คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #148 : ปัญหาการค้าของเหลาสุรา
“คุณชาย ตกลงท่านจะพักนานเท่าไหร่เจ้าค่ะ”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยพร้อมกับดวงตาเปล่งประกาย
ด้วยหน้าตาและผิวพรรณอย่างชายหนุ่มตรงหน้านางนั้นย่อมเป็นคนมีฐานะอย่างแน่นอน
หากต้อนรับอย่างดีๆย่อมต้องได้รับกำไรเพิ่มอีกไม่น้อย
ฉินหลิงที่ผ่านสมรภูมิการค้ามาอย่างดุเดือดไหนเลยจะไม่รู้ความคิดของหญิงร่างอวบตรงหน้า
แต่ในเวลานี้เขาไม่ใช่พ่อค้านักธุรกิจดั่งในอดีตอีกแล้ว
“ข้ารบกวนซักสองสามวันเท่านั้น”
มารดาของเด็กชายทั้งสองที่เป็นเพื่อนอาไป๋เผยสีหน้าผิดหวังอยู่เล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าฉินหลิงต้องการพักเพียงไม่กี่วัน
แต่เมื่อเห็นแท่งเงินสีทองก็ทำให้ดวงตาของผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมโตเหมือนไข่ห่าน
“เอ่อ... คุณชายเจ้าค่ะ
เกรงว่าร้านเราจะไม่มีเงินมากพอจะทอนให้แก่ท่าน”
เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยด้วยท่าทีกระอักกะอวม
ฉินหลิงยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องทอน แล้วก็รบกวนเตรียมอาหารให้ข้าด้วย”
“ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ
ข้าจะทำอาหารให้สุดฝีมือเลย” เถ้าแก่เนี๊ยที่พึ่งเคยเจอคนแลกที่พักกับอาหารไม่กี่วันโดยใช้ทองก้อนเป็นครั้งแรกก็ร้องออกมาอย่างดีอกดีใจและรีบวิ่งเข้าครัวอย่างรวดเร็ว
ทิ้งหญิงสาวและเด็กน้อยทั้งสามที่กำลังเบิกตากว้างจ้องมองไปยังก้อนทองในมือของหญิงร่างอวบ
แม้แต่ชิงชิงเองก็แทบไม่เชื่อว่าคนที่นางพบที่หน้าประตูเมืองจะร่ำรวยขนาดนี้
ต้องรู้ว่าทองก้อนหนึ่งนั้นสามารถแลกเงินได้นับร้อยตำลึงทอง
แต่ชายหนุ่มที่กำลังนั่งรออาหารด้วยสีหน้าเรียบเฉยกับสามารถควักทองเช่นนี้ออกมาใช้จ่ายอย่างไม่รู้สึกอะไร
เหล่าเด็กน้อยทั้งสามที่เห็นฉินหลิงร่ำรวยก็เข้าไปห้อมล้อม
“ท่านลุง นี้ท่านรวยมากเลยหรา?”
“ท่านเป็นพ่อค้ารึ แล้วท่านขายอะไรรึถึงได้ร่ำรวยขนาดนี้
พาข้าไปกับท่านด้วยได้รึไม่?”
“ท่านลุง ท่านพาข้าไปซื้อของหวานหน่อย...
แม่ข้าไม่เคยซื้อให้ข้าเลย ท่านบอกว่ากินมากแล้วจะอ้วน แต่ข้าว่าท่านแม่ต้องโกหกอย่างแน่นอน
เพราะขนาดท่านแม่ยังอ้วนโดยไม่กินขนมหวานเลย”
เด็กน้อยสามคนเข้ามาถามฉินหลิงจนเขารู้สึกมึนงง
แต่ภายในใจลึกๆกลับชอบบรรยากาศเช่นนี้อยู่ไม่น้อย
เมื่ออายุมากขึ้นก็อยากเห็นลูกหลานเข้ามาหา
ฉินหลิงก็พอจะเข้าใจความรู้สึกโหยหาความอบอุ่นจากคนในครอบครัว เพราะตั้งแต่ถานอวี้จี้ตายไปฉินหลิงก็แทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใครเลย
ชิงชิงที่เห็นเด็กน้อยทั้งสามทำตัวไร้มารยาทก็รีบเข้ามาลากพวกเขาออกไปก่อนจะเดินกลับมาก้มหัวให้ฉินหลิง
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ เจ้าเด็กพวกนี้ไม่รู้จักฟังเลยจริงๆ
วันๆเอาแต่เล่นกับรบกวนแขกอยู่นั้นแหละทำเอาข้าหัวหมุนได้ทุกวัน”
ฉินหลิงโบกมืออย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไรหรอก
เด็กกำลังโตก็ย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา
คนเป็นพ่อแม่ก็สมควรดูอยู่ห่างๆเพราะพวกเขาต่างก็มีแนวทางเป็นของตัวเอง
หากเราไปขวางกั้นความคิดเขามากเกินไป ต่อไปเขาจะกลายเป็นคนหวาดกลัวและไม่กล้าก้าวเดินในเส้นทางของตัวเอง”
หญิงสาวเบิกตากว้างมองดูชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับนางเอ่ยถึงการสั่งสอนบุตรหลานทำให้นางรู้สึกตื่นตกใจไม่น้อย
ส่วนมากแล้วผู้คนมักจะอยากให้ลูกหลานเดินตามทางเหมือนพวกเขา แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับมีความคิดแตกต่างอย่างสิ้นเชิง การให้ลูกหลานเลือกเส้นทางของตัวเองนั้นคือสิ่งใดชิงชิงเองก็ไม่เข้าใจ
แต่นางรู้สึกนับถือชายตรงหน้าอย่างยิ่ง
เขาต้องมีประสบการณ์ชีวิตเท่าไหร่เชียวถึงสามารถเข้าใจโลกได้เพียงนี้
ฉินหลิงเองก็มองไปยังหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะยิ้มออกมา
“ข้าเองก็มีลูกเช่นกัน”
“ห๊ะ.. ท่านมีบุตรแล้ว”
ชิงชิงเอ่ยออกมาพร้อมกับความรู้สึกตกตะลึง
ไม่ใช่ว่าเป็นเขาเองที่บอกว่าตัวเองออกเดินท่องเรื่อยเปื่อยหรอกรึ?
“ลูกบุญธรรมน่ะ
มารดาที่แท้จริงของเขาโดนพิษจนร่างกายอ่อนแอ ก่อนนางตายก็ได้ฝากฝังบุตรชายแก่ข้า
ดังนั้นข้าก็เลยเป็นคนเลี้ยงดูเขามา” ฉินหลิงเอ่ยออกมาพร้อมกับนึกถึงบุตรบุญธรรมที่ตอนนี้คงกำลังเริ่มสงครามกับแคว้นหงหรู่ไปแล้ว
ชิงชิงเองก็พยักหน้าเข้าใจ
แต่ความรู้สึกที่นางมีให้ต่อชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่ความหลงใหลในรูปแบบชายหญิงแต่เป็นความเคารพในตัวชายหนุ่มซึ่งก็ทำให้นางสงสัยเช่นกันว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกนับถือชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันเหมือนดั่งผู้อาวุโส
ระหว่างการพูดคุย เถ้าแก้เนี้ยก็นำอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะของฉินหลิงอย่างรวดเร็ว
ด้วยก้อนทองคำที่ฉินหลิงให้ไป
เจ้าของโรงเตี๊ยมร่างอวบนำของที่มีอยู่ในครัวมาประกอบอาหารจนหมดและทำให้บนโต๊ะอาหารของฉินหลิงเต็มไปด้วยอาหาร
ฉินหลิงที่รู้สึกหิวอยู่เล็กน้อยก็อดตะลึงไม่ได้
ถึงแม้เขาจะเดินทางผ่านป่าเขาและไม่ได้กินอะไรมาสองสามวันแล้ว
แต่กับข้าวตรงหน้านั้นก็เยอะเกินกว่าที่เขาจะกินหมดอย่างแน่นอน
เมื่อเขาบรรลุเป็นผู้ฝึกตน
เขาก็พบว่าร่างกายมีความต้องการอาหารน้อยลงกว่าเดิมหลายเท่าแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอาจหยุดดื่มกินได้
อย่างน้อยในช่วงห้าวันเขาต้องกินอาหารอย่างน้อยซักครั้งหนึ่งเพื่อไม่ให้ร่างกายหิวโหยเกินไป
ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจของพลังวิญญาณที่แปลงสภาพร่างกายของเหล่าผู้ฝึกตนให้เป็นเสมือนฟ้าดินที่คงอยู่ด้วยตัวมันเองโดยไม่ต้องพึ่งการเบียดเบียนชีวิตดั่งเช่นการกินดื่มเหมือนเหล่ามนุษย์ปุถุชนคนทั่วไปที่ดำรงชีพด้วยการแย่งชิงชีวิตอื่น
และการดื่มกินอาหารของเหล่าผู้ฝึกตนก็ค่อยๆลดน้อยลงจนไม่ต้องกินอะไรเมื่อพวกเขาสามารถบรรลุระดับขั้นพลังได้สูงมากพอ
ซึ่งเรื่องนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่เกินความเข้าใจของฉินหลิงในตอนนี้
เหล่าเด็กน้อยทั้งสามที่พึ่งถูกไล่ไปก็กลับมามองอาหารหลากหลายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะฉินหลิงด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความอยากกินและรวมกับน้ำลายที่ไหลออกมาก็ทำให้ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะเอ็นดูเจ้าตัวน้อยพวกนี้
ฉินหลิงกวักมือเรียกเหล่าเด็กน้อยทั้งสาม “มากินด้วยกันซิ
อาหารมากมายขนาดนี้ข้ากินไม่หมดหรอก”
เหล่าเด็กน้อยต่างหันไปมองชิงชิงที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากฉินหลิงด้วยสีหน้าคาดหวัง
เพราะเมื่อครู่พวกเขาโดนไล่ออกไปเพราะทำตัวไร้มารยาทจึงโดนดุไปและทำให้พวกเขายังคงเกรงกลัวอยู่บาง
ชิงชิงที่เห็นสีหน้าเด็กน้อยก็ใจอ่อนลง “อย่าลืมขอบคุณท่านลุงด้วยล่ะ”
คิ้วของฉินหลิงกระตุกเบาๆเมื่อได้ยินหญิงสาวเรียกเขาว่าท่านลุงเหมือนดั่งเหล่าเด็กน้อยพวกนี้
เด็กทั้งสามวัยหกถึงสิบขวบยกมือคำนับฉินหลิงอย่างมีมารยาทก่อนจะลากเก้าอี้มาล้อมฉินหลิงอย่างรวดเร็ว
มือเล็กๆของพวกเขาจับตะเกียบอย่างชำนาญก่อนจะเกิดมรสุมแย่งชิงอาหารกันพร้อมกับเสียงจอแจทำให้ภายในโต๊ะอาหารดูวุ่นวายจนทำให้ชิงชิงต้องคอยดุอยู่เรื่อยๆในระหว่างที่นางกำลังเช็ดถูโต๊ะโดยรอบ
เพียงไม่นานอาหารบนโต๊ะก็ถูกกวาดไปจนหมด
ฉินหลิงแทบไม่เชื่อเลยว่าท้องน้อยๆของเด็กทั้งสามจะกินจุได้ถึงเพียงนี้
“อาหารเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ”
ชิงชิงเอ่ยถามขณะเก็บถ้วยชามบนโต๊ะ
“อร่อยดี
เพียงแต่อาหารที่อร่อยเช่นนี้ทำไมถึงไม่ค่อยมีคนมาแวะกินเลยล่ะ”
ฉินหลิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ถึงแม้อาหารในโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะไม่ได้อร่อยเหมือนพ่อครัวจากภายในวังทำแต่รสชาติก็ถือได้ว่าอยู่ไนลำดับต้นๆของร้านขายอาหารที่เขาเคยกินมาได้เลย
แต่เมื่อนึกถึงจำนวนคนที่มากินซึ่งเรียกได้ว่าน้อยมากจึงทำให้ฉินหลิงอดรู้สึกสงสัยไม่ได้
ชิงชิงถอนหายใจออกมา “เถ้าแก่เนี๊ยทำอาหารอร่อยจริงๆแต่เราก็ยังสู้ราคากับเหลาสุราแถวย่านการค้าที่พวกเราเดินผ่านมาไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ
เหลาสุราพวกนั้นขายถูกกว่าพวกเรามาก
ดังนั้นผู้คนจึงมักไปแวะกินยังร้านพวกนั้นที่มีทั้งสภาพร้านสวยงามและราคาถูกกว่าร้านของเราเจ้าค่ะ”
“คงเป็นคนใหญ่คนโตที่อยู่เบื้องหลังร้านพวกนั้นสิน่ะ”
ฉินหลิงเอ่ยออกมา
การที่จะขายสินค้าได้ในราคาถูกย่อมต้องเป็นผู้ควบคุมวงจรการผลิตอย่างครบกระบวนการ
อย่างเถ้าแก่เนี้ยที่เปิดร้านเล็กๆและซื้อของมาทำอาหารขายให้ลูกค้าย่อมไม่อาจสู้พวกพ่อค้าที่มีแผนการผลิตตั้งแต่การเพาะปลูกไปจนถึงการนำมาประกอบอาหาร
หากเปรียบเทียบก็เหมือนกับเหลาสุราในย่านการค้านั้นเป็นนายทุนขนาดใหญ่ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยเป็นเพียงพ่อค้ารายย่อยที่รับสินค้ามาอีกทอดหนึ่ง
ดังนั้นหากเถ้าแก่เนี้ยขายสินค้าในราคาเดียวกับเหลาสุราในย่านการค้าก็เป็นเพียงการแส่หาความตายเท่านั้น
ชิงชิงเองก็เบิกตากว้างเมื่อได้ยินฉินหลิงเอ่ยขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้เป็นคนในพื้นที่
“เจ้าค่ะ เหลาสุราพวกนั้นล้วนมีขุนนางอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
พวกเขามีคนงานเพาะปลูกพืชพรรณเป็นของตัวเองจึงทำให้พวกเขาสามารถกดดันเหลาสุราอื่นๆในราคาที่ต่ำกว่าได้”
เถ้าแก่เนี้ยที่เดินออกมานอกร้านเพื่อบอกเกี่ยวกับห้องพักของฉินหลิงก็ได้ยินทั้งสองพูดคุยเรื่องการค้าก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
“เหลาสุราเป็นสิบที่ต้องปิดตัวลงเพราะเหลาสุราพวกนั้น
หากไม่ใช่เพราะโรงเตี๊ยมของข้ามีลูกค้าดั่งเดิมคงไม่อาจเปิดมาได้จนถึงทุกวันนี้หรอกเจ้าค่ะ”
“ใช่ว่าจะไม่มีทางสู้หรอกน่ะ”
ฉินหลิงเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้หญิงทั้งสองหน้าแดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ละ...แล้วข้าต้องทำเช่นไรเจ้าค่ะ”
เถ้าแก่เนี้ยร่างอวบเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเมื่อได้ยินคำพูดของฉินหลิง
“พวกเจ้าลืมไปแล้วรึว่านอกจากพวกเจ้าที่เดือดร้อนจากเหลาสุราที่มีขุนนางอยู่เบื้องหลังยังมีเหลาสุราอื่นอยู่อีกไม่น้อยที่เดือดร้อนไม่ต่างกัน
เมื่อเหลาสุราเหล่านั้นขายอาหารไม่ได้ก็ส่งผลกระทบต่อเหล่าพ่อค้าที่เป็นคนนำเขาพืชผักมาจากเหล่าชาวบ้าน
จนสุดท้ายแล้วเหล่าชาวบ้านที่หาเลี้ยงชีพด้วยการทำสวนทำไร่ก็ไม่มีเงินมาจ่ายภาษีและส่งผลกระทบต่อการบริหารบ้านเมืองของเหล่าราชวงศ์”
เอ่ยจบฉินหลิงก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเอ่ย
“แล้วเจ้าคิดว่าอำนาจของเหล่าราชวงศ์และขุนนางอันไหนน่าเกรงขามกว่ากัน เมื่อเห็นภาษีที่สมควรได้หลุดลอยไป
ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็คงทนไม่ได้หรอกที่จะเข้ามาแทรกแซงโดยเฉพาะเมืองใหญ่เช่นนี้ที่สมควรมีเงินภาษีเป็นจำนวนมาก”
สตรีทั้งสองเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
การเอ่ยออกมาของฉินหลิงทำให้พวกนางรู้ถึงผลกระทบของสิ่งที่จะตามมา
แต่การที่ฉินหลิงสามารถคิดไปไกลถึงการเข้ามาแทรกแซงของราชวงศ์นั้นทำให้พวกนางรู้สึกสั่นเทา
ชายตรงหน้ามีความรู้มากเท่าไหร่กันแน่ถึงสามารถมองการไกลได้ถึงเพียงนี้
ปัญหาเล็กๆที่ดูเหมือนไม่สำคัญสามารถแก้ไขได้อย่างไม่ยากเย็นเมื่อได้ยินคำแนะนำของชายหนุ่มผู้นี้
เมื่อเห็นสีหน้าหญิงสาวทั้งสองก็ทำให้เขานึกถึงซูเยว่
ในอดีตซูเยว่มักจะมีสีหน้าเช่นนี้เมื่อเขาพูดเกี่ยวกับกลยุทธการค้า “ทุกสิ่งเคลื่อนไหวได้โดยมีผลประโยชน์
สถานที่ใดมีผลประโยชน์มากพอก็ย่อมมีเหล่าเสือสิงห์เข้ามาห้ำหั่นเพื่อแย่งชิง”
อย่างไรก็ตาม
สตรีทั้งสองก็เป็นเพียงคนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานในโรงเตี๊ยมจึงย่อมไม่เข้าใจกระจ่างถึงคำพูดของฉินหลิง
“แล้วพวกข้าควรทำอย่างไรต่อไปเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อตัวคนเดียวไม่อาจสร้างระลอกคลื่นใดๆได้
เช่นนั้นเจ้าก็จำเป็นต้องหาพันธมิตร
พันธมิตรที่เดือดร้อนจากการกระทำของเหลาสุราเหล่านั้น
เมื่อเจ้าได้พันธมิตรมากพอแล้ว... จงไปหาศัตรูทางการเมืองของผู้อยู่เบื้องหลังเหลาสุราที่ทำให้การค้าของเจ้าแย่ลง”
ฉินหลิงก็ยิ้มออกมาพร้อมกับดวงตาที่หรี่ลง “ต่อจากนั้นแหละที่จะเป็นจุดสนุก....ตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น
ไม่รู้ภัยนกขมิ้นอยู่ข้างหลัง ”
ความคิดเห็น