแน่นจนสั่นไปมา พลางคิดในใจว่าเขาควรเชื่อใจสิ่งที่นางบอกไหมนี่


    เวลาผ่านไปไม่นานนัก เซียวจ้านเดินออกมาจากห้องของหลิวเหวินจินด้วยความหวาดหวั่นใจ มือข้างหนึ่งกำหน้ากากแน่นเสียจนแทบจะแหลกละเอียดในมือของเขาไปเสียจนได้ คำพูดของนางที่ยืนยันว่ามิมีผู้ใดจดจำเขาได้ลอยแล่นเข้ามาในความคิดซ้ำไปซ้ำมา เซียวจ้านยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นมาลูบๆ จับๆบริเวณหน้าม้าของตนเองอย่างหวาดหวั่นใจ


    ทรงผมที่ถูกตัดเสริมเติมแต่งให้กับใบหน้าของตนเองนั้นสุดแสนจะไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ทว่าเซียวจ้านก็มิอาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้ เพราะเรื่องมันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว จักให้ย้อนเวลากลับไปแก้ไขก็มิอาจทำได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินลากเท้าของตนเองไปตามทางเดินและหาสระน้ำขนาดเล็กที่พอจะเป็นคันฉ่องส่องดูดวงหน้าของตนเองอีกคราหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่หลิวเหวินจินบอกกล่าวแก่เขาเมื่อก่อนหน้านี้จักเป็นความจริง


    เซียวจ้านเอื้อมมือทั้งสองตนเองไปจับตรงราวกั้น ก่อนที่จะยื่นใบหน้าออกไปพร้อมกับโน้มศีรษะของตนเองให้อยู่ในระดับที่พอจะมองเห็นผิวน้ำได้อย่างชัดเจน ทันทีที่แสงจันทร์ตกกระทบลงบนผิวน้ำและสะท้อนเห็นภาพใบหน้าของเขา เซียวจ้านย่นคิ้วลงพลางรำพึงรำพันอยู่ในใจเมื่อเห็นใบหน้าของตนเองผ่านผิวน้ำ


    มันเข้ากับเราจริงๆหรือนี่ เซียวจ้านคิดในใจ ไม่เห็นว่าจะเข้ากับเราตรงไหนเลย


    เวลาผ่านไปไม่นานนักเขาจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องของตนเอง ทว่าทันใดนั้นเอง หางตาของเขาก็พลันไปเห็นกายของใครสักคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตนเอง เซียวจ้านทั้งร้องเสียงดังและเบิกตากว้างเนื่องด้วยตกใจกับสิ่งที่โผล่ออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทว่าโชคดีที่เขายกมือขึ้นมาปิดปากของตนเองก่อนที่จะร้องออกมาเสียงดังจนทำให้เหล่าอนุชนตระกูลหวังตื่นมาจากนิทรา


    เซียวจ้านถามคนตรงหน้าหลังจากที่สติสัมปชัญญะหลุดกระเจิงไปเมื่อกี้ "ท่านหวังเถียนเถียน..."


    หวังอี้ป๋อมีสีหน้านิ่งๆและมิได้กล่าวกระไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว นี่คือสิ่งที่เซียวจ้านสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนที่พบเจอกันครั้งที่แม่น้ำแห่งนั้น และแน่นอนอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนสีหน้ากับบุคลิกไปมากกว่านี้อีกแล้ว หวังอี้ป๋อก็ยังเป็นคนเย็นชาเหมือนเดิม หน้าตายเหมือนเดิม และที่สำคัญก็คือ จับตาดูเขาประดุจนักโทษที่สังหารชาวบ้านต่อเนื่องว่าจะก่อเรื่องแบบนี้เหมือนเดิม


    เซียวจ้านเบือนหน้าหันไปทางอื่นเพราะไม่กล้าที่จะสบตากับหวังอี้ป๋อตรงๆ สายตาของอีกฝ่ายนั้นจับจ้องมาที่เขาเป็นลูกเดียวและไม่หันไปมองทางอื่นเลย ให้ความรู้สึกประดุจว่าบัดนี้เขากำลังถูกทางการสอบสวนในห้อง รอบๆกายก็มีทหารหลายนายที่ถืออาวุธครบมือ หากคิดขยับเขยื้อนหรือตอบไม่ตรงคำถามอาจถูกจ้วงก็เป็นได้ อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับบุคคลที่เข้ามาสอบสวนตนเองด้วย มีทางเดียวที่ทำได้ก็คือต้องยอมรับความจริง ห้ามโกหกเป็นอันขาด มิเช่นนั้นชีวิตจะหาไม่


    ทั้งสองคนต่างก็เงียบและมิมีผู้ใดกล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่คนเดียว เซียวจ้านก็ยังพยายาทำใจดีสู้เสือและเอ่ยปากถามอีกครา "ทะ...ท่านหวังเถียนเถียน ข้ารู้ว่าข้านั้นฝืนกฎของสกุลหวังอีกแล้ว เช่นนั้นแล้วข้าขอตัวกลับห้อง..."



    หมับ!



    หวังอี้ป๋อยกมือขึ้นมาคว้าเข้าที่ต้นแขนของเซียวจ้านอย่างรวดเร็ว จนร่างบางเผลอร้องออกมา "อ๊ะ!"


    สายตาของหวังอี้ป๋อจับจ้องมองไปที่คนที่ตัวเล็กกว่าอย่างไม่วางตา เซียวจ้านรู้สึกหวาดกลัวอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ สายตาที่มองมาเช่นนั้นมีความแฝงว่ากระไรกันแน่ เซียวจ้านอ่านความคิดของหวังอี้ป๋อไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จักเรียกเขาว่าโง่เง่าก็ได้ เพราะหวังอี้ป๋อเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา ยิ่งเงียบและใช้สายตาซึ่งเป็นตัวบอกความรู้สึกทุกอย่างนั้นยากแท้หยั่งถึงยิ่งนัก


    หากหวังอี้ป๋อเป็นคนแสดงอาการอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการดีที่เขาก็พอจะรู้ความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายบ้างแต่ก็ไม่มาก ทว่ากลับไม่ใช่อย่างที่คิด ทั้งเงียบ ทั้งจิกกัดทางสายตาเช่นนี้เขารู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก พยายามบิดสะบัดแขนออกจากการจับกุมก็มิอาจทำได้ เซียวจ้านพยายามเบือนสายตามองไปทางอื่นแทน ทว่าทันใดนั้นเองหวังอี้ป๋อก็พูดบางอย่างออกมาจนทำให้เซียวจ้านรู้สึกฉงนสงสัย


    หวังอี้ป๋อ "เจ้าตัดผมใหม่หรือ"


    เซียวจ้านเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะยอมรับแต่โดยดีโดยที่ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ "ชะ...ใช่...ทะ...ทำไมหรือ"


    ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นหวังอี้ป๋อเป็นฝ่ายถามเขาก่อนเลยแม้แต่น้อย ไยบัดนี้อีกฝ่ายถึงเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน มิใช่หวังอี้ป๋อที่แข็งกร้าวต่อหน้าเหล่าอนุชนตระกูลหวังและตอนปราบมารเลย นอกเหนือจากนี้เซียวจ้านยังสังเกตเห็นอีกว่าสายตาของคนตัวสูงที่จับจ้องมองมาที่ตนเองในตอนนี้กลับอ่อนโยนมากขึ้น นอกเหนือจากนี้รูม่านตาของอีกฝ่ายนั้นขยายใหญ่เสียยิ่งกว่าไข่ห่านอีก


    หวังอี้ป๋อ "สวย..."


    เซียวจ้านเบิกตากว้างและเอ่ยปากทวนถามอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู "เมื่อกี้ท่านว่ากระไรหรือ"


    หวังอี้ป๋อ "มันเข้ากับเจ้าดี"


     "ท่านเซียวจ้าน! ดูสิ! มันเข้ากับท่านมากๆเลย! ข้านี่คิดถูกและเก่งจริงๆที่ตัดแบบนี้ให้ท่าน! ใครที่ไหนเห็นต้องชื่นชอบแน่นอน!" คำพูดของหลิวเหวินจินลอยเข้ามาในความคิดอีกครา เป็นดังที่นางกล่าวบอกเขาหลังจากที่ตัดผมเรียบร้อยแล้วไม่มีผิดเพี้ยน เซียวจ้านรู้สึกกึ่งดีใจกึ่งหวาดระแวงไปพร้อมๆกัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบัดนี้ควรรู้สึกกับสถานการณ์ในบัดนี้เยี่ยงไรดี การที่มีบุรุษที่พูดน้อยต่อยหนัก ใช้สายตาเป็นตัวบอกความรู้สึกต่างๆและเย็นชาเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งเอ่ยปากชมเช่นนี้ เขาล่ะทำตัวไม่ถูกเสียจริงๆ


    เซียวจ้านส่งยิ้มแหยๆกลับไปให้ "ขอบคุณท่านมาก อันที่จริงแล้วเสี่ยวเหวินตัดให้ข้าน่ะ"


    พลันนั้นเองเซียวจ้านก็รู้สึกว่าต้นแขนของตนเองนั้นชุ่มราวกับว่าเปียกน้ำมาก็ไม่ปาน อันที่จริงแล้วเขาก็มิใช้คนที่เหงื่อออกง่ายปานนั้น นอกเหนือจากนี้บริเวณต้นแขนของตนเองเท่านั้นที่รู้สึกชุ่มเหงื่อมากกว่าบริเวณอื่นบนร่างกาย เซียวจ้านรู้สึกฉงนสงสัยไม่น้อยที่เกิดความผิดปกติที่เกิดขึ้นดังช่วงเวลาในตอนนี้ หรือว่าสาเหตุที่แท้จริงนี้มิใช่ตัวเขาเองกันแน่นะ


    หวังอี้ป๋อคลายมือที่กุมต้นแขนออกอย่างช้าๆ ก่อนที่กล่าวคำหนึ่งออกมา "ไปเดินเล่นด้วยกันไหม"


    สีหน้าของคนตัวเล็กเปลี่ยนไปในพลันดล "ไปสิ! ข้าอยากเดินเล่นอยู่พอดีเลย!" จบประโยคนั้น เซียวจ้านรีบสาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รีรออีกฝ่ายพูดให้มากความ ในขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกอีกว่าพวงแก้มทั้งสองแดงพร่าและรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด จึงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาลูบๆจับๆแก้มของตนเองไปมา



    หวังอี้ป๋อมองตามแผ่นหลังของเซียวจ้านที่เล็กลงไปเรื่อยๆอยู่เพียงชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอามือทั้งสองไพล่หลังและก้าวเท้าเดินตามไปอย่างเงียบงัน



    ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆโดยที่มิมีผู้ใดพูดออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่หน้าแดงปานลูกมะเขือเทศอย่างเซียวจ้านที่เดินอยู่ด้านหลังของหวังอี้ป๋อ มือทั้งสองนั้นยังคงจับๆลูบๆพวงแก้มที่แดงระเรื่อไม่หยุด อาการกระสับกระส่ายเช่นนี้ยากที่จะระงับมันเอาไว้ในใจ แม้ว่าเขาจักพยายามเพียงใดก็มิสามารถทำให้หัวใจเจ้ากรรมเต้นเบาลงเลย


    ลมหายใจสูดเข้าออกอย่างช้าๆเพื่อระงับอาการกระสับกระส่ายของตนเองที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เกิดมาทั้งชีวิตนี้มิเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ไฉนเมื่อพบเจอกับหวังอี้ป๋อเขาถึงหักห้ามหัวใจของตนเองไม่ให้เต้นรัวไม่ได้เลย เมื่อก้มมองดูข้อเท้าของตนเองก็พบด้ายแดงที่ผูกอยู่บนข้อเท้าและตรงไปยังข้อเท้าข้างขวาของอีกฝ่าย แน่นอนว่าโชคชะตานั้นได้ลิขิตให้เขามาพานพบกับหวังอี้ป๋อผ่านด้ายแดงแห่งโชคชะตาเส้นนี้


    เซียวจ้านรู้ดีว่าที่ตนเองมาพบกับหวังอี้ป๋อก็เพราะด้ายแดงที่ผูกข้อเท้าอย่างเต็มอก คนตัวสูงคือเนื้อคู่ของเขาตราบจนลมหายใจสุดท้าย เงื่อนไขเหล่านี้คือเสียงกระซิบที่ดังขึ้นมาหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาจากความตายในครานั้น จนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าบุคคลที่กระซิบถ้อยคำเหล่านั้นกับเขาคือผู้ใดกันแน่ ไฉนจึงให้เขาฟื้นจากความตายและมองเห็นด้ายแดงเหล่านี้กัน


    ตกผลึกความคิดกับตนเองอย่างเงียบๆ โดยไร้ซึ่งหลักฐานนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับความมืดที่ล้อมรอบทั้งแปดด้านเลยสักนิด เซียวจ้านจมอยู่ท่ามกลางความเงียบงันไปสักพักหนึ่ง ก่อนที่เขาและหวังอี้ป๋อนั้นจะกระโดดสูงขึ้นจนปลายเท้ามาแตะลงบนพื้นของหลังคาเรือน ทัศนียภาพเช่นนี้ช่างเหมือนกับตอนที่เขาประมือกับหวังอี้ป๋อครั้งแรกเสียจริงๆ


    ดวงศศิธรลอยเด่นอยู่บนเวหากว้างไร้ขอบเขต หวังอี้ป๋อและเซียวจ้านนั่งหย่อนกายลงบนพื้นหลังคาก่อนจะนั่งชมจันทร์กระจ่างที่อยู่ตรงหน้าและเหนือศีรษะของตนเอง เซียวจ้านเผยยิ้มออกมาเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและพลางคิดในใจอย่างเพลิดเพลินว่าขอนั่งดื่มสุราสักนิดสักหน่อย


    ราวกับว่าอ่านใจได้ สายตาของเซียวจ้านก็ดันไปเห็นไหสุราที่จู่ๆก็ร่วงลงมาใกล้ๆกับบริเวณศีรษะของตนเอง หัวใจของร่างบางหล่นไปอยู่ตาตุ่มเพราะกลัวว่าจะกระแทกเข้ากับหน้าผากของตนเอง แต่โชคดีที่ไหสุรานั้นถูกมัดด้วยเชือกสีแดง จึงทำให้มันต้องลอยอยู่ตรงหน้าของเซียวจ้านไปมา


    คนตัวเล็กมองตามไหสุราขึ้นไปเหนือเชือกสีแดงก่อนจะพบกับมือของหวังอี้ป๋อที่จับปลายเชือกอีกข้างเอาไว้ สายตาของเขานั้นดูเรียบนิ่งและกำลังบอกกลายๆว่า 'ข้ารู้ว่าเจ้าอยากดื่มสุราพร้อมกับนั่งชมจันทร์ไปด้วย รับไปเสีย' ก็มิปาน เพียงแค่สายตาของหวังอี้ป๋อที่เรียบนิ่งและการกระทำเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่ากำลังจะบอกว่าเยี่ยงไร


    เซียวจ้าน "บอกกล่าวกันหน่อยสิ ข้าก็ตกใจกลัวนะ"


    แม้ว่าจะตำหนิติเตียนเช่นนั้น ทว่ามือของตนเองนั้นก็เอื้อมไปหยิบไหสุรามาและเปิดจุกออกเรียบร้อยแล้ว เซียวจ้านกระดกไหสุราและลิ้มชิมรสชาติอย่างเพลิดเพลินใจ ไม่เคยคิดเลยว่าดวงชีวาของตนเองจะสุขเสรีเช่นนี้มาก่อนเลย หวังอี้ป๋อหย่อนกายนั่งลงข้างๆเซียวจ้านอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา


    ใบไม้แห้งลอยไป ต้นไม้สนั่นหวั่นไหวตามแรงปะทะของลม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนจมอยู่ภายใต้ความเงียบสงบ เซียวจ้านจ้องมองดวงศศิธรอย่างอิ่มเอมใจ รอยยิ้มบางเผยออกมาอย่างช้าๆ หวังอี้ป๋อเองก็จ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเช่นเดียวกันกับเขา ความเงียบเข้าปกคลุมจนทำให้คนตัวเล็กรู้สึกอึดอัด เพื่อมิให้บรรยากาศรอบตัวรู้สึกอึมครึมไปมากกว่านี้ จึงเริ่มถามเรื่องหนึ่งกับคนที่นั่งอยู่ข้างตนเองขึ้นมาอย่างลอยๆ


    เซียวจ้าน "ท่านรู้ไหมว่าไฉนสุรานี้ถึงมีนามว่าฉางเอ๋อร์"


    หวังอี้ป๋อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่แยแสสิ่งใด "ไม่รู้"


    เซียวจ้านเริ่มเล่าเรื่อง "เพราะว่าสุรานี้คู่ควรแก่การดื่มชมจันทร์น่ะสิ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าของร้านนั้นประสบพบกับปัญหาทางด้านการเงิน ชีวิตของเขาเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลาเมื่อเห็นเหล่าอันธพาลเข้ามารีดไถข้าวของของเขาเพื่อชดใช้เงินทั้งหมด ในช่วงเวลาที่เขาพบกับจุดที่ตกต่ำสุดของชีวิต ในคืนนั้นเขาฝันเห็นเทพธิดาฉางเอ๋อร์เข้ามาร่ายรำต่อหน้าของเขา"


    มือบางยกขึ้นและกระดกสุราเข้าปากก่อนจะเล่าต่อไป "นางกล่าวแก่เขาว่า หากเขาอยากจะพ้นทุกข์นี้ จงตื่นขึ้นมาและมองไปที่ดวงจันทราที่ส่องไสวในยามเต็มดวง เมื่อครั้นเขาขึ้นมาจากนิทรา เขาจึงทำตามที่นางบอกโดยการออกไปนั่งชมจันทร์อยู่ด้านนอก พลันนั้นเขาก็พบว่าการนั่งชมจันทร์นั้นเป็นสิ่งที่ผ่อนคลายและเยียวยาจิตใจได้มาก โชคดีที่เขาเป็นคนหัวใส จึงคิดค้นสูตรสุราขึ้นมาใหม่สำหรับบุคคลที่อยากดื่มสุราในระหว่างที่นั่งชมจันทร์โดยเฉพาะ จนในที่สุดสุรานี้ก็ได้สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้เขาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเหล่าอันธพาลที่เข้ามารีดไถของของเขานั้นก็รู้สึกชอบรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยเช่นกัน นับแต่นั้นชายคนนั้นจึงหลุดพ้นจากความทุกข์เพราะสุราของเขาอร่อยติดปากจนมีชื่อเสียงระบือไกล เขารู้สึกขอบคุณเทพธิดาฉางเอ๋อร์เป็นอย่างมากที่ชี้แนะเขาผ่านความฝันจนเขารู้สึกว่าเหมือนได้เกิดใหม่ จึงตั้งชื่อสุรานี้ว่าฉางเอ๋อร์นั่นเอง"


    เซียวจ้านขยับกายของตนเองให้นั่งอยู่ในท่านั่งที่สบาย "นี่ก็เป็นเวลาผ่านไปเกือบๆยี่สิบปีแล้วที่สุราฉางเอ๋อร์ถือกำเนิดขึ้น แล้วก็ยังเป็นที่จดจำและมีชื่อเสียงระบือไกลอีกด้วย เป็นเยี่ยงไรบ้าง สนุกไหมท่าน" จบประโยคนั้นเขาก็กระดกสุราเข้าปากจนหมดก่อนที่จะกวาดสายตามองไปยังคนที่นั่งข้างๆอย่างรวดเร็ว หวังอี้ป๋อก็ยังคงเงียบและไม่พูดสิ่งใดออกมาด้วยเช่นกัน เซียวจ้านเห็นดังนั้นก็อดที่จะบริภาษไม่ได้ "ไม่ต้องกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากหรอกนะท่าน พูดบ้างก็ได้"


    หวังอี้ป๋อ "..."


    เซียวจ้านนึกสนุกจึงยกมือขึ้นมาโบกผ่านใบหน้าของหวังอี้ป๋อ เมื่อรู้ว่าบัดนี้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่ล่องลอยราวกับเหม่อมองหรือนึกคิดบางสิ่งบางอย่าง เซียวจ้านลดมือลงพร้อมกับยกนิ้วชี้เข้าที่ตัวเอง พร้อมกับเอ่ยปากถามเพื่อทดสอบสติสัมปชัญญะของหวังอี้ป๋อ


    เซียวจ้าน "ท่านหวังเถียนเถียน"


    หวังอี้ป๋อ "หือ...?"


    เซียวจ้าน "ท่านรู้ไหมว่าตัวข้านั้นคือใคร"


    หวังอี้ป๋อ "ของข้า"


    เซียวจ้านแทบไม่เชื่อหูของตนเองเลย เมื่อกี้หวังอี้ป๋อกำลังกล่าววาจาสิ่งใดออกมากัน ช่างสุดแสนน่าขันกระไรเยี่ยงนี้ ถึงกระนั้นแล้วก็ทำให้ใบหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นมาอีกคราแทบห้ามมิได้ วลีเพียงสองคำนั้นก็ทำให้ความคิดของเซียวจ้านเตลิดเปิดเปิงไปหมด ทว่าคนตัวเล็กก็พยายามคุมสติและคิดว่าสิ่งที่หวังอี้ป๋อพูดนั้นอาจหมายถึงสิ่งอื่นก็เป็นได้ ใครเล่าจักรู้


    หวังอี้ป๋อเน้นถ้อยคำอีกครา "ของข้า"


    เซียวจ้านรู้สึกกระวนกระวายยิ่งนัก พยายามจะถดกายหนีไปอีกทางแต่ก็มิวายที่จะเอ่ยปากถามอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจอีกครา "ท่านหวังเถียนเถียน...คะ คือว่า...ท่านรู้ไหมว่าข้าเป็นใคร"


    หวังอี้ป๋อกล่าว "เป็นของข้า"


    ฉับพลันนั้นเองหวังอี้ป๋อก็พุ่งเข้ามาหาเซียวจ้านอย่างรวดเร็ว มือขวายกขึ้นมาโอบเอวบางพร้อมกับดึงกายบางให้เข้ามาหาเขา ในขณะที่เซียวจ้านยังไม่ทันได้ตั้งตัวและตั้งสตินั้นก็รู้สึกว่าริมฝีปากของตนเองนั้นถูกปิดแน่นไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยยังไม่ทันได้ลงมือทำสิ่งใด เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าใบหน้าของตนเองและอีกฝ่ายนั้นก็อยู่ใกล้กันมาก พร้อมกับริมฝีปากของทั้งสองที่แนบแน่นโดยไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ


    มือบางที่ถือไหสุราฉางเอ๋อร์และหน้ากากก็คลายตัวลงอย่างช้าๆพร้อมกับเปลือกตาบางทั้งสองปิดลง สิ่งที่อยู่รอบตัวนั้นได้กลายเป็นดินแดนไร้เสียง แม้แต่เสียงแมลงต่างๆก็ไม่อาจได้ยิน หากแต่รับรู้ถึงลมอ่อนๆที่พัดผ่านพร้อมกับใบไม้แห้งที่ตกกระทบร่างของทั้งสองไปเท่านั้น ไหสุราและหน้ากากที่เคยสวมร่วงหล่นบนพื้นหลังคาจนตกลงไปข้างล่าง มือบางทั้งสองยกขึ้นมาเกาะที่ไหล่ของคนตัวสูงพลางขยำอาภรณ์สีขาวแน่น


    เซียวจ้านรู้สึกว่าร่างกายของตนเองนั้นประดุจลอยอยู่บนปุยเมฆนุ่มๆบนเวหาอากาศกว้าง สัมผัสอันหอมหวานเน้นย้ำถึงช่วงเวลาในตอนนี้ให้จดจำไปตลอดชีวิต ไม่อาจขัดขืนหรือปฏิเสธต่อโชคชะตาได้เลยว่า บุคคลที่อยู่ตรงหน้าของตนเองนั้นคือเนื้อคู่ของเขา บุพเพสันนิวาสที่สวรรค์ดลบันดาลให้ทั้งสองได้มาพานพบกันท่ามกลางความยากลำบากทั้งปวง


    เสียงฉินบรรเลงมาแต่ไกลชวนให้บรรยากาศนั้นเป็นใจอย่างมาก เพลงทุกเพลงที่ถูกบรรเลงโดยฉินนั้นสุดเแสนจะไพเราะยิ่งนัก และแน่นอนว่าบรรยากาศรอบๆที่ไร้เสียงแมลงอันน่าหนวกหู มีลมอ่อนๆพัดผ่านเช่นนี้ ประกอบกับเสียงเพลงจากฉินนั้นทำให้ทั้งสองไม่อาจผละออกจากกันได้ หากแต่อยู่แบบนี้ไปนานๆ นานเสียจนกว่าจะลืมช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดและเหตุการณ์ร้ายๆทั้งปวง


    สงสัยเหลือเกิน ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ทีไร ไฉนถึงได้ยินเสียงฉินตลอดเวลาเลยนะ เซียวจ้านรำพึงในขณะที่สติของตนเองยังหลงเหลืออยู่



    เรือนมังกรหยก, หวายหนาน


    หลิวเหวินจิน "ท่านประมุขเจ้าคะ! ดีดให้แรงอีกเจ้าค่ะ! ดีดให้แรงกว่านี้อีก!"


    หวังจื่ออี้ "ข้าก็กำลังดีดอยู่ในไงเล่า! ดีดฉินสร้างบรรยากาศไม่ใช่เรื่องง่ายนะ!"


    หลิวเหวินจิน "ข้าน้อยสะกดจิตให้เขาพูดความจริงและโบกพัดขนนกร่ายมนตร์ให้แล้ว! ท่านต้องดีดฉินให้แรงกว่านี้อีกเจ้าค่ะ! จังหวะนี้ต้องสร้างบรรยากาศเท่านั้น! ต้องรบกวนท่านประมุขเช่นท่านแล้วเจ้าค่ะ!"


    เมิ่งเหม่ยฉี "บรรยากาศเริ่มมาแล้วเจ้าค่ะท่านประมุข! ดีดฉินให้แรงกว่านี้อีกเจ้าค่ะ!"


    หวังหยวนร้องเสียงดัง "พวกเขาจูบกันแล้วขอรับท่านประมุข! พวกเขาจูบกันแล้ว!!"


    อี้หยางเชียนซีร้องพลางกระโดดโหยงเหยงไปมา "จริงด้วยๆๆๆๆ! จะว่าไปคุณชายเซียวตัดหน้าม้าแล้วดูงดงามยิ่งนัก! หากมีผู้ใดบอกว่าเขาเป็นสตรีข้าก็เชื่อ!"


    หวังจวิ้นข่าย "ท่านหวังอี้ป๋อของพวกเราเยี่ยมยอดจริงๆขอรับ!"


    หวังฮ่าวเซวียน "ดีดให้แรงอีกขอรับ! ดีดให้แรงกว่านี้อีกขอรับ! แรงกว่านี้อีก!!"


    หวังจื่ออี้ "นี่ข้าคิดผิดคิดถูกที่ร่วมมือกับพวกเจ้าเช่นนี้เนี่ย..."






    #ด้ายแดงป๋อจ้าน







    TBC. [09.02.2020]

    มาอัพตอนที่เหลือแล้วนะคะ แงแอ งานยุ่งมากๆเลยช่วงนี้ ;-; งานปัจฉิมและพิธีอำลาสถาบันให้กับรุ่นพี่ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว สถานีต่อไปก็คือจัดนิทรรศการให้ความรู้กับรุ่นน้องเรื่องภูมิศาสตร์ค่ะ เวลาเขียนฟิคก็ไม่ค่อยจะมีด้วย อยากจะร้องไห้ ทำไมงานมันรุมเร้าเสียยิ่งกว่าโรคภัยไข้เจ็บแบบนี้เนี่ย แงงงงงงงงงงง ยังไงก็ขออภัยในความไม่สะดวกนี้ด้วยนะคะ หากเราเวลาก็จะมาอัพตอนใหม่ให้ค่า

    แล้วก็อยากจะบอกว่าตอนนี้เราเขียนไปยิ้มไปด้วยกันเลยค่ะ ไอ้บ้าเอ้ยยยยยยยยย อะไรมันจะน่ารักได้ขนาดนี้วะทุกคน! ป๋อตี้ก็น่ารัก! จ้านเกอก็น่ารัก! น่ารักไปหมดเลยว้อยยยยยยยยยย! แงแอ ดาเมจรุนแรงทิฉุดในโยกเยยค้าบ ไอ้ต้าวอ้วนนน ไอ้ต้าวน่ารัก ไอ้คนน่ารัก ไอ้คนอบอุ่น ไอ้คนซึน แงงงงงงงงงง อยากหยิกแจ้มมมมมม ;-; //ฟัดหมอน



    อย่าลืมกดติดตามเรื่องนี้เพื่อรออ่านเนื้อเรื่องตอนต่อไปด้วยนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมเฟบ โหวต กดให้กำลังใจ สกรีมฟิคในทวิตเตอร์และคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังให้ไรเตอร์และป๋อตี้จ้านเกอของเราด้วยน้าาาาาาาาาา ><


    ปล. ตอนที่จ้านเกอถูกเสี่ยวเหวินตัดผมหน้าม้าให้ก็ประมาณนี้ค่ะ (นี่เราอีดิทเองเลยนะจะบอกให้!! แต่สกิลมันได้แค่นี้จริงๆค่ะ ;-;)



    ปล2. น้องๆทุกคนได้เป็นตัวแทนชิปเปอร์แทนพวกเราแล้วนะคะ 55555555555555

     

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×