คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #154 : ลอบขึ้นบนยอดเขา
ระหว่างที่ท่านเซียนผู้เป็นเจ้าของหุบเขาแห่งนี้กำลังหาหนทางเพื่อดับเปลวเพลิงที่กำลังลุกลามอยู่ในสวนสมุนไพรที่สำคัญ
อีกด้านหนึ่งก็มีชายในชุดสีดำที่กำลังแฝงตัวเองอยู่ในความมืดกำลังมองสถานการณ์โดยรวมด้วยความท่าทีสุขุมเยือกเย็น
เคล็ดวิชาที่สามารถอัญเชิญพืชหญ้าโดยรอบมาก่อตัวเป็นกำแพงพฤกษาของผู้ฝึกตนวัยกลางคนย่อมอยู่ในสายตาของฉินหลิงที่กำลังจดจ้องอยู่ในเงามืด และนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้ฝึกตนคนอื่นใช้เคล็ดวิชาธาตุไม้
แม้ว่าตัวเขาเองจะรับรู้อยู่แล้วว่าตัวเองมีพลังของเผ่าพฤกษาซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับพลังธาตุไม้อย่างถึงที่สุดก็ตาม
แต่เมื่อได้เห็นผู้ฝึกตนคนอื่นใช้พลังธาตุไม้ออกไปจึงทำให้ฉินหลิงรับรู้ได้ถึงความสอดคล้องของพลังธาตุของชายผู้นั้นอย่างชัดเจน
ถึงแม้ผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่ใช้พลังกำแพงพฤกษาจะดูน่าเกรงขามสำหรับจอมยุทธ
แต่ด้วยพลังแห่งสายเลือดของเผ่าพันธุ์ที่มีพลังงานธาตุไม้ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอย่างฉินหลิงย่อมมองออกว่าท่านเซียนของเหล่าจอมยุทธได้เสียพลังวิญญาณเกินความจำเป็นสำหรับเคล็ดวิชาของเขา
หากเป็นตัวเขาได้ฝึกวิชาของชายผู้นั้นฉินหลิงมั่นใจว่าเขาจะสามารถทำให้พลังของกำแพงพฤกษาแสดงความสามารถได้สูงสุดยิ่งกว่านี้
หลังจากจดจ้องผู้ฝึกตนเจ้าของหุบเขาแห่งนี้อยู่นาน
ฉินหลิงก็พบว่าพลังวิญญาณในร่างของชายวัยกลางคนเริ่มลดถอยลงและแสดงอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าการฝืนใช้พลังวิญญาณเพื่อสร้างกำแพงพฤกษาจำนวนมากคงกินพลังวิญญาณของเขาไปไม่น้อย
เมื่อเห็นท่าทางของชายผู้นั้นอ่อนล้า ฉินหลิงก็รู้สึกลังเลอยู่ไม่น้อยว่าเขาควรจะเข้าไปลอบโจมตีดีรึไม่? หากเป็นในตอนที่พลังวิญญาณของผู้ฝึกตนเจ้าของหุบเขาแห่งนี้ยังคงเต็มเปี่ยมอยู่ฉินหลิงย่อมไม่มีความคิดที่จะโจมตีเขาอย่างแน่นอน
แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้นั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะเจ้าของหุบเขานั้นสูญเสียปราณวิญญาณไปกับการป้องกันคลื่นเพลิงไฟที่ฉินหลิงเป็นคนก่อขึ้นมา
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฉินหลิงก็สะบัดหัวเบาๆไล่ความคิดที่จะเข้าไปจู่โจมออกไป เขายังคงไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถฆ่าชายผู้นั้นได้อย่างเด็ดขาด เพราะถึงอย่างไรชายผู้นั้นก็มีขั้นพลังก่อตั้งวิญญาณขั้น4ถึงสูงกว่าเขาถึงสองระดับและเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายยังมีไพ่ตายอะไรแอบซ่อนไว้อีก
หากเขาตัดสินใจพลาดขึ้นมาคงก่อให้เกิดศัตรูคู่แค้นขึ้นมาอย่างไม่จำเป็น
เมื่อคิดถึงจุดประสงค์หลักของการแฝงตัวเข้ามายังที่แห่งนี้ฉินหลิงจึงสงบจิตใจที่กำลังว้าวุ่นไว้ได้ ก่อนจะหันกลับไปมองบนยอดเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
การที่ฉินหลิงยังไม่ขึ้นไปช่วยชิงชิงในตอนนี้เป็นเพราะชายวัยกลางคนนั้นอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่ห่างจากบนยอดเขามากนัก
ดังนั้นฉินหลิงจึงไม่อยากเสี่ยงที่จะขึ้นไปในตอนนี้ หากทางข้างหน้ายังมีกับดักซ่อนอยู่ เขาต้องมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถหนีรอด
ถึงแม้ชีวิตของสาวน้อยชิงชิงที่มีอาไป๋ต้องคอยดูแลจะสำคัญและเกี่ยวกันกับตัวเขาด้วยพลังแห่งกรรม แต่เขาย่อมไม่อาจเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงได้เพราะชีวิตปุถุชนคนหนึ่ง
ถึงแม้ความคิดของฉินหลิงจะดูเห็นแก่ตัว แต่เพื่อจุดมุ่งหมายของเขาต่อให้เปลี่ยนตัวเองเป็นพญามารเขาก็ยอม
ดังนั้นการเสี่ยงเข้ามาช่วยเหลือชิงชิงในครั้งนี้ ฉินหลิงทำไปเพราะความรู้สึกผิดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจเท่านั้น
หลังจากท่านเซียนผู้เป็นเจ้าของหุบเขาขวางกั้นเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนอยู่ได้สำเร็จ
เขาก็เคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งที่มีไฟลุกไหม้อื่นด้วยท่าทีกลัดกลุ้ม
ถึงแม้ว่าจะได้รับรู้มาจากคุณหนูใหญ่แล้วว่าจะมีคนมาช่วย
แต่ทำไมพี่ท่านถึงเผาสวนสมุนไพรของข้าเช่นนี้ด้วย?
ความเสียหายในครั้งนี้ทำให้ผู้ฝึกตนที่ถูกเรียกว่าท่านเซียนรู้สึกกลัดกลุ้มอย่างหนัก
ทำไมเขาต้องโชคร้ายอย่างนี้ด้วย คุณหนูใหญ่ที่หนีออกจากสำนักขจีไพรสันถึงได้บังเอิญมาเป็นหญิงสาวที่เขาสั่งให้จอมยุทธจับตัวมาได้
ผู้ฝึกตนแห่งสำนักขจีไพรสันเคลื่อนตัวไปดับเปลวเพลิงรอบหุบเขาพร้อมกับด่าทอโชคชะตาของตัวเองที่ได้พบกับเรื่องราวแสนอับโชคเช่นนี้
ความเสียหายในครั้งนี้เกรงว่าเขาต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นคืนสภาพหุบเขาแห่งนี้ให้กลับคืนดั่งเดิม นอกจากนี้ยังไม่รวมถึงบทลงโทษที่จะได้รับจากสำนักอีก
เมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็ทำให้เขายิ่งเผยสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม
หากการลักพาตัวหญิงสาวในครั้งนี้ไม่มีใครรับรู้ก็ย่อมไม่เป็นปัญหา เพราะอย่างไรก็คงไม่มีผู้ฝึกตนคนใดให้ความสนใจกับปุถุชนที่เปรียบดั่งมดปลวกมากนัก
แต่การลักพาตัวหญิงสาวของเขาในครั้งนี้ดันบังเอิญไปจับองค์หญิงแห่งสำนักตัวเองมาน่ะสิ
เมื่อเห็นชายผู้ฝึกตนเคลื่อนตัวออกไปห่างจากระยะสายตาที่สัมผัสได้
ฉินหลิงจึงรีบวิ่งขึ้นบนยอดเขาด้วยความเร็วสูงสุด ด้วยพื้นฐานวิชาฝึกฝนจากในตอนที่เขายังเป็นจอมยุทธจึงทำให้เขามีท่าร่างที่สมบูรณ์แบบ
การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วเกินกว่าในตอนที่ยังเป็นจอมยุทธหลายเท่า
เพียงไม่นาน
ฉินหลิงก็มาถึงบนยอดเขาซึ่งเป็นสถานที่ฝึกตนของชายผู้ใช้เคล็ดวิชาธาตุไม้ที่ลักพาตัวชิงชิงและเถ้าแก่เนี้ยมาได้สำเร็จโดยไม่พบปัญหาหรือกับดักใดๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาถึงบนยอดเขา
สายตาของฉินหลิงนั้นไม่ได้จับจ้องอยู่ในบ้านไม้หลังเล็กที่เป็นสถานที่ฝึกตนของชายผู้เป็นเจ้าของหุบเขาแห่งนี้แม้แต่น้อย
แต่เขากำลังจดจ้องอยู่กับหุ่นไม้ตัวหนึ่ง ถึงจะเรียกว่าหุ่นไม้แต่จริงๆแล้วมันคือชายผู้หนึ่งที่กำลังสวมชุดขุนนางกำลังยืนกางแขนเหมือนหุ่นไล่กา
แต่ที่ทำให้ฉินหลิงตกใจก็คือผิวรอบกายของชายตรงหน้านั้นเหมือนกับท่อนไม้หยาบกร้าน
ด้วยสีหน้าของหุ่นไม้ในชุดขุนนางที่กำลังยืนกางแขนอยู่นั้นทำให้ฉินหลิงรับรู้ว่าเขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงภารกิจที่เขาควรทำ
ฉินหลิงจึงผละสายตาของจากหุ่นไม้ตรงหน้าและเดินเข้าไปยังประตูบ้าน
ฟิ๊ววว!!
ในขณะที่ฉินหลิงกำลังก้าวเดินเข้าไป ก็มีแสงสีฟ้าส่องขึ้นกลางอากาศปรากฏเป็นแผ่นยันต์แผ่นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นแผ่นยันต์ที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ฉินหลิงจึงรีบกระโดดถอยหลังกลับมาตั้งหลักอย่างรวดเร็ว
เมื่อยันต์ที่มีอักขระประหลาดสลักอยู่ด้านในปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแสงสีฟ้า
ม่านพลังที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ครอบคลุมรอบตัวบ้านไม้หลังเล็กตรงหน้าฉินหลิงทันที
ฉินหลิงที่ถอยห่างออกมาก็หรี่ตาลง
เขารู้ได้ทันทีว่าสิ่งนี้ย่อมต้องเป็นยันต์ที่เจ้าของหุบเขาเอาไว้ป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาล้วงล้ำพื้นที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
แต่ครันได้เห็นยันต์ตรงหน้า ความทรงจำเลวร้ายในตอนที่เขาถูกชายชราจมูกงุ้มที่ฆ่าถานอวี้จี้ผนึกไว้ด้วยยันต์ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
สายตาของฉินหลิงเปล่งแสงสีเขียวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
บรรยากาศโดยรอบเยือกเย็นขึ้นอย่างรวดเร็ว
“กรงเล็บโลหิต”
ฉินหลิงเอ่ยออกมาพร้อมกับพุ่งเข้าไปยังเบื้องหน้าของม่านพลังที่มียันต์เป็นจุดศูนย์กลาง
ปลายเล็บมือทั้งห้านิ้วของฉินหลิงปรากฏหยาดโลหิตที่ไหลออกมาพร้อมกับก่อตัวเป็นกรงเล็บแหลมยาวที่มีความคมเหมือนดั่งสัตว์อสูร
เพียงชั่วพริบตา
เล็บมือทั้งสองข้างของฉินหลิงก็เกิดเป็นกรงเล็บยาวสีแดงโลหิตที่มีพลังวิญญาณอัดอยู่หนาแน่น
ฟิ๊วๆๆ!!!
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนที่เป็นเจ้าของหุบเขาแห่งนี้รู้ตัวได้ทัน
ฉินหลิงจึงรีบใช้กรงเล็บในมือฟันไปยังม่านพลังเบื้องหน้าด้วยความเร็วที่แทบจะมองไม่เห็น
ริ้วแสงสีแดงที่เกิดจากกรงเล็บสีชาดของชายหนุ่มทำให้เกิดเสียงดังเสียดสีระหว่างม่านพลังที่มีต้นกำเนิดมาจากยันต์และกรงเล็บของฉินหลิงที่กำลังทำหน้าที่เจาะทะลวง
ยันต์สีฟ้าที่เป็นแกนกลางของโล่พลังซึ่งทำหน้าที่ป้องกันบ้านไม้ตรงหน้าก็ค่อยๆลุกไหม้ขึ้นอย่างช้าๆเมื่อได้รับการโจมตีนับไม่ถ้วนของฉินหลิง.
ด้วยเสียงดังกึกก้องที่เกิดขึ้นทำให้ฉินหลิงสบถออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ
เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าบนยอดเขาจะมีปราการเช่นนี้คอยป้องกันอยู่ ฉินหลิงเองก็รับรู้ว่าหากเขายังคงทำเช่นนี้อยู่ต่อไป ผู้ฝึกตนผู้นั้นย่อมต้องรับรู้ได้แน่ว่ามีผู้บุกรุกขึ้นมาบนยอดเขา
ในเมื่อไม่มีทางเลือกใดๆอีก
ฉินหลิงจึงก้าวถอยหลังออกมาห่างจากกำแพงพลังที่คลุมบ้านไม้หลังเล็ก กรงเล็บโลหิตที่ไหลออกมค่อยๆอ่อนตัวลงและไหลซึมเข้าไปภายในผิวหนังฉินหลิงอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของฉินหลิงเผยออร่าที่เต็มไปด้วยจิตสังหารออกมา
“เพลิงผลาญโลหิต”
เอ่ยจบฉินหลิงก็กัดนิ้วโป้งข้างซ้ายพร้อมกับสะบัดหยดโลหิตที่กำลังไหลซึมออกมาไปยังกำแพงที่แฝงไว้ด้วยคลื่นพลัง
เคล็ดวิชาระเบิดโลหิตที่ฉินหลิงฝึกฝนอยู่นั้นคือเคล็ดวิชาสายมารที่ใช้ประโยชน์จากเลือดของตนเองและผู้อื่นในการต่อสู้
และกระบวนท่าเพลิงผลาญโลหิตคือการเปลี่ยนโลหิตเป็นไฟวิญญาณที่ไว้สำหรับเผาไหม้สิ่งวิเศษที่มีไอวิญญาณแฝงอยู่โดยเฉพาะ
การที่เปลวเพลิงของฉินหลิงสามารถเผาสมุนไพรได้โดยง่ายนั้นเป็นเพราะเพลิงโลหิตของฉินหลิงนั้นไม่เพียงแต่เป็นพลังธาตุไฟที่ทำลายธาตุไม้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแต่ในเพลิงโลหิตยังแฝงไว้ด้วยไอวิญญาณที่มีคุณสมบัติกัดกร่อนพลังวิญญาณอีกด้วย
โดยปกติแล้วพืชที่มีพลังวิญญาณอยู่อย่างหนาแน่น
พวกมันย่อมไม่เกรงกลัวเปลวไฟธรรมดาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างไฟป่า
เพราะอย่างไรเหล่าพืชวิเศษก็มีไอวิญญาณปกคลุมคอยคุ้มกันอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ไฟทำอะไรพวกมันไม่ได้ แต่เปลวเพลิงทั่วไปนั้นย่อมไม่อาจนำไปเทียบเพลิงโลหิตที่ฉินหลิงก่อขึ้นด้วยเคล็ดวิชาระเบิดโลหิตได้
ทั้งพลังไฟและความสามารถกัดกร่อนไอวิญญาณ
พืชวิเศษของหุบเขาที่ถูกปลูกและดูแลอย่างตั้งใจมาหลายปีย่อมถูกทำลายลงไปอย่างไม่อาจต้านทานได้เลย
ฟู๊ๆๆ
ฟิ๊วๆๆ!!!
หยาดโลหิตที่กระเด็นไปโดนแสงจากโล่พลังสั่นไปมาก่อนจะลุกโชนกลายเป็นเปลวไฟที่มีขนาดใหญ่
เทียบกันแล้วไฟที่เกิดขึ้นในตอนที่ฉินหลิงวางกับดักไว้ในสวนสมุนไพรและเปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นในตอนนี้เพื่อทำลายกำแพงแสงตรงหน้าเรียกได้ว่าอยู่คนละโลกเลยทีเดียว
ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการทำลายล้างยันต์ตรงหน้า ฉินหลิงจึงใส่พลังปราณวิญญาณเข้าไปเต็มที่ในการโจมตีครั้งนี้
เพื่อหวังทำลายยันต์ตรงหน้าให้สิ้นซาก
หากเป็นปกติเปลวไฟที่ก่อขึ้นย่อมสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนอย่างแน่นอน
แต่ด้วยควันไฟที่ฟุ้งกระจายไปทั่วและสถานการณ์ที่ดูวุ่นวายจึงทำให้แทบจะไม่มีใครมองเห็นถึงความว้าวุ่นที่กำลังเกิดขึ้นบนยอดเขา
เมื่อเปลวเพลิงจากโลหิตจางหายออกไปโล่พลังงานที่เกิดจากแผ่นยันต์ก็เต็มไปด้วยรอยร้าวที่ดูราวกับพร้อมพังทลายไปทุกเมื่อ
แผ่นยันต์ที่ลอยอยู่กลางอากาศเป็นศูนย์กลางของพลังงานถูกเผาไหม้จนเห็นเป็นเหมือนแผ่นกระดาษเล็กๆเท่านั้น
หากไม่เพราะโล่พลังงานยังคงอยู่ ฉินหลิงย่อมไม่มีทางสังเกตเห็นอย่างแน่
ความคิดเห็น