คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #145 : อดีตของเจ้าเเดนกระบี่เดียวดาย
การที่จิตสัมผัสส่วนหนึ่งเข้าไปภายในร่างกายของฉินหลิงเเละถูกทำลายลงไปด้วยหมอกปริศนานั้นทำให้ลู่ชิงตกตะลึงเป็นอย่างมาก
นางใช้ชีวิตเฝ้ามองชายผู้นี้มาตั้งแต่เขายังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง
แต่หลังจากจิตสัมผัสที่ฝังอยู่ในตัวของฉินหลิงหายไปพร้อมกันกับร่างกายของเขา นางกลับพบว่าชายที่นางเฝ้ามองมาตลอดได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแปลกประหลาด ประหลาดจนเเม้เเต่นางยังตะลึงพรึงเพริด
การเปลี่ยนแปลงของฉินหลิงจนกลายเป็นผู้ฝึกตนนั้นไม่ได้สร้างความตกใจให้แก่ลู่ชิงมากนักเพราะอย่างไรในโลกที่กว้างใหญ่ก็มีผู้คนไม่น้อยที่ประสบโชคดีจนก้าวเข้าสู่วิถึบำเพ็ญเพียรจนเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนได้
อย่างไรก็ตามการที่ฉินหลิงสามารถทำลายจิตสัมผัสที่นางส่งเข้าไปภายในร่างของเขาได้นั้นทำให้นางรู้สึกว่านางไม่อาจเข้าใจในตัวชายหนุ่มผู้นี้อีกต่อไป
เมื่อนึกถึงคำพูดที่ชายหนุ่มได้บอกว่าต้องการเป็นเจ้าแดนภายในห้าร้อยปีนั้นได้ทำให้ลู่ชิงโกรธเคืองจนอยากจะสั่งสอนให้ชายผู้ที่เริ่มฝึกตนได้เพียงไม่กี่ชั่วยามเข้าใจถึงความยากลำบากของการบำเพ็ญเพียร
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับไม่ได้เป็นไปตามที่นางคาดหวังไว้เลย
ความตั้งใจที่จะสั่งสอนให้ฉินหลิงรับรู้ถึงความโหดร้ายของผู้ฝึกตนกลับทำให้นางต้องบาดเจ็บภายใน
ในขณะเดียวกันฉินหลิงที่เห็นลู่ชิงกระอักเลือดออกมาก็รีบเข้าไปพยุงร่างกายอันบอบบางของเด็กน้อยตรงหน้าโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
“ลู่ชิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉินหลิงเอ่ยพร้อมกับนำผ้าเช็ดโลหิตสีม่วงที่ริมปากอย่างร้อนรน ถึงเเม้ว่าเขาจะไม่พอใจเรื่องของเจ้าเด็กน้อยผู้นี้นักเเต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคือผู้มีพระคุณ
ลู่ชิงเหม่อมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังโอบร่างกายตนเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย
หลังจากไม่ได้เจอกันยี่สิบกว่าปี นางรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนไปของฉินหลิงมากมาย แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความเป็นห่วงก็ทำให้นางนึกถึงใบหน้าเด็กน้อยในอดีตคนเดิม
สุดท้ายลู่ชิงก็ผลักดันร่างตัวเองออกจากแขนของฉินหลิงก่อนจะเอ่ยถามด้วยความจริงจัง
“ในร่างกายของเจ้ามีบางอย่างที่อันตรายฝังอยู่ข้างใน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่ ตกลงเจ้าไปทำอะไรมา?”
เมื่อได้ยินคำถามของลู่ชิง
ฉินหลิงก็หลบประกายดวงตาสีเงินที่ราวกับสามารถส่องเข้ามาในดวงใจของเขาทันที เรื่องราวเกี่ยวกับสำนักปีศาจทมิฬนั้นเป็นความลับสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจบอกกล่าวแก่เด็กน้อยตรงหน้าได้
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีบุญคุณต่อเขามากเพียงใดก็ตาม
“ทุกคนต่างก็มีความลับเป็นของตัวเอง เจ้าจะไม่บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้
แต่อย่างน้อยเจ้าสมควรบอกแก่ข้าว่าเคล็ดวิชาแรกเริ่มที่เจ้าฝึกคืออะไร
เพราะอย่างไรในฐานะผู้อาวุโสแห่งโลกการบำเพ็ญเพียร
ข้ามีความสามารถพอจะแนะนำต่อเจ้าได้”
ลู่ชิงเอ่ยออกมาซึ่งแฝงไว้ด้วยความอยากรู้ส่วนหนึ่ง นางอยากรู้ว่าทำไมฉินหลิงที่เริ่มฝึกตนถึงทำเรื่องบ้าๆอย่างเรียกไฟด้วยการท่องคาถามั่วๆเช่นนั้น
จึงทำให้นางสงสัยว่าฉินหลิงใช้เคล็ดวิชาใดเป็นแนวทางในการฝึกตน
“เอ่อ...ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” ฉินหลิงเกาหัวเล็กน้อยก่อนจะตอบตามจริง เพราะในเวลานั้นตอนที่เหล่าเจ้าสำนักให้เขาเลือกเคล็ดวิชาจากหนึ่งในอดีตเจ้าสำนัก
เขาเลือกเจ้าแดนกระบี่เดียวดาย
แต่สิ่งที่ได้รับมากับเป็นก้อนหมอกที่ชอนไชร่างกายของเขาจนแทบบ้า
ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ออกจริงๆว่าตัวเขาได้เคล็ดวิชาอะไรมา
หากไม่ใช่เพราะร่างกายที่กลายเป็นหนุ่มอีกครั้งกับสัมผัสทั้งห้าที่เฉียบขึ้นกว่าเดิม เขาก็ยังไม่เชื่อว่าตัวเองกลายเป็นผู้ฝึกตนไปแล้ว
คิ้วของลู่ชิงในร่างเด็กน้อยกระตุกขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าเด็กสารเลว ถ้าจะล้อเล่นก็ควรมีขอบเขตที่จำกัดบ้าง ข้าถามด้วยความหวังดี
หากเจ้าไม่อยากบอกก็ไม่ควรตอบว่าไม่รู้”
“ก็ข้าไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาใดๆเลยจะให้ข้าบอกอะไรล่ะ”
ฉินหลิงเอ่ยออกไปอย่างหมดหนทาง
“ห๊ะ...
เจ้าคิดว่าข้าโง่นักรึไง หากไม่มีเคล็ดวิชาฝึกตนแล้วเจ้าจะบำเพ็ญตนได้อย่างไร!!”
ลู่ชิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับอารมณ์เดือดดาดเมื่อคิดว่าชายตรงหน้ากำลังล้อเล่นกับนางก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่พอใจ
เมื่อเห็นเด็กน้อยตรงหน้ากำลังโมโหจนเเทบจะพ่นไฟออกมา ฉินหลิงก็ถอนหายใจ “ก็ข้าบอกไปแล้วไงว่าข้าไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาใดๆเลย”
“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่าเจ้าใช้เพียงเม็ดยาก่อจิตวิญญาณเท่านั้นรึ?” เมื่อเห็นท่าทางของฉินหลิงที่เอ่ยออกมาโดยไม่มีท่าทางโกหก
ลู่ชิงก็คิดขึ้นมาได้ว่ายังมีผู้ฝึกตนบางประเภทที่เข้าสู่วิถีฝึกตนโดยอาศัยเพียงเม็ดยาก่อตั้งวิญญาณหรือไม่ก็ใช้เพียงเคล็ดวิชาเพื่อบรรลุเข้าสู่การฝึกตนเช่นกันและเมื่อคิดว่าฉินหลิงไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาใดๆในการเข้าสู่การฝึกตน มันอาจจะเป็นเพราะเขาบังเอิญโชคดีได้เม็ดยาก่อจิตวิญญาณและสามารถฝ่าคอขวดเข้าสู่หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรได้สำเร็จ
เมื่อได้ยินลู่ชิงกล่าวว่าเขาใช้เม็ดยาก่อจิตวิญญาณอะไรนั้น! ฉินหลิงก็เผยสีหน้าว่างเปล่ายิ่งกว่าเดิม นอกจากหมอกควันที่เข้ามาในตัวหลังจากเจ้าสำนักรุ่นที่10มอบให้เเล้ว ตัวเขาก็ไม่ได้ใช้ทั้งเม็ดยาหรือเคล็ดวิชาใดๆเลย
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของฉินหลิง
ลู่ชิงก็เบิกตากว้างพร้อมกับชี้นิ้วใส่ฉินหลิง “จะ... เจ้าอย่าบอกอีกน่ะว่าเจ้าไม่ได้ใช้เม็ดยาก่อจิตวิญญาณ”
ฉินหลิงก็พยักหน้าเเทนคำตอบอย่างเรียบง่าย
ลู่ชิง ผู้บำเพ็ญตนสายมายาซึ่งมีพลังสมาธิมากกว่าผู้ฝึกตนสายอื่นๆยังแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่เมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ใช้ทั้งเคล็ดวิชาและเม็ดยาใดๆเลยในการเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน
ก่อนหน้านี้หากกล่าวว่าลู่ชิงนั้นไม่ได้สนใจหนทางในการก้าวสู่วิถีฝึกตนของฉินหลิงนั้นย่อมเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
แต่การได้มารู้ว่าชายตรงหน้านั้นสามารถก้าวเข้ามาเป็นผู้ฝึกตนโดยไม่ได้ทำตามกฎเกณฑ์ที่เคยมีมาก่อนก็ปลุกความสนใจแก่นางอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงสิ่งประหลาดที่ฝังตัวอยู่ในร่างของฉินหลิง
ลู่ชิงในร่างเด็กน้อยก็สงบลงอารมณ์ลงและกลับไปนั่งบนเก้าอี้เช่นเดิม
ผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป(15นาที)
ทั้งสองต่างเงียบไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆต่อกันราวกับคนแปลกหน้า
ฉินหลิงเองก็ไม่ต้องการเอ่ยความลับของตัวเองออกไป
ลู่ชิงเองก็พยายามกดความรู้สึกอยากรู้ของตัวเองเอาไว้
สุดท้ายก็เป็นลู่ชิงที่ไม่อาจทนต่อความอยากรู้ได้
“หากไม่ยากเกินไปเจ้าช่วยบอกข้าได้รึไม่ว่าเจ้าทำยังไงถึงสามารถเข้ามาเป็นผู้ฝึกตนได้
ทั้งที่ไม่ได้มีทั้งเคล็ดวิชาและเม็ดยาก่อจิตวิญญาณ”
ฉินหลิงเผยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของสำนักปีศาจทมิฬและตัวเขาในเวลานี้ไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้
ดังนั้นเรื่องนี้เขาจึงไม่อาจพูดออกไปได้
ลู่ชิงที่เห็นฉินหลิงปฏิเสธก็ยังไม่ยอมแพ้ “หากเจ้าบอกมาข้าจะให้เคล็ดวิชาและเม็ดยาฝึกฝนแก่เจ้า?”
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ชิง
ดวงตาของฉินหลิงก็เบิกกว้างขึ้น ถึงแม้เขาจะไม่รู้เกี่ยวกับหนทางการฝึกตนของผู้บำเพ็ญเพียร แต่เขาก็รับรู้ว่าเคล็ดวิชาและเม็ดยาของเหล่าผู้ฝึกตนย่อมไม่ธรรมดา
ในขณะเดียวกันลู่ชิงที่เห็นสีหน้าของฉินหลิงก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ถ้าเจ้ายอมบอก.. ข้าอาจจะพิจารณาให้อาวุธวิญญาณแก่เจ้าเพิ่มเติมก็ได้”
ฉินหลิงหลับตาลงพร้อมกับครุ่นคิดอย่างหนัก ในฐานะพนักงานขายดีเด่น
เขาจะต้องคำนวณถึงผลดีผลเสียของการกระทำในครั้งนี้
การต่อรองของลู่ชิงทำให้ฉินหลิงคิดหนักจริงๆ
ตัวเขาที่เริ่มฝึกตนย่อมไม่มีความสามารถในการป้องกันตัวเองได้เลย
ดังนั้นหากเขาได้รับอาวุธและเคล็ดวิชามาจากลู่ชิง
เขาก็พอที่จะมั่นใจได้ว่าตัวเขาเองสามารถปกป้องตัวเองได้บ้าง
“คิดดีๆ ข้อเสนอของข้า
หากพลาดไปแล้วไม่มีครั้งที่2อีกน่ะ” ลู่ชิงก็พยายามกดดันฉินหลิงอีกเช่นกัน
ในฐานะผู้ฝึกตนที่เป็นแนวหน้าของโลก ตัวนางก็ผ่านโลกมาไม่น้อย
ดังนั้นการเอ่ยออกมาครั้งนี้เพื่อกดดันให้ฉินหลิงเผยความลับออกมา
ปริศนาที่เหล่าผู้ฝึกตนต่างพากันสงสัยว่าเริ่มแรกนั้นผู้ฝึกตนคนแรกสามารถบำเพ็ญตนได้อย่างไรทั้งที่ไม่มีทั้งเคล็ดวิชาและเม็ดยาใดๆนั้นยังคงเป็นปริศนาอยู่
เมื่อนางพบว่าฉินหลิงไม่ได้ใช้ทั้งเม็ดยาและเคล็ดวิชาก็ทำให้นางตัดสินใจทำทุกอย่างเพื่อให้ชายหนุ่มตรงหน้าต้องคายความลับออกมา
ฉินหลิงเองก็เข้าใจการพูดของลู่ชิงเช่นกัน
การใช้สิ่งที่เขาต้องการมาต่อรอง
หากเขายิ่งแสดงอาการมากเช่นไรก็ยิ่งแสดงให้เห็นจุดอ่อนของเขา
ดังนั้นฉินหลิงจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะยิ้มออกมา “ขอบคุณสำหรับความหวังดี
แต่เรื่องนี้เป็นความลับที่ยากจะเอ่ยจริงๆ ถึงแม้เคล็ดวิชาและเม็ดยาของเจ้าจะดีเยี่ยม
แต่ข้าเองก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวเล็กๆที่พึ่งเข้าสู่หนทางการฝึกตน ข้าคงไม่อาจปกป้องสมบัติล้ำค่าของเจ้าได้”
เมื่อเห็นว่าฉินหลิงปฏิเสธออกมา
ลู่ชิงขบฟันแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “บอกมา เจ้าต้องการอะไร”
“ใครทำให้ชิงชิงของข้าโมโหอีกเนี่ย”
ฉินหลิงเอ่ยหยอกล้อออกมา
ลู่ชิงที่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยออกมาว่า ชิงชิง
ก็เบิกตากว้าง คำเอ่ยล้อก่อนหน้านี้ที่นางเอ่ยหยอกกับฉินหลิงนั้น นางไม่คิดเลยว่าชายตรงหน้ากล้าพูดออกมาจริงๆ
“เจ้าสารเลวฉินหลิงกล้าดียังไงถึงกล้าล้อเลียนข้า”
ลู่ชิงไม่สามารถสงบนิ่งได้อีกแล้ว
นางตะโกนออกมาพร้อมกับปล่อยคลื่นพลังกระแทกส่งฉินหลิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามลอยกระแทกกำแพงพร้อมกับเก้าอี้
ตู๊ม!!!
กำแพงบ้านที่ทำขึ้นอย่างดีพังลงไปพร้อมกับฉินหลิงที่ถูกส่งลอยออกไปนอกบ้าน
“เจ้าเด็กบ้า เจ้าคิดจะฆ่าข้ารึยังไง”
เสียงตะโกนของฉินหลิงดังขึ้นมาพร้อมกับร่างกายที่เปื้อนดินและฝุ่นควัน
“ชิ.. ตายได้ก็ดี” ลู่ชิงสบถอย่างไม่พอใจ
“วิญญูชนที่ดีควรใช้คำพูดแทนความรุนแรง ดั่งคำที่ว่าวิญญูชนใช้ปากไม่ใช้มือ”
“มารดามันเถอะ
ข้าเป็นผู้ฝึกตนมิใช่วิญญูชนจอมปลอมอะไรพวกนั้น”
“อะแฮ่มๆ” ฉินหลิงไออกมาเล็กน้อยเมื่อโดนตอกจนไปต่อไม่เป็น
ก่อนจะเดินไปหยิบเก้าอี้อีกตัวมานั่งพร้อมกับท่าทางสงบราวกับเมื่อครู่ไม่ใช่เขาที่ถูกส่งปลิวออกไปนอกกำแพง
“เมื่อครู่หลังจากครุ่นคิดดีๆแล้วข้าก็พบว่าความคิดของเจ้าไม่เลวเลย
ข้ายังจำเป็นต้องใช้ทั้งเคล็ดวิชาและเม็ดยา ในเมื่อเจ้าข้อร้องข้าถึงขนาดนี้และข้อแลกเปลี่ยนของเราก็ถือว่าสมเหตุสมผล
ดังนั้นอาวุธวิญญาณที่จะให้ ข้าขอเป็นกระบี่น่ะ”
“ห๊ะ”
ลู่ชิงอ้าปากค้างกับความไร้ยางอายของชายตรงหน้า
แล้วไหนเมื่อครู่เจ้าพึ่งบอกว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกตนตัวเล็กๆที่ไม่อาจปกป้องสมบัติล้ำค่าได้ไง
ความหนาของหน้าฉินหลิงที่กลับกลอกไปมาทำให้ลู่ชิงถึงกับไปไม่เป็นเหมือนกัน
หลังจากใช้เวลาปรับลมหายใจที่ผันผวนอยู่ครู่ใหญ่ ลู่ชิงก็เอ่ยออกมาอย่างสงสัย “เจ้าต้องการกระบี่ไปทำไม”
“ข้าใช้อาวุธเป็นกระบี่ แล้วเจ้าจะให้ข้าเปลี่ยนไปใช้อาวุธอื่นหรอกรึ”
“เจ้าเลือกอย่างอื่นเถอะ หนทางฝึกตนมีมากมาย ใช่ว่าเพลงกระบี่จะเป็นทุกอย่าง”
ฉินหลิงหรี่ตาลง
หากเขาไม่ได้รับสืบทอดจากเจ้าแดนกระบี่เดียวดาย เขาก็อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เคล็ดกระบี่
แต่ในเวลานี้เขาไม่มีตัวเลือกอื่นจริงๆ
อย่างน้อยเขาก็ขอก้าวเข้าสู่วิถีเซียนกระบี่ดูซักครั้ง “ข้าต้องการกระบี่เท่านั้น”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของฉินหลิง
ลู่ชิงก็หดตาก่อนจะถามอย่างจริงจัง “ทำไมต้องเป็นกระบี่?”
“เพราะข้าเป็นผู้ฝึกตนด้วยวิถีแห่งกระบี่
ดังนั้นเส้นทางที่ข้าจะเดินจะต้องมีกระบี่อยู่เคียงคู่”
ฉินหลิงเอ่ยบอกลู่ชิงตามตรง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกเกี่ยวกับความลับของคัมภีร์หินแต่เรื่องการสืบทอดของเจ้าแดนกระบี่เดี่ยวดายก็ย่อมต้องเกี่ยวกับกระบี่อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันลู่ชิงก็แทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดของชายตรงหน้า
เป็นผู้ฝึกตนด้วยวิถีกระบี่โดยไม่ใช้เม็ดยาหรือเคล็ดวิชาอื่น
หากเป็นเรื่องอื่นนางคงไม่ตกใจเท่ากับการที่ฉินหลิงต้องการเดินในเส้นทางกระบี่
“บะ...บ้า บ้าไปแล้ว เป็นไปได้ยังไง” เสียงพึมพำของลู่ชิงดังขึ้น
ลู่ชิงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือจนทำให้ฉินหลิงรู้สึกแปลกใจ
เด็กน้อยตรงหน้าที่เพียงแค่โมโหก็สามารถส่งเขาลอยออกไปกลับแสดงท่าทางตื่นกลัวเมื่อได้ยินว่าเขาก้าวเดินในวิถีกระบี่
หรือมีอะไรที่เขายังไม่รู้อยู่อีก เรื่องราวโลกการฝึกตนนั้นมีมานานหลายล้านปี
ดังนั้นการเดินในวิถีกระบี่ของเขาอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติก็ได้
ฉินหลิงเองก็ปล่อยให้ลู่ชิงสงบอารมณ์อยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถาม
“ตกลงแล้วผู้ฝึกตนสายกระบี่มีอะไรไม่ดีรึ”
ลู่ชิงมองชายตรงหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อนก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ก่อนหน้านี้เจ้าคงจำที่ข้าเล่าเรื่องเจ้าแดนกระบี่เดียวดายที่เป็นคนตัดต้นไม้โลกเพื่อทำลายความหยิ่งยโสของเผ่าพันธุ์พฤกษาได้ใช่รึไม่”
ฉินหลิงพยักหน้ายืนยัน
เพราะเจ้าแดนผู้นี้นั้นเป็นหนึ่งในเจ้าสำนักปีศาจทมิฬและยังเป็นคนปล่อยหมอกบ้าๆมาทรมานร่างกายของเขา
ฉินหลิงย่อมไม่มีทางลืมโดยเด็ดขาด
“เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อโลกพฤกษาถูกทำลายลง หลังจากชัยชนะครั้งใหญ่ เจ้าแดนกระบี่เดียวดายผู้เป็นเจ้าแห่งโลกกระบี่ในขณะนั้นก็ทำให้ชื่อเสียงของคนในโลกกระบี่ดังกระฉ่อนไปทั่วทุกสารทิศ” เอ่ยจบลู่ชิงก็เหลือบมองฉินหลิงอีกครั้ง
“ความอวดดีจองหองเป็นหนทางแห่งความตาย
หลังจากชัยชนะครั้งใหญ่จากโลกพฤกษา เหล่าผู้คนจากโลกกระบี่ก็หยิ่งยโสในความแข็งแกร่งของตนเองจนแทบไม่ต่างจากที่เผ่าพฤกษาเคยทำในอดีต
ในเวลานั้นเองแม้แต่ผู้เป็นเจ้าแดนก็ไม่อาจห้ามปราบเหล่าคนของตัวเองได้อีกแล้ว
อำนาจที่อยู่ในมือนั้นหอมหวานเกินจะวาง
จนในที่สุดพวกเขาก็รวมตัวกันก่อกบฏต่อเจ้าแดนตัวเอง”
ฉินหลิงเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเรื่องราวอดีตของเจ้าสำนักรุ่นที่10
“แล้วเป็นยังไงต่อ..”
“มดปลวกยังไงก็เป็นมดปลวกอยู่วันยังค่ำ
สุดท้ายแล้วเหล่ากบฏที่รวมตัวกันก็สิ้นชีพลงภายใต้คมกระบี่ของเจ้าแดนกระบี่เดียวดาย
จนเรียกได้ว่าโลหิตที่ไหลหลั่งออกมากลายเป็นมหาสมุทรเลือดเลยก็ว่าได้”
ลู่ชิงเอ่ยพร้อมกับมองฉินหลิงที่ยิ้มออกมา
“แล้วยังไงต่อ หลังจากปราบกบฏเหล่านั้นเสร็จ
เจ้าแดนกระบี่ผู้นั้นทำอย่างไรต่อ” ฉินหลิงเอ่ยออกมาด้วยความอยากรู้
ลู่ชิงหันมองออกไปยังช่องว่างกำแพงที่ถูกทำลายลงซึ่งมีแสงจากดวงจันทร์ส่องลงมาด้วยสีหน้าหลากหลายก่อนจะเอ่ยออกมา
“หลังจากนั้นเจ้าแดนกระบี่เดียวดายก็รู้สึกเสียใจที่เป็นคนทำให้คนจากโลกกระบี่กลายเป็นเช่นนี้
สุดท้ายท่านผู้นั้นจึงตัดสินใจท้าทายสวรรค์โดยการทำลายเต๋าแห่งกระบี่
การต่อสู้กับสวรรค์ดำเนินไปสิบวันสิบคืนจนเจ้าแดนกระบี่เดียวดายสละพลังชีวิตทั้งหมดเปลี่ยนตัวเองเป็นกระบี่พุ่งทำลายเส้นทางแห่งกระบี่จนพังทลาย และทำให้หลังจากนั้นไม่มีผู้ฝึกตนสายกระบี่คนใดที่สามารถก่อตัวอ่อนกระบี่ซึ่งเป็นรากฐานแห่งวิถีกระบี่ขึ้นมาได้อีกเลย”
ความบ้าของเจ้าแดนกระบี่เดียวดายยังคงถูกพูดถึงอยู่จวบจนทุกวันนี้
ในฐานะคนที่กล้าท้าทายสวรรค์
ถึงแม้เขาจะจบชีวิตลงแต่วีรกรรมที่เขาทำลงไปนั้นสร้างชื่อเสียงให้แก่เจ้าแดนผู้นี้อย่างยิ่ง
เส้นทางแห่งเต๋าที่เป็นเหมือนหลักการของฟ้าดินยังถูกทำลายลงด้วยความมุ่งมานะของผู้ฝึกตน นี้จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของทุกสิ่ง! ไม่เว้นเเม้เเต่การทำลายสวรรค์
และวีรกรรมของเจ้าแดนกระบี่เดียวดายยังสร้างแรงบันดาลใจแก่เหล่าผู้ฝึกตนรุ่นต่อๆมาไม่น้อย
ลู่ชิงรับรู้ได้แล้วว่าสิ่งแปลกประหลาดที่ฝังตัวอยู่ในร่างกายของฉินหลิงนั้นย่อมต้องเป็นตัวอ่อนกระบี่ที่หายสาบสูญมาหลายหมื่นปีอย่างแน่นอน
แต่ทำไมตัวอ่อนกระบี่ที่สมควรหายไปพร้อมกับเต๋าแห่งกระบี่กลับปรากฏอยู่ในร่างชายหนุ่มผู้นี้ได้
ลู่ชิงเองก็พูดอะไรไม่ถูก
ชายตรงหน้าของนางแปลกประหลาดเกินไป ในอดีตนางเคยคิดว่าตัวเองเข้าใจฉินหลิงมากพออยู่แล้ว
แต่ที่แท้นางกลับไม่เข้าใจอะไรในตัวของชายหนุ่มผู้นี้เลย
หลังจากได้ฟังเรื่องราวของเจ้าแห่งกระบี่คนสุดท้าย
ทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆอีก หลังจากดื่มชาเสร็จลู่ชิงก็ทิ้งคัมภีร์ฝึกวิชาเคล็ดวิชาพื้นฐานกับเม็ดยาโอสถระดับสามและสี่ไว้ให้ก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่ล่ะคนต่างมีหนทางของตัวเอง
เมื่อฉินหลิงเข้าสู่วิถีแห่งการบำเพ็ญตนแล้ว กรรมที่พวกเขาเคยมีต่อกันก็ถือว่าสิ้นสุดลง
การพูดคุยครั้งนี้ก็เหมือนการอำลากันของสหาย หากครั้งหน้าพวกเขาพบเจอกันอีก ทั้งสองอาจจะเป็นศัตรูกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เพียงแต่จะมีโอกาสจนได้เจออีกฝ่ายรึเปล่านั้นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าลิขิต!
ความคิดเห็น