ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #143 : เผ่าพันธุ์พฤกษาในอดีต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.09K
      944
      12 ก.พ. 63

    ภายในบ้านหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองไผ่เขียวเกิดคลื่นความผันผวนทางมิติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยแปรเปลี่ยนเป็นร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่ง

     

    ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าภายในบ้านเดินเซไปเซมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะควบคุมตัวเองได้อย่างปกติอีกครั้ง การถูกขับออกมาจากคัมภีร์จิตวิญญาณทมิฬทำให้ฉินหลิงรู้สึกไม่คุ้นชินจนปรับตัวไม่ทันอยู่ชั่วขณะ

     

    ภายในมือของฉินหลิงยังคงกำคัมภีร์หินขนาดเท่าหนังสือทั่วไปอย่างแน่นหนา ซึ่งคัมภีร์หินนี้คือสิ่งวิเศษที่ใช้เคลื่อนย้ายเขาไปยังอีกมิติหนึ่งและทำให้เขาเป็นผู้ฝึกตนอย่างเต็มตัว

     

    หลังจากใช้เวลาสงบอารมณ์ลงชั่วครู่  ฉินหลิงก็หันไปมองคัมภีร์หินในมือ อักขระที่ถูกสลักไว้บนคัมภีร์เหมือนดั่งปริศนาซูโดกุที่เขาเคยแก้เมื่อนานมาเเล้วจางลงไปกว่าเดิมหลายส่วนจนแทบมองไม่เห็นอะไรราวกับเป็นเพียงเเผ่นหินธรรมดา

     

    ฉินหลิงเรียบเรียงความคิดใหม่อีกครั้ง ตัวเขาในตอนนี้เริ่มสับสนในตัวเองเล็กน้อย  การต้องเจอกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นภายในคัมภีร์ที่มีไว้เพื่อสืบทอดตำแหน่งของเจ้าสำนักปีศาจทมิฬทำให้เขารู้สึกสับสนในตัวเอง แต่เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่เขาเผชิญมาก็ทำให้ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

     

    เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเขาเป็นผู้ฝึกตนแล้ว ฉินหลิงก็สำรวจร่างกายตัวเองโดยละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วอย่างฉับพลัน สีหน้าอารมณ์สลับไปมาจนทำให้เขาดูราวกับคนบ้า

     

    การกระทำราวกับคนบ้าของฉินหลิงนั้นเพื่อพิสูจน์สิ่งที่เขากำลังสงสัย จากที่เขาได้รับฟังคำพูดของเจ้าสำนักรุ่นที่10 ซึ่งกล่าวว่าตัวเขาที่เริ่มฝึกเซียนจะต้องโดนตัดกรรมออกไปและอาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์บางอย่างที่มีอยู่

     

    อย่างไรก็ตามฉินหลิงก็รู้สึกเหมือนเดิมและไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากปกติแม้แต่น้อย หลังจากใช้เวลาสำรวจตัวเองอยู่พักใหญ่ ฉินหลิงก็ไม่คิดว่าตัวเองมีอะไรเปลี่ยนไป แต่คำพูดของเหล่าผู้อาวุโสนั้นย่อมเป็นจริงอย่างแน่นอน

     

    เช่นนั้นแล้วทำไมตัวเขาถึงไม่โดนตัดกรรมไปล่ะ?

     

    ฉินหลิงนึกสงสัยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หากว่าคนที่จะเป็นผู้ฝึกตนได้นั้นจำเป็นต้องตัดกรรมออกไป แล้วตัวเขาก็น่าจะต้องโดนกระทำโดยไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน แล้วเขามีอะไรแตกต่างจากคนอื่น?

     

    ระหว่างกำลังนึกคิดฉินหลิงก็เบิกตากว้างขึ้นทันที สิ่งที่เขาไม่เหมือนใครก็คือจิตวิญญาณของเขาไม่ใช่คนจากโลกใบนี้ การใช้ชีวิตในร่างของนายน้อยฉินเมื่อหลายสิบปีก่อนทำให้ฉินหลิงแทบลืมตัวตนที่แท้จริงของเขาที่เคยเป็นพนักงานขายของบริษัทแห่งหนึ่งไปเลย

     

    บางทีการที่เขาไม่ถูกตัดกรรมออกไปอาจจะเป็นเพราะจิตวิญญาณของฉินหลิงไม่ใช่คนจากโลกใบนี้ ดังนั้นกรรมในโลกใบนี้จึงไม่อาจทำอะไรเขาได้

     

    เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ฉินหลิงก็คิดขึ้นมาได้ทันทีว่าเขายังไม่รู้เลยว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ยังร่างของฉินหลิง ทายาทตระกูลแม่ทัพใหญ่ของแคว้นต้าเหยียน

     

    ฉินหลิงรู้สึกสับสนกับตัวเองอย่างมาก การที่เขาใช้ชีวิตเป็นนายน้อยฉินแท้ที่จริงแล้วเขาทำไปเพื่ออะไร? ตอบสนองความต้องการตัวเอง? ต้องการแสดงเป็นวีรบุรุษ? หรือต้องการความใส่ใจจากครอบครัว!!

     

    เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ฉินหลิงก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเขาถึงกระทำสิ่งต่างๆลงไป ทำไมเขาถึงต้องไปสู้รบกับแคว้นต้าชิงด้วย? ทำไมเขาถึงต้องช่วยเหลือพวกทาสล่ะ? ฉินหลิงคนก่อนที่เป็นพนักงานขายจากชาติภพก่อน ไม่ใช่ว่าเขาเป็นเพียงคนที่เห็นแก่ตัวและทำทุกอย่างเพื่อยอดขายเเละเงินตราหรอกรึ

     

    ฉินหลิงรู้สึกว่าตลอดมาตัวเขากำลังสวมหน้ากากให้ตัวเองอยู่ การต้องมาอยู่ในต่างโลกที่ไม่คุ้นเคยทำให้ฉินหลิงสร้างหน้ากากที่เป็นอีกตัวตนขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตโดยลืมไปเลยว่าจิตวิญญาณของเขาต้องการอะไร เขาเพียงกระทำทุกสิ่งลงไปเพราะจิตใต้สำนึก

     

    ความคิดต่างๆมากมายผุดขึ้นมาภายในหัว ความทรงจำภายในอดีตก็ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม การที่เขาได้เป็นผู้ฝึกตนทำให้สมองของฉินหลิงทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และบางทีการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณนั้นทำให้เขาเริ่มรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วตัวเขาเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่

     

    “เจ้าจะหยุดทำท่าทีเหมือนคนบ้าได้รึยัง?

     

    เสียงอันคุ้นเคยที่เขาไม่ได้ยินมาหลายสิบปีทำให้ฉินหลิงที่เปลี่ยนสีหน้าไปมาสะดุ้ง ก่อนจะหันหลังกลับไปมองยังที่มาของเสียง ซึ่งนั้นก็คือเด็กน้อยวัยสิบขวบนิดๆที่กำลังจองมองมายังตัวเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน

     

    หน้าตาของลู่ชิงก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงเหมือนบ่าวตัวน้อยเมื่อหลายสิบปีก่อน

     

    ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามตั้งแต่การหายไปของฉินหลิง ลู่ชิงในร่างเด็กน้อยก็สับสนอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะตัดสินใจทำป้ายหลุมศพบริเวณลานบ้านให้แก่ฉินหลิง ชายหนุ่มผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคุณชายของนาง

     

    แต่ในขณะที่นางตัดสินใจกลับไปบำเพ็ญตนต่อ นางก็สัมผัสได้ถึงคลื่นมิติที่แปรปรวนภายในบ้านของชายผู้นี้ และนางจึงพบชายหนุ่มที่หายตัวไปปรากฏขึ้นอีกครั้งกำลังทำท่าทีแปลกประหลาด ซึ่งการแสดงท่าทีของฉินหลิงไม่ได้สร้างความแปลกใจเท่ากับการพบว่าจิตสัมผัสในร่างของฉินหลิงหายไปพร้อมกับร่างกายของฉินหลิงที่มีพลังวิญญาณผสมปนเปอยู่ในร่าง

     

    การได้พบว่าฉินหลิงกลายเป็นผู้ฝึกตนไปแล้วทำให้ลู่ชิงรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เขาไปได้เคล็ดวิชาเซียนมาจากไหน การจะเริ่มฝึกเซียนนั้นหากไม่มีเม็ดยาก่อจิตวิญญาณก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเริ่มฝึกตนเป็นเซียน

     

    นอกจากต้องใช้เม็ดยาก่อจิตวิญญาณแล้วยังจำเป็นต้องมีเคล็ดวิชาเซียนเพื่อเป็นแนวทางในการฝึกตน หรือฉินหลิงบังเอิญไปพบขุมทรัพย์บางอย่างโดยที่นางไม่รู้

     

     ในขณะเดียวกันฉินหลิงที่กำลังจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มร่างเล็กที่สูงเพียงหน้าอกเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน  หากเป็นในอดีตฉินหลิงคงพูดคุยกับคนผู้นี้ได้อย่างปกติ แต่เมื่อได้รับรู้ว่าบ่าวตัวน้อยเป็นผู้ฝึกตนที่มีอายุยืนยาว ฉินหลิงก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่ที่ถูกเหล่าเซียนใช้เป็นเครื่องมือเล่นตลก

     

    “ท่านจะมองดูข้าอีกนานไหม นายน้อย!” ลู่ชิงเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเมื่อเห็นชายตรงหน้ายังคงจ้อมมองนาง

     

    “ทำไม?” ฉินหลิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

     

    เมื่อเห็นท่าทีที่แตกต่างไปจากความทรงจำ ลู่ชิงก็หรี่ตาลง “เจ้าสงสัยอะไรรึ หรือเจ้ายังสงสัยเกี่ยวกับตัวข้าอยู่ ข้าก็เคยบอกไปแล้วนิว่าข้านั้นเป็นหนี้ชีวิตปู่ของเจ้า ดังนั้นเพื่อตัดกรรมระหว่างข้าและเขา ข้าเลยรับปากที่จะดูแลเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะทำอันตรายใดๆแก่เจ้าหรอก”

     

    “ในเวลานั้นทำไมเจ้าถึงเลือกช่วยเพียงแต่ข้า ทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยอวี้จี้” เมื่อกล่าวถึงถานอวี้จี้ ฉินหลิงก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ได้ว่าความรักที่เขามีให้ต่อภรรยานั้นเป็นของจริง ไม่ใช่เป็นเพียงหน้ากากที่ถูกเรียกว่าฉินหลิง

     

    ลู่ชิงถอนหายใจออกมา “หากจะให้พูดจริงๆ ข้าในเวลานั้นเพียงแสดงท่าทางเเข็งเเกร่งเพื่อตบตาให้เจ้าคนผู้นั้นหนีไปเท่านั้น เมื่อตอนที่เจ้าโดนโจมตีโดยตาแก่นั้นอาการบาดเจ็บของข้ายังไม่หายดีแถมยังต้องฝืนเค้นพลังเพื่อช่วยเหลือเจ้าจึงทำให้อาการของข้ากำเริบเเละทรุดลงกว่าเดิมอีก  เจ้าแก่นั้นต้องการร่างของฮูหยินท่านจริงๆ หากข้ายังฝืนช่วยนาง ข้าเชื่อว่าคนผู้นั้นก็ยังคงยอมสู้เป็นตายเพื่อให้ได้ร่างของฮูหยินท่านอย่างแน่นอน และม่เพียงแต่ข้าที่จะจบชีวิตลง ตัวเจ้าก็จะถูกหลอมเป็นโอสถและตายอย่างทุกข์ทรมานเช่นกัน”

     

    เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ชิง เขาก็รับรู้ว่าในเวลานั้น หากตัวลู่ชิงฝืนต่อสู้กับผู้ฝึกตนสายมารเช่นนั้นอาจจะทำให้พวกเขาจบชีวิตลงทั้งหมดก็เป็นได้

     

    “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ทำไมข้าถึงต้องโดนหลอมเป็นโอสถด้วย” ฉินหลิงเอ่ยถามพร้อมกับความรู้สึกสับสน ตัวเขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ทำไมเซียนผู้นั้นถึงจะจับเขาด้วย

     

    ลู่ชิงจ้องมองไปยังฉินหลิงด้วยดวงตาที่ส่องแสงสีเงินออกมา “ร่างกายของเจ้ามีโลหิตของเผ่าพฤกษาอยู่... ซึ่งในตัวปู่ของเจ้านั้นไม่ได้มีสายเลือดอื่นอยู่เลย ดังนั้นหากข้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นมารดาของเจ้าที่เป็นหนึ่งในเผ่าที่หายากชนิดนี้ ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมเผ่าพันธุ์ที่แทบจะหายสาบสูญไปแล้วถึงปรากฏตัวบนโลกใบนี้ได้เเถมยังมีทายาทเช่นเจ้าขึ้นมาอีกด้วย”

     

    ฉินหลิงรู้สึกสับสนหนักยิ่งกว่าเดิม ตัวเขาที่อยู่ในร่างของฉินหลิงมานานก็รับรู้ประวัติของพ่อแม่ตัวเองมาไม่น้อย บิดาของเขาสิ้นชีพในสงคราม ส่วนมารดาก็ตรอมใจตายหลังจากให้กำเนิดเขา ซึ่งเรื่องราวความจริงที่ว่ามารดาของเขาเป็นคนต่างเผ่าพันธุ์นั้นทำให้ฉินหลิงรู้สึกมึนงง

     

    จากในอดีต ฉินเจินเคยเล่าให้ฟังเพียงแค่ว่าบิดาของเขาได้บังเอิญเจอมารดาของเขาและทั้งสองก็ตกหลุมรักกันจนในที่สุดก็มีทายาทตระกูลฉินรุ่นที่3ขึ้นมา แต่ไม่ได้พูดเกี่ยวกับเบื้องหลังของฝ่ายมารดาเลย

     

    ในตอนนี้เขาก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมมารดาของเขาถึงไม่ได้เอ่ยถึงตระกูลของนาง นั้นเป็นเพราะพวกนางไม่ใช่มนุษย์นั้นเอง บางทีพลังปราณสีเขียวและพลังควบคุมพืชหญ้านั้นอาจเป็นสิ่งสืบทอดจากสายโลหิตฝั่งมารดาก็เป็นได้

     

    “เผ่าพฤกษามันคืออะไร?” ฉินหลิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขามั่นใจว่าลู่ชิงย่อมต้องรู้เรื่องราวอยู่ไม่น้อย ไม่เช่นนั้นย่อมไม่กล้าเอ่ยยืนยันต่อเขาอย่างแน่นอน

     

    “คำว่าเผ่าพฤกษานั้นเป็นคำพูดโดยรวมของเหล่าเผ่าพันธุ์ที่เกิดมาจากต้นไม้แห่งโลก ซึ่งพวกเขามาจากสถานที่ที่ถูกเรียกกันว่าโลกพฤกษา ซึ่งเมื่อหลายหมื่นปีก่อนเผ่าพฤกษาที่ฮึกเหิมจากความแข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานจากพลังชีวิตที่มากล้นกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ทำให้พวกมันประกาศสงครามกับโลกต่างๆจนก่อเกิดเป็นหายนะครั้งใหญ่ และสุดท้ายพวกเขาที่หยิ่งยโสจากพลังที่มาจากต้นไม้โลกก็ตกตายลงด้วยน้ำมือของผู้อาวุโสจากโลกกระบี่และต้นไม้โลกอันเป็นตัวแทนแห่งเผ่าพฤกษาก็ถูกโค่นลงโดยชายผู้เป็นเจ้าแห่งกระบี่ ท่านเจ้าแดนกระบี่เดียวดาย” ลู่ชิงเอ่ยถึงเรื่องราวของเผ่าพันธุ์พฤกษาตามที่นางรู้มาอย่างไม่ปกปิด

     

    ฉินหลิงเองก็เบิกตากว้างเช่นกัน เขาไม่ได้ตกใจเกี่ยวกับการที่เผ่าพันธุ์พฤกษาถูกทำลาย แต่เขาตกใจในชื่อของผู้ที่ตัดต้นไม้แห่งโลกต่างหาก ชื่อเจ้าแดนกระบี่เดียวดายนั้นคุ้นหูฉินหลิงอย่างยิ่ง

     

    ฉินหลิงแทบไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่าเผ่าพฤกษาที่มีต้นไม้โลกหนุนหลังจนสามารถก่อสงครามเป็นวงกว้างจะมาจบลงในน้ำมือของหนึ่งในเจ้าสำนักปีศาจทมิฬ บางทีเขาอาจจะประเมินสำนักปีศาจทมิฬต่ำเกินไปแล้ว!

     

    ลู่ชิงที่เห็นท่าทางตื่นตะลึงของชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “หลังจากพ่ายแพ้ศึกในครั้งนั้นเผ่าพันธุ์พฤกษาก็หายหน้าไปจากประวัติศาสตร์เลย ต้นไม้โลกที่เคยเป็นพลังให้แก่เหล่าเผ่าผู้คนจากเผ่าพันธุ์นี้ก็ถูกทำลาย เผ่าพฤกษาก็ถูกจับตัวไปเป็นทาสและเฉลยศึกอย่างมากมาย จนมีนักหลอมโอสถผู้หนึ่งค้นพบว่าหากนำโลหิตของเผ่าพฤกษามาหลอมโอสถจะเพิ่มสรรพคุณแก่ตัวยาได้ หลังจากนั้นเผ่าพฤกษาก็ถูกตามล่าอย่างบ้าคลั่งจนทำให้เผ่าพันธุ์ที่เคยรุ่งเรืองในอดีตนั้นแทบสูญพันธ์”

     

    ฉินหลิงพยักหน้าเบาๆ เรื่องราวการต่อสู้แย่งชิงกันของเหล่าผู้ฝึกตนก็แทบไม่แตกต่างกับเหล่ามนุษย์ ความโลภนั้นไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ ยามมีอำนาจพวกเขาต่างข่มผู้อื่นอย่างลืมตัวตน และมาสำนึกเสียใจในยามที่พวกเขาสูญเสียทุกอย่างไป นี้คือสิ่งที่ฉินหลิงสรุปได้จากเรื่องราวของเผ่าพันธุ์ฝั่งมารดา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×