ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #176 : พิธียกน้ำชาคารวะอาจารย์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.45K
      887
      12 ก.พ. 63

    เพียงไม่นานชายหนุ่มอัจฉริยะที่แฝงตัวเป็นศิษย์รับใช้ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสลำดับ2ไปเสียแล้ว

     

    เหล่าผู้อาวุโสอีก4คนที่เหลือต่างจ้องมองสตรีที่มีรอยแผลเป็นน่าสยดสยองอยู่ครึ่งซีกด้วยสีหน้าอิจฉาอย่างปิดไม่มิด พวกเขาแต่ละคนล้วนต่างล้วนกันเชื่อว่าหากให้เวลาแก่ชายหนุ่มผู้นั้นเสียหน่อย เขาต้องกลายเป็นนักจารึกอักขระชื่อดังอย่างแน่นอน

     

    เพียงแค่พลังและอำนาจของผู้อาวุโส2ก็มากเพียงพอที่จะสั่นสะเทือนสำนักแล้ว หากต่อไปศิษย์ของนางยังสามารถบรรลุขั้นสูงกว่านี้เเละกลายเป็นผู้จารึกอักขระขั้น3หรือ4ขึ้นมา ไม่เท่ากับว่านางจะไร้เทียมทานเลยรึ?

     

    แต่สิ่งที่พวกเขาประหลาดใจก็คือว่าทำไมเด็กหนุ่มอัจฉริยะด้านวิถีอักขระผู้นั้นถึงไม่เลือกผู้อาวุโส3เป็นอาจารย์แต่กลับเลือกสตรีน่าหวาดกลัวผู้นี้แทน? ด้วยคุณสมบัติการเป็นเจ้าตำหนักโอสถที่ดูแลนักปรุงยามากมายแถมยังเป็นนักปรุงยาระดับ4 น่าจะทำให้เขาตัดสินใจเลือกผู้อาวุโส3เป็นคนฟูมฟักดูแลตนเองมากกว่าเจ้าตำหนักบุปผาสีชาดที่เต็มไปกลิ่นคาวเลือด

     

    อย่างไรก็ตามถึงจะมาคิดมากในเวลานี้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะอย่างไรตัวเด็กหนุ่มผู้นั้นได้เลือกอาจารย์ของเขาไปแล้ว

     

    “ตามข้ามา..” ผู้อาวุโส2เอ่ยออกมาด้วยท่าทีเย็นชาดั่งเช่นเคย ก่อนจะเดินไปทางศิษย์หญิงอีกคนที่กำลังยืนรออยู่ที่ประตู

     

    ฉินหลิงที่ได้ยินคำสั่งของอาจารย์ผู้น่าหวาดกลัวก็เดินตามหลังโดยทิ้งระยะไม่ห่างมาก

     

    ถางเฉินซีที่เห็นฉินหลิงเดินตามหลังอาจารย์ของนางก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยและรีบวิ่งเข้ามาประชิดศิษย์น้องคนใหม่พร้อมกับเดินตามผู้อาวุโส2ไปยังบนเนินเขาทางทิศตะวันออก

     

    ระหว่างทางขึ้นเขา.. ฉินหลิงสัมผัสได้ถึงไอวิญญาณที่หนาแน่นขึ้น จนเรียกได้ว่าแตกต่างจากพื้นที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้หลายสิบเท่า

     

    “ไม่ต้องตกใจไปหรอก ภายในสำนักจัดเป็นศูนย์กลางของพลังวิญญาณ แถมยังมีค่ายกลที่รวบรวมพลังวิญญาณในพื้นที่โดยรอบเข้ามายังบริเวณด้านในสำักอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนยอดเขาที่เป็นตำหนักหลักของเจ้าสำนัก เจ้าจะรู้ได้เลยว่าไอวิญญาณยังมากกว่านี้อีกหลายเท่านัก” ถางเฉินซีพูดคุยด้วยท่าทีสนิทสนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นถึงพรสวรรค์ของชายหนุ่มผู้นี้ ต่อไปหากนางต้องการเสริมพลังให้แก่อาวุธ นางคงต้องพึ่งพาศิษย์น้องรูปหล่อคนนี้ซ่ะเเล้ว

     

    “จะว่าไปแล้วทำไมเจ้าถึงฝึกวิชามารเอาล่ะ?” ศิษย์พี่หญิงของฉินหลิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

     

    “ในตอนแรกข้าเป็นเพียงปุถุชนที่ได้รับโชคบางอย่างจึงสามารถเข้าสู่วิถีการฝึกตน ดังนั้นเคล็ดวิชาแรกที่ข้าฝึกคือวิชาสายมารที่บังเอิญได้พบเจอน่ะ” ฉินหลิงใช้ข้ออ้างเดิมตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

     

    “เช่นนี้นี่เอง...จะว่าไปแล้วข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเลย ข้าชื่อถางเฉินซี เป็นศิษย์ภายนอก หากไม่นับเจ้า ข้าเป็นศิษย์คนล่าสุดของท่านอาจารย์”

     

    “ข้าฉินหลิง พึ่งเข้าสำนักมาได้เมื่อ2ปีก่อน”

     

    ระหว่างการพูดคุยถางเฉินซีก็แนะนำสถานต่างๆระหว่างทางเดินอย่างละเอียด ต้องรู้ว่าตอนที่เขาเป็นศิษย์รับใช้ เขาไม่มีสิทธิเดินขึ้นมาเหนือบริเวณตีนเขาโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใด ดังนั้นเขาจึงไม่เคยรู้สถานที่ใดๆที่อยู่ภายในสำนักเลย

     

    ผ่านไปชั่วครู่อาจารย์คนใหม่ของเขาก็หยุดลงหน้าตำหนักที่ดูเก่าแก่และเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ

     

    ผู้อาวุโส2สะบัดมือเบาๆ ประตูไม้ก็ถูกเปิดออกอย่างง่ายดายราวกับจำเจ้านายของมันได้

     

    ขณะเดียวกันศิษย์พี่หญิงที่พูดคุยกับเขาตลอดทางก็เดินเข้ามากระซิบ “นี้คือตำหนักบุปผาสีชาดเป็นตำหนักส่วนตัวของท่านอาจารย์ หากต่อไปเจ้ามีเรื่องสงสัยอันใดเจ้าก็สามารถเข้ามายังตำหนักแห่งนี้เพื่อขอคำแนะนำกับท่านอาจารย์ได้ ถึงแม้ท่านจะดูเย็นชาไปบ้างแต่ท่านก็ใจดีมากเลย ”

     

    ถางเฉินซีที่กำลังเม้ามอยเรื่องอาจารย์ก็สัมผัสได้ถึงกระแสความเยือกเย็นจึงเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบกับสายตาที่กำลังจ้องเขม็งมายังนางทันที “แหะๆ ขออภัยเจ้าค่ะ”

     

    หลังจากผู้เป็นอาจารย์เดินเข้าไปภายในตำหนัก ถางเฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายออกมาจนทำให้ฉินหลิงส่ายหน้าเบาๆกับความไร้เดียงสาของหญิงสาวตรงหน้า ระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าวมีหรือที่ผู้อาวุโส2จะไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด ถึงแม้นางจะพยายามกระซิบเบาๆก็ตาม

     

    เมื่อพวกเขาเข้ามาในตำหนักโบราณที่ตั้งอยู่ฝั่งทิศตะวันออกของสำนัก ถางเฉินซีก็ดึงศิษย์น้องคนใหม่ไปยังห้องที่อยู่ด้านในตำหนักอย่างรวดเร็วก่อนจะบังคับให้ฉินหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ต้องรู้ว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตโดยไม่ได้สนใจอะไรเลย แม้แต่เสื้อผ้าใหม่ๆก็ไม่มี ดังนั้นไม่ต้องเอ่ยถามถึงเสื้อผ้าเลยแค่จำนวนการอาบน้ำของเขายังนับได้เลย

     

    ถางเฉินซีถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินว่าศิษย์น้องไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนเลย นางจึงรีบออกไปหาเสื้อผ้าใหม่มาให้

     

    ผ่านไปไม่นานฉินหลิงก็ได้ชุดใหม่มาสวมใส่เพียงแต่ชุดที่เขาสวมใส่เป็นชุดของศิษย์ภายนอกที่เป็นสีน้ำเงินแทนที่จะเป็นสีเขียว

     

    “เอาล่ะพ่อรูปหล่อไปกันได้แล้ว” ถางเฉินซียิ้มออกมาด้วยท่าทีพอใจก่อนจะดึงแขนของฉินหลิง

     

    “ไปไหนรึ?” ฉินหลิงเอ่ยถามด้วยความสับสนเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังดึงเขาออกไป ไม่ใช่ว่าเขามายังตำหนักแห่งนี้เพื่อฝึกฝนเพิ่มพลังฝึกตนหรอกรึ?

     

    “เจ้าโง่!! ก็ต้องไปคารวะน้ำชาให้อาจารย์น่ะซิ... เจ้าจะเป็นศิษย์น้องของข้าก็ต่อเมื่อเจ้าผ่านพิธียกน้ำชาคารวะเพื่อแสดงให้เห็นว่าท่านอาจารย์รับเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัวเสียก่อน” ถางเฉินซีเขกหัวชายหนุ่มรูปหล่อตรงหน้าด้วยท่าทีหงุดหงิด มีคนมากมายต่างอยากได้หวังเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นาง แต่เจ้าคนซื่อบื้อนี้กลับยังคงไม่รู้เรื่องเลย

     

    “ทำไมข้าต้องเป็นศิษย์น้องด้วยล่ะ” ฉินหลิงเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง

     

    สีหน้าของหญิงสาวบิดเบี้ยวขึ้นมาทันใด ในโลกแห่งการฝึกตนพวกเขาจะนับผู้แข็งแกร่งเป็นผู้อาวุโสกว่าและด้วยความสามารถของชายหนุ่มตรงหน้าที่สามารถโค่นศิษย์ภายนอกระดับเดียวกับนางได้ถึง5คนย่อมบ่งบอกได้ดีแล้วถึงความสามารถ แต่ตัวนางที่เป็นศิษย์น้องเล็กของผู้อาวุโส2ย่อมไม่ทนได้ที่จะให้ศิษย์ที่พึ่งมาใหม่เหนือกว่าตัวเอง

     

    “ไว้รอเจ้าฝึกตนจนล้ำหน้าเกินกว่าข้าเสียก่อน! เดินตามข้ามาได้แล้วอย่าให้ท่านอาจารย์รอนาน” ถางเฉินซีเอ่ยออกมาด้วยท่าทางหงุดหงิดและรีบหันหน้าเดินจากไปไม่รอให้ฉินหลิงโต้แย้ง

     

    ฉินหลิงพยักหน้าอย่างงๆก่อนจะเดินตามหญิงสาวตรงหน้าไปยังห้องโถงใหญ่

     

    ภายในห้องนอกจากผู้อาวุโส2ที่นั่งอยู่ตรงกลางตำแหน่งเจ้าบ้าน ด้านข้างยังมีหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามอีก5คนแบ่งเป็นด้านซ้าย2คนและขวา3คน ศิษย์ที่นั่งด้านซ้ายจะเห็นได้ว่าพวกนางสวมใส่ชุดสีม่วงแสดงถึงตำแหน่งศิษย์ภายใน ขณะที่อีกฝั่งซึ่งนั่งอยู่3คนสวมชุดสีน้ำเงินแสดงถึงการเป็นศิษย์ภายนอกเหมือนถางเฉินซี

     

    “ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่มารึ?” เจ้าตำหนักบุปผาสีชาดผู้เป็นอาจารย์ของเหล่าหญิงสาวหันไปถามเหล่าลูกศิษย์ที่นั่งรวมตัวกันเป็นระเบียบด้วยสีหน้าเยือกเย็นดั่งเดิม

     

    “ศิษย์พี่ใหญ่เก็บตัวฝ่าคอขวดขั้นสำคัญอยู่เจ้าค่ะท่านอาจารย์” หนึ่งในหญิงสาวที่สวมชุดสีม่วงหันกลับไปเอ่ยตอบอาจารย์ด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

     

    “อืม...ไว้ค่อยให้นางทำความรู้จักกับศิษย์น้องคนใหม่ทีหลัง”ผู้อาวุโส2ที่รับรู้ได้ถึงการมาของฉินหลิงจึงหันหลับมามองดูศิษย์คนใหม่ของนาง

     

    นอกจากถางเฉินซีที่รับรู้อยู่แล้วว่าศิษย์น้องเล็กคนใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่เธอเป็นบุรุษยังไม่มีใครรับรู้เกี่ยวกับตัวตนที่เเท้จริงของศิษย์คนใหม่ของท่านอาจารย์แม้แต่น้อย

     

    อย่างไรก็ตามเมื่อพวกนางเห็นฉินหลิงที่เป็นชายหนุ่มรูปหล่อเดินถือชุดน้ำชาเข้ามาพร้อมกับถางเฉินซีก็พากันตื่นตกใจ ต้องรู้ว่าตั้งแต่อดีตผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ผู้อาวุโส2หรืออาจารย์ของพวกนางไม่เคยรับศิษย์ชายแม้แต่คนเดียวจึงทำให้พวกนางเข้าใจว่าอาจารย์ของนางเกลียดชังบุรุษเพศเขาเส้นอย่างแน่นอน แม้แต่ภายในตำหนักแห่งนี้นางยังห้ามมิให้ผู้ชายเข้ามาเด็ดขาด

     

    แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังคารวะอาจารย์ของพวกนางเพื่อเป็นศิษย์คนใหม่

     

    “ท่านอาจารย์ นี้มันคืออะไร?” ศิษย์ภายในคนเดิมที่ได้พูดคุยกับผู้อาวุโส2อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป

     

    ผู้อาวุโส2ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรเพียงพยักหน้าให้ฉินหลิงมาทำพิธีคารวะนาง

     

    ฉินหลิงที่เห็นท่าทางของผู้เป็นอาจารย์ก็เดินเข้าไปก่อนจะเริ่มทำพิธียกน้ำชาเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ตามที่ถางเฉินซีสอนมาก่อนหน้านี้

     

    หลังจากจัดการพิธียกน้ำชาคารวะเป็นอาจารย์เสร็จ ผู้อาวุโสก็ลุกขึ้น “ต่อจากนี้เขาคือศิษย์คนใหม่ของข้า พวกเจ้าทุกคนที่เป็นศิษย์พี่จงดูแลและให้คำแนะนำแก่เขาด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นบุรุษแตกต่างจากพวกเขาทุกคนแต่ความสามารถของเขานั้นเหนือล้ำกว่าพวกเขาทุกคนในห้องนี้!!

     

    เหล่าหญิงสาวในห้องต่างพากันตกตะลึงเมื่อเห็นอาจารย์ของนางอวยศิษย์คนใหม่เกินหน้าเกินตาทั้งที่พลังฝึกตนของเขาไม่ถึงระดับที่ศิษย์ภายนอกสมควรจะมีด้วยซ้ำ

     

    นอกจากถางเฉินซีที่รู้ดีถึงความสามารถของศิษย์น้องคนใหม่ ศิษย์คนอื่นๆต่างแสดงสงสัยในคำพูดของผู้เป็นอาจารย์ทั้งสิ้น

     

    “ฮาๆ ท่านอาจารย์ก็ล้อกันเกินไป”

     

    “หากว่าเขาที่มีพลังก่อตั้งวิญญาณขั้น2เรียกว่ามีพรสวรรค์ ข้าไม่ถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาดเลยรึเจ้าค่ะ?

     

    “มุขตลกของอาจารย์ไม่ธรรมดาจริงๆ”

     

    เหล่าศิษย์หญิงทั้งหลายต่างพากันหัวเราะเมื่อสังเกตเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างอาจารย์ของพวกนาง พวกนางแต่ล่ะคนล้วนถูกฟูมฟักและเลี้ยงดูมาอย่างดี ดังนั้นพรสวรรค์ของพวกนางเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาแม้แต่เทียบกับคนในรุ่นเดียวกันก็ตาม

     

    “พวกเจ้าคิดว่าข้าพูดเล่นรึ?” น้ำเสียงของผู้เป็นอาจารย์เยือกเย็นขึ้นจนสีหน้าของเหล่าศิษย์หญิงแปรเปลี่ยนไป

     

    “มิกล้าเจ้าค่ะ”

     

    “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”

     

    “ข้าผิดไปแล้ว”

     

    เมื่อเห็นเหล่าศิษย์สำนึกผิดแต่ในสายตายังแฝงไว้ด้วยความหยิ่งยโส เจ้าตำหนักบุปผาสีชาดอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาในขณะที่เดินออกจากห้อง “หากว่าพวกเจ้าไม่สามารถเป็นผู้จารึกอักขระระดับ1ได้ตั้งแต่เริ่มฝึกตนอย่างศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้าก็จงลดความเย่อหยิ่งลงเสียบ้าง มิเช่นนั้นต่อให้ข้าแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้ทุกคราหรอกนะ!!!

     

    ฉินหลิงที่เงียบเฉยอยู่ตลอดก็อดไม่ได้ที่จะมองเบื้องหลังของอาจารย์คนใหม่ที่ค่อยๆเดินจากไป แน่นอนว่าคำพูดของอาจารย์ผู้มีใบหน้าอัปลักษณ์ครึ่งหนึ่งนั้นกำลังสั่งสอนเหล่าศิษย์ที่เหลือ ด้วยท่าทางและคำพูดก่อนหน้าของเหล่าศิษย์พี่หญิงที่อยู่ในห้องต่างทำให้เขาพอรับรู้แล้วว่าพวกนางที่มีผู้อาวุโส2ในสำนักหนุนหลังอยู่ย่อมกระทำการบางอย่างที่ไม่ดีมาก่อนเป็นแน่

     

    ใครจะคิดเพียงแค่พิธีคารวะน้ำชาของเขากลับกลายเป็นการเตือนเหล่าศิษย์เก่าที่กำลังหยิ่งผยองของท่านอาจารย์ไปเสียแล้ว ดูท่าผู้อาวุโส2คนนี้จะไม่ง่ายซะแล้ว

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×