ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #19 : ผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 20.21K
      1.35K
      16 ก.ย. 62

    ฉินหลิงที่กำลังหลงเชื่อคำพูดอวดอ้างของบ่าวตัวน้อยโดยไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าบ่าวผู้หญิงในจวนของเขาแต่ละคนล้วนมีอายุพอเป็นแม่ของเขาได้แล้วทั้งนั้น


    “ ลู่ชิง แล้วข้าควรจะเริ่มยังไงดีละ หรือว่าข้าควรจะเข้าไปสารภาพกับนางเลยดีไหม ? ” ฉินหลิงเอ่ยถามบ่าวตัวน้อยด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย เพราะเรื่องราวความรักนั้นเขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนทำให้เขาตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเริ่มจากจุดไหน ประกอบกับโดนเจ้าบ่าวตัวน้อยหลอกเอาทำให้เขาเลือกจะเชื่อมั่นในบ่าวตัวน้อยอย่างเต็มเปี่ยม


    “ อะแฮ่ม~ ก่อนอื่นนะขอรับนายน้อย  ข้าต้องรู้เรื่องราวของพวกท่านก่อน แล้วท่านไปรู้จักแม่นางถานเมื่อไหร่ แล้วท่านไปทำไม่ดีต่อนางตอนไหน และท่านได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วรึ ? ”  ลู่ชิงจ้องมองผู้เป็นนายแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะตั้งแต่นายน้อยผู้นี้เกือบตายเมื่อครานั้น เขาก็อยู่ดูแลตลอดเวลา ทำให้เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่านายน้อยผู้นี้ไม่เหมือนเดิมจริงๆ แต่เขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าทำไมฉินหลิงถึงจดจำหญิงผู้นี้ขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงคิดได้เพียงแค่ว่านายน้อยฉินได้ความทรงจำกลับมาแล้วนั้นเอง


    ฉินหลิงที่ได้ยินคำถามของผู้เป็นบ่าวประจำตัว ก็ทำให้เขาขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ย “ ข้าก็ไม่รู้จะบอกกล่าวแก่เจ้ายังไงดี เอาเป็นว่านอกจากเรื่องของถานอวี้จี้ ข้าก็ไม่สามารถจดจำเรื่องราวอะไรได้อีก หากข้าบอกเจ้าเช่นนี้เจ้าจะเชื่อข้ารึไม่ ”


    “ ไม่ต้องกังวล ข้าเชื่อท่าน ” ลู่ชิงกล่าวออกมาทันที


    ลู่ชิงยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาก่อนจะพูดกระแทกใจดำผู้เป็นนาย  “ แต่แม่นางถานผู้นี้คงสำคัญกับท่านนัก ขนาดท่านแม่ทัพผู้เป็นปู่แท้ๆของท่าน หรือแม้แต่ข้าที่อยู่ข้างกายท่านมาโดยตลอด ท่านกลับจำไม่ได้ แต่ท่านกลับจดจำได้เพียงหญิงงาม ท่านนี้มันช่างสมกับเป็นอันธพาลชั้นเลิศจริงๆ  ดูท่าสมญานามที่พวกชาวบ้านเรียกกล่าวท่านก็คงเป็นจริงไม่น้อย ”


    “แค๊กๆ”


    ‘ เจ้าเด็กบัดซบนี้ ข้ามาขอคำปรึกษาด้านความรักหรือมาโดนมันด่ากันแน่เนี่ย ’ ฉินหลิงกรอกตามองเจ้าเด็กตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์


    เจ้าบ่าวตัวน้อยที่หันไปเหลือบเห็นแววตาภายใต้หน้ากากที่ปรากฏความกระอักกระอ่วมไม่น้อย  “ ฮิฮิ~  ข้าเพียงล้อท่านเล่นเท่านั้นอย่าได้จริงจังไป  เอาละเรามาพูดถึงเรื่องพิชิตใจแม่หญิงคนงามของท่านกันดีกว่า ข้าต้องการรู้ก่อนว่าท่านต้องการจริงจังกับนางหรือไม่ หรือท่านเพียงแค่รู้สึกผิดต่อนาง ถ้าท่านไม่ได้รู้สึกอะไรกับนาง ท่านควรปล่อยนางไปเสียดีกว่าอย่าทำให้นางรู้สึกเสียใจไปมากกว่านี้เลย เพราะถึงอย่างไรท่านก็ช่วยชีวิตมารดานางแล้ว ก็คงถือได้ว่าชดใช้บุญคุณความแค้นกันไปแล้วกระมั้ง ”


    “ ข้าต้องการตบแต่งกับนาง ไม่ใช่เพียงเพราะรู้สึกผิดเป็นแน่ ” เพราะหลังจากที่เขาได้พบกับนางครั้งแรกและได้ทำความรู้จักกันในช่วงเวลาสั้นๆ นางทำให้เขารู้สึกหลงรักนางอย่างจริงจังโดยไม่มีเหตุผล ยามเมื่อนางหัวเราะออกมาก็ทำให้เขารู้สึกสดใส แต่ยามเมื่อเห็นนางร้องไห้เขาก็เจ็บปวดไม่น้อย ความรู้สึกที่ชัดเจนออกมาเช่นนี้ ย่อมทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาชอบนางเข้าแล้วจริงๆ


    ลู่ชิงที่ได้ยินดังนั้นก็กล่าวออกมาด้วยเสียงตกใจ “ ห๊ะ....ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรา  ท่านรู้จักนางได้เพียงวันเดียวเท่านั้น แต่ท่านกับคิดจะแต่งกับนาง แล้วก็ท่านคงต้องไม่ลืมหรอกนะว่าท่านไม่สามารถแต่งกับนางได้  หากท่านคิดจะรับนางมาเป็นฮูหยินจริงๆ ข้าว่าท่านแม่ทัพคงไม่ยอมเป็นแน่ ถ้าท่านต้องการจริงๆข้าว่าท่านทำได้เพียงแค่รับนางมาเป็นอนุเท่านั้น ”


    ในโลกใบนี้ การจะแต่งงานกันนั้น แตกต่างจากโลกที่เขาจากมา เหล่าผู้คนที่จะตบแต่งกันได้นั้นต้องขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ภายในตระกูลซึ่งส่วนมากตระกูลเหล่านี้มักจะเลือกให้บุตรหลานตนแต่งกับบุคคลที่มีฐานะใกล้เคียงกัน ดังนั้นจึงทำให้หนุ่มสาวไม่อาจเลือกคู่ครองเองได้ ซึ่งหนุ่มสาวที่ชอบพอกันจะทำได้เพียงให้ญาติผู้ใหญ่ไปทาบทามผู้ที่ตนหลงรัก ซึ่งมีคู่รักมากมายที่สมหวังแต่ก็มีคู่รักมากมายที่ไม่สมปรารถนาเช่นกัน ดังนั้นจึงทำให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยเหตุการณ์คู่รักหนีตามกันไปมากมาย


    “ ข้าไม่คิดจะรับนางมาเป็นอนุเป็นแน่ !!   เอาเถอะเรื่องนั้นค่อยว่ากันในภายภาคหน้า ตอนนี้เจ้ามาช่วยข้าคิดก่อนว่าจะทำเช่นไรให้นางมาหลงรักข้าได้บ้าง ไม่ใช่เพียงแค่รู้สึกติดหนี้บุญคุณข้า ” ฉินหลิงกล่าวออกมาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับติดกับปัญหาใหญ่ที่ไม่อาจแก้ไขได้


    ลู่ชิงมองท่าทีที่หนักใจของนายน้อยตนก่อนจะลูบคางคิดไปมาแล้วจึงเอ่ยแนะนำ  “ นั้นสินะ~ ข้าว่าพวกท่านอยู่ใกล้กันบ่อยๆก็คงรักกันเองแหละ เพราะจากที่ข้าเห็นนางก็ดูเหมือนจะมีใจต่อท่านไม่น้อย ”


    “จริงรึ!!! ” เมื่อได้ยินคำพูดของบ่าวตัวน้อย ดวงตาของฉินหลิงเปล่งประกายแวววับทันที


     “ ใช่แล้วขอรับ  แล้วก็นู้นแม่หญิงคนงามของท่านกำลังให้อาหารไก่อยู่นั้น ท่านรีบไปหานางเถอะ เพิ่มความสนิทสนมเยอะๆ ถามว่านางชอบทานอะไร ชอบไปที่ไหน มีอะไรให้ช่วยไหม ใส่ใจนางเยอะๆ เดี๋ยวนางก็ใจอ่อนเองแหละขอรับ  เช่นนั้นข้าไปละ ไม่อยากขัดความสุขของท่าน ” กล่าวเสร็จลู่ชิงก็หันกลับเดินออกไปทันที


    “ ได้ๆ  ขอบใจเจ้ามาก ” ฉินหลิงกล่าวออกไปโดยที่สายตาจ้องมองไปที่สาวงามเบื้องหน้า


    ฉินหลิงที่เดินเข้ามาภายในรั้วบ้านก็พบสาวงามที่อยู่ในดวงใจของเขา เส้นผมดำขวับที่กวัดแกว่งไปมาระหว่างกำลังโยนเมล็ดข้าวให้เหล่าแม่ไก่ เหงื่อเม็ดเล็กๆที่ค่อยๆย้อยลงมาจากปลายคิ้วลงสู่คางที่โค้งเรียวได้รูป ก่อนจะหยดลงสู่พื้น ซึ่งทำให้เขาเกือบอดใจไม่ไหวที่จะคว้าเอาไว้ เมื่อสังเกตถึงเสื้อผ้านางก็พบว่านางสวมเสื้อผ้าชุดเก่าที่มีรอยเย็บปะอยู่หลายจุดแต่กลับไม่ทำให้นางดูต่ำต้อยเลยแม้แต่น้อย


    เมื่อได้ยินเสียงเดินดังขึ้นมา ถานอวี้จี้ก็เงยหน้าขึ้นก็พบชายหนุ่มสวมหน้ากากขาวที่เหมาเต้าหู้ทอดของเธอและยังช่วยเหลือมารดาที่กำลังจะสิ้นใจของตนเมื่อวาน ทำให้ภายในใจของเธอเกิดความรู้สึกซับซ้อนมากมาย


    “ อรุณสวัสดิ์เจ้าคะ คุณชายเหยา ” ถานอวี้จี้โค้งคำนับเล็กน้อยซึ่งกริยาท่าทางของนางดูสวยงามราวกับหญิงชั้นสูง ทำให้ฉินหลิงอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใด หญิงสาวจากชนบทถึงมีลักษณะท่าทางเช่นนี้ได้


    “ อรุณสวัสดิ์เช่นกัน แม่นางถาน ”


    “ เช่นนั้นเชิญท่านเข้าไปในเรือนก่อนเถิด เดี๋ยวข้ายกน้ำชาไปให้นะเจ้าคะ ”


    “ ลำบากเจ้าแล้ว ”


    หลังจากเอ่ยจบแม่นางถานก็เดินไปเก็บอาหารไก่แล้วจึงเดินนำทางเขาเข้าไปภายในบ้านหลังเก่าของนาง ก่อนจะรีบเดินเข้าไปครัวเพื่อไปเตรียมน้ำชาต้อนรับแขก


    เมื่อถานอวี้จี้เดินออกมาจากครัวเธอก็พบชายหนุ่มสวมหน้ากากขาวนั่งหลังตรงอยู่บนโต๊ะตัวเล็กที่มีเพียงตัวเดียวในบ้านเธอ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขามีอารมณ์เช่นไรเพราะหน้ากากที่เขาสวมปกปิดรูปลักษณ์ที่เขาเคยกล่าวอ้างว่าอัปลักษณ์ แต่ยิ่งเขาปกปิดก็ยิ่งทำให้หญิงสาวอยากรู้มากขึ้นเรื่อยๆ นางจึงสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่แล้วเดินหน้าไปรินน้ำชาให้ชายหนุ่ม


    “ เชิญเจ้าคะ ” กล่าวจบถานอวี้จี้ก็ยกน้ำชาไปให้อีกฝ่าย ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็บังเอิญหันมาสบตากันอย่างพอดี ก่อนที่นางจะรีบวางน้ำชาลงแล้วหันหน้าหลบเพื่อปกปิดใบหน้าที่แดงกล่ำจากความเขินอาย เพราะเธอบังเอิญนึกถึงตอนจากกันเมื่อวานและคำพูดส่งท้ายของเขา ‘ ข้าเป็นหนี้เจ้า ต่อให้ใช้ทั้งชีวิตของข้า ก็ไม่อาจจะชดใช้หมด’ ก็ทำให้ใจนางเต้นดังออกมาอย่างช่วยไม่ได้


    หลังจากทั้งสองเงียบไปชั่วครู่ ฉินหลิงจึงเริ่มเอ่ยถาม “ แล้วมารดาของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ”


    “ ท่านแม่อาการดีขึ้นมากแล้ว ไข้ก็ลดลงมากแล้วเจ้าคะ ท่านหมอเฉาบอกว่าอีกไม่เกินสามวันท่านแม่ก็คงฟื้นได้เจ้าคะ ต้องขอบคุณท่านมากๆเลยเจ้าคะ ” ถานอวี้จี้เอ่ยออกมาอย่างดีใจเมื่อพูดถึงมารดาอาการดีขึ้น


    ฉินหลิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก  หากเจ้าเดือดร้อนอะไรก็บอกข้าได้ ข้าจะพยายามช่วยเหลือเจ้าเต็มที่ไม่ต้องกังวล ”


    “ แค่นี้ข้าก็รบกวนท่านมากพอแล้ว  หากว่ายังรบกวนท่านอีก ข้าก็ไม่รู้จะตอบแทนท่านยังไงแล้ว ” ถานอวี้จี้ยิ้มพร้อมทั้งนึกถึงบุญคุณที่ชายตรงหน้าได้กระทำเพื่อครอบครัวนางช่างมากมาย ก็ทำให้เธอไม่รู้จะตอบแทนเขาอย่างไรแล้ว หากว่ายังรบกวนเขามากกว่านี้เธอคงรู้สึกผิดยิ่งนัก


    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังเกรงใจตนอยู่ ฉินหลิงก็ขมวดคิ้วอย่างหนักแล้วเอ่ยเสียงดัง “ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าเป็นหนี้ต่อเจ้า เจ้าต้องการอะไรขอเพียงบอกข้า หากไม่เกินความสามารถ ข้าจะหามาให้เจ้าเป็นแน่ ”


    “ เช่นนั้นท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือ  แล้วทำไมท่านถึงต้องทำดีกับข้าถึงเพียงนี้เจ้าคะ ” หญิงงามแซ่ถานเอ่ยด้วยความสงสัย


    “ ข้าขอโทษ ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ ไม่สิข้าไม่มีความกล้ามากกว่า  ขอเวลาให้ข้าอีกหน่อยเถอะ อีกไม่นานข้าจะบอกทุกอย่างกับเจ้า ” ฉินหลิงเอ่ยด้วยเสียงที่ค่อยๆแผ่วเบาลง แต่ก็ยิ่งสร้างความสงสัยกับหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้น


    ถานอวี้จี้ยิ้มให้กับชายหนุ่มเบื้องหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “ ถ้าท่านไม่สะดวกพูดก็ไม่เป็นไร แต่อย่างไรท่านก็ได้ช่วยมารดาข้าไว้ ยังไงข้าก็ต้องตอบแทนเจ้าคะ ”


    “ นี้ก็ยามอู่ (11.00 - 12.59 น.)แล้ว  ข้าจะไปเตรียมอาหารเที่ยง  เช่นนั้นท่านก็อยู่กินข้าวเที่ยงที่นี้เลยแล้วกันนะเจ้าคะ ” กล่าวจบหญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินไปในครัวทันที


    “ เช่นนั้น ให้ข้าช่วยด้วยเถอะ ”


    “ ไม่ได้เจ้าคะ  ข้าจะให้คุณชายเช่นท่านมาทำอาหารได้อย่างไร ” ถานอวี้จี้ส่ายหัวอย่างหนักกับคำขอของนายน้อยเบื้องหน้า


    “ ฮาๆ ไม่เป็นอะไร เห็นอย่างนี้ สมัยยังเรียนข้าก็ทำอาหารกินเองประจำ ” เอ่ยจบฉินหลิงรีบเอามือปิดปากทันทีหลังจากคำพูดที่หลุดปากออกมา


    “ ฮิฮิ~ ท่านก็ช่างล้อเล่นได้นะเจ้าคะ ถ้าท่านต้องการเพียงแค่ดูเท่านั้น ข้าก็ไม่ขัดหรอกนะเจ้าคะ ”


    หลังจากเข้ามาภายในครัวที่อยู่ด้านนอกเรือนที่พักซึ่งหันหน้าเข้าภูเขา เขาก็พบเครื่องเรือนต่างๆ ซึ่งแต่ละชิ้นล้วนมีความเก่ายิ่งนัก บางชิ้นถึงกับมีรอยแตกร้าว ทำให้เขาคาดเดาไม่ยากเลยทำไมนางถึงดิ้นรนเข้าไปหางานทำในเมืองใหญ่ เพราะสภาพปัญหาทางการเงินของครอบครัวนางนี้เอง โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเพียงผู้หญิงสองคนเท่านั้น ก็ทำให้เขาหดหู่ใจไม่น้อยที่ได้เคยทำร้ายทั้งจิตใจและร่างกายนาง


    เมื่อเข้ามาภายในครัว ถานอวี้จี้ก็เห็นสายตาที่ส่องสำรวจภายในครัวของครอบครัวนาง ก็อดเคอะเขินอย่างช่วยไม่ได้กับความเก่าแก่ของของใช้ภายในครัวของนาง แต่นางก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายเพราะนางนั้นรู้ฐานะของตัวเองดี ซึ่งนางก็ไม่ได้ต้องการไปแก่งแย่งชิงดีกับใคร ขอเพียงใช้ชีวิตให้มีความสุขกับมารดาของนางก็พึงพอใจแล้ว


    ฉินหลิงที่กำลังสำรวจห้องครัว พร้อมคิดว่าเขาควรจะซื้อของใช้มาเปลี่ยนให้นางดีหรือไม่ ก็หันไปเหลือบเห็นสาวงามที่กำลังจับคอแม่ไก่ตัวหนึ่งที่กำลังดิ้นส่ายไปมาอย่างแรง จากนั้นนางก็จับอีโต้แล้วค่อยๆเฉือนลงบริเวณลำคอของแม่ไก่ตัวนั้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดของไก่ตัวนั้นไหลนองออกมา จากนั้นเธอกดคอไก่ลงเพื่อที่ทำให้เลือดที่ไหลออกมาลงในกะละมังไม้ แต่ก็มีเลือดบางส่วนที่กระเด็นออกมาติดอยู่บนใบหน้าของนางซึ่งทำให้นางดูเหมือนนางมารร้ายเจ้าเสน่ห์ไม่น้อย จากภาพที่เกิดขึ้น ทำให้ฉินหลิงมือสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่าเขาเคยกล่าวอ้างว่าตัวเองเคยทำอาหารแต่เขาก็ไม่เคยเห็นคนเชือดสัตว์ตัวเป็นๆมาก่อน


    เมื่อถานอวี้จี้จับไก่ที่เชือดเสร็จใส่ในหมอที่มีน้ำต้มไว้น้ำเดือดแล้ว  ก็หันมามองนายน้อยที่แขนกำลังสั่นอยู่จากภาพที่เห็น ทำให้เธออดหัวเราะออกมาและเอ่ยหยอกล้อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้  “ ไหนว่าท่านทำอาหารกินเองประจำไม่ใช่รึเจ้าคะ แค่เห็นข้าเชือดไก่ก็จะเป็นลมแล้ว  ข้าว่าท่านไปพักก่อนเถอะเจ้าคะ ”


    “ อ่า..... อืม ” เมื่อได้ยินคำกล่าวของสาวงามเบื้องหน้าเขารีบตอบรับแล้วหันจากไปอย่างรวดเร็ว


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×