ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #151 : ปลอมตัวเข้าไปในหุบเขาเซียน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.83K
      826
      12 ก.พ. 63

    ระหว่างทางเดินขึ้นไปบนหุบเขา ฉินหลิงก็สัมผัสได้ถึงไอวิญญาณที่หนาแน่นขึ้นจนทำให้เขารู้สึกอยากฝึกบำเพ็ญตนในสถานที่แห่งนี้อยู่ไม่น้อย แต่เรื่องราวในครานี้ยังเกี่ยวข้องกับมารดาทั้งสองคนของกลุ่มเด็กน้อยพวกนั้น เขาจึงระงับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

     

    ฉินหลิงรีบหมุนเวียนพลังโลหิตเพื่อยับยั้งไอวิญญาณในร่างกาย...  ด้วยเคล็ดวิชาระเบิดโลหิตที่เขาฝึกอยู่นั้นสามารถกักเก็บไอวิญญาณและเปลี่ยนตัวเองให้ดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาได้ แต่อย่างไรก็ตามฉินหลิงก็ยังรู้สึกลังเลอยู่ไม่น้อยเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนคนอื่นจริงๆ

     

    แผนการของฉินหลิงนั้นเรียบง่าย เพียงแค่ช่วยสตรีทั้งสองได้เขาก็จะรีบหนีออกจากหุบเขาแห่งนี้ทันที

     

    ความสามารถของผู้ฝึกตนผู้นี้ยังคงเป็นปริศนาอยู่โดยเฉพาะความแข็งแกร่ง  ฉินหลิงจึงไม่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้มากเกินไปอยู่แล้วและตัวเขาเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้กับผู้ฝึกตนคนอื่นเลย ดังนั้นแผนการแฝงตัวเป็นจอมยุทธเพื่อตีเนียนเป็นลูกสมุนของผู้บำเพ็ญที่อยู่บนหุบเขานี้คือสิ่งที่ฉินหลิงคิดออกมาได้

     

    ระหว่างทางขึ้นเบาเขาฉินหลิงก็สังเกตุเห็นพืชพรรณแปลกๆหลายชนิดจึงอดไม่ได้ที่จะถามจอมยุทธที่เดินทางมาพร้อมกับเขา “นั้นคือต้นอะไรรึ ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นมาก่อน”

     

    จอมยุทธที่อยู่ใกล้กับฉินหลิงก็หัวเราะออกมา “เจ้าไม่เคยเห็นน่ะไม่แปลกเพราะพวกนั้นคือสมุนไพรวิเศษที่ท่านเซียนปลูกเอาไว้ แม้แต่พวกเราก็ไม่มีสิทธิเข้าไปยังพื้นที่ด้านข้าง ต่อไปเจ้าเองก็ต้องระวังไว้ด้วย”

     

    ฉินหลิงพยักหน้าเบาๆเพื่อบอกว่าเขารับรู้แต่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับพืชชนิดใหม่ๆที่เขาไม่เคยพบ

     

    หนทางการฝึกตนยังอีกยาวไกล มีเรื่องอีกมากมายให้เขาต้องศึกษา

     

    ผ่านไปไม่นาน ฉินหลิงก็มาถึงบ้านพักหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณไหล่เขาห่างจากที่เก็บตัวของผู้ฝึกตนผู้นั้นที่อยู่ยอดเขาไม่มากนัก

     

    บ้านหลังใหญ่นี้คือสถานที่พักของเหล่าจอมยุทธที่มารวมตัวกันเพื่อรับภารกิจตามคำขอของผู้ฝึกตนที่อาศัยบนยอดเขา ภายในบ้านแบ่งออกเป็นห้องพักเหมือนโรงเตี๊ยมทั่วไป ระบบการจัดการเหมือนเหล่าสำนักที่มีลูกศิษย์คอยรับภารกิจเพื่อแลกกับคะแนน แต่สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมจอมยุทธดีๆนี้เอง

     

    จอมยุทธนับสิบคนที่นั่งดื่มชาตามจุดต่างๆหันมามองกลุ่มของฉินหลิงทันทีเมื่อเขาเดินเข้ามาภายในบ้านหลังนี้

     

    จอมยุทธทั้งสองคนที่เป็นคนเฝ้าเวรยามก็ได้พาฉินหลิงมายังด้านหน้าที่มีชายหัวล้านนั่งอยู่ “พี่หู่ ข้าพาน้องใหม่มาเข้าพวกกับเรา หากมีภารกิจระดับสูงน้องเล็กผู้นี้ช่วยเราได้เยอะแน่”

     

    ชายหัวล้านที่ถูกเรียกว่าพี่หู่ก็หรี่ตาลงก่อนจะหันไปมองจอมยุทธที่พูดชมฉินหลิง “เจ้าคิดว่าข้าโง่นักรึไงถึงได้หลอกเอาเด็กที่ไหนไม่รู้มาบอกว่าเป็นจอมยุทธ ไอพวกสารเลวหากจะหลอกข้าก็ควรหาคนที่อายุมากกว่านี้หน่อย ไอพวกโง่!!

     

    เมื่อพี่หู่ตำหนิจอมยุทธด้านข้างฉินหลิงเสร็จ เขาก็หันมาชี้หน้าฉินหลิง “ไอเจ้าเด็กสารเลว ท่านปู่ของเจ้าผู้นี้เห็นแก่หน้าไอตัวเหม็นทั้งสองนี้รีบไสหัวไปให้เร็ว”

     

    แกร๊บบ!!

     

    นิ้วชี้ของชายหัวล้านถูกฉินหลิงคว้าไว้พร้อมหักไปอีกด้านจนงออย่างรวดเร็วจนไม่มีใครเห็นได้ทัน

     

    “อ๊ากกก!!! เจ็บบบโว๊ยยย เจ้าเด็กสารเลวกล้ามาหักนิ้วข้าได้ยัง....” ระหว่างที่พี่หู่กำลังร้องออกมา ฉินหลิงก็เตะใบหน้าจนปลิวกระแทกโต๊ะโดยรอบจนแตกหักกลายเป็นเศษไม้

     

    อย่างไรก็ตามร่างของฉินหลิงก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับลมปราณสีเข้มห่างจากชายหัวล้านที่นอนโอดครวญอยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าเยือกเย็น “น้ำหน้าอย่างเจ้าไม่มีสิทธิเป็นปู่ของข้าได้หรอก”

     

    ฉินหลิงเผยอารมณ์โกรธอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินชายหัวล้านเอ่ยลบหลู่ปู่ของเขา ถึงแม้ว่าชายชราแซ่ฉินผู้นั้นจะสิ้นใจไปแล้วแต่ความทรงจำที่ทั้งสองใช้ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นยามที่พูดคุยหรือทะเลาะกันก็ตามยังคงอยู่  ฉินหลิงก็ยังรู้สึกเคารพผู้เป็นปู่อย่างยิ่ง  แต่เมื่อได้ยินชายหัวล้านกล้าแทนตัวเองว่าเป็นปู่ของเขา จึงทำให้ฉินหลิงขาดสติไปชั่ววูบ

     

    จอมยุทธนับสิบที่นั่งดื่มชาอยู่ในตอนแรกที่คิดว่าจะได้ดูเรื่องสนุกอย่างชายหัวล้านกลั่นแกล้งเด็กน้อยผู้นี้กลับเผยสีหน้าตกตะลึง เด็กหนุ่มวัยยี่สิบนิดๆกลับล้มชายหัวล้านได้อย่างง่ายดาย แถมพลังยุทธที่เกินจริงนั้นอีก

     

    ต้องรู้ว่าพวกเขาทุกคนต่างแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้เป็นที่โปรดปราณของท่านเซียนผู้อาศัยอยู่บนยอดเขา เมื่อเห็นอัจฉริยะวัยหนุ่มอย่างฉินหลิงปรากฏตัวขึ้นพวกเขาก็พบว่ากำลังมีคู่แข่งคนสำคัญอีกคนหนึ่งแล้ว

     

    “น้องชายใจเย็นๆก่อน พี่หู่เข้าใจผิดเล็กน้อย อย่าทะเลาะกันเลย” จอมยุทธที่พาฉินหลิงขึ้นมาบนเขาก็รีบเข้ามาห้ามปราบมิใช่เด็กหนุ่มลงมือต่อ ไม่เช่นนั้นชายหัวล้านอาจจะพิการก็เป็นได้

     

    อีกด้านหนึ่งจอมยุทธอีกคนก็เข้าไปกระซิบชายหัวล้าน “พี่หู่ทำไมไม่ฟังข้าพูดก่อน  เห็นไหมล่ะน้องชายที่ข้าพามาเก่งกาจขนาดไหน หากปล่อยให้เขาไปอยู่กลุ่มคนอื่นพวกเราจะเสียเปรียบเอาได้น่ะ”

     

    ชายที่ถูกเรียกว่าพี่หู่ก็เผยสีหน้าบิดเบี้ยว เขาที่โดนเด็กหนุ่มตรงหน้ากระทืบยังมีหน้าไปชวนเขาเข้าร่วมได้อีกรึ? แถมต่อไปเขายังจะมีหน้าเป็นหัวหน้ากลุ่มได้อีกหรือ?

     

    ในขณะที่ชายทั้งสองคนปรึกษากันฉินหลิงก็เอ่ยขึ้น “ขอบคุณพี่ท่านที่พาข้าขึ้นมาบนเขา ต่อจากนี้ทางใครทางมัน”

     

    “เดี๋ยวววว!! น้องชายใจเย็นๆ พวกเราแค่มีความเข้าใจผิดต่อกันเล็กน้อย ใช่ไหมพี่หู่” จอมยุทธเอ่ยออกมาพร้อมกับจ้องไปยังชายหัวล้านด้วยท่าทางราวกับจ้องจะกินเลือดเนื้อ

     

    พี่หู่เม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบา “เมื่อครู่ข้าเข้าใจผิดไปหวังว่าน้องชายจะไม่ถือสา”

     

    ฉินหลิงก็พยักหน้าเบาๆด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ตั้งใจทำตัวเองให้เป็นจุดเด่นอยู่แล้ว แต่เมื่อครู่เขาแสดงอาการออกไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบจริงๆ

     

    ความรู้สึกโกรธและอารมณ์ทางลบของฉินหลิงนั้นเป็นตัวยืนยันอย่างดีเลยว่าเขาไม่ได้โดนตัดกรรมในระหว่างเป็นผู้ฝึกตน ส่วนสาเหตุที่ว่าเป็นเพราะจิตวิญญาณของเขาเป็นคนจากอีกโลกหนึ่งรึเปล่านั้นเป็นเรื่องที่เขาจะต้องพิสูจน์ให้ได้ในอนาคต

     

    หลังจากรักษาชายหัวล้านจนเสร็จ จอมยุทธที่เป็นคนพาฉินหลิงมาบนเนินเขาก็เรียกรวมคน

     

    หากไม่นับชายหัวล้านที่ดามนิ้วมือซึ่งหักเพราะฉินหลิง ก็มีจอมยุทธมาเพิ่มอีกสองคน ชายทั้งสองนั้นมีรูปร่างผอมแห้งและหน้าตาซีดเซียว พวกเขานั่งใกล้กันด้วยความคุ้นเคยจึงทำให้เขาใจได้ว่าพวกเขาทั้งสองเป็นสหายที่สนิทกันอย่างแน่นอน

     

    “เอาล่ะในเมื่อทุกท่านมากันครบแล้ว ข้าขอแนะนำสมาชิกใหม่ของเรา เอ่อน้องชาย เจ้าชื่ออะไรรึ...” จอมยุทธที่เป็นคนห้ามไม่ให้ฉินหลิงซ้ำชายหัวล้านในตอนที่เขาสั่งสอนบทเรียนแก่ชายหัวล้านเป็นคนเอ่ยขึ้นมา

     

    “ข้าน้อยแซ่ฉิน เดินทางมาจากทางใต้ บังเอิญได้ข่าวคราวเกี่ยวกับท่านเซียนจึงอยากฝากตัวเป็นศิษย์” ฉินหลิงเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจแต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความทระนงอยู่ส่วนหนึ่ง

     

    เหล่าจอมยุทธที่เหลือต่างก็เข้าใจ เพราะอย่างไรการที่เด็กน้อยผู้หนึ่งบรรลุเป็นจอมยุทธตั้งแต่อายุยังน้อยย่อมต้องมีท่าทีเช่นนี้ แตกต่างจากชายหัวล้านที่เคยเป็นหัวกลุ่มที่แสดงท่าทางอึดอัด ความแข็งแกร่งของเขาด้อยกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่เขาไม่อยากถูกปลดจากตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม

     

    ็นจอ็็

    “ยินดีที่ได้รู้จักน้องชายฉิน”

     

    “สวัสดีน้องชาย”

     

    จอมยุทธร่างผอมอีกสองคนก็พยักหน้าเบาๆให้ฉินหลิงเช่นกัน

     

    หลังจากผ่านการพูดคุยไปเล็กน้อย จอมยุทธคนเดิมก็เอ่ยออกมา “สำหรับเรื่องหัวหน้ากลุ่มเราจะเอาอย่างไร” เอ่ยจบพี่หู่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็กำหมัดแน่นแต่คำพูดของฉินหลิงกับทำให้เขาเบิกตากว้าง

     

    “ข้าไม่สนใจตำแหน่งหัวหน้าอะไรนั้นหรอก”

     

    ไม่เพียงพี่หู่ที่ตื่นตกใจ จอมยุทธอีกสี่คนก็หันมามองฉินหลิงด้วยท่าทางไม่เชื่อ

     

    “อะแฮ่มๆ... ในเมื่อน้องชายไม่อยากเป็นหัวหน้ากลุ่ม ข้าก็ขอทำหน้าที่ต่อไปเอง ส่วนน้องชายฉินมีเรื่องเดือดร้อนหรือปัญหาอะไรก็เข้ามาปรึกษาข้าได้เลย” ชายหัวล้านเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางไร้ยางอายพร้อมกับประจบฉินหลิงอย่างเต็มที่

     

    การพูดคุยของคนในกลุ่มดำเนินไปเรื่อยๆกว่าหนึ่งชั่วยาม ฉินหลิงเองก็นั่งฟังรายละเอียดอย่างตั้งใจเช่นกัน หน้าที่ของจอมยุทธที่มารวมตัวกันคือปฏิบัติตามภารกิจเพื่อเพิ่มคะแนนและแลกเปลี่ยนกับเม็ดยาวิเศษเพื่อเพิ่มโอกาสเป็นผู้ฝึกตน ด้วยข้อเสนอที่ล่อใจเช่นนี้ของผู้ฝึกตนที่อยู่บนยอดเขาจึงทำให้มีจอมยุทธมากมายเข้ามาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้และรวมตัวกันเป็นกลุ่มต่างๆเพื่อแบ่งกันไปทำภารกิจ

     

    ภารกิจของผู้ฝึกตนนั้นมีหลากหลายอย่าง ตั้งแต่เฝ้าเวรยาม รดน้ำสมุนไพรไปจนถึงหาสิ่งของวิเศษที่ต้องเสี่ยงชีวิตเอา ดังนั้นเมื่อมีงานที่อันตรายจอมยุทธทั้งหลายจึงมักรวมตัวกันหลายคนเพื่อทำภารกิจ

     

    “แล้วน้องชายฉินรู้ข่าวเกี่ยวกับหุบเขาแห่งนี้ได้ยังไงในเมื่อเจ้าเป็นคนจากตอนใต้” พี่หู่เอ่ยถามด้วยท่าทางเอ็นดูราวกับคนที่หักนิ้วเขาไม่ใช่ฉินหลิง

     

    แววตาฉินหลิงเปล่งประกายขึ้นมา “ข้าบังเอิญเห็นจอมยุทธกลุ่มหนึ่งลักพาตัวสตรีสองนางและพวกชาวบ้านพูดกันว่าจอมยุทธพวกนั้นเป็นคนของหุบเขาท่านเซียน ข้าจึงถือโอกาสมาเคารพท่านเซียนเผื่อได้รับโชคกลับไปบ้าง”

     

    “บัดซบคงเป็นคนของพวกตาแก่เหลียงอย่างแน่นอน พวกมันพึ่งรับภารกิจนี้ไป แต่พวกมันทำอะไรไม่คิดดูให้ดีเลย ชื่อเสียงของหุบเขาเซียนต้องมัวหมองเพราะความบ้าอำนาจของพวกมัน” ชายหัวล้านสบถด้วยท่าทางขุ่นเคืองโดยเฉพาะเมื่อเอ่ยถึงชื่อตาแก่เหลียง

     

    “เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านเซียนต้องการสตรีทั้งสองนางอย่างนั้นรึ” ฉินหลิงเอ่ยถามอีกครั้ง

     

    พี่หู่โบกมือไปมา “ไม่ใช่หรอก เรื่องนี้มันเป็นเพราะคำขอร้องของขุนนางผู้หนึ่งต่างหาก” เอ่ยจบพี่หู่ก็เผยท่าทางลังเล แต่เมื่อเห็นฉินหลิงหยิบทองออกมาสองก้อนเขาก็รีบเก็บอย่างไวพร้อมกับเล่าต่อ “เรื่องนี้จริงๆแล้วข้าบังเอิญได้ยินตอนที่ข้านำขุนนางผู้นั้นไปเข้าพบท่านเซียน เจ้าขุนนางผู้นั้นโกรธแค้นสตรีทั้งสองนางที่ทำให้เขาหมดตัว แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าเพียงสตรีสองนางจะทำให้พวกขุนนางเจ้าเล่ห์หมดท่าได้ยังไง แต่ข้อแลกเปลี่ยนที่ท่านเซียนเอ่ยขึ้นคือวิญญาณของขุนนางผู้นั้นแลกกับชีวิตของหญิงทั้งสอง”

     

    “เช่นนั้นตอนนี้หญิงสาวทั้งสองคนนั้นล่ะ” ฉินหลิงเอ่ยถามออกมา

     

    พี่หู่หรี่ตาลงมองฉินหลิง “ข้าขอเตือนเลยน่ะว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของท่านเซียน พวกเราเพียงทำหน้าที่ของเราก็พอ เคยมีจอมยุทธผู้หนึ่งแอบลอบเข้าไปภายในบ้านของท่านเซียนสุดท้ายแล้วมันผู้นั้นถูกมัดและปล่อยให้อดตายอย่างทรมาน”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×