ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #156 : ปะทะกับเจ้าของหุบเขา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.74K
      758
      12 ก.พ. 63

    ฉินหลิงและชายวัยกลางคนตรงหน้าต่างจดจ้องกันด้วยท่าทีที่แตกต่างกัน

     

    เมื่อผู้ฝึกตนวัยกลางคนสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของฉินหลิง เขาจึงได้สติและผละสายตาออกมาจากร่างของหญิงสาวบนหลังชายหนุ่มในชุดสีดำ ด้วยความทรงจำที่ดีของผู้บำเพ็ญเพียรจึงทำให้เขารับรู้ได้ทันทีว่าฉินหลิงคือหนึ่งในจอมยุทธหน้าใหม่ที่เขาพึ่งพบเจอมาเมื่อตอนกลางวัน  เพราะใบหน้าที่ยังเยาว์วัยอยู่ของชายหนุ่มจึงทำให้เขาจดจำได้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นคือคนที่คุณหนูใหญ่แห่งสำนักขจีไพรสันได้เอ่ยบอกไว้ว่าเขาจะเป็นคนมาช่วยนาง

     

    หลังจากนึกถึงคำสั่งของคุณหนูใหญ่ที่หน้าตาเปลี่ยนไปบนหลังชายหนุ่มตรงหน้า เขาก็รู้สึกราวกับตกนรกทั้งเป็น การที่ต้องมาเจอหญิงผู้นี้ทำให้เขาโชคร้ายยิ่งนัก ไม่เพียงเเต่ต้องมาแสดงบทวายร้าย เขายังต้องสูญเสียพืชวิเศษที่อุส่าทุ่มเทปลูกมาหลายปี

     

    ในฐานะศิษย์ภายนอกที่มีอยู่มากมาย เขาไม่ได้เป็นตัวตนที่สำคัญของสำนักเลย และพรสวรรค์ด้านอื่นของเขาก็ไม่โดดเด่น ดังนั้นหนทางการฝึกตนของเขาจึงยากลำบาก แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่เขายังได้รับให้เป็นคนมาดูแลสวนสมุนไพรวิเศษในหุบเขาแห่งนี้ ด้วยภาระนี้จะทำให้เขาได้รับส่วนแบ่งสมุนไพรและโอสถวิเศษที่เพิ่มโอกาสก้าวหน้าในหนทางแห่งการฝึกตน

     

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาได้คาดหวังต้องจบลงไปเพราะสวนสมุนไพรที่ล้ำค่ากว่าเกินครึ่งนั้นถูกทำลายไปโดยเปลวเพลิงที่ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนก่อขึ้นมา

     

    เสี่ยวหวังชุน แท้จริงแล้วคือนักฝึกตนจากตระกูลเล็กๆที่สังกัดอยู่กับสำนักขจีไพรสัน เขาเองก็รู้สึกปวดหัวอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาเจอหน้าชายหนุ่มตรงหน้า

     

     ในความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจมาเผชิญหน้ากับฉินหลิงแม้แต่น้อย แต่ด้วยคำสั่งของคุณหนูใหญ่ที่ให้ความสำคัญแก่ชายผู้นี้มากจึงทำให้เขาไม่คิดจะเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่มาช่วยหญิงสาวผู้นี้อยู่แล้ว

     

    เพื่อหลบเลี่ยงการเผชิญหน้าระหว่างเขากับชายหนุ่มตรงหน้า เสี่ยวหวังชุนจึงได้ตัดสินใจยืนรอตรงด้านล่างหุบเขาเพราะเขาคิดว่าผู้ที่จะมาช่วยคุณหนูใหญ่นั้นย่อมไม่มีทางหลบหนีออกมาทางหน้าอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่เขาสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนของไอวิญญาณบนยอดเขา เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่คุณหนูใหญ่บอกได้มาถึงแล้ว แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือชายผู้นั้นดันเผาสวนสมุนไพรของเขาจนพังพินาศน่ะสิ

     

    หลังจากได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของฉินหลิง หวังเสี่ยวชุนก็คิดว่าคุณหนูของเขาอาจจะถูกใจหน้าตาของชายหนุ่มผู้นี้และต้องการเล่นละครเจ้าชายช่วยเจ้าหญิง แต่ด้วยฐานะและความแข็งแกร่งเขาที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณจึงจำเป็นต้องก้มหัวและทำตามคำสั่งของหญิงสาวที่กำลังอยู่บนหลังชายหนุ่มชุดดำอย่างเชื่อฟัง

     

    “เจ้ากล้าดียังไงถึงมาเผาทำลายสวนสมุนไพรของข้า” หวังเสี่ยวชุนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม ด้วยคำสั่งของคุณหนูใหญ่แห่งสำนักขจีไพรสัน เขาจึงต้องแสดงให้เหมือนจริง แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งห้ามทำร้ายชายตรงหน้าก็ทำให้เขาอดรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ เพียงเพราะอีกฝ่ายหน้าตาดีกว่าหรือถึงทำให้เขาได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ใยฟ้าต้องทำเช่นนี้กับข้าด้วย

     

    ฉินหลิงเอนหลังวางชิงชิงลงพร้อมกับปล่อยเถ้าแก่เนี้ยที่ไม่ได้สติให้หญิงสาว “ฝากเจ้าดูเถ้าแก่เนี้ยด้วย แล้วจงรีบหนีไปซ่ะ” เอ่ยจบฉินหลิงก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้เอ่ยปฏิเสธและหันกลับไปมองชายวัยกลางคนตรงหน้า

     

    รอยยิ้มของชายหนุ่มทำให้ชิงชิงเบิกตาค้าง ความรู้สึกที่นางมีต่อฉินหลิงนั้นค่อนข้างชัดเจนแล้ว ถึงแม้ชายตรงหน้าจะฝึกวิชามารแต่นิสัยของเขาไม่ใช่คนชั่วเลย ถึงความแข็งแกร่งของเขาจะมีเพียงน้อยนิดหากเทียบกับนาง แต่ความกล้าหาญของเขานั้นยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา ชายผู้นี้กล้าเผชิญหน้ากับศัตรูแม้ว่าตัวเองจะมีพลังต่ำกว่าแตกต่างจากบิกาของนางที่สามารถเขี่ยลูกของตัวเองทิ้งไปไม่ต่างจากเครื่องมือ

     

    ในโลกการฝึกตนย่อมมีตัวตนพิเศษที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ คนเหล่านี้ย่อมเกิดมาพร้อมกับอำนาจฟ้าประทานที่สามารถล้มคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าได้อย่างง่ายดาย แต่ชายหนุ่มตรงหน้านางไม่ใช่คนที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์อย่างแน่นอน ด้วยรากฐานที่อ่อนแอ พลังที่ผันผวน นอกจากพลังธาตุไม้ที่ดูบริสุทธิ์แล้วเขาก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา

     

    เพียงแต่ความกล้าหาญของเขาเท่านั้นที่ทำให้นางรู้สึกสั่นไหว ต้องอย่าลืมว่าหนทางแห่งการฝึกตนคือวิถีแห่งการฝืนโชคชะตา ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนแต่หากพวกเขาขาดความเชื่อมั่นในวิถีแห่งตนเองย่อมไม่อาจเดินทางไปจนสุดทางได้

     

    ชิงชิงที่กำลังพยุงเถ้าแก่เนี้ยจ้องมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนตัวเล็กๆน่าจะมีได้เลย

     

    “การลักพาตัวปุถุชนคือข้อห้ามของเหล่าผู้ฝึกตน ท่านที่บำเพ็ญตนมาไม่น้อยย่อมต้องรู้เรื่องนี้ดี” เสียงของฉินหลิงดังขึ้นพร้อมกับไอวิญญาณในร่างที่กำลังสั่นไหวไปมา

     

    “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” เสี่ยวหวังชุนเอ่ยออกมาพร้อมกับเหลือบไปมองหญิงสาวด้านหลังฉินหลิง การจ้องมองของเขานั้นเพื่อต้องการคำยืนยันว่าเขาควรจะแสดงแค่นี้พอรึไม่ ชายตรงหน้านั้นอาจจะเป็นคนรักของคุณหนูใหญ่ เขาย่อมไม่มีความจะล่วงเกินอย่างแน่นอน

     

    ขณะเดียวกันฉินหลิงเองก็เห็นสายตาของผู้ฝึกตนตรงหน้าจดจ้องไปยังหญิงสาวทั้งสองที่อยู่ด้านหลังเขา  ฉินหลิงเองก็เผยความรู้สึกโกรธจนโลหิตภายในกายลุกโชน ต้องอย่าลืมว่าในอดีตเขาเคยสูญเสียสตรีอันเป็นที่รักเพราะผู้ฝึกตนมาก่อน การเห็นสายตาของชายวัยกลางคนมองมายังสตรีที่เขากำลังปกป้องอยู่ย่อมทำให้ฉินหลิงโกรธแค้นขึ้นมา

     

    “ตาย!!” ฉินหลิงตะโกนออกมาพร้อมกับพุ่งตรงไปยังผู้ฝึกตนที่อยู่ตรงหน้า

     

    หวังเสี่ยวชุนเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าคนรักของคุณหนูใหญ่จะจู่โจมเขาโดยไม่บอกกล่าวอะไรเช่นนี้ แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณของชายตรงหน้า เขาก็อุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย ด้วยพลังที่ห่างกัน2ขั้นทำให้เขามั่นใจว่าจะสามารถกุมชัยชนะได้อย่างง่ายดาย แต่เพื่อไม่ให้ขัดคำสั่งของคุณหนูเขาจะต้องแสดงละครสักช่วงหนึ่งก่อนจะแกล้งบาดเจ็บและค่อยหนีไป

     

    เมื่อวางแผนในหัวเสร็จ หวังเสี่ยวชุนจึงล้วงเศษหญ้าจากในแขนเสื้อและเป่ามันไปตรงหน้าชายหนุ่มชุดดำอย่างไม่ลังเล “เถาวัลย์พันธนาการ”

     

    เศษหญ้าขนาดเล็กเส้นหนึ่งที่ถูกชายวัยกลางคนปล่อยออกมาก็พองตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและแปรเปลี่ยนเป็นเถาวัลย์ขนาดเท่าแขนคนโดยมีจุดหมายเพื่อพุ่งเข้ารัดชายหนุ่มในชุดดำที่วิ่งเข้ามา

     

    เมื่อเห็นเถาวัลย์ยักษ์พุ่งเข้ามาใกล้  ดวงตาฉินหลิงแดงกล่ำ “กรงเล็บโลหิต”

     

    ฟับ!!!

    ริ้วแสงสีแดงห้าเส้นปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงเสียดสีระหว่างกรงเล็บสีชาดของฉินหลิงและเถาวัลย์สีเขียว การปะทะกันของพลังโลหิตและพลังธาตุไม้ทำให้เกิดคลื่นลมกระเพื่อมโดยรอบ

     

    ด้วยสัมผัสที่อ่อนไหวต่อพลังธาตุไม้ ฉินหลิงจึงสัมผัสได้ถึงจุดอ่อนของเถาวัลย์ตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว ด้วยไอวิญญาณที่ไม่สม่ำเสมอที่ไหลเวียนอยู่ในเถาวัลย์ที่เกิดจากเศษหญ้าของหวังเสี่ยวชุนทำให้ฉินหลิงตัดสินจู่โจมออกไปด้วยสัญชาตญาณ

     

    หวังเสี่ยวชุนเองก็เบิกตาค้างเมื่อเห็นเถาวัลย์ของตัวเองขาดเป็นสองท่อนก่อนจะค่อยๆสลายและเปลี่ยนไปเป็นเศษหญ้าดังเดิม เพียงแต่เศษหญ้าที่ถูกทำลายไปแล้วนั้นคงไม่อาจเอามาใช้ได้อีก แผนการที่วางไว้ในหัวถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เขาเพียงต้องการจับตัวชายหนุ่มและแสดงท่าทางอ่อนล้าจากการสูญเสียพลังวิญญาณออกมาก่อนจะหนีไป

     

    แต่เมื่อหนึ่งในอาวุธถูกทำลายลงไปย่อมทำให้ในใจเขาเดือดดาลอยู่ไม่น้อย เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมกรงเล็บโลหิตของผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับสองถึงทำลายเถาวัลย์ของเขาได้ง่ายดายนัก แต่ตอนนี้ยังอยู่ในสถานการณ์อันตรายอยู่เขาจึงรีบตั้งสติและหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังพุ่งเข้ามาอีกครั้ง

     

     “เพลิงผลาญโลหิต” หยาดโลหิตถูกสะบัดออกมาจากปลายนิ้วของฉินหลิง เมื่อเข้าประชิดใกล้ผู้ฝึกตนวัยกลางคนได้เขาจึงใช้วิชาโลหิตที่แฝงพลังธาตุไฟเพื่อจู่โจม เพราะอย่างไรชายตรงหน้าชำนาญเคล็ดวิชาธาตุไม้ หากเจอพลังโลหิตเพลิงของเขาย่อมต้องสร้างบาดแผลได้บ้าง

     

    หวังเสี่ยวชุนเองก็ไม่ได้โง่จนไม่รับรู้ถึงความอันตรายของหยาดโลหิตที่ถูกสะบัดออกมาทางเขา

     

    “เคล็ดวิชาขจีไพรสัน  กำแพงพฤกษา” ด้านหน้าของมือที่นาบลงบนพื้นปรากฏเป็นกำแพงไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเหมือนตอนที่เขาขวางกั้นเพลิงที่ลุกไหม้ในสวนสมุนไพร แต่กำแพงไม้ครั้งนี้เพียงพอแล้วที่จะขวางกั้นหยาดโลหิตที่กำลังลุกโชน

     

    เพียงพริบตาเปลวเพลิงก็ลุกไหม้กำแพงไม้ของเขาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ซึ่งส่งผลให้การลอบโจมตีของฉินหลิงล้มเหลว

     

    เมื่อเห็นว่าเพลิงผลาญโลหิตไม่อาจลอบจู่โจมได้ ฉินหลิงที่เผยสีหน้าซีดขาวจึงรีบวิ่งเข้าไปประชิดตัวชายตรงหน้าอย่างไม่รอช้า

     

    หวังเสี่ยวชุนเองก็เผยสีหน้าจริงจังออกมา ไอวิญญาณในร่างเริ่มปั่นป่วนอยู่บ้าง  เขาเองไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อาจจัดการชายตรงหน้าได้ซักที ทั้งที่เขาน่าจะผนึกร่างชายตรงหน้าได้อย่างไม่ยากเย็นแท้ๆ

     

    การต่อสู้กับฉินหลิงทำให้เขาลืมจุดประสงค์ที่คุณหนูใหญ่สั่งไว้ไปเสียแล้ว

     

    “พฤกษาคุ้มกาย” หวังเสี่ยวชุนเอ่ยออกมาพร้อมกับไอวิญญาณในร่างที่ปะทุออกมาจนทำให้ร่างกายของเขาส่องแสงสีเขียว

     

    สายตาของหวังเสี่ยวชุนดูแคลนฉินหลิงที่คิดพุ่งเข้ามาโดยไม่มีพลังคุ้มกาย แต่เมื่อนึกถึงพลังที่ฉินหลิงพึ่งแสดงไปก็ทำให้เขารับรู้แล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้าคงผลาญไอวิญญาณไปไม่น้อย ด้วยพลังขั้นก่อตั้งวิญญาณขั้นสองการใช้กรงเล็บโลหิตและเพลิงโลหิตย่อมสูญเสียปราณวิญญาณมากเกินกว่าร่างกายจะทนไหว หากรวมกับการที่ฉินหลิงฝืนทำลายยันต์ป้องกันบนยอดเขาก็เรียกได้ว่าฝืนตัวเองมากแล้ว

     

    อย่างไรก็ตามสายตาของเสี่ยวหวังชุนเบิกกว้างขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาเห็นชายตรงหน้ากัดข้อมือจนเป็นแผลเหวอะ หยาดโลหิตไหลย้อยออกมาจากข้อมือเป็นจำนวนมาก แต่เลือดที่ไหลออกมานั้นค่อยๆรวมตัวกันเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง ใช่แล้วมันกระบี่ที่พวกจอมยุทธในโลกมนุษย์ชอบใช้กัน

     

    หวังเสี่ยวชุนที่รวบรวมจอมยุทธเป็นจำนวนมากเพื่อใช้เป็นสมุนรับใช้ย่อมเคยเห็นอาวุธชนิดนี้ ด้วยความคล่องตัวของกระบี่จึงทำให้มีจอมยุทธไม่น้อยเลยที่เลือกฝึกฝนโดยใช้กระบี่เป็นอาวุธหลัก อย่างไรก็ตามในโลกแห่งการฝึกตน กระบี่นั้นถือเป็นอาวุธต้องห้าม ที่เรียกว่าต้องห้ามไม่ใช่เพราะห้ามใช้แต่เป็นเพราะผู้ใช้กระบี่ย่อมไม่มีทางก้าวหน้าได้อย่างแน่นอน

     

    การเป็นผู้ฝึกตนนั้นคือการหลอมรวมไอวิญญาณของฟ้าดินเข้ากับร่างกายและค้นหาหนทางแห่งเต๋าเพื่อเป็นเซียนอมตะ

     

    เส้นทางการแสวงหาความอมตะนั้นคือสิ่งที่เหล่าผู้ฝึกตนนั้นค้นหามานับตั้งแต่อดีต ซึ่งการจะไปถึงขั้นนั้นได้จะต้องเข้าถึงเส้นทางแห่งเต๋าที่เรียกได้ว่าเป็นหนทางเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

     

    อย่างไรก็ตามเส้นทางแห่งเต๋าที่เคยสมบูรณ์แบบนั้นถูกทำลายไปหนึ่งเส้น นั้นคือเต๋าที่เหล่าผู้ใช้กระบี่ต่างแสวงหา เต๋าแห่งกระบี่นั้นเอง

     

    ดังนั้นจึงแทบไม่พบเห็นผู้ฝึกตนคนใดใช้กระบี่อีกเลยนับตั้งแต่การท้าทายสวรรค์ของเจ้าแดนกระบี่เดียวดาย

     

    หวังเสี่ยวชุนเองก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าชายตรงหน้าจะเปลี่ยนโลหิตของตัวเองเป็นกระบี่เพื่อมาล้มเขา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×