ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #148 : ปัญหาการค้าของเหลาสุรา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.18K
      905
      12 ก.พ. 63

    “คุณชาย ตกลงท่านจะพักนานเท่าไหร่เจ้าค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยพร้อมกับดวงตาเปล่งประกาย ด้วยหน้าตาและผิวพรรณอย่างชายหนุ่มตรงหน้านางนั้นย่อมเป็นคนมีฐานะอย่างแน่นอน หากต้อนรับอย่างดีๆย่อมต้องได้รับกำไรเพิ่มอีกไม่น้อย

     

    ฉินหลิงที่ผ่านสมรภูมิการค้ามาอย่างดุเดือดไหนเลยจะไม่รู้ความคิดของหญิงร่างอวบตรงหน้า แต่ในเวลานี้เขาไม่ใช่พ่อค้านักธุรกิจดั่งในอดีตอีกแล้ว “ข้ารบกวนซักสองสามวันเท่านั้น”

     

    มารดาของเด็กชายทั้งสองที่เป็นเพื่อนอาไป๋เผยสีหน้าผิดหวังอยู่เล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าฉินหลิงต้องการพักเพียงไม่กี่วัน แต่เมื่อเห็นแท่งเงินสีทองก็ทำให้ดวงตาของผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมโตเหมือนไข่ห่าน

     

    “เอ่อ... คุณชายเจ้าค่ะ เกรงว่าร้านเราจะไม่มีเงินมากพอจะทอนให้แก่ท่าน” เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยด้วยท่าทีกระอักกะอวม

     

    ฉินหลิงยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องทอน แล้วก็รบกวนเตรียมอาหารให้ข้าด้วย”

     

    “ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้าจะทำอาหารให้สุดฝีมือเลย” เถ้าแก่เนี๊ยที่พึ่งเคยเจอคนแลกที่พักกับอาหารไม่กี่วันโดยใช้ทองก้อนเป็นครั้งแรกก็ร้องออกมาอย่างดีอกดีใจและรีบวิ่งเข้าครัวอย่างรวดเร็ว ทิ้งหญิงสาวและเด็กน้อยทั้งสามที่กำลังเบิกตากว้างจ้องมองไปยังก้อนทองในมือของหญิงร่างอวบ

     

    แม้แต่ชิงชิงเองก็แทบไม่เชื่อว่าคนที่นางพบที่หน้าประตูเมืองจะร่ำรวยขนาดนี้ ต้องรู้ว่าทองก้อนหนึ่งนั้นสามารถแลกเงินได้นับร้อยตำลึงทอง แต่ชายหนุ่มที่กำลังนั่งรออาหารด้วยสีหน้าเรียบเฉยกับสามารถควักทองเช่นนี้ออกมาใช้จ่ายอย่างไม่รู้สึกอะไร

     

    เหล่าเด็กน้อยทั้งสามที่เห็นฉินหลิงร่ำรวยก็เข้าไปห้อมล้อม

     

    “ท่านลุง นี้ท่านรวยมากเลยหรา?

     

    “ท่านเป็นพ่อค้ารึ แล้วท่านขายอะไรรึถึงได้ร่ำรวยขนาดนี้ พาข้าไปกับท่านด้วยได้รึไม่?

     

    “ท่านลุง ท่านพาข้าไปซื้อของหวานหน่อย... แม่ข้าไม่เคยซื้อให้ข้าเลย ท่านบอกว่ากินมากแล้วจะอ้วน แต่ข้าว่าท่านแม่ต้องโกหกอย่างแน่นอน เพราะขนาดท่านแม่ยังอ้วนโดยไม่กินขนมหวานเลย”

     

    เด็กน้อยสามคนเข้ามาถามฉินหลิงจนเขารู้สึกมึนงง แต่ภายในใจลึกๆกลับชอบบรรยากาศเช่นนี้อยู่ไม่น้อย  เมื่ออายุมากขึ้นก็อยากเห็นลูกหลานเข้ามาหา ฉินหลิงก็พอจะเข้าใจความรู้สึกโหยหาความอบอุ่นจากคนในครอบครัว เพราะตั้งแต่ถานอวี้จี้ตายไปฉินหลิงก็แทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใครเลย

     

    ชิงชิงที่เห็นเด็กน้อยทั้งสามทำตัวไร้มารยาทก็รีบเข้ามาลากพวกเขาออกไปก่อนจะเดินกลับมาก้มหัวให้ฉินหลิง “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เจ้าเด็กพวกนี้ไม่รู้จักฟังเลยจริงๆ วันๆเอาแต่เล่นกับรบกวนแขกอยู่นั้นแหละทำเอาข้าหัวหมุนได้ทุกวัน”

     

    ฉินหลิงโบกมืออย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไรหรอก เด็กกำลังโตก็ย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา คนเป็นพ่อแม่ก็สมควรดูอยู่ห่างๆเพราะพวกเขาต่างก็มีแนวทางเป็นของตัวเอง หากเราไปขวางกั้นความคิดเขามากเกินไป ต่อไปเขาจะกลายเป็นคนหวาดกลัวและไม่กล้าก้าวเดินในเส้นทางของตัวเอง”

     

    หญิงสาวเบิกตากว้างมองดูชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับนางเอ่ยถึงการสั่งสอนบุตรหลานทำให้นางรู้สึกตื่นตกใจไม่น้อย ส่วนมากแล้วผู้คนมักจะอยากให้ลูกหลานเดินตามทางเหมือนพวกเขา แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับมีความคิดแตกต่างอย่างสิ้นเชิง  การให้ลูกหลานเลือกเส้นทางของตัวเองนั้นคือสิ่งใดชิงชิงเองก็ไม่เข้าใจ แต่นางรู้สึกนับถือชายตรงหน้าอย่างยิ่ง เขาต้องมีประสบการณ์ชีวิตเท่าไหร่เชียวถึงสามารถเข้าใจโลกได้เพียงนี้

     

    ฉินหลิงเองก็มองไปยังหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะยิ้มออกมา “ข้าเองก็มีลูกเช่นกัน”

     

    “ห๊ะ.. ท่านมีบุตรแล้ว” ชิงชิงเอ่ยออกมาพร้อมกับความรู้สึกตกตะลึง ไม่ใช่ว่าเป็นเขาเองที่บอกว่าตัวเองออกเดินท่องเรื่อยเปื่อยหรอกรึ?

     

    “ลูกบุญธรรมน่ะ มารดาที่แท้จริงของเขาโดนพิษจนร่างกายอ่อนแอ ก่อนนางตายก็ได้ฝากฝังบุตรชายแก่ข้า ดังนั้นข้าก็เลยเป็นคนเลี้ยงดูเขามา” ฉินหลิงเอ่ยออกมาพร้อมกับนึกถึงบุตรบุญธรรมที่ตอนนี้คงกำลังเริ่มสงครามกับแคว้นหงหรู่ไปแล้ว

     

    ชิงชิงเองก็พยักหน้าเข้าใจ แต่ความรู้สึกที่นางมีให้ต่อชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่ความหลงใหลในรูปแบบชายหญิงแต่เป็นความเคารพในตัวชายหนุ่มซึ่งก็ทำให้นางสงสัยเช่นกันว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกนับถือชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันเหมือนดั่งผู้อาวุโส

     

    ระหว่างการพูดคุย เถ้าแก้เนี้ยก็นำอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะของฉินหลิงอย่างรวดเร็ว

     

    ด้วยก้อนทองคำที่ฉินหลิงให้ไป เจ้าของโรงเตี๊ยมร่างอวบนำของที่มีอยู่ในครัวมาประกอบอาหารจนหมดและทำให้บนโต๊ะอาหารของฉินหลิงเต็มไปด้วยอาหาร

     

    ฉินหลิงที่รู้สึกหิวอยู่เล็กน้อยก็อดตะลึงไม่ได้ ถึงแม้เขาจะเดินทางผ่านป่าเขาและไม่ได้กินอะไรมาสองสามวันแล้ว แต่กับข้าวตรงหน้านั้นก็เยอะเกินกว่าที่เขาจะกินหมดอย่างแน่นอน

     

    เมื่อเขาบรรลุเป็นผู้ฝึกตน เขาก็พบว่าร่างกายมีความต้องการอาหารน้อยลงกว่าเดิมหลายเท่าแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอาจหยุดดื่มกินได้ อย่างน้อยในช่วงห้าวันเขาต้องกินอาหารอย่างน้อยซักครั้งหนึ่งเพื่อไม่ให้ร่างกายหิวโหยเกินไป

     

    ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจของพลังวิญญาณที่แปลงสภาพร่างกายของเหล่าผู้ฝึกตนให้เป็นเสมือนฟ้าดินที่คงอยู่ด้วยตัวมันเองโดยไม่ต้องพึ่งการเบียดเบียนชีวิตดั่งเช่นการกินดื่มเหมือนเหล่ามนุษย์ปุถุชนคนทั่วไปที่ดำรงชีพด้วยการแย่งชิงชีวิตอื่น

     

    และการดื่มกินอาหารของเหล่าผู้ฝึกตนก็ค่อยๆลดน้อยลงจนไม่ต้องกินอะไรเมื่อพวกเขาสามารถบรรลุระดับขั้นพลังได้สูงมากพอ ซึ่งเรื่องนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่เกินความเข้าใจของฉินหลิงในตอนนี้

     

    เหล่าเด็กน้อยทั้งสามที่พึ่งถูกไล่ไปก็กลับมามองอาหารหลากหลายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะฉินหลิงด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความอยากกินและรวมกับน้ำลายที่ไหลออกมาก็ทำให้ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะเอ็นดูเจ้าตัวน้อยพวกนี้

     

    ฉินหลิงกวักมือเรียกเหล่าเด็กน้อยทั้งสาม “มากินด้วยกันซิ อาหารมากมายขนาดนี้ข้ากินไม่หมดหรอก”

     

    เหล่าเด็กน้อยต่างหันไปมองชิงชิงที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากฉินหลิงด้วยสีหน้าคาดหวัง เพราะเมื่อครู่พวกเขาโดนไล่ออกไปเพราะทำตัวไร้มารยาทจึงโดนดุไปและทำให้พวกเขายังคงเกรงกลัวอยู่บาง

     

    ชิงชิงที่เห็นสีหน้าเด็กน้อยก็ใจอ่อนลง “อย่าลืมขอบคุณท่านลุงด้วยล่ะ”

     

    คิ้วของฉินหลิงกระตุกเบาๆเมื่อได้ยินหญิงสาวเรียกเขาว่าท่านลุงเหมือนดั่งเหล่าเด็กน้อยพวกนี้

     

    เด็กทั้งสามวัยหกถึงสิบขวบยกมือคำนับฉินหลิงอย่างมีมารยาทก่อนจะลากเก้าอี้มาล้อมฉินหลิงอย่างรวดเร็ว

     

    มือเล็กๆของพวกเขาจับตะเกียบอย่างชำนาญก่อนจะเกิดมรสุมแย่งชิงอาหารกันพร้อมกับเสียงจอแจทำให้ภายในโต๊ะอาหารดูวุ่นวายจนทำให้ชิงชิงต้องคอยดุอยู่เรื่อยๆในระหว่างที่นางกำลังเช็ดถูโต๊ะโดยรอบ

     

    เพียงไม่นานอาหารบนโต๊ะก็ถูกกวาดไปจนหมด ฉินหลิงแทบไม่เชื่อเลยว่าท้องน้อยๆของเด็กทั้งสามจะกินจุได้ถึงเพียงนี้

     

    “อาหารเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” ชิงชิงเอ่ยถามขณะเก็บถ้วยชามบนโต๊ะ

     

    “อร่อยดี เพียงแต่อาหารที่อร่อยเช่นนี้ทำไมถึงไม่ค่อยมีคนมาแวะกินเลยล่ะ” ฉินหลิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ถึงแม้อาหารในโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะไม่ได้อร่อยเหมือนพ่อครัวจากภายในวังทำแต่รสชาติก็ถือได้ว่าอยู่ไนลำดับต้นๆของร้านขายอาหารที่เขาเคยกินมาได้เลย  แต่เมื่อนึกถึงจำนวนคนที่มากินซึ่งเรียกได้ว่าน้อยมากจึงทำให้ฉินหลิงอดรู้สึกสงสัยไม่ได้

     

    ชิงชิงถอนหายใจออกมา “เถ้าแก่เนี๊ยทำอาหารอร่อยจริงๆแต่เราก็ยังสู้ราคากับเหลาสุราแถวย่านการค้าที่พวกเราเดินผ่านมาไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เหลาสุราพวกนั้นขายถูกกว่าพวกเรามาก ดังนั้นผู้คนจึงมักไปแวะกินยังร้านพวกนั้นที่มีทั้งสภาพร้านสวยงามและราคาถูกกว่าร้านของเราเจ้าค่ะ”

     

    “คงเป็นคนใหญ่คนโตที่อยู่เบื้องหลังร้านพวกนั้นสิน่ะ” ฉินหลิงเอ่ยออกมา

     

    การที่จะขายสินค้าได้ในราคาถูกย่อมต้องเป็นผู้ควบคุมวงจรการผลิตอย่างครบกระบวนการ อย่างเถ้าแก่เนี้ยที่เปิดร้านเล็กๆและซื้อของมาทำอาหารขายให้ลูกค้าย่อมไม่อาจสู้พวกพ่อค้าที่มีแผนการผลิตตั้งแต่การเพาะปลูกไปจนถึงการนำมาประกอบอาหาร

     

    หากเปรียบเทียบก็เหมือนกับเหลาสุราในย่านการค้านั้นเป็นนายทุนขนาดใหญ่ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยเป็นเพียงพ่อค้ารายย่อยที่รับสินค้ามาอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นหากเถ้าแก่เนี้ยขายสินค้าในราคาเดียวกับเหลาสุราในย่านการค้าก็เป็นเพียงการแส่หาความตายเท่านั้น

     

    ชิงชิงเองก็เบิกตากว้างเมื่อได้ยินฉินหลิงเอ่ยขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้เป็นคนในพื้นที่ “เจ้าค่ะ เหลาสุราพวกนั้นล้วนมีขุนนางอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น พวกเขามีคนงานเพาะปลูกพืชพรรณเป็นของตัวเองจึงทำให้พวกเขาสามารถกดดันเหลาสุราอื่นๆในราคาที่ต่ำกว่าได้”

     

    เถ้าแก่เนี้ยที่เดินออกมานอกร้านเพื่อบอกเกี่ยวกับห้องพักของฉินหลิงก็ได้ยินทั้งสองพูดคุยเรื่องการค้าก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “เหลาสุราเป็นสิบที่ต้องปิดตัวลงเพราะเหลาสุราพวกนั้น หากไม่ใช่เพราะโรงเตี๊ยมของข้ามีลูกค้าดั่งเดิมคงไม่อาจเปิดมาได้จนถึงทุกวันนี้หรอกเจ้าค่ะ”

     

    “ใช่ว่าจะไม่มีทางสู้หรอกน่ะ” ฉินหลิงเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้หญิงทั้งสองหน้าแดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว

     

    “ละ...แล้วข้าต้องทำเช่นไรเจ้าค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยร่างอวบเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเมื่อได้ยินคำพูดของฉินหลิง

     

    “พวกเจ้าลืมไปแล้วรึว่านอกจากพวกเจ้าที่เดือดร้อนจากเหลาสุราที่มีขุนนางอยู่เบื้องหลังยังมีเหลาสุราอื่นอยู่อีกไม่น้อยที่เดือดร้อนไม่ต่างกัน เมื่อเหลาสุราเหล่านั้นขายอาหารไม่ได้ก็ส่งผลกระทบต่อเหล่าพ่อค้าที่เป็นคนนำเขาพืชผักมาจากเหล่าชาวบ้าน จนสุดท้ายแล้วเหล่าชาวบ้านที่หาเลี้ยงชีพด้วยการทำสวนทำไร่ก็ไม่มีเงินมาจ่ายภาษีและส่งผลกระทบต่อการบริหารบ้านเมืองของเหล่าราชวงศ์” เอ่ยจบฉินหลิงก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเอ่ย “แล้วเจ้าคิดว่าอำนาจของเหล่าราชวงศ์และขุนนางอันไหนน่าเกรงขามกว่ากัน เมื่อเห็นภาษีที่สมควรได้หลุดลอยไป ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็คงทนไม่ได้หรอกที่จะเข้ามาแทรกแซงโดยเฉพาะเมืองใหญ่เช่นนี้ที่สมควรมีเงินภาษีเป็นจำนวนมาก”

     

    สตรีทั้งสองเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง การเอ่ยออกมาของฉินหลิงทำให้พวกนางรู้ถึงผลกระทบของสิ่งที่จะตามมา แต่การที่ฉินหลิงสามารถคิดไปไกลถึงการเข้ามาแทรกแซงของราชวงศ์นั้นทำให้พวกนางรู้สึกสั่นเทา

     

    ชายตรงหน้ามีความรู้มากเท่าไหร่กันแน่ถึงสามารถมองการไกลได้ถึงเพียงนี้ ปัญหาเล็กๆที่ดูเหมือนไม่สำคัญสามารถแก้ไขได้อย่างไม่ยากเย็นเมื่อได้ยินคำแนะนำของชายหนุ่มผู้นี้

     

    เมื่อเห็นสีหน้าหญิงสาวทั้งสองก็ทำให้เขานึกถึงซูเยว่ ในอดีตซูเยว่มักจะมีสีหน้าเช่นนี้เมื่อเขาพูดเกี่ยวกับกลยุทธการค้า “ทุกสิ่งเคลื่อนไหวได้โดยมีผลประโยชน์  สถานที่ใดมีผลประโยชน์มากพอก็ย่อมมีเหล่าเสือสิงห์เข้ามาห้ำหั่นเพื่อแย่งชิง”

     

    อย่างไรก็ตาม สตรีทั้งสองก็เป็นเพียงคนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานในโรงเตี๊ยมจึงย่อมไม่เข้าใจกระจ่างถึงคำพูดของฉินหลิง “แล้วพวกข้าควรทำอย่างไรต่อไปเจ้าค่ะ”

     

    “ในเมื่อตัวคนเดียวไม่อาจสร้างระลอกคลื่นใดๆได้ เช่นนั้นเจ้าก็จำเป็นต้องหาพันธมิตร พันธมิตรที่เดือดร้อนจากการกระทำของเหลาสุราเหล่านั้น เมื่อเจ้าได้พันธมิตรมากพอแล้ว... จงไปหาศัตรูทางการเมืองของผู้อยู่เบื้องหลังเหลาสุราที่ทำให้การค้าของเจ้าแย่ลง” ฉินหลิงก็ยิ้มออกมาพร้อมกับดวงตาที่หรี่ลง “ต่อจากนั้นแหละที่จะเป็นจุดสนุก....ตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น ไม่รู้ภัยนกขมิ้นอยู่ข้างหลัง ”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×