ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wang Yibo X Xiao Zhan | Red Thread: A Labyrinth (红线: 迷宫) #ด้ายแดงป๋อจ้าน

    ลำดับตอนที่ #3 : Red Thread (红线) #ด้ายแดงป๋อจ้าน | 第三集 [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.13K
      124
      26 ม.ค. 63

    03





    เซียวจ้านเพิ่งรู้จริงๆ ว่าตระกูลหวังแห่งหวายหนานนั้นมีลูกหลานและบ้านเรือนขนาดใหญ่มาก ทั้งชีวิตเขาเคยได้ยินเพียงแต่ว่าตระกูลหวังแห่งหวายหนานเป็นที่หนึ่งแห่งการปราบเหล่าปีศาจเหล่ามาร แต่เขาไม่รู้ถึงเบื้องในของตระกูลเลยแม้แต่น้อยว่าจะมีลูกหลานหรือผู้สืบสกุลเป็นจำนวนมากถึงเพียงนี้มาก่อน


    หลังจากที่คุณชายแห่งตระกูลหวังพูดตัดชีพจรของหลิวเหวินจินเรียบร้อยแล้ว กลุ่มชายแห่งตระกูลหวังต่างก็จับมือของเซียวจ้านและหลิวเหวินจินเอาไว้เพื่อนำทางไปยังจุดหมายปลายทางที่จะไป ในขณะนั้นเองทั้งเขาและนางก็รู้สึกว่าตนเองหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่งที่สุดแสนจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตา พอลืมตาขึ้นมาเพียงชั่วครู่ พวกเขาทั้งสองก็มาปรากฏกายอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งที่ใหญ่โตมโหฬารมาก


    สภาพอากาศโดยรอบของหวายหนานนั้นเย็นสบายเนื่องจากว่าอยู่ติดกับแม่น้ำซินเหอ ประกอบกับต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวที่รายล้อมไปรอบๆ บ้านของตระกูล ซึ่งดูแล้วรู้สึกเย็นสบายและให้ความสดชื่นแก่ผู้ที่มาเยือน จึงทำให้บรรยากาศโดยรอบของบ้านตระกูลหวังนั้นร่มเย็น เฉกเช่นบุคลิกของคุณชายหวังที่พาพวกเขาทั้งสองมาที่แห่งนี้


    "บ้านของสกุลหวังนั้นงดงามและดูร่มเย็นเหลือเกิน" หลิวเหวินจินพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น "ข้าชอบยิ่งนักที่ได้มองเห็นต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวเช่นนี้ ประกอบกับไอหมอกสุดแสนจะเย็นสบาย มันทำให้ข้ารู้สึกสดชื่นยิ่งนัก!"


    "เจ้าชอบหรือ"


    เด็กหนุ่มคนหนึ่งจากตระกูลหวังเอ่ยปากถาม


    หลิวเหวินจินพยักหน้าพลางโบกพัดขนนกไปด้วย "แน่นอน! ข้าชอบที่แห่งนี้มาก!"


    ทันใดนั้นเองชายคนที่เอ่ยปากถามหลิวเหวินจินนั้นก็ถูกดึงกลับมาทันที "สำรวมมารยาทหน่อยหวังเจี้ยนเฉิง เราเป็นเจ้าบ้าน เราต้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองให้ดีๆ "


    "โธ่เอ๋ย ท่านประมุขหวังจื่ออี้ขอรับ ข้าแค่ถามนางเล่นๆเอง มิได้จริงจังเสียหน่อยขอรับ"


    หวังเจี้ยนเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย ทว่าในขณะนั้นเองก็แอบมองหลิวเหวินจินที่เดินข้างๆ เซียวจ้านไปด้วย ทางด้านหญิงสาวนั้นมิรู้แจ้งเห็นชัดอันใดแม้แต่น้อย หากแต่ว่าโบกพัดขนนกในมือในขณะที่เดินไปยังห้องโถงขนาดใหญ่ของตระกูลหวัง


    ตัวหนังสือขนาดใหญ่ที่ลอยเห็นเด่นชัดถูกเขียนเอาไว้เหนือบานประตูสีเขียว หัวใจของเซียวจ้านนั้นเต้นโครมครามประดุจดั่งเกิดสายฟ้าฟาดลงที่กลางกระหม่อมและลากยาวไปถึงหัวใจซ้ำๆ เขารู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ จนทำให้เขานั้นต้องก้มหน้ามองด้ายแดงของตนเองที่ลากยาวไปหาหวังอี้ป๋อเพื่อหลบสายตาของผู้อาวุโสแห่งตระกูลหวัง อย่างน้อยการมองด้ายแดงนั้นก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมามาก เพราะอย่างน้อยเขาเองก็ยังมีคนที่เป็นบุพเพสันนิวาสอยู่เคียงข้าง มิได้ห่างไกลเหมือนตอนแรกอีกแล้ว


    ชายชราร่างสูงใหญ่นั้นเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหวังแห่งหวายหนาน มีคำกล่าวขานแว่วมาแต่ไกลว่าผู้อาวุโสหวังนั้นเป็นผู้ที่เคร่งครัดในเรื่องกฎระเบียบของตระกูลหวังที่มีมาแต่ช้านานเป็นอย่างมาก ผู้ใดจะฝ่าฝืนหรือไม่ทำตามไม่ได้ มิเช่นนั้นอาจถูกลงโทษตามกฎระเบียบที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ทำให้ผู้คนหลายคนต่างก็กล่าวขานกันว่ากฎระเบียบของตระกูลหวังนั้นมีรายละเอียดยิบย่อยเสียยิ่งกว่าดวงดาราบนท้องฟ้าในยามราตรีกาลเสียอีก


    เซียวจ้านเองก็เคยได้ยินคำกล่าวขานนี้มานานแล้วเช่นกัน ซึ่งเขาเองก็จำไม่ได้ว่าตั้งแต่ตอนไหน ในคราแรกเขาสาบานกับตนเองเลยว่าจะไม่ยุ่งกับคนของสกุลหวังเด็ดขาด เพราะเขาไม่ชอบการเคร่งเรื่องกฎระเบียบจนเกินความพอดี ทว่าในตอนนี้เขาต้องแสร้งทำเป็นว่าลืมคำสัตย์สาบานที่ตนเองคิดเอาไว้ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ


    นอกเหนือจากนี้เซียวจ้านยังได้ยินมาอีกว่ากฎระเบียบของตระกูลหวังนั้นมีมากและมีรายละเอียดถี่ยิบย่อยอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน โดยรวมแล้วกฎระเบียบของสกุลหวังนั้นมีห้าร้อยกว่าข้อ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากกันเลยทีเดียว ภายในใจเซียวจ้านเองก็ห่วงความรู้สึกของคนในสกุลหวังด้วยเช่นกันว่าพวกเขาจะรู้สึกอึดอัดปานใดเมื่อต้องมาปฏิบัติตามกฎระเบียบมากมายตั้งห้าร้อยกว่าข้อเยี่ยงนี้


    "อสูรมัจฉาถูกกำจัดแล้วขอรับ" หวังจื่ออี้รายงานถึงการปราบมารครานี้ให้ผู้อาวุโสฟัง


    "เยี่ยมยอด" ผู้อาวุโสกล่าวด้วยความพอใจ "สมแล้วที่เป็นลูกหลานแห่งสกุลหวังที่เป็นเลิศแห่งการปราบมารปราบปีศาจ"


    "ขอบพระคุณขอรับ" เด็กหนุ่มคนหนึ่งในตระกูลหวังคำนับ "ทว่าภารกิจเหล่านี้จักไม่สำเร็จหากไร้ซึ่งเซียนและนักบุ๋นพเนจรทั้งสองคนนี้ช่วย" เขาผายมือไปที่เซียวจ้านและหลิวเหวินจินที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าและท่าทีที่ประหม่า ทว่านางเองก็ยังคงโบกพัดขนนกในมือไปมาเพื่อให้ตนเองใจเย็นลง


    "เซียนและนักบุ๋นพเนจรหรอกหรือ" ผู้อาวุโสลูบคางของตนเอง "ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าห้ามพาคนนอกที่มิใช่คนในสกุลหวังเข้ามาเด็ดขาด! นี่ผิดกฎลำดับที่สองร้อยเก้าสิบเก้า ว่าด้วยการนำบุคคลภายนอกที่มิใช่คนในตระกูลหวังเข้ามาในบ้านเด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่าเป็นคู่หมั้นหรือสามีภรรยาแล้วเท่านั้น! พวกเจ้าอยากถูกเฆี่ยนเช่นนั้นหรือ!"


    ทั้งเซียวจ้านและหลิวเหวินจินต่างก็กดคอลงทันทีที่ได้ยินเสียงอันแหบแห้งแต่ทรงพลังของผู้อาวุโสนั้นดังออกมาจากหน้าห้อง อีกทั้งยังได้ยินที่เขายังบอกอีกว่าผิดกฎข้อที่สองร้อยเก้าสิบเก้าที่ห้ามนำบุคคลภายนอกเข้ามาในตระกูลเด็ดขาด ทั้งสองต่างก็มองหน้ากันหลังจากที่จบประโยคของผู้อาวุโสแล้ว ความคิดของพวกเขาทั้งสองนั้นต่างเห็นพ้องต้องใจกันทันทีว่าเหตุไฉนตระกูลหวังถึงมีกฎที่พิลึกพิลั่นเช่นนี้ด้วย ทว่าพวกเขาทั้งสองก็มิอาจเอ่ยปากถามไถ่ถึงความประสงค์นี้ไปได้ มิเช่นนั้นอาจเกิดเหตุร้ายขึ้นอย่างแน่นอน


    "หามิได้ขอรับท่านผู้อาวุโส" เด็กหนุ่มอีกคนพูด "เซียนและนักบุ๋นพเนจรทั้งสองคนนี้ช่วยพวกเราเอาไว้ในการต่อสู้กับอสูรมัจฉา หากพวกเราไม่กล่าวคำขอบคุณพวกเขา จะถือว่าเป็นการมิให้เกียรตินะขอรับ"


    "แล้วใครสั่งให้พวกเขาเข้ามา!"


    ผู้อาวุโสถามขึ้นมาอีกครั้ง คำถามนี้ทำให้คนสกุลหวังหันไปมองคนที่อนุญาตให้เข้ามาทันทีโดยไม่ได้นัดหมายกัน เซียวจ้านย่นคอลงเล็กน้อยเมื่อทุกคนหันไปมองหวังอี้ป๋ออย่างรวดเร็ว ขณะนั้นเองร่างบางก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นจนแทบจะหลุดออกมาจากอกก็ไม่ปาน


    เขากลัวเหลือเกินว่าผู้อาวุโสแห่งสกุลหวังนั้นจะขับไล่เขาและหลิวเหวินจินออกไป ซึ่งเขาและนางก็ต้องตามหาโรงเตี๊ยมตามหมู่บ้านที่พเนจรไปเรื่อยๆ โดยไร้ซึ่งจุดหมายปลายทาง ทว่าสิ่งที่แย่กว่าการพเนจรไปเรื่อยๆ นั้นก็คือ เขาจะไม่มีโอกาสในการพบเจอกับหวังอี้ป๋ออีก และด้ายแดงที่เชื่อมถึงกันและกันนั้นก็ไม่มีความหมาย


    "ข้าแต่ผู้อาวุโสแห่งสกุลหวัง พวกเขาทั้งสองเป็นคนพเนจรก็จริง หากแต่ว่าความสามารถในการปราบมารของพวกเขานั้นถือเป็นเลิศ อีกทั้งยังได้ช่วยพวกเราได้เป็นอย่างมาก ข้าเกรงว่าหากพวกเราสกุลหวังขอยืมมือพวกเขาทั้งสองมาช่วยกันอีกแรง เราทั้งหมดก็จะสามารถโค่นล้มอำนาจของอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตง และขจัดเหล่ามารออกไปจากแผ่นดินได้อย่างแน่นอน"


    หวังอี้ป๋อมีสีหน้านิ่งๆ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น เขาพูดด้วยประโยคที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยเหตุผลอันล้ำลึกเสียยิ่งกว่ามหาสมุทรใดๆ บนโลกใบนี้ ซึ่งประโยคเหล่านี้ทำให้คนฟังทุกคนนั้นต่างก็เข้าใจและเห็นด้วยในสิ่งที่เขาพูด แม้กระทั่งเซียวจ้านเองที่ฟังตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังรู้สึกเชื่อถือกับสิ่งที่หวังอี้ป๋อพูดมาทั้งหมด


    ผู้อาวุโสตระกูลหวังลูบเคราอีกครั้ง "หากเป็นเช่นนั้นก็ดี ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าทั้งสองพำนักอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ แต่พวกเจ้าทั้งสองอย่าก่อเรื่องภายในตระกูลหวังให้เดือดร้อนก็แล้วกัน มิเช่นนั้นข้าจะขับไล่พวกเจ้าทั้งสองออกไปแล้วก็ต้องเป็นคนพเนจรอีกคราโดยมิมีเงื่อนไขใดๆ เข้าใจแล้วใช่หรือไม่"


    "ขอรับ / เจ้าค่ะ"


    เซียวจ้านและหลิวเหวินจินตอบพร้อมกัน ภายในใจเองก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาพบเจอกับบุคคลที่เข้มงวดเรื่องกฎระเบียบเสียยิ่งกว่ากระไร ทว่าพวกเขาทั้งสองเองก็ไม่แสดงความคิดเห็นสิ่งใดออกมา แม้กระทั่งสีหน้าว่าตอนนี้ไม่พอใจหรือว่าไม่ชอบบุคคลคนนี้ ทำได้เพียงสกัดกั้นอารมณ์ที่ค่อนข้างขุ่นมัวเอาไว้ในใจ


    "แล้วพวกเจ้าทั้งสองมีชื่อว่ากระไรหรือ"


    ผู้อาวุโสถามขึ้นมา เซียวจ้านมองหน้าหลิวเหวินจินเพื่อเป็นการบอกกลายๆ ว่าให้นางตอบคำถามของผู้อาวุโสที่แสนเคร่งครัดผู้นี้แทนเขา นางถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความเอือมระอาที่เซียวจ้านมิยอมตอบคำถามใดๆ ออกไปเลย อีกทั้งยังปล่อยให้นางตอบแต่เพียงผู้เดียว นางถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบออกไปตามที่คำถามได้ถูกถามออกมาให้ผู้อาวุโสและคนสกุลหวังได้รับทราบ


    "ข้าน้อยมีนามว่าหลิวเหวินจิน ส่วนคนนี้คือสหายของข้าน้อย นามว่าเซียวจ้านเจ้าค่ะ"


    "หลิวเหวินจินกับเซียวจ้านอย่างนั้นหรือ" ชายชราพูด "เป็นชื่อที่แสนไพเราะและน่าสดับฟังยิ่งนัก ทว่าข้าขอถามอีกคำถามหนึ่ง เหตุใดสหายของเจ้าที่มีนามว่าเซียวจ้านนั้นถึงสวมหน้ากากอำพรางใบหน้าเอาไว้เล่า เกิดเหตุร้ายขึ้นกับเขาอย่างนั้นหรือ"


    หลิวเหวินจินคุมสติของตนเองก่อนจะตอบคำถามออกไป ซึ่งตัวนางเองต้องตอบคำถามโดยมิให้ตัวของเซียวจ้านเสียหายให้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้นางรู้สึกหนักใจเป็นส่วนหนึ่ง ทว่านางต้องมิให้ผู้ใดเห็นใบหน้าและรับรู้เรื่องราวของเซียวจ้านเด็ดขาด มิเช่นนั้นทั้งนางและเขาต่างก็ต้องเสียหายไปด้วยกันเป็นแน่แท้ เพราะอาจจะถูกหางเลขไปกับเรื่องขององค์จักรพรรดิที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว นางกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างลำบาก ก่อนจะตอบคำถามของผู้อาวุโสแห่งสกุลหวังด้วยสีหน้าเรียบๆ


    "เมื่อครั้นที่เขายังอยู่ในช่วงเยาว์วัย บ้านของเขาเกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง เนื่องจากโจรภูเขาเข้ามาขโมยของและวางเพลิงบ้าน ซึ่งเขาถูกไฟคลอกและเกือบไม่รอดชีวิต ยังโชคดีที่ชาวบ้านในละแวกนั้นได้กลิ่นควันและช่วยกันดับไฟ ทว่าโจรภูเขาหนีออกไปได้ หลังจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ครานั้นทำให้ใบหน้าส่วนแก้มซ้ายของเขานั้นมีรอยแผลเป็น เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมากจึงต้องสวมหน้ากากเอาไว้อำพรางใบหน้าของเขาเอาไว้เจ้าค่ะ"


    เซียวจ้านรู้สึกอึ้งอยู่ภายในใจ เพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่าหลิวเหวินจินจะปั้นน้ำเป็นตัวไปอย่างแยบยลได้ถึงเพียงนี้ ซึ่งตัวเขาเองก็มิอาจล่วงรู้ได้เลยว่ากลุ่มในห้องนี้จักมีผู้ใดเชื่อในสิ่งที่นางเล่าหรือไม่ ที่แน่ๆ ก็คือหวังอี้ป๋อดูเหมือนจะไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูดเท่าไหร่นัก ทว่าอีกฝ่ายก็มิได้พูดสิ่งใดออกมาเลย ราวกับว่ากำลังจับโกหกทั้งเขาและนางอยู่ก็มิปาน


    "ช่างน่าสงสารยิ่งนัก" ผู้อาวุโสกล่าว "แล้วแม่นางหลิวเหวินจินมาจากที่แห่งใดหรือ ดูจากการแต่งตัวของเจ้านั้นดูเหมือนมาจากสกุลหลิวแห่งเสวี่ยนหยวนยิ่งนัก"


    ก็นางเป็นลูกหลานของสกุลหลิวนี่ หากไม่แต่งตัวเยี่ยงนี้แล้วจะให้แต่งตัวเป็นเยี่ยงไร เซียวจ้านคิดในใจ


    "เจ้าค่ะ" นางตอบรับ "ข้าน้อยเป็นลูกหลานสกุลหลิวแห่งเสวี่ยหยวน บัดนี้สกุลของข้านั้นล่มสลายไปแล้วเจ้าค่ะ เนื่องจากพวกเราถูกโจมตีในระหว่างทางที่มาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ และถูกแย่งชิงดาบไร้ฆาตไป"


    "ดาบไร้ฆาต!" เด็กหนุ่มสกุลหวังคนหนึ่งอุทานเสียงดัง "เป็นดาบที่สามารถสังหารเหล่าภูตผีปีศาจ รวมไปถึงเหล่ามารทมิฬร้ายทั้งหลายนี่! สกุลหลิวของนางเป็นผู้ครอบครองดาบไร้ฆาตเองหรอกหรือ!"


    "เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด"


    ผู้อาวุโสถามต่อ


    หลิวเหวินจินย่นคิ้วลงเพื่อใช้ความคิด มือข้างขวาของนางที่ถือพัดและโบกไปโบกมาก่อนหน้านี้ได้หยุดชะงักลง "ข้าน้อยมิรู้ว่าเป็นผู้ใดเจ้าค่ะ เมื่อตอนฟื้นขึ้นมาได้ไม่นานนักข้าน้อยนึกสิ่งใดไม่ออกเลย แต่พอข้าน้อยนึกย้อนกลับไปในช่วงที่ถูกลอบโจมตี ข้าน้อยนึกภาพได้รางๆ ว่าผู้ที่เข้ามาลอบโจมตีพวกเรานั้นสวมผ้าคลุมสีแดงและมีลายมังกรสีทองปักอยู่ เพียงเท่านั้นเองเจ้าค่ะ"


    ทุกคนในที่นี้ต่างก็เงียบกริบเพื่อใช้ความคิดว่าสิ่งที่นางเห็นนั้นเป็นผู้ใด จากสำนักใดหรือตระกูลใดที่มีความบาดหมางกับตระกูลหลิวของนางที่ล่มสลายไปแล้วบ้าง ทว่าพวกเขาเองก็มิอาจหาข้อสันนิษฐานออกมาได้เลย


    เด็กหนุ่มตระกูลหวังพยายามรบเร้าให้หลิวเหวินจินนึกภาพที่นางเห็นก่อนจะสลบไปเพื่อรับทราบเรื่องราว ทว่าก็ถูกผู้อาวุโสให้หยุดถามนางก่อน เพราะในตอนนี้นางยังนึกสิ่งใดไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นนางอาจหลงๆ ลืมๆ บางเหตุการณ์ไปแล้ว ต้องรอให้นางนึกทบทวนดูเสียก่อนไปสักระยะหนึ่งก่อนจะถามอีกครั้งเพื่อความแน่ชัด


    "เอาละๆ ดูเหมือนว่าบัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว พวกเจ้าช่วยไปส่งท่านเซียนเซียวจ้านและแม่นางหลิวผู้นี้ไปที่ห้องพักหน่อย ก่อนที่พวกเราจะสืบหาเบาะแสต่างๆ ต่อไป" ผู้อาวุโสบอกก่อนจะหันไปพูดกับหลิวเหวินจิน "พวกเราต้องรบกวนพวกเจ้าทั้งสองหน่อยแล้วล่ะ แม่นางหลิว"


    เซียวจ้านและหลิวเหวินจินคำนับผู้อาวุโสตระกูลหวังอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินตามเหล่าเด็กหนุ่มไปอย่างเงียบๆ ระหว่างที่เดินไปยังที่ห้องพักนั้นทั้งสองก็ได้ชมนกชมไม้ถึงความสวยงามของหวายหนานไปด้วย พลางคิดในใจว่าอย่างน้องพวกเขาทั้งสองก็มิได้นอนข้างทาง ในป่าหรือดั้นด้นหาโรงเตี๊ยมสักหลังเพื่อพักผ่อนจากเดินทาง


    ลมเย็นๆ พัดผ่านร่างบางจนชายเสื้อสีดำและผ้าผูกผมสีแดงดุจโลหิตปลิวไสวลู่ลม ชั่วขณะนั้นเองเซียวจ้านก็รู้สึกหนาวขึ้นมากะทันหัน เขาไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศเย็นๆ เช่นนี้เลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ลมพัดผ่านร่างเขามาเพียงครู่เดียวก็ทำให้เขารู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาแล้ว


    หางตาของร่างบางดันเหลือบไปเห็นหลิวเหวินจินที่มีสีหน้านิ่งๆ ไร้อารมณ์และความรู้สึกใดๆ ผ่านใบหน้าของนาง ในขณะที่คนอื่นๆ นั้นต่างก็ยกมือทั้งสองขึ้นมาลูบแขนป้อยๆ เพื่อคลายความหนาวเย็น เว้นแต่หวังอี้ป๋อและนางเท่านั้นที่ไม่กระทำเช่นนั้น หวังอี้ป๋อเขาไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดถึงทนความหนาวได้ แต่กับหลิวเหวินจินนี่สิ เขาไม่เคยเห็นนางอยู่ในสภาพนิ่งๆ เช่นนี้มาก่อนเลย


    "เจ้ามิหนาวหรือ" เซียวจ้านถามหลิวเหวินจินในขณะที่เขายกมือทั้งสองมาลูบแขนเพื่อให้ความอบอุ่น นางส่ายหน้าไปมาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแสนเรียบนิ่ง


    "มิหนาวหรอก ที่เสวี่ยนหยวนของข้านั้นหนาวเสียยิ่งกว่าหวายหนานอีก อาจเป็นเพราะว่าข้าคงคุ้นเคยกับสภาพอากาศเฉกเช่นเสวี่ยนหยวนกระมัง ข้าถึงมิรู้สึกว่าหนาวจนปวดกระดูกใดๆ เลยแม้แต่น้อย"


    เซียวจ้านเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เสวี่ยนหยวนนั้นเป็นสถานที่ที่อยู่ทางตอนเหนือและมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี มิเคยพบเจอกับฤดูร้อนเลยสักครั้งเดียว ฉะนั้นจึงมิแปลกใจเลยหากนางมาที่หวายหนานแล้วบอกว่าไม่รู้สึกหนาวเลย เป็นเพราะนางคุ้นเคยกับสภาพอากาศที่หนาวจนปวดกระดูกมาก่อนแล้วนั่นเอง


    ความเงียบเข้าปกคลุมทันทีที่นางพูดจบ เซียวจ้านพยายามหาทางชวนนางคุยเพื่อที่จะไม่ให้ทั้งตัวเขาและนางรู้สึกกดดันจากเด็กหนุ่มตระกูลหวังที่เดินอยู่ด้านหน้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำถามเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ แต่เขาก็จำเป็นต้องเริ่มต้นบทสนทนาออกมา


    "พัดของเจ้ามีชื่อเรียกไหม"


    "มีสิ" หลิวเหวินจินพยักหน้าในขณะที่โบกพัดไปด้วย "มันมีชื่อว่าพัดขนนกชิงหลิง"


    "แล้วดาบไร้ฆาตที่เจ้าว่าถูกชิงไปนั้น ตระกูลหลิวของเจ้าเก็บรักษามานานแล้วหรือ"


    "ใช่แล้ว" นางพยักหน้า "ตระกูลหลิวเก็บรักษามาตั้งแต่ครั้นบรรพกาล ผู้อาวุโสนั้นได้กล่าวเอาไว้ว่าจงเก็บรักษามันยิ่งชีพ หากมันไปอยู่ในมือของเหล่าอธรรมอาจทำให้แผ่นดินถึงกาลอวสาน ซึ่งตอนนี้มันก็ตกไปอยู่ในมือของพวกมันแล้ว และพวกเราต้องแย่งชิงมันมาให้ได้เพื่อสังหารเทพแห่งมารทมิฬ"


    "สกุลของเจ้าเป็นถึงผู้ที่ครอบครองดาบไร้ฆาต เหตุใดถึงมิติดอันดับของตระกูลปราบมารเล่า ข้าคิดว่าตระกูลของเจ้าติดกับคนอื่นเขาด้วยเสียอีก"


    หลิวเหวินจินสูดลมหายใจเพราะเริ่มคันจมูก "สกุลของข้าได้ให้คำสัตย์ปฏิญาณต่อฟ้าดินว่าจะมิยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใดที่ทำให้เกิดชื่อเสียงขึ้นมาเช่นการปราบมาร มิเช่นนั้นอาจทำให้เหล่ามารทมิฬบุกเข้าโจมตีเพื่อแย่งชิงดาบไร้ฆาตก็เป็นได้ ยิ่งมีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ก็อาจทำให้มีผู้ที่ต้องการครอบครองดาบไร้ฆาตมากขึ้นเท่านั้น ทว่าการทำเช่นนั้นก็มิได้ช่วยทำให้เกิดผลประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อย มันทำให้พวกเราก็พบกับจุดจบอันน่าสังเวช เหลือเพียงแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น"


    น้ำเสียงของนางนั้นสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด เซียวจ้านตำหนิตนเองในใจว่ามิควรกระทำเช่นนี้เลย ในตอนแรกเขาคิดว่าจะชวนนางสนทนาพูดคุยกันแก้เบื่อ ทว่าตอนนี้กลับไม่ทำให้หายเบื่อหากแต่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างนั้นมันแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก ร่างบางพูดสิ่งใดมิออก ทำได้เพียงแค่กล่าวคำขอโทษเท่านั้น


    "เอ่อ...ข้าขออภัยด้วยที่ถามเจ้ามากเกินไปจนเกินความพอดี"


    "มิเป็นไรดอก ข้าเองก็ทำใจได้บ้างแล้ว" นางกล่าวอย่างใจดีพร้อมกับโบกพัดขนนกในมือไปด้วย "ท่านจงอย่ากังวลไปเลย"


    เซียวจ้านมิพูดสิ่งใดออกมา หากแต่พยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการตอบรับนางแทน ขณะนั้นเสียงบทสนทนาจากเด็กหนุ่มตระกูลหวังดังออกมาจากด้านหน้าของเซียวจ้านและหลิวเหวินจิน ซึ่งตัวร่างบางเองก็อยู่อย่างเงียบๆ พลางเงี่ยหูฟังไปด้วย ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังสนทนาอยู่นั้นมันเป็นหัวข้อเรื่องใด


    "หนึ่งปีที่ผ่านมานี้เหล่ามารมีจำนวนมากเป็นว่าเล่น แล้วหลังจากนี้พวกเราควรลงมือทำเยี่ยงไรดี"


    "ข้าเห็นด้วยกับหวังฮ่าวเซวียน" เด็กหนุ่มอีกคนตอบ "พวกมารเยอะขึ้นเป็นกอง ลำพังแค่ห้าตระกูลคงมิไหวแน่นอน แค่นั้นยังมิพอ ทางราชสำนักก็อยู่ในสภาพรอมร่อเพราะอำนาจของอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงนั่นอีก สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาใหญ่ระดับแผ่นดินทั้งสิ้น"


    "ข้ายังได้ยินข่าวมาอีกนะ ว่าอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงนั่นน่ะยังรู้จักมักจี่กับเจ้าแห่งมารทมิฬฉีลานั่นอีก มิแปลกเลยว่าเหตุใดแผ่นดินถึงระส่ำระสายไม่เป็นท่าเช่นนี้ ข่าวโคมลอยมาอีกนะว่าอัครมหาเสนาบดีผู้ชั่วช้าสามานย์นั่นน่ะยังมีพลังมารในตัวอีก"


    หวังจื่ออี้พูด "มิผิดๆ เป็นเรื่องจริง เพราะหลังจากที่เขารู้จักมักจี่กับมารทมิฬแล้ว เขาก็เอ่ยปากขอพลังจากเจ้ามารทมิฬฉีลาเพื่อเป็นพลังในการครอบครองอำนาจของทางราชสำนักและแผ่นดิน อีกทั้งยังกล่าวหาใส่ร้ายด้วย จึงมิแปลกเลยว่าเหตุใดเหล่าขุนนางและทหารที่จงรักภักดีบางคนก็หนีออกไป บางคนก็ตัดสินใจที่จะจบชีวิตตนเอง"


    ทันทีที่เซียวจ้านฟังจนถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกว่าสันหลังของตนเองนั้นเย็นวาบขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ขุนนางกับทหารที่จงรักภักดีต่อองค์กษัตริย์ที่หนีออกไปและเลือกที่จะจบชีวิตของตนเองลงก็มีตัวเขาเอง ทุกคราที่เขาได้ยินบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็จะรู้สึกหวาดระแวงไปหมดเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ ถึงแม้ว่าหัวข้อนั้นจะเป็นเรื่องที่มิได้กล่าวหาผู้ใดก็ตาม ซึ่งเซียวจ้านเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหัวข้อบทสนทนาที่ทำให้เขาหวาดผวามากที่สุดในชีวิตจะเป็นเรื่องนี้


    อีกทั้งการสวมหน้ากากตลอดนั้นมิอาจจะช่วยให้เขาปลอดภัยเสมอไปได้ เพราะว่าวันใดวันหนึ่งเขาอาจถูกบังคับให้ถอดมันออกหลังจากที่สถานการณ์แย่ลง หากใบหน้าของเขาถูกเปิดเผยเมื่อใด บัดนั้นความย่อยยับก็อาจจะมาถึงก็เป็นได้ สิ่งที่เขาทำได้เพียงตอนนี้ก็คือสวมมันไปเสียก่อน หากจะถอดมันออกก็แค่ก่อนนอนหรืออยู่กับหลิวเหวินจินเพียงสองคนเท่านั้น เพราะการที่ถอดหน้ากากออกเพื่อเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่แท้จริงนั้นอาจจะถูกสังหารด้วยความเข้าใจผิดว่าลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิก็เป็นได้ และตอนที่เขาอยู่กับหลิวเหวินจินเพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งตัวเขามีความสบายใจมากกว่าการอยู่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เฉกเช่นตอนนี้เป็นต้น


    หลิวเหวินจินมองเห็นสีหน้าดูเศร้าสร้อยของเซียวจ้าน นางรีบยกมือขึ้นมาตบหลังของร่างบางเบาๆ เพื่อเป็นการบอกใบ้ว่าให้ใจเย็นลง อย่าได้กลัวและอย่าได้กังวลเกี่ยวกับปัจจุบันเลย เพราะอนาคตยังมาไม่ถึง ไม่แน่เด็กหนุ่มสกุลหวังเหล่านี้อาจเห็นใจเซียวจ้านผู้นี้ก็เป็นได้ เพราะเขาเองก็ตกเป็นผู้เสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้เช่นกัน


    เซียวจ้านเงยหน้ามองหญิงสาวอย่างช้าๆ พลางพยักหน้าไปมาเพื่อเป็นการบอกว่าเขาได้รับคำปลอบโยนจากนางแล้ว และจะพยายามไม่วิตกกังวลกับเรื่องนี้อีก เด็กหนุ่มสกุลหวังเดินไปด้วยพูดคุยไปด้วยในระหว่างที่นำทางเขาและหลิวเหวินจินไปยังห้องพักที่ได้ตระเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว


    "ห้องนอนของเจ้าอยู่ตรงนี้" เด็กหนุ่มสกุลหวังคนหนึ่งบอกหลิวเหวินจิน ก่อนจะหันไปบอกเซียวจ้านต่อ "ส่วนเจ้า อยู่ห้องนี้"


    "ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ลำบากพวกท่านมากแล้ว" หลิวเหวินจินคำนับ เซียวจ้านเองก็คำนับตามนางแต่ก็มิได้พูดกระไรออกมา


    "มิเป็นไรดอก หากว่ามีปัญหาใดเกิดขึ้น พวกเจ้าทั้งสองบอกพวกเราได้นะ"


    หวังเจี้ยนเฉิงกล่าวตอบนางอย่างใจดี


    หลิวเหวินจินส่งยิ้มให้ "เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะจำเอาไว้"


    หลังจากที่เด็กหนุ่มสกุลหวังส่งทั้งสองมายังห้องพักเรียบร้อยแล้วจึงหมุนตัวเดินกลับไปที่ทางเดิม ในขณะนั้นเองชายที่แสนเย็นชาและมีนามว่าหวังอี้ป๋อนั้นมองมาที่ทั้งสองด้วยสายตาเรียบนิ่งโดยไร้ความรู้สึกใดๆ เด็กหนุ่มสกุลหวังทั้งหมดเดินผ่านร่างของเขาไปจนคนสุดท้ายจึงจะหมุนตัวเดินกลับตามพวกเขาไปและมิได้พูดสิ่งใด


    "ชายคนนั้นคือหวังอี้ป๋อใช่ไหม เย็นชาเสียไม่มี" หลิวเหวินจินเริ่มต้นบทสนทนา "ตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาที่นี่ เขาก็มิกล่าวต้อนรับหรือแม้กระทั่งจะสนทนากับพวกเราเลยสักประโยค ข้าล่ะไม่ชอบความเย็นชาปานน้ำแข็งของเขาเอาเสียเลย"


    "เขาคงพูดไม่เก่งกระมัง" เซียวจ้านตอบนาง


    "ทว่าข้าเองก็สังเกตเห็นท่าทางของเขาอยู่เช่นกัน เขามองมาที่ท่านตลอดเลย มีลับลมคมในกระไรหรือเปล่านี่"


    หลิวเหวินจินบอกเซียวจ้านเกี่ยวกับสิ่งที่นางเห็นเมื่อไม่นานมานี้ นางเห็นหวังอี้ป๋อเอาแต่มองมาที่เซียวจ้านอย่างไม่วางตา ตั้งแต่หลังจากที่ปราบอสูรมัจฉาแล้วก็เอาแต่มองมาที่เขาเป็นระยะๆ ทว่าอีกฝ่ายก็มิได้เอ่ยปากถามหรือว่าพูดกระไรแม้แต่ประโยคเดียว นางรู้สึกว่าตั้งแต่ที่นางและเขาพบกับหวังอี้ป๋อก็มิได้สนทนาต่อกันและกันเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าอยากจะพูดคุยด้วย ทว่าเมื่อได้เห็นสีหน้านิ่งๆ เรียบๆ และแสนเย็นชาปานน้ำแข็งก็ขอถอยหนีไปเสียดีกว่า


    "ไม่หรอก ข้าว่าเขาคงสงสัยว่าใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากของข้านั้นเป็นเยี่ยงไรมากกว่าว่าเป็นเยี่ยงไร แต่ข้ามิถอดมันให้เห็นใบหน้าของข้าหรอก มิเช่นนั้นชะตาของข้าถึงฆาตแน่นอน" เซียวจ้านพูด "แต่จะว่าไป แถวๆ นี้มีร้านสุราขายหรือไม่ ข้าอยากจะดื่มสักจอกสองจอกให้หายเหนื่อยเหลือเกิน ตั้งแต่เดินทางมาข้าก็มิได้ดื่มเลย"


    "วันนี้ท่านพูดมากขึ้นและหลงตัวเองมากขึ้นด้วยนะนี่" หลิวเหวินจินหยอกล้อ "ทว่าข้าเห็นร้านๆ หนึ่งตั้งอยู่ระหว่างทางที่พวกเราเดินทางมาที่แห่งนี้นะ ชื่อร้านว่ากระไรนะ...ร้านสุราฉางเอ๋อร์กระมัง ท่านจะลงไปซื้อสักจอกมาอย่างนั้นหรือ"


    เซียวจ้านพยักหน้า


    "ท่านมิกลัวกฎห้าร้อยข้อเหล่านั้นหรือ"


    เซียวจ้านส่ายหน้า


    "ท่านเซียวจ้าน หากท่านจะไปจริงๆ ท่านอาจจะพบเจอกับบทลงโทษของตระกูลหวังก็เป็นได้นะ เชื่อข้าเถิด ท่านจงอย่าไปเลย"


    "เจ้าเองก็อยากจะดื่มมิใช่หรือ" เซียวจ้านตอบพลางกอดอกและหรี่ตามองหลิวเหวินจิน "ในระหว่างทางข้าก็เห็นเจ้าเอาแต่มองหน้าร้านแล้ว อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นนะ"


    "ใช่ ข้าอยากดื่ม แต่มิได้หมายความว่าข้าจะลักลอบออกไปหรอกนะ"


    "เจ้ามิเคยฝ่าฝืนกฎหรือไร ลองดูหน่อยจะเป็นไรไป ข้าว่าสนุกดีออก"


    "ท่านสนุกไปคนเดียวเถอะ ข้ามิต้องการจะถูกลงโทษหรอกนะ" หลิวเหวินจินตอบพลางหมุนตัวหมายที่จะเดินเข้าไปในห้อง มือของนางคว้าเข้าที่ช่องว่างของประตูพร้อมกับเลื่อนออก มิวายก็หันมาพูดคุยกับเซียวจ้านก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องและเลื่อนปิดประตู "เชื่อข้าเถอะนะท่านเซียวจ้าน อย่าไปเลยจะดีกว่า"


    จบประโยคนั้นนางก็ปิดประตูและทิ้งให้เซียวจ้านยืนอยู่ด้านหน้าห้องพักของนางอยู่เพียงคนเดียว ตามบุคลิกและนิสัยของเขาเองก็เป็นคนที่ดื้อรั้นพอสมควร เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็จะลงมือทำเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาครอบครอง เรียกได้ว่าเป็นคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจคนหนึ่งเลยล่ะ เมื่อความต้องการของเขาก็คือการได้ดื่มสุราฉางเอ๋อร์ที่เขาหมายปองเอาไว้ตั้งแต่เดินทางมายังที่แห่งนี้ จะเป็นจะตายเยี่ยงไรเขาก็ต้องออกไปให้ได้



    กฎห้าร้อยข้อเหล่านั้นน่ะหรือ ช่างปะไร! ขอเพียงเขาได้ลิ้มลองรสชาติของสุราฉางเอ๋อร์ก็มิอาจเทียบเท่าได้แล้ว!



    เซียวจ้านหมุนตัวเดินไปที่ห้องของตนเองที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องของหลิวเหวินจิน หมกตัวอยู่แต่ในและเฝ้ารอให้ยามราตรีกาลมาถึง



    ++



    กาลเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ จนท้องฟ้าตกอยู่ในความมืดมิด ดวงจันทราสีเทาลอยเด่นอยู่บนท้องนภากว้าง สายลมอ่อนๆ พัดผ่านมาอย่างช้าๆ หมู่มวลบุปผาที่หุบลงแล้วและหญ้าสีเขียวปลิวไสวลู่ลมตาม หมู่มวลพลาหกล่องลอยอยู่เคียงข้างดวงจันทราโดยมิได้เคลื่อนไหว ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนแล้วแต่สงบนิ่ง ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว เปลวเทียนที่ประดับตามเสาไม้ ทางเดินและห้องแต่ละห้องของตระกูลหวังนั้นก็สั่นไหวตามแรงลม หากแต่ไร้ซึ่งการดับสูญสลายสิ้น ทั้งดวงจันทราและแสงของเปลวเทียนนั้นยังคงส่องสว่างให้มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ตกอยู่ใต้อาณัติของความมืดมิด


    แผ่นศิลาสีเทาสลักตัวอักษรเอาไว้อย่างเด่นชัดเพื่อเป็นการบอกว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่แห่งใดและเป็นของผู้ใด ป้ายนั้นสลักตัวอักษรเอาไว้ว่า 'สกุลหวังแห่งหวายหนาน' เซียวจ้านยืนอ่านอยู่บริเวณบันไดที่สูงชันและด้านนอกกำแพงสูงใหญ่ของตระกูลหวัง ในมือก็ถือขวดสุราเอาไว้สามไห มือขวาถือหนึ่งไหส่วนมือซ้ายก็ถืออีกสองไห ซึ่งเซียวจ้านได้จัดสรรการซื้อสุราของเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดื่มในระหว่างทางหนึ่งไห อีกไหหนึ่งก็เอามาให้หลิวเหวินจินดื่ม เพราะเขารู้อยู่แล้วว่านางเองก็อยากจะดื่มเช่นกันตั้งแต่ที่เดินทางมายังบ้านของสกุลหวัง แต่ในเมื่อความถูกต้องมันค้ำคอนางก็มิสามารถเดินทางไปซื้อกับเขาได้ ส่วนไหสุดท้ายเอาคาดเอาไว้ว่าจะดื่มในระหว่างที่เดินทางไปยังที่ไกลๆ


    แสงของดวงจันทราที่สาดส่องลงมานั้นแสนจะนุ่มนวลยิ่งนัก หากได้ดื่มสุราฉางเอ๋อร์ควบคู่กับการจ้องมองท้องฟ้าที่มีดวงจันทราสีเทาลอยเด่นและมีก้อนเมฆกับลมอ่อนๆ พัดผ่านมาเช่นนี้คงจะดูสวยงามเป็นอย่างมากจริงๆ


    เซียวจ้านพูดในใจในขณะที่เงยหน้ามองท้องนภาในยามราตรีกาล ซึ่งเป็นตอนที่เขากำลังจะปีนข้ามกำแพงอันสูงใหญ่เข้าไปข้างในของบ้านสกุลหวัง ประตูก็ปิดและลงกลอนเอาไว้อย่างแน่นหนาจนเขาไม่สามารถเปิดมันออกมาได้ เขาจึงจำเป็นต้องปีนข้ามกำแพงเข้าไปข้างในอย่างช่วยไม่ได้


    บ้านของสกุลหวังนั้นแสนจะใหญ่โตและกว้างขวาง ทว่าก็มิอาจทำให้เซียวจ้านต้องรู้สึกท้อถอยในการกลับเข้าไปเลยแม้แต่น้อย ตราบใดที่สุราฉางเอ๋อร์ที่อยู่ในมือของเขาตั้งสามไห เขาก็สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้โดยมิให้ผู้ใดสังเกตเห็น เขานำสุราสองไหที่เขาจะเก็บไว้ให้หลิวเหวินจินและเก็บเอาไว้ดื่มในภายภาคหน้ามัดติดกัน พร้อมกับนำเชือกที่เหลือเพียงแค่ปลายนั้นมามัดติดกับไม้ ก่อนที่จะปีนข้ามกำแพงเข้าไปข้างในของบ้านสกุลหวัง


    "สวยเหลือเกิน" เซียวจ้านอุทานขึ้นมาหลังจากที่ปีนมาถึงด้านบนของกำแพงที่มีหลังคาสีน้ำเงินอยู่ ดวงจันทราสีเทาลอยเด่นชัดอยู่บนท้องนภากว้าง ชักชวนให้เขานั้นต้องหยุดลงและต้องนั่งดื่มสุราพร้อมกับนั่งจ้องมองดวงจันทราไปด้วย เป็นระยะเวลานานมากที่เขามิได้นั่งดื่มสุราพร้อมกับชมจันทร์เช่นนี้ คงจะเป็นเวลาที่ผ่านมานานมากแล้วกระมัง


    มือบางดึงผ้าสีขาวที่ปิดปากไหออกและโยนออกไปไกลๆ หมายที่จะดื่มสุราฉางเอ๋อร์ที่เขาไปซื้อมา ในขณะที่กำลังจะกระดกสุราเข้าปากไปนั้น เสียงกระแอมไอของใครสักคนดังมาจากทางด้านซ้ายของเซียวจ้าน ทำให้ร่างบางตกใจอย่างแรงและรีบหันไปมองที่ต้นเสียง พบว่าเป็นคนที่เขาไม่ค่อยอยากจะพบเจอหน้าเสียเท่าไหร่นัก ทว่าตอนนี้มิสามารถหลีกเลี่ยงที่จะไม่พบเจอหน้าหรือหลบสายตาซึ่งกันและกันได้เลย



    หวังอี้ป๋อ



    "เอ่อ...คือ...คือว่า..." เซียวจ้านเลิ่กลั่ก มือก็พยายามซ่อนไหสุราเอาไว้เพื่อมิให้หวังอี้ป๋อเห็น "ทะ...ท่านก็มาชมจันทร์เหมือนข้าอย่างนั้นหรือ"


    หวังอี้ป๋อเงียบ ไม่ตอบคำถามของเซียวจ้าน หากแต่มองหน้าร่างบางด้วยสายตาเรียบนิ่งโดยไร้ซึ่งการแสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ซึ่งการแสดงแบบนั้นทำให้ร่างบางอย่างเซียวจ้านนั้นต้องรู้สึกอึดอัด ราวกับว่าเหมือนถูกทางการจับตัวและยัดเข้าคุกใต้ดินที่มืดมิดก็มิปาน และอยากหนีออกไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด เพราะในตอนนี้เขาถูกจับได้แล้วว่าแอบเอาสุราเข้ามาในบ้านของตระกูลหวัง อีกทั้งคำพูดของหลิวเหวินจินนั้นสุดแสนจะประกาศิต เป็นอย่างที่นางได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ ว่าความอยู่แต่ในห้องพัก อย่าออกไปซื้อสุรา


    เซียวจ้านสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะพูดกลบเกลือนความผิดของตนเองต่อไป "เอ่อ...คืนนี้ดวงจันทร์งดงามดีนะ ว่าไหมท่าน มัน...ทั้งกลมแล้วก็ส่องสว่างไสวเยี่ยงนี้น่ะ"


    หวังอี้ป๋อ "..."


    "ฮ่าๆๆ..." เซียวจ้านหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะพูดกลบเกลือนตอนไปด้วยสีหน้าเจื่อนๆ อีกทั้งยังรู้สึกขนลุกขนชันเพราะสายตาเย็นชาของอีกฝ่ายที่เอาแต่จับจ้องมาที่ตนเองอีกด้วย "หากมิใช่ว่าออกมาชมจันทร์ ท่านออกมาสูดอากาศในยามราตรีกาลกระนั้นหรือ ข้าว่าอากาศที่หวายหนานนั้นเย็นสบายมากๆ เลย ข้าชอบมากที่มีลมเย็นๆ และนั่งจิบสุราท่ามกลางดวงจันทร์เยี่ยงนี้น่ะ ท่านลองมานั่งตรงนี้และดื่มสุราชมจันทร์ไปกับข้าไหม"


    หวังอี้ป๋อ "..."


    "ท่านไม่อยากลองดูหน่อยหรือ ข้าว่ามัน..."


    "กฎของสกุลหวัง" หวังอี้ป๋อพูดขัดเซียวจ้าน เสียงแหวกแมกม่านแห่งความหนาวเหน็บของลมที่พัดผ่านร่าง ทำให้คนที่กำลังพูดนั้นต้องหยุดลงและต้องเงียบฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูด "หนึ่ง ห้ามออกท่องเที่ยวในยามราตรีกาล สอง ให้พำนักอยู่แต่ในห้องหลังยามซวี** อย่าได้ริออกมาเด็ดขาด และสาม ห้ามนำสุราเข้ามาดื่มในเขตของบ้านตระกูลหวังเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกคัดกฎห้าพันครั้งจบ ครบถ้วน ไม่ขาดไม่เกิน"


    เซียวจ้านกลืนน้ำลายลงคอ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพียงแค่หวังอี้ป๋อพูดเพียงประโยคเดียวนั้นจะทำให้เขารู้สึกว่าชะตากำลังจะขาดเช่นนี้ มือบางถือไหสุราแน่น ก่อนจะส่งยิ้มแหยๆ กลับไปให้ "เอ่อ...คือว่าข้าเป็นเพียงแค่คนพเนจรและมาขออาศัยที่นี่เพียงแค่วันสองวันเท่านั้นเอง ท่านช่วยอะลุ่มอล่วยให้ข้าหน่อยเถิด ข้าไม่รู้เช่นกันว่าสกุลหวังนั้นจะมีกฎข้อห้ามด้วย"


    หวังอี้ป๋อ "..."


    "จริงๆ นะ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าสกุลหวังมีกฎมากมายเช่นนี้ด้วย โปรดท่านเมตตาข้าด้วยเถอะ" เซียวจ้านอ้อนวอน "อ๋อ! ท่านอยากลองชิมสุราฉางเอ๋อร์หรือไม่ เป็นสุรารสชาติอร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยดื่มมาเลยนะ ข้าจะแบ่งให่ท่านไหหนึ่ง เราสองคนจะไม่มีสิ่งใดติดค้างกัน ท่านตกลงหรือไม่"


    "ติดสินบนถือเป็นโทษที่ร้ายแรง ต้องถูกโบยห้าสิบที เพราะถือว่าเป็นภัยของบ้านเมือง"


    เซียวจ้านย่นคอลง หลับตาแน่นและสูดลมหายใจเข้าออกเสียงดัง เกิดมาเขาไม่เคยพบเจอกับคนที่เจ้าระเบียบและโหดเหี้ยมเช่นนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ หวังอี้ป๋อคือคนแรกและคนเดียวที่สุดแสนจะน่ากลัวในชีวิตของเขา ในเมื่อการโน้มน้าวใจหรืออ้อนวอนนั้นไม่เป็นผลสำเร็จก็ต้องรีบหนี เซียวจ้านยิ้มแหยๆ ส่งไปให้กับหวังอี้ป๋อก่อนที่จะรีบลุกขึ้นเพื่อหลบหนี ทว่าก็ถูกกระบี่ของอีกฝ่ายพุ่งเข้าที่คอเสียก่อน ยังดีที่ใบมีดของมันนั้นไม่ปาดเฉือนเนื้อ



    หวังอี้ป๋อเป็นคนประเภทไหนกันนี่! รวดเร็วปานสายฟ้าและน่ากลัวเสียยิ่งกว่ามารทมิฬอีก!


    "ใจเย็นๆ นะท่าน ค่อยๆ พูดค่อยจาก็ได้" ร่างบางกล่าวพลางก้มศีรษะลงเพื่อหลบหลีกใบมีดที่จะเฉือนเนื้อของเขา ก่อนจะยืนตัวขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนี้เขารู้สึกขวัญหนีดีฝ่อเป็นอย่างมาก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหวังอี้ป๋อจะน่ากลัวและโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ "เอ่อ...นี่คือกระบี่หมิงเยว่ใช่หรือไม่ ดูสีของกระบี่นี่สิ เป็นสีเทาสีเดียวกันกับแสงจันทร์เลย สวยงามเหลือเกิน ข้าชอบนะ"


    จบประโยคนั้นเซียวจ้านรีบหมุนตัววิ่งหนีไปตามหลังคาทันที ขณะนั้นหวังอี้ป๋อก็กระโดดสูงมากดักทางเอาไว้และกวัดแกว่งกระบี่ในมือไปยังเซียวจ้านทันที โชคดีที่เขาหลบทันเพื่อเลี่ยงการปะทะอย่างซึ่งๆ หน้า ทว่าคมดาบที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้นได้ตัดปลายผมข้างของร่างบางไปเล็กน้อยและทำให้ร่างบางรู้สึกตกใจมาก ความคมกริบของดาบนั้นเพียงแค่เฉียดนิดหน่อยก็สามารถตัดเส้นผมออกไปได้แล้ว หากเป็นร่างกายของเขาเล่าจะเป็นเยี่ยงไรกันนะ


    คนตัวเล็กกระโดดสูงข้ามอีกฝ่ายไปทันทีเพื่อหนีการปะทะอีกครั้ง แต่แล้วเขาก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชอย่างหวังอี้ป๋อได้เลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้เซียวจ้านยกไม้ที่มัดสุราติดเอาไว้ตรงปลายตอนแรงนั้นขึ้นมาเพื่อป้องกันตัว หลังจากนั้นไม้ก็ขาดออกเป็นสองท่อนเนื่องจากความคมของใบมีด เซียวจ้านเบี่ยงหลบแรงปะทะของใบมีดได้ทันเวลาก่อนที่จะถูกฟันลงไป


    "ท่านอี้ป๋อ! ค่อยๆ พูดกันก็ได้ ไม่เห็นจะต้องใช้กำลังเช่นนี้เลย!"


    แต่หวังอี้ป๋อหาได้สนใจไม่ เขายกกระบี่ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อที่จะสั่งสอนชายคนนี้ให้หลาบจำที่ริบังอาจฝืนกฎของตระกูล เซียวจ้านร้องเหวอด้วยเสียงหลง รีบกระโดดข้ามหลังคาไปอย่างทุลักทุเลในขณะที่มือยังถือสุราสามไหเอาไว้ในมือ ตอนนี้เขามีความคิดว่าอยากจะกระโดดลงเหวปลิดชีวิตตนเองเหมือนอย่างตอนแรกเหลือเกิน หนีตายไปเสียก่อนที่จะถูกหวังอี้ป๋อสังหารนั้นยังจะดีกว่าอีก


    บนหลังคาของตระกูลหวังปรากฏให้เห็นถึงชายสองคนที่กระโดดไปมา แสงจันทราสีเทาสาดส่องลงมาและสะท้อนเงาของทั้งสองออกมาอย่างพลิ้วไหว ราวกับว่ากำลังร่ายรำอยู่ท่ามกลางความเงียบและลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านจนทำให้เหล่าต้นไม้ใบหญ้าสั่นไหวอยู่เป็นเนืองๆ เซียวจ้านก็กระโดดหมุนตัว หวังอี้ป๋อก็กระโดดพุ่งเข้าไปข้างหน้า ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนทุกสิ่งทุกอย่างนั้นพลิ้วไหวไปตามกายของทั้งสองที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาเฉกเช่นกลีบบุปผาอันสวยงาม


    "หยุดเถอะนะ! ข้ากลัวแล้ว! ฮือๆๆ!! " เซียวจ้านรู้สึกเหนื่อยจนแทบอยากจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง ทว่าตอนนี้ทำเสียงให้เหมือนกับว่าตนเองกำลังร้องไห้เพื่อให้หวังอี้ป๋อหยุดไล่ฆ่าเขาเสียที ในจังหวะนั้นเองที่เซียวจ้านกำลังหมุนตัวหันมาไกล่เกลี่ยหวังอี้ป๋อให้หยุดลง เขาก็สะดุดเข้ากับหลังคาที่ต่างระดับกัน ทำให้แผ่นหลังบางต้องกระแทกเข้ากับพื้นผิวของหลังคาอย่างแน่นอน


    ขณะนั้นเองหวังอี้ป๋อก็ตกใจเป็นอย่างมากด้วยเช่นกันแต่ก็มิได้แสดงสีหน้าออกมา เขาตัดสินใจยืดแขนที่มิได้ถือกระบี่นั้นออกไปสุดแรง เซียวจ้านที่ตกอยู่ในสภาพกระทำสิ่งใดไม่ถูกนั้นก็ทำได้เพียงร้องออกมาพร้อมกับบัดป่ายมือที่ถือสุราทั้งสามไปมาเพื่อหาที่ยึดเหนี่ยว ในระยะเวลาเพียงครู่เดียว มือหนาของหวังอี้ป๋อก็โอบรัดเข้าที่เอวบางของเซียวจ้านทันที ปลายผมที่ปล่อยสยายลงนั้นแตะลงบนพื้นผิวของหลังคาอย่างแผ่วเบา ขณะนั้นเองหน้ากากที่เซียวจ้านสวมเอาไว้ในหลุดออกเนื่องจากเขามัดไม่แน่นพอ บวกกับหนีการจับกุมของหวังอี้ป๋อด้วยกระโดดไปมานั้นทำให้ปมคลายตัวลง


    หน้ากากร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างรวดเร็วและเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้หน้ากาก หวังอี้ป๋อตกอยู่ภายใต้ภวังค์ของคนตรงหน้าตนเอง ใบหน้าที่สวยและงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ บวกกับแสงของดวงจันทราที่สาดส่องลงมานั้นขับเน้นให้ร่างบางตอนนี้ดูเหมือนหญิงสาวในวัยดรุณีเป็นอย่างมาก ดวงตากลมโต ขนตาดัดงอนได้รูป จมูกเป็นสันสวยงามและริมฝีปากสีแดงระเรื่อที่เผยอออกเหล่านั้นอีก ในตอนนี้เขาเหมือนถูกสะกดให้ตกอยู่ในห้วงแห่งความหลงใหลของเซียวจ้าน ทั้งชีวิตเขามิเคยพบเจอกับผู้ใดที่มีใบหน้างดงามเช่นนี้มาก่อนเลย ทุกสิ่งบนใบหน้าของร่างบางนั้นล้วนไร้ซึ่งรอยตำหนิใดๆ



    ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว มีเพียงแค่สายลมอ่อนๆ พัดผ่านกายของทั้งสองอีกครั้ง ชวนให้ยินเสียงฉินที่กำลังบรรเลงเพลงอยู่ในขณะนี้





    #ด้ายแดงป๋อจ้าน





    ___________________________

    *เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ตามความเชื่อปรับปราของจีน

    **ช่วงเวลาระหว่าง 19.00 - 20.59 น.



    TBC. [06.10.2019]

    ยัยจ้านซนจนก่อเรื่องจนได้ น่าจับมาตีจริงๆเลย! แต่แม่จะตีหนูได้ไงลู๊กกกกกก ในเมื่อหนูซนแล้วน่ารักแบบเน้ ;-;

    ก่อนอื่นเลยคืออยากจะบอกว่า คำศัพท์จำพวกไอเทม สถานที่หรือไม่ก็พลังปราณในเรื่องนี้ค่อนข้างมีจำนวนมากพอสมควร และเกรงว่าหลายๆคนอาจจะไม่เข้าใจในเนื้อเรื่องหรือนึกภาพไม่ค่อยออก เราก็เลยตัดสินใจว่าจะทำคลังคำศัพท์ภายในเรื่องขึ้นค่ะ และจะปรากฎอยู่ในตอนที่ 4 ของเรื่องนี้ หากใครไม่เข้าใจว่ามันเป็นยังไงหรือนึกภาพไม่ค่อยออกก็สามารถเข้าไปอ่าน หรือไปทำความเข้าใจได้นะคะ แต่ยังไงก็อย่ากังวลไปเลยนะคะว่าข้อมูลมีแค่นี้เองเหรอ จะมีเพิ่มอีกไหม เราอยากจะบอกว่าเราอัพเดตข้อมูลไปเรื่อยๆตามแต่ละตอนค่ะ เพราะฉะนั้นสบายใจได้เลยค่าา

    แล้วก็ตอนนี้เป็นตอนที่รู้สึกว่าจะแต่งนานที่สุดเลยด้วยเพราะสมองไม่ค่อยแล่น เส้าจัย ;-; คือว่าที่ผ่านมานั้นเรามีการฝึกงานของระดับชั้นม.ปลายค่ะ เราฝึกที่ร้านกาแฟแล้วก็เลิกดึกอีกด้วย ก็เลยทำให้เขียนได้เพียงแค่นิดๆหน่อยๆ อยากจะบอกว่าร้านกาแฟที่เราไปฝึกนั้นสุดแสนจะเงียบมากกกกกก มากของมากๆๆๆๆๆ เนื่องด้วยลูกค้าเข้าร้านน้อยมากและป้ายหน้าร้านก็ไม่มีค่ะ ถึงแม้ว่าจะมีเวลาว่างเยอะขนาดนั้นแต่ก็พยายามไม่เล่นโทรศัพท์มือถือนะคะ เพราะว่าอาจจะดูไม่ดีไม่งามด้วย พอกลับมาก็นอนสลบไสลไปเลยค่ะ ก็เลยทำให้เขียนเพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเองค่ะ แหะๆ

    แต่ตอนนี้คือฝึกจบแล้วเด้อ สบายหายห่วงได้เลยค่ะ 555555555555


    ความสนุกยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ อย่าลืมติดตามเรื่องนี้เพื่อรออ่านเนื้อเรื่องตอนต่อไปด้วยนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมเฟบ โหวต กดให้กำลังใจ สกรีมฟิคในทวิตเตอร์และคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังให้ไรเตอร์และป๋อตี้จ้านเกอของเราด้วยนะคะ >< ไม่งั้นเราส่งเวินหนิงไปขี่คอนะ!

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×