ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #161 : ศิษย์รับใช้

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.07K
      791
      12 ก.พ. 63

    ใบไม้วิเศษที่เหาะเหินอยู่ท่ามกลางท้องนภาพุ่งผ่านหมู่มวลเมฆอย่างรวดเร็วตามการบังคับของผู้เป็นนาย

     

    ผ่านไปหนึ่งวันนับจากการเดินทางของพวกเขาทั้งสอง ตั้งแต่ฉินหลิงตัดสินใจเข้าร่วมสำนักขจีไพรสัน.. ชิงชิงก็ไม่ได้ใช้เถาวัลย์สีทองพันธนการร่าวชายหนุ่มอีก ระหว่างการเดินทางของทั้งสอง พวกเขาก็สนทนาอย่างเป็นปกติจนทำให้ฉินหลิงได้ทราบว่าที่แท้จริงแล้วอาไป๋ไม่ได้เป็นลูกชายของชิงชิงแต่เป็นลูกของน้องสาวของนางที่ตายลงไปก่อนหน้า

     

    นอกจากเรื่องส่วนตัวบางอย่างที่ชิงชิงเล่ามา ฉินหลิงยังได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ฝึกตนอีกด้วย ซึ่งถือได้ว่ามีประโยชน์ต่อผู้ฝึกตนหน้าใหม่เช่นเขาไม่น้อยเลย

     

    “แล้วเจ้าไม่พาอาไป๋มาด้วยกันรึ?” ฉินหลิงถามอย่างสงสัย

     

    “เฮ้อ... ข้ารอให้อาไป๋โตกว่านี้ซักหน่อยแล้วค่อยถามความต้องการเขาว่าต้องการเดินในหนทางการฝึกตนรึไม่! แต่ในใจของข้าเองก็ไม่อยากให้เขาต้องมาเจอการเข่นฆ่าของโลกฝึกตนเลย  ข้าอยากให้เขาใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนหนึ่งและใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา มีคนรัก มีครอบครัว มีลูกหลานและจากไปอย่างสงบ” ชิงชิงเหม่อมองออกไปในขณะที่พูดถึงอาไป๋ ความรักที่นางมีให้เด็กชายคนนั้นไม่ต่างจากมารดาแท้ๆเลย

     

    ฉินหลิงเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร เขาเองก็เคยได้ยินคำพูดคล้ายๆกับชิงชิงจากลู่ชิงเหมือนกัน ลู่ชิงเองก็ปรารถนาให้เขามีชีวิตอย่างสงบสุขและจากไปพร้อมกับความสุข บางทีความปรารถนาในใจลึกๆของเหล่าผู้ฝึกตนอาจจะเป็นเรื่องง่ายๆอย่างการใช้ชีวิตอย่างสงบปราศจากการเข่นฆ่าก็เป็นได้

     

    ในขณะที่ทั้งสองต่างเงียบ ชิงชิงก็ชี้ไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นมา “พวกเรามาถึงแล้วล่ะ.. สำนักขจีไพรสัน!

     

    เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว ฉินหลิงจึงหันควับไปมองเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ถึงแม้สายตาของเขาจะสามารถมองเห็นได้ไกลขึ้น แต่ด้วยความสูงและระยะทางที่ห่างไกลจึงทำให้ฉินหลิงมองเห็นเพียงเงารางๆเท่านั้น

     

    พาหนะวิเศษของชิงชิงพุ่งไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

     

    ฉินหลิงมองภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจนเมื่อเขาได้เข้าไปใกล้

     

    ภูเขาขนาดใหญ่ที่ยาวสุดลูกหูลูกตาทำให้เขาต้องตกตะลึง เขาไม่คิดเลยว่าโลกใบนี้จะมีภูเขาสูงใหญ่เช่นนี้ รอบภูเขาแห่งนี้มีบ้านเรือนอยู่มากมายจนแยกไม่ออกเลยว่าพื้นที่ตรงหน้ามีผู้ฝึกตนอาศัยอยู่มากเท่าใดกันแน่ นอกจากบ้านเรือนที่ตั้งอยู่มากมาย บริเวณยอดเขายังมีวิหารขนาดใหญ่ที่ปล่อยแรงกดดันจนทำให้ใครก็ตามที่เข้าไปใกล้รู้สึกอึดอัด

     

    นอกจากบริเวณตีนเขาของภูเขาที่หนาแน่นไปด้วยบ้านเรือน ที่ราบด้านล่างภูเขายังสามารถเห็นสวนสมุนไพรได้เช่นกัน สายตาของเขามองจุดสีดำที่กำลังเดินไปมาในสวนสมุนไพรด้วยความสนใจ

     

    ใบไม้วิเศษของชิงชิงไม่ได้หยุดลงและพุ่งตรงไปยังอาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณตีนเขา

     

    ในขณะใบไม้วิเศษของชิงชิงมุ่งหน้าไปยังตรงนั้นก็มีชายในชุดเกราะกลุ่มหนึ่งที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูขึ้นบนภูเขาชี้ทวนมาทางชิงชิงพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “กล้าดียังไงถึงบินบนสำนักขจีไพรสัน หากเจ้าไม่ลงมาดีๆอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

     

    อย่างไรก็ตามท่าทีของชิงชิงก็เปลี่ยนไปจนฉินหลิงที่พูดคุยกับนางมาตลอดทางรู้สึกไม่คุ้นเคย

     

    “น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะรึที่กล้าขวางทางข้า !!!” แรงกดดัดออกจากร่างของหญิงสาวจนทำให้ยามที่สวมชุดเกราะสีเงินคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว

     

    ท่าทางหยิ่งผยองของหญิงสาวทำให้ฉินหลิงรู้สึกแปลกใจอย่างมาก จนอดสงสัยไม่ได้เลยว่าชิงชิงที่หลงรักเขากับชิงชิงที่ปล่อยแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวออกมาคนนี้แท้จริงแล้วใช่คนเดียวกันรึไม่?

     

    “แย่แล้วรีบไปแจ้งผู้อาวุโสเร็วเข้า” หนึ่งในกลุ่มคนที่ทนต่อแรงกดดันไม่ไหวรีบตะโกนออกมา

     

    ในขณะที่พวกเขากำลังเรียกขอความช่วยเหลือ ชายชราผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าก่อนจะชี้หน้าไปยังเหล่าคนชุดเกราะ “ไอพวกโง่ ข้าใช้พวกเจ้าเฝ้าดูแลไม่ใช่ให้ไปล่วงเกินผู้คน พวกเจ้ามันช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ เพื่อเป็นการลงโทษหินวิญญาณเดือนนี้ถูกงด”

     

    “โอ๊ไม่น่ะ หินวิญญาณเดือนนี้ของข้า”

     

    “ผู้อาวุโสท่านทำเช่นนี้กับพวกข้าไม่ได้น่ะ หากข้าไม่มีหินวิญญาณแล้วเดือนนี้ข้าจะมีอะไรกินล่ะ”

     

    “พวกเราผิดไปแล้ว ผู้อาวุโสได้ปรดอภัยให้ด้วย”

     

    หลังจากตะคอกใส่เหล่าผู้ฝึกตนในชุดเกราะ ชายชราที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสกลับยิ้มอย่างประจบไปทางชิงชิงโดยไม่ได้ใส่ใจเหล่ายามแม้แต่น้อย  “จัดการเช่นนี้ดีไหมขอรับคุณหนูใหญ่  ท่านไม่ได้กลับสำนักมานาน ท่านเจ้าสำนักคงเป็นห่วงท่านยิ่งนัก หากไม่รังเกียจให้ข้าไปแจ้งท่านเจ้าสำนักให้ไหมขอรับ?

     

    เมื่อได้ยินคำว่าเจ้าสำนัก ชิงชิงก็ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเผยท่าทีปกติ “ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า แล้วก็คนผู้นี้ข้าเจอระหว่างทาง เขามีพลังธาตุไม้ที่ค่อนข้างดีข้าจึงนำตัวมาด้วย เจ้าพาเขาไปด้วยก็แล้วกัน”

     

    “ยังเป็นคุณหนูที่หวังดีต่อสำนักของเราจริงๆ เช่นนั้นตาแก่ผู้นี้จะทำตามความปรารถนาของท่านอย่างแน่นอน” ชายชราเอ่ยอย่างประจบพร้อมกับหันมามองชายหนุ่มในชุดสีดำที่กระโดดลงมาจากใบไม้วิเศษ

     

    เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังฝึกตนเพียงก่อตั้งวิญญาณขั้น2 ชายชราก็ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆแก่ฉินหลิงอีก และกลับไปหันพูดจาประจบชิงชิงอยู่พักใหญ่จนทำให้แม้แต่ฉินหลิงที่ยืนฟังอยู่ยังอดรู้สึกขนลุกกับความสามารถในการประสบของเขาไม่ได้

     

    ก่อนจะถึงสำนักขจีไพรสัน ฉินหลิงได้ตกลงกับชิงชิงไว้แล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการสิทธิพิเศษใดๆและต้องการเป็นเพียงศิษย์สำนักธรรมดาเท่านั้น

     

    ในตอนแรกชิงชิงที่วางแผนใกล้ชิดกับชายหนุ่มก็ไม่ค่อยพอใจนัก แต่เมื่อคิดดูอีกครั้งหากนางใกล้ชิดกับฉินหลิงมากเกินอาจจะเป็นการทำร้ายเขาทางอ้อมก็เป็นได้ เพียงแค่อยู่ในสำนักแห่งนี้นางก็มั่นใจแล้วว่าตัวเองจะสามารถแอบไปพบชายหนุ่มได้ทุกเมื่อ

     

    หลานชิงชิงทนฟังคำพูดสอพลอของชายชราผู้นี้ไม่ไหวจึงบังคับใบไม้วิเศษของนางไปทางยอดเขาทันทีโดยที่ไม่มีใครกล้าเข้ามาขวางทางอีก ชื่อเสียงความเอาแต่ใจของคุณหนูใหญ่แห่งสำนักขจีไพรสันย่อมเป็นอันรู้กันดีของเหล่าศิษย์และผู้อาวุโส ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้กลับสำนักมานานแต่ช่วงเวลาสิบปีสำหรับผู้ฝึกตนก็ไม่ได้ถือว่ายาวนานเลย

     

    เมื่อเห็นคุณหนูใหญ่จากไป ผู้อาวุโสท่านนั้นก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะกวักมือเรียกฉินหลิงด้วยท่าทีเอื้อยเฉื่อยแตกต่างจากตาแก่ที่เต็มไปด้วยคำพูดประจบราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน “เฮ้...เจ้าหนู เองมานี้ดิ!!

     

    หลังจากเห็นท่าทีของตาแก่ตรงหน้า ใบหน้าของฉินหลิงบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิโต้แย้งและรีบเดินเข้าไปใกล้ชายชราผู้นั้นก่อนจะคารวะอย่างมีมารยาท “ข้าน้อยฉินหลิงขอคารวะท่านผู้อาวุโสขอรับ”

     

    ชายชราโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องแนะนำตัวกับข้าหรอก หากต้องมาจำชื่อศิษย์รับใช้จนหมด วันๆข้าก็ไม่เป็นอันต้องทำอะไรแล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะทำไมเจ้าถึงได้ไปรู้จักคุณหนูใหญ่ได้ล่ะ ปกตินางย่อมไม่มีทางสนใจผู้ฝึกตนชั้นต่ำอย่างเจ้าเป็นแน่”

     

    “ขออภัยด้วยขอรับ ข้าเองก็ไม่ได้รู้จักอะไรคุณหนูท่านนั้นมากนัก เพียงแต่ในระหว่างทางนางบังเอิญเจอข้าและพบว่าตัวข้ามีพลังธาตุไม้เข้าพอดี จึงทำให้นางคิดพาตัวข้ามายังที่สำนักแห่งนี้ขอรับ” ฉินหลิงโกหกออกไปด้วยสีหน้าราบเรียบ

     

    ชายชราก็พยักหน้า “นั้นสิน่ะ ถึงหน้าตาเจ้าจะพอดูได้แต่คุณหนูใหญ่ก็ไม่มีนางสนใจผู้ฝึกตนชนชั้นก่อตั้งวิญญาณอย่างเจ้าเป็นแน่ เอาเถอะถือว่าเจ้าโชคดีก็แล้วกัน ปกติสำนักของเราจะไม่รับคนมั่วซั่วแถมยังต้องผ่านการทดสอบอีกมากมายกว่าจะฝากตัวเข้าเป็นศิษย์สำนักเราได้ ด้วยพลังก่อตั้งวิญญาณขั้นสองของเจ้าก็ยังไม่อาจเป็นศิษย์ภายนอกได้ ดังนั้นต่อจากนี้เจ้าจะเป็นศิษย์รับใช้ของสำนักขจีไพรสัน”

     

    “ศิษย์รับใช้?” ฉินหลิงเอ่ยออกมาอย่างสงสัย

     

    ชายชราก็เหล่ไปมองชายหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อย “ใช่แล้วล่ะ สำนักของเราได้แบ่งศิษย์ออกเป็น4ระดับคือศิษย์รับใช้ที่ทำหน้าที่จิปาถะ หากศิษย์รับใช้ทำหน้าที่หรือภารกิจได้ดีพวกเขาก็สามารถขอรับสมุนไพรหรือเม็ดยาเพื่อเพิ่มพลังฝึกตนได้และหากพวกเขาสามารถฝ่าคอขวดเข้าสู่ระดับก่อตั้งวิญญาณขั้น4หรือระดับกลางได้พวกเขาจะสามารถยื่นขอเป็นศิษย์ภายนอก  ส่วนอีก2ระดับคือศิษย์ภายในและศิษย์สืบทอด ข้าว่ามันยังเกินขอบเขตความเข้าใจของเจ้านักไว้รอเจ้าได้เป็นศิษย์ภายนอกก่อนเจ้าจะรู้เอง... แต่จงจำไว้อย่าได้ล่วงเกินคนเหล่านี้ ถึงภายในสำนักจะมีกฎห้ามเข่นฆ่ากัน แต่หากศิษย์รับใช้ตัวเล็กๆอย่างเจ้าตายลงไปก็ไม่มีใครมาให้ความสนใจหรอกน่ะ”

     

    “ขอบคุณสำหรับคำสอนของท่านมากขอรับ”  ฉินหลิงยกมือคำนับไปทางชายชราอีกครั้ง ถึงแม้ท่าทางของชายแก่ผู้นี้จะดูไม่ค่อยน่านับถือแต่สิ่งที่เขาพูดออกมาก็ถือได้ว่าเป็นคำเตือนที่ดี

     

    “ไม่ต้องมากพิธี เรียกข้าว่าตาเฒ่าหม่าก็พอ ข้าเป็นผู้อาวุโสที่คอยดูแลศิษย์ภายนอกและแจกจ่ายภารกิจศิษย์รับใช้อย่างพวกเจ้า เอาล่ะเจ้าหนุ่ม เจ้าจงตามข้ามารับตราและเสื้อผ้าก็แล้วกัน” เอ่ยจบตาแก่หม่าก็เดินนำฉินหลิงเข้าประตูที่มีอาคารขนาดใหญ่อยู่ด้านในซึ่งตั้งอยู่ตรงตีนเขา

     

    ฉินหลิงที่เดินตามตาแก่หม่าก็สังเกตพื้นที่โดยรอบด้วยความสนใจ นอกจากไอวิญญาณที่หนาแน่นจนทำให้เขาตื่นเต้น อาคารบ้านเรือนยังก่อสร้างมาจากสิ่งของวิเศษที่ก่อให้เกิดกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

     

    มีศิษย์มากมายเดินสวนไปมาอย่างคึกคัก โดยเฉพาะศิษย์หญิงที่มีจำนวนค่อนข้างมาก แต่ทุกคนเมื่อเห็นตาเฒ่าหม่าก็รีบเดินหนีทันทีราวกับหวาดกลัวโรคร้าย

     

    หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งสองก็เดินเข้ามายังบ้านไม้หลังเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ห่างอาคารขนาดใหญ่

     

    “ผู้อาวุโสหม่า ไม่ใช่ว่าเราจะไปรับของที่ตึกนั้นหรอกรึ?” ฉินหลิงที่เห็นตาเฒ่าหม่าเดินมาทางบ้านหลังเล็กจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

     

    “เจ้าโง่.. ที่แห่งนั้นไม่ใช่ที่ที่ศิษย์รับใช้อย่างเจ้าจะเข้าไปได้ ต่อไปจงจำไว้ว่าหากต้องการมารับภารกิจก็จงมายังที่แห่งนี้” เอ่ยจบตาเฒ่าหม่าเดินเข้าไปในบ้านก็หยิบชุดเก่าๆสีเขียวขึ้นมาสองตัวกับป้ายไม้เก่าๆอีกหนึ่งอันให้ฉินหลิง “นี้คือชุดของศิษย์รับใช้ และป้ายนั้นคือป้ายตราที่ใช้ยืนยันตัวเอง จงจำไว้ให้ดีว่าหากไม่มีป้ายไม้อันนี้ เจ้าจะไม่มีสิทธิเข้ามายังพื้นที่ภายในสำนักได้ หากเจ้าทำหายเจ้าต้องชดใช้ด้วยหินวิญญาณ5ก้อน”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×