คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #156 : ปะทะกับเจ้าของหุบเขา
ฉินหลิงและชายวัยกลางคนตรงหน้าต่างจดจ้องกันด้วยท่าทีที่แตกต่างกัน
เมื่อผู้ฝึกตนวัยกลางคนสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของฉินหลิง
เขาจึงได้สติและผละสายตาออกมาจากร่างของหญิงสาวบนหลังชายหนุ่มในชุดสีดำ
ด้วยความทรงจำที่ดีของผู้บำเพ็ญเพียรจึงทำให้เขารับรู้ได้ทันทีว่าฉินหลิงคือหนึ่งในจอมยุทธหน้าใหม่ที่เขาพึ่งพบเจอมาเมื่อตอนกลางวัน
เพราะใบหน้าที่ยังเยาว์วัยอยู่ของชายหนุ่มจึงทำให้เขาจดจำได้
แต่เขาไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นคือคนที่คุณหนูใหญ่แห่งสำนักขจีไพรสันได้เอ่ยบอกไว้ว่าเขาจะเป็นคนมาช่วยนาง
หลังจากนึกถึงคำสั่งของคุณหนูใหญ่ที่หน้าตาเปลี่ยนไปบนหลังชายหนุ่มตรงหน้า
เขาก็รู้สึกราวกับตกนรกทั้งเป็น การที่ต้องมาเจอหญิงผู้นี้ทำให้เขาโชคร้ายยิ่งนัก
ไม่เพียงเเต่ต้องมาแสดงบทวายร้าย เขายังต้องสูญเสียพืชวิเศษที่อุส่าทุ่มเทปลูกมาหลายปี
ในฐานะศิษย์ภายนอกที่มีอยู่มากมาย เขาไม่ได้เป็นตัวตนที่สำคัญของสำนักเลย
และพรสวรรค์ด้านอื่นของเขาก็ไม่โดดเด่น ดังนั้นหนทางการฝึกตนของเขาจึงยากลำบาก
แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่เขายังได้รับให้เป็นคนมาดูแลสวนสมุนไพรวิเศษในหุบเขาแห่งนี้
ด้วยภาระนี้จะทำให้เขาได้รับส่วนแบ่งสมุนไพรและโอสถวิเศษที่เพิ่มโอกาสก้าวหน้าในหนทางแห่งการฝึกตน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาได้คาดหวังต้องจบลงไปเพราะสวนสมุนไพรที่ล้ำค่ากว่าเกินครึ่งนั้นถูกทำลายไปโดยเปลวเพลิงที่ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนก่อขึ้นมา
เสี่ยวหวังชุน แท้จริงแล้วคือนักฝึกตนจากตระกูลเล็กๆที่สังกัดอยู่กับสำนักขจีไพรสัน เขาเองก็รู้สึกปวดหัวอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาเจอหน้าชายหนุ่มตรงหน้า
ในความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจมาเผชิญหน้ากับฉินหลิงแม้แต่น้อย
แต่ด้วยคำสั่งของคุณหนูใหญ่ที่ให้ความสำคัญแก่ชายผู้นี้มากจึงทำให้เขาไม่คิดจะเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่มาช่วยหญิงสาวผู้นี้อยู่แล้ว
เพื่อหลบเลี่ยงการเผชิญหน้าระหว่างเขากับชายหนุ่มตรงหน้า เสี่ยวหวังชุนจึงได้ตัดสินใจยืนรอตรงด้านล่างหุบเขาเพราะเขาคิดว่าผู้ที่จะมาช่วยคุณหนูใหญ่นั้นย่อมไม่มีทางหลบหนีออกมาทางหน้าอย่างแน่นอน
เพราะตั้งแต่เขาสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนของไอวิญญาณบนยอดเขา เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่คุณหนูใหญ่บอกได้มาถึงแล้ว
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือชายผู้นั้นดันเผาสวนสมุนไพรของเขาจนพังพินาศน่ะสิ
หลังจากได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของฉินหลิง
หวังเสี่ยวชุนก็คิดว่าคุณหนูของเขาอาจจะถูกใจหน้าตาของชายหนุ่มผู้นี้และต้องการเล่นละครเจ้าชายช่วยเจ้าหญิง
แต่ด้วยฐานะและความแข็งแกร่งเขาที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณจึงจำเป็นต้องก้มหัวและทำตามคำสั่งของหญิงสาวที่กำลังอยู่บนหลังชายหนุ่มชุดดำอย่างเชื่อฟัง
“เจ้ากล้าดียังไงถึงมาเผาทำลายสวนสมุนไพรของข้า”
หวังเสี่ยวชุนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม ด้วยคำสั่งของคุณหนูใหญ่แห่งสำนักขจีไพรสัน
เขาจึงต้องแสดงให้เหมือนจริง
แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งห้ามทำร้ายชายตรงหน้าก็ทำให้เขาอดรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้
เพียงเพราะอีกฝ่ายหน้าตาดีกว่าหรือถึงทำให้เขาได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน
ใยฟ้าต้องทำเช่นนี้กับข้าด้วย
ฉินหลิงเอนหลังวางชิงชิงลงพร้อมกับปล่อยเถ้าแก่เนี้ยที่ไม่ได้สติให้หญิงสาว
“ฝากเจ้าดูเถ้าแก่เนี้ยด้วย แล้วจงรีบหนีไปซ่ะ” เอ่ยจบฉินหลิงก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้เอ่ยปฏิเสธและหันกลับไปมองชายวัยกลางคนตรงหน้า
รอยยิ้มของชายหนุ่มทำให้ชิงชิงเบิกตาค้าง
ความรู้สึกที่นางมีต่อฉินหลิงนั้นค่อนข้างชัดเจนแล้ว
ถึงแม้ชายตรงหน้าจะฝึกวิชามารแต่นิสัยของเขาไม่ใช่คนชั่วเลย
ถึงความแข็งแกร่งของเขาจะมีเพียงน้อยนิดหากเทียบกับนาง แต่ความกล้าหาญของเขานั้นยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา
ชายผู้นี้กล้าเผชิญหน้ากับศัตรูแม้ว่าตัวเองจะมีพลังต่ำกว่าแตกต่างจากบิกาของนางที่สามารถเขี่ยลูกของตัวเองทิ้งไปไม่ต่างจากเครื่องมือ
ในโลกการฝึกตนย่อมมีตัวตนพิเศษที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์
คนเหล่านี้ย่อมเกิดมาพร้อมกับอำนาจฟ้าประทานที่สามารถล้มคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าได้อย่างง่ายดาย
แต่ชายหนุ่มตรงหน้านางไม่ใช่คนที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์อย่างแน่นอน
ด้วยรากฐานที่อ่อนแอ พลังที่ผันผวน นอกจากพลังธาตุไม้ที่ดูบริสุทธิ์แล้วเขาก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา
เพียงแต่ความกล้าหาญของเขาเท่านั้นที่ทำให้นางรู้สึกสั่นไหว
ต้องอย่าลืมว่าหนทางแห่งการฝึกตนคือวิถีแห่งการฝืนโชคชะตา
ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนแต่หากพวกเขาขาดความเชื่อมั่นในวิถีแห่งตนเองย่อมไม่อาจเดินทางไปจนสุดทางได้
ชิงชิงที่กำลังพยุงเถ้าแก่เนี้ยจ้องมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนตัวเล็กๆน่าจะมีได้เลย
“การลักพาตัวปุถุชนคือข้อห้ามของเหล่าผู้ฝึกตน
ท่านที่บำเพ็ญตนมาไม่น้อยย่อมต้องรู้เรื่องนี้ดี”
เสียงของฉินหลิงดังขึ้นพร้อมกับไอวิญญาณในร่างที่กำลังสั่นไหวไปมา
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
เสี่ยวหวังชุนเอ่ยออกมาพร้อมกับเหลือบไปมองหญิงสาวด้านหลังฉินหลิง การจ้องมองของเขานั้นเพื่อต้องการคำยืนยันว่าเขาควรจะแสดงแค่นี้พอรึไม่
ชายตรงหน้านั้นอาจจะเป็นคนรักของคุณหนูใหญ่ เขาย่อมไม่มีความจะล่วงเกินอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันฉินหลิงเองก็เห็นสายตาของผู้ฝึกตนตรงหน้าจดจ้องไปยังหญิงสาวทั้งสองที่อยู่ด้านหลังเขา ฉินหลิงเองก็เผยความรู้สึกโกรธจนโลหิตภายในกายลุกโชน
ต้องอย่าลืมว่าในอดีตเขาเคยสูญเสียสตรีอันเป็นที่รักเพราะผู้ฝึกตนมาก่อน การเห็นสายตาของชายวัยกลางคนมองมายังสตรีที่เขากำลังปกป้องอยู่ย่อมทำให้ฉินหลิงโกรธแค้นขึ้นมา
“ตาย!!” ฉินหลิงตะโกนออกมาพร้อมกับพุ่งตรงไปยังผู้ฝึกตนที่อยู่ตรงหน้า
หวังเสี่ยวชุนเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าคนรักของคุณหนูใหญ่จะจู่โจมเขาโดยไม่บอกกล่าวอะไรเช่นนี้
แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณของชายตรงหน้า เขาก็อุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย
ด้วยพลังที่ห่างกัน2ขั้นทำให้เขามั่นใจว่าจะสามารถกุมชัยชนะได้อย่างง่ายดาย
แต่เพื่อไม่ให้ขัดคำสั่งของคุณหนูเขาจะต้องแสดงละครสักช่วงหนึ่งก่อนจะแกล้งบาดเจ็บและค่อยหนีไป
เมื่อวางแผนในหัวเสร็จ หวังเสี่ยวชุนจึงล้วงเศษหญ้าจากในแขนเสื้อและเป่ามันไปตรงหน้าชายหนุ่มชุดดำอย่างไม่ลังเล
“เถาวัลย์พันธนาการ”
เศษหญ้าขนาดเล็กเส้นหนึ่งที่ถูกชายวัยกลางคนปล่อยออกมาก็พองตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและแปรเปลี่ยนเป็นเถาวัลย์ขนาดเท่าแขนคนโดยมีจุดหมายเพื่อพุ่งเข้ารัดชายหนุ่มในชุดดำที่วิ่งเข้ามา
เมื่อเห็นเถาวัลย์ยักษ์พุ่งเข้ามาใกล้ ดวงตาฉินหลิงแดงกล่ำ “กรงเล็บโลหิต”
ฟับ!!!
ริ้วแสงสีแดงห้าเส้นปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงเสียดสีระหว่างกรงเล็บสีชาดของฉินหลิงและเถาวัลย์สีเขียว
การปะทะกันของพลังโลหิตและพลังธาตุไม้ทำให้เกิดคลื่นลมกระเพื่อมโดยรอบ
ด้วยสัมผัสที่อ่อนไหวต่อพลังธาตุไม้
ฉินหลิงจึงสัมผัสได้ถึงจุดอ่อนของเถาวัลย์ตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยไอวิญญาณที่ไม่สม่ำเสมอที่ไหลเวียนอยู่ในเถาวัลย์ที่เกิดจากเศษหญ้าของหวังเสี่ยวชุนทำให้ฉินหลิงตัดสินจู่โจมออกไปด้วยสัญชาตญาณ
หวังเสี่ยวชุนเองก็เบิกตาค้างเมื่อเห็นเถาวัลย์ของตัวเองขาดเป็นสองท่อนก่อนจะค่อยๆสลายและเปลี่ยนไปเป็นเศษหญ้าดังเดิม
เพียงแต่เศษหญ้าที่ถูกทำลายไปแล้วนั้นคงไม่อาจเอามาใช้ได้อีก
แผนการที่วางไว้ในหัวถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
เขาเพียงต้องการจับตัวชายหนุ่มและแสดงท่าทางอ่อนล้าจากการสูญเสียพลังวิญญาณออกมาก่อนจะหนีไป
แต่เมื่อหนึ่งในอาวุธถูกทำลายลงไปย่อมทำให้ในใจเขาเดือดดาลอยู่ไม่น้อย
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมกรงเล็บโลหิตของผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับสองถึงทำลายเถาวัลย์ของเขาได้ง่ายดายนัก
แต่ตอนนี้ยังอยู่ในสถานการณ์อันตรายอยู่เขาจึงรีบตั้งสติและหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังพุ่งเข้ามาอีกครั้ง
“เพลิงผลาญโลหิต”
หยาดโลหิตถูกสะบัดออกมาจากปลายนิ้วของฉินหลิง เมื่อเข้าประชิดใกล้ผู้ฝึกตนวัยกลางคนได้เขาจึงใช้วิชาโลหิตที่แฝงพลังธาตุไฟเพื่อจู่โจม
เพราะอย่างไรชายตรงหน้าชำนาญเคล็ดวิชาธาตุไม้
หากเจอพลังโลหิตเพลิงของเขาย่อมต้องสร้างบาดแผลได้บ้าง
หวังเสี่ยวชุนเองก็ไม่ได้โง่จนไม่รับรู้ถึงความอันตรายของหยาดโลหิตที่ถูกสะบัดออกมาทางเขา
“เคล็ดวิชาขจีไพรสัน กำแพงพฤกษา”
ด้านหน้าของมือที่นาบลงบนพื้นปรากฏเป็นกำแพงไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเหมือนตอนที่เขาขวางกั้นเพลิงที่ลุกไหม้ในสวนสมุนไพร แต่กำแพงไม้ครั้งนี้เพียงพอแล้วที่จะขวางกั้นหยาดโลหิตที่กำลังลุกโชน
เพียงพริบตาเปลวเพลิงก็ลุกไหม้กำแพงไม้ของเขาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ซึ่งส่งผลให้การลอบโจมตีของฉินหลิงล้มเหลว
เมื่อเห็นว่าเพลิงผลาญโลหิตไม่อาจลอบจู่โจมได้
ฉินหลิงที่เผยสีหน้าซีดขาวจึงรีบวิ่งเข้าไปประชิดตัวชายตรงหน้าอย่างไม่รอช้า
หวังเสี่ยวชุนเองก็เผยสีหน้าจริงจังออกมา ไอวิญญาณในร่างเริ่มปั่นป่วนอยู่บ้าง เขาเองไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อาจจัดการชายตรงหน้าได้ซักที
ทั้งที่เขาน่าจะผนึกร่างชายตรงหน้าได้อย่างไม่ยากเย็นแท้ๆ
การต่อสู้กับฉินหลิงทำให้เขาลืมจุดประสงค์ที่คุณหนูใหญ่สั่งไว้ไปเสียแล้ว
“พฤกษาคุ้มกาย”
หวังเสี่ยวชุนเอ่ยออกมาพร้อมกับไอวิญญาณในร่างที่ปะทุออกมาจนทำให้ร่างกายของเขาส่องแสงสีเขียว
สายตาของหวังเสี่ยวชุนดูแคลนฉินหลิงที่คิดพุ่งเข้ามาโดยไม่มีพลังคุ้มกาย
แต่เมื่อนึกถึงพลังที่ฉินหลิงพึ่งแสดงไปก็ทำให้เขารับรู้แล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้าคงผลาญไอวิญญาณไปไม่น้อย
ด้วยพลังขั้นก่อตั้งวิญญาณขั้นสองการใช้กรงเล็บโลหิตและเพลิงโลหิตย่อมสูญเสียปราณวิญญาณมากเกินกว่าร่างกายจะทนไหว
หากรวมกับการที่ฉินหลิงฝืนทำลายยันต์ป้องกันบนยอดเขาก็เรียกได้ว่าฝืนตัวเองมากแล้ว
อย่างไรก็ตามสายตาของเสี่ยวหวังชุนเบิกกว้างขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาเห็นชายตรงหน้ากัดข้อมือจนเป็นแผลเหวอะ
หยาดโลหิตไหลย้อยออกมาจากข้อมือเป็นจำนวนมาก
แต่เลือดที่ไหลออกมานั้นค่อยๆรวมตัวกันเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง
ใช่แล้วมันกระบี่ที่พวกจอมยุทธในโลกมนุษย์ชอบใช้กัน
หวังเสี่ยวชุนที่รวบรวมจอมยุทธเป็นจำนวนมากเพื่อใช้เป็นสมุนรับใช้ย่อมเคยเห็นอาวุธชนิดนี้
ด้วยความคล่องตัวของกระบี่จึงทำให้มีจอมยุทธไม่น้อยเลยที่เลือกฝึกฝนโดยใช้กระบี่เป็นอาวุธหลัก
อย่างไรก็ตามในโลกแห่งการฝึกตน กระบี่นั้นถือเป็นอาวุธต้องห้าม
ที่เรียกว่าต้องห้ามไม่ใช่เพราะห้ามใช้แต่เป็นเพราะผู้ใช้กระบี่ย่อมไม่มีทางก้าวหน้าได้อย่างแน่นอน
การเป็นผู้ฝึกตนนั้นคือการหลอมรวมไอวิญญาณของฟ้าดินเข้ากับร่างกายและค้นหาหนทางแห่งเต๋าเพื่อเป็นเซียนอมตะ
เส้นทางการแสวงหาความอมตะนั้นคือสิ่งที่เหล่าผู้ฝึกตนนั้นค้นหามานับตั้งแต่อดีต
ซึ่งการจะไปถึงขั้นนั้นได้จะต้องเข้าถึงเส้นทางแห่งเต๋าที่เรียกได้ว่าเป็นหนทางเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามเส้นทางแห่งเต๋าที่เคยสมบูรณ์แบบนั้นถูกทำลายไปหนึ่งเส้น
นั้นคือเต๋าที่เหล่าผู้ใช้กระบี่ต่างแสวงหา เต๋าแห่งกระบี่นั้นเอง
ดังนั้นจึงแทบไม่พบเห็นผู้ฝึกตนคนใดใช้กระบี่อีกเลยนับตั้งแต่การท้าทายสวรรค์ของเจ้าแดนกระบี่เดียวดาย
หวังเสี่ยวชุนเองก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าชายตรงหน้าจะเปลี่ยนโลหิตของตัวเองเป็นกระบี่เพื่อมาล้มเขา
ความคิดเห็น