ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #26 : สนทนากับถานฮูหยิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.72K
      1.53K
      16 ก.ย. 62

     

    ถานอวี้จี้ที่ยามนี้สลัดความสับสนในใจออกไปได้แล้ว กำลังยืนต้มยาอยู่ด้านในห้องครัวโดยไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังของตนมีบุรุษหนุ่มหน้าตาซีดขาวยืนอยู่ด้วย

     

    “ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่รึ ” เสียงแหบแห้งของบุรุษดังขึ้นทำให้สตรีที่กำลังต้มยาอยู่ตื่นตกใจก่อนจะรีบหันกลับมา

     

    ถานอวี้จี้เบิกตากว้างก่อนเอ่ยเสียงสั่น “ ทะ… ท่าน ทำไมท่านถึงกลับมา? ”

     

    ฉินหลิงยิ้มออกมาเล็กน้อย “ ข้ายังไม่ได้ดื่มสุรากุ๊ยฮวาของเจ้าเลย เเล้วข้าจะจากไปได้ไง ”

     

    เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มก็ทำให้หญิงสาวน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งที่เธอคิดว่าตัวเองตัดใจจากบุรุษเบื้องหน้าได้แล้วเเท้ๆ แต่เมื่อได้พบกันจริงกับทำให้เธอรู้ว่าเธอไม่เคยลืมเลือนนายน้อยผู้นี้เลย “ ทำไมกัน ทำไมท่านต้องทำให้ข้าเจ็บปวดขนาดนี้ ท่านรู้รึไม่ ตอนข้าเห็นท่านจากไป ข้าเจ็บปวดขนาดไหนกัน ”

     

    เมื่อเห็นสาวงามเบื้องหน้าร้องไห้ออกมา ก็ทำให้ฉินหลิงปวดใจไม่น้อยก่อนจะเข้าไปกอดนางแล้วเอ่ยปลอบ “ ไม่เป็นไรแล้ว ข้าผิดเอง ข้าผิดเองทุกอย่าง จากนี้ไปข้าจะดูแลเจ้าเอง ขอเพียงเจ้าอย่าจากข้าไปก็พอแล้ว ”

     

    ฉินหลิงที่กอดหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยแววตาที่แฝงความสุขออกมา เพราะในที่สุดเขาก็สามารถขจัดปมในใจของเจ้าของเก่าที่รู้สึกผิดต่อถานอวี้จี้ได้สำเร็จ

     

    “ เอ๊ะ ”

     

    หลอมกายาขั้น3

    หลอมกายาขั้น4

    หลอมกายาขั้น5

     

    เพียงชั่วครู่ระดับพลังยุทธ์ของเขาเลื่อนระดับจากขั้นหลอมกายาขั้นต้นขึ้นไปเป็นหลอมกายาขั้นกลางโดยไม่หยุดยั้ง ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะคอขวดที่เกิดจากจิตใจที่ไม่เข้มแข็งพอ จึงทำให้นายน้อยฉินคนเก่าที่เคยบริโภคโอสถทิพย์ไปมากมายกับไม่สามารถเลื่อนระดับพลังยุทธได้ แต่เมื่อเขาขจัดปมในใจได้ทำให้พลังยุทธเขาก้าวข้ามไปทีเดียวสามระดับเพราะพลังปราณที่สะสมในกายทำให้เขาสามารถยกระดับได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเทียบได้กับเหล่าบุตรหลานตระกูลใหญ่เเล้ว

     

    ถานอวี้จี้ที่เห็นท่าทางแปลกไปของบุรุษเบื้องหน้าก็เอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัย “ นายน้อย เกิดอะไรรึเจ้าคะ ”

     

    ฉินหลิงยิ้มดีใจกับพลังยุทธที่เลื่อนขึ้นอย่างรวดเร็ว “ ข้าเลื่อนระดับพลังยุทธนะ ต้องขอบคุณเจ้ายิ่งนักที่ทำให้ข้าเลื่อนระดับได้ขนาดนี้ ”

     

    “ เช่นนั้นรึเจ้าคะ ” ถานอวี้จี้เอ่ยตอบด้วยความงุนงงเพราะตัวนางเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องวรยุทธเท่าใดนักแต่เห็นเขาดีใจนางก็มีความสุขแล้ว

     

    “ แล้วมารดาของเจ้า ตอนนี้อาการเป็นเช่นไรบ้างรึ ” ฉินหลิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

     

    ถานอวี้จี้ที่ได้ยินบุรุษเบื้องหน้าห่วงใยมารดาของตนก็ดีใจขึ้นมา “ ท่านแม่ฟื้นตัวได้มากแล้ว แต่เมื่อครู่ข้าไปรบกวนท่าน คงทำให้ท่านแม่คิดมากไม่น้อย ”

     

    เมื่อฉินหลิงได้ยินเช่นนั้น ก็คิดได้ว่าถานอวี้จี้คงไปร้องไห้กับมารดาเป็นแน่ “ เช่นนั้นข้าขอไปเยี่ยมท่านน้าได้รึไม่ ”

     

    ถานอวี้จี้พยักหน้าเบาๆก่อนจะเดินนำฉินหลิงเข้าไปในห้องพักของมารดา

     

    เมื่อฉินหลิงเข้าไปภายในห้องที่ดูเรียบง่ายโดยแทบไม่มีอะไรตกแต่งเลยและมีเพียงเตียงเล็กๆที่มีสตรีวัยกลางคนที่ดูสง่างามและรูปร่างหน้าตาที่ดูคล้ายผู้เป็นบุตรสาวหลายส่วนกำลังนอนพักอยู่และเมื่อเธอได้ยินเสียงเปิดประตูก็เอ่ยถามออกมา “ อวี้จี้ เข้ามาป้อนยาแม่รึ ”

     

    “ ท่านแม่ ข้าพาคุณชายฉินมาเยี่ยมเจ้าคะ ” ถานอวี้จี้เอ่ยจบผู้เป็นมารดาก็เปิดเปลือกตาก่อนจะเหลือบมองบุรุษที่เดินตามลูกสาวตนมาด้วยแววตาคมกริบราวกับจะเชือดเฉือนบุรุษผู้นี้ได้

     

    ฉินหลิงที่เมื่อเห็นแววตาของถานฮูหยินผู้เป็นมารดาของหญิงที่เขารักก็ทำให้เขาขนลุกซู่ทันที “ ผู้น้อยฉินหลิง ขอคารวะท่านน้าขอรับ ”

     

    เมื่อถานฮูหยินมองบุรุษเบื้องหน้าเสร็จก่อนจะหันไปมองผู้เป็นบุตรก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกมา “อวี้จี้ ลูกออกไปก่อน ขอให้แม่คุยกับคุณชายน้อยท่านนี้เป็นการส่วนตัวได้ไหม ”

     

    ถานอวี้จี้ที่ได้ยินมารดาเอ่ยออกมาก็แสดงท่าทีสับสนเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองฉินหลิงที่กำลังยิ้มให้นางและพยักหน้าให้เธอออกไปเพื่อที่เขาจะสนทนากับมารดาเธอตามลำพัง

     

    เมื่อเห็นถานอวี้จี้เดินออกไปและปิดประตูเสร็จแล้ว ถานฮูหยินยกมือคารวะแล้วเอ่ย “ ข้าน้อยถานซงอวิ้น ขอขอบพระคุณท่านเป็นอย่างมากที่ช่วยเหลือข้ามาจากความตายได้ หากไม่ได้ท่านข้าคงไม่อาจอยู่ดูแลบุตรสาวของข้าได้ ข้าไม่เคยเป็นหนี้ชีวิตใคร ท่านถือเป็นคนแรกที่ข้าเป็นหนี้ชีวิต ในอนาคตถ้ามีสิ่งใดที่ท่านต้องการให้ข้าช่วย ข้าจะไม่บ่ายเบี่ยงแน่นอน ”

     

    ฉินหลิงที่คิดว่าตนกำลังสนทนากับว่าที่แม่ยายก็ทำให้เขากระสับกระส่ายเล็กน้อยก่อนจะได้ตั้งตัวเขาก็เห็นมารดาเพียงเอ่ยขอบคุณ ทำให้เขาโล่งอกไม่น้อยที่ไม่ใช่เพราะมารดานางจะขัดขวางความรักของทั้งสอง “ไม่ต้องเกรงใจข้าไปหรอกขอรับท่านน้า ถ้าท่านมีอะไรไม่สะดวกก็บอกข้าได้ ”

     

    ถานฮูหยินยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “ เรื่องบุญคุณก็จบไปแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องความแค้น ข้าต้องการให้ท่านกล่าวเหตุผลออกมาว่าทำไมท่านถึงต้องข่มเหงบุตรสาวข้า และทำไมท่านถึงต้องมาทำดีกับบุตรสาวข้าด้วย ถึงแม้พวกเราสองแม่ลูกจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่พวกเราก็ไม่ยอมให้พวกท่านลบหลู่ดูหมิ่นได้ ”

     

    หลังจากโดนคำถามที่จี้ใจดำฉินหลิงก็ทำให้เขาอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ย “ เหตุผลที่ข้าข่มเหงแม่นางถานเมื่อตอนนั้น ข้าเองก็ไม่อาจตอบท่านได้ เพราะความทรงจำเกี่ยวกับตอนนั้นข้าไม่มีอยู่แล้ว และข้าในตอนนี้ไม่มีความทรงจำอะไรก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย แต่สำหรับข้าในตอนนี้ถึงมาทำดีกับถานอวี้จี้คงเป็นเพราะข้ารักนางอย่างแท้จริงขอรับ และข้าขอสัญญากับท่านว่าข้าจะใช้ชีวิตของข้าเพื่อดูแลและปกป้องนางจนกว่าชีวิตข้าจะหาไม่ ”

     

    ถานซงอวิ้นได้ยินคำตอบออกมาก็ยิ้มพอใจ “ ข้าเองก็รู้มาจากอวี้จี้แล้วว่าเจ้าเอาตัวบังนางเพื่อรับอาวุธสังหารแทนนาง จากจุดนี้เองก็ทำให้ข้าเชื่อว่าเจ้าจะใช้ชีวิตเพื่อดูแลนาง แต่เจ้าอย่าคิดว่าเพียงเท่านี้เจ้าจะสามารถปกป้องใครได้ เพราะเจ้าจงอย่าได้ลืมว่าตระกูลของเจ้านั้นอยู่ในวังวนของเหล่าผู้มีอำนาจ ดังนั้นการที่มือจะต้องเปื้อนเลือดก็ไม่อาจปฏิเสธ และการที่จะเจ้าจะอยู่ดูแลครอบครัวได้นั้นเจ้าต้องมีความโหดเหี้ยมให้เพียงพอ ไม่เช่นนั้นเจ้าก็จะเป็นเพียงแพะอ้วนที่รอเวลาให้เหล่าพยัคฆ์มาขย้ำเท่านั้น ”

     

    ฉินหลิงที่ฟังคำพูดของมารดาถานอวี้จี้ก็อดตะลึงอย่างช่วยไม่ได้เพราะปกติหญิงชนบททั่วไปคงไม่มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองอะไรเทือกนี้ แม้แต่หญิงสูงศักดิ์โดยทั่วไปก็คงไม่มีการสั่งสอนในด้านการปกครอง แต่สตรีตรงหน้ากับเข้าใจหลักการของโลกใบนี้อย่างดี “ ข้าน้อยขอน้อมรับคำสั่งสอนขอรับ ”

     

    “ เอาละเมื่อเจ้าเข้าใจได้ก็ดี ต่อไปจะทำอะไรก็ระวังตัวด้วยเพราะต่อจากนี้ชีวิตของอวี้จี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว สำหรับเรื่องต่อไปนั้นเกี่ยวข้องกับตัวข้าเองที่สงสัย เจ้าสามารถบอกข้าได้รึไม่ว่า เจ้าปลุกชีพข้าจากความตายได้เช่นไร จากที่ข้ารู้มาหากคนเราหมดลมหายใจไปแล้วย่อมไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้ เรื่องนี้ก็ไม่เว้นแม้แต่ผู้ฝึกตน แล้วทำไมเจ้าถึงสามารถเรียกข้ากลับมาจากความตายได้รึ ”


    ฉินหลิงแสดงสีหน้าลังเลก่อนจะตัดสินใจเริ่มอธิบายสตรีเบื้องหน้า “ เอ่อ...ถ้าจะอธิบายง่ายๆก็คงเป็นเพราะชีพจรของคนเราที่เต้นอยู่นั้นเกิดขึ้นได้เพราะมีหัวใจที่อยู่กลางอกด้านซ้ายคอยสูบฉีดเลือด และตอนที่ท่านหมดลมหายใจทำให้ชีพจรไม่อาจฉีดเลือดไปทั่วร่างกายได้ ทำให้ข้าต้องกดกระตุ้นตรงหัวใจของท่านเพื่อช่วยท่านให้ชีพจรกลับมาเต้นเช่นเดิม แต่บางครั้งก็อาจจะไม่สำเร็จเช่นกัน ”

     

    ถานฮูหยินมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถาม “ ใครเป็นคนสั่งสอนเจ้ารึ ”

     

    เมื่อได้ยินคำถามมาจากผู้เป็นว่าที่แม่ยาย ฉินหลิงก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาก่อนจะโกหกออกมา “ มันคิดออกมาเองขอรับ ”

     

    ถานซงอวิ้นเบิกตากว้างตกใจก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ การรู้แจ้ง ต้องใช่การรู้แจ้งแห่งเต๋าเป็นแน่ แล้วทำไมเด็กที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดากลับมีความสามารในการรู้แจ้งได้ทั้งที่เขายังไม่เข้าสู่การฝึกตนเลยด้วยซ้ำ เช่นนั้นต่อไปเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ เช่นนั้นที่เขารู้แจ้งเกี่ยวกับเต๋าเเห่งสัจธรรมของชีวิต ไม่แน่ต่อไปเขาอาจจะสามารถกลายเป็นแพทย์เทวะในตำนานก็เป็นได้ และอาการบาดเจ็บของข้าอาจจะต้องพึ่งเขาในอนาคตก็เป็นได้ ”

     

    ฉินหลิงที่เอ่ยโกหกออกไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้ไปกระตุ้นทำให้ ถานฮูหยินตกตะลึงและคิดไปไกล

     

    ถานซงอวิ้นสูดลมหายใจลึกก่อนค่อยผ่อนออกมาเพื่อปรับลมหายใจที่สับสน แล้วเอ่ย “ ฉินหลิง จากนี้ไปข้าฝากเจ้าดูแลบุตรสาวข้าด้วย ถึงภายนอกนางจะดูเข้มแข็งแต่ที่จริงแล้วนางเป็นคนอ่อนไหวมาก ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าต่อไปเจ้าจะมีภรรยากี่คนแต่ข้าขอให้เจ้าสัญญาว่าจะดูแลนางให้ดีที่สุดจนกว่าจะตายได้รึไม่ ”

     

    ฉินหลิงพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ ขอรับ ข้าขอให้สัญญากับท่านน้าว่าข้าจะดูแลนางให้ดีจนกว่าข้าจะตายไป ”

     

    ถานซงอวิ้นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนจะยิ้ม “ จากนี้เจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านแม่แล้ว ท่านน้าอะไรกันดูห่างเหินเกินไป แล้วก็ต่อไปหากเจ้ารู้แจ้งและทราบถึงวิธีสร้างแกนลมปราณที่พังทลายลงไป ได้โปรดบอกแก่ข้าด้วย ”

     

    ฉินหลิงถามด้วยงุนงง “ สร้างแกนลมปราณมันคืออะไรรึขอรับ ”

     

    ถานฮูหยินยิ้มเล็กน้อย “ เจ้าไม่ต้องรู้ไปหรอก แต่เพียงว่าหากในอนาคตเจ้ารู้แจ้งเฉกเช่นตอนเจ้าเข้าใจถึงการปลุกชีพข้ายามหมดลมหายใจก็แจ้งข้าทราบด้วย ”

     

    ฉินหลิงที่กำลังมองหญิงวัยกลางคนเบื้องหน้าที่คิดเป็นจริงเป็นจังกับคำโกหกของเขาก็ทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อยก่อนจะหัวเราะแห้งๆก่อนจะเอ่ยตอบรับ “ ขอรับ หากข้าสามารถหาวิธีสร้างแกนลมปราณได้ข้าจะมาบอกท่านเป็นแน่ ”

     

    “ รบกวนเจ้ามากแล้ว เช่นนั้นข้าจะพักผ่อน ส่วนเจ้าก็ไปพักฟื้นได้แล้ว อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีมิใช่รึ ”

     

    ฉินหลิงยกมือขึ้นคารวะก่อนจะเดินออกมา แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าตนลืมถามเรื่องสำคัญ “ ท่านน้า..ไม่ใช่สิ ท่านแม่ คือว่าข้าอยากเชิญท่านไปพักรักษาตัวที่เมืองไผ่เขียวได้รึไม่ เพราะโรคที่ท่านป่วยอยู่เกิดจากภายในป่าและบ้านท่านก็อยู่ติดกับภูเขาที่มีป่าเเน่นเช่นนี้อาจจะเกิดอันตรายขึ้นอีกก็ได้และอาจทำให้ถานอวี้จี้ติดเชื้ออีกคนก็เป็นได้ ดังนั้นเข้าไปพักในเมืองไผ่เขียวกับข้าเถิดขอรับ ”

     

    ถานฮูหยินที่มีสีหน้าครุ่นคิดก็พยักหน้าเล็กน้อย “เ ช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ แต่ข้าไม่ต้องการพักในเมือง รบกวนหาที่เงียบสงบด้านนอกเมืองให้ข้าได้รึไม่ ”

     

    เมื่อได้ยินตอบรับจากถานซงอวิ้นก็ทำให้ฉินหลิงยิ้มอย่างดีใจ “ ได้แน่นอนขอรับ ไม่มีปัญหาเดี๋ยวข้าจัดการให้เอง ”

     

    ฉินหลิงที่เดินออกจากห้องก็อยู่ในสายตาของถานฮูหยินที่กำลังพึมพำเสียงเบา “ หากท่านรักข้าได้เฉกเช่นชายหนุ่มผู้นี้ ชีวิตนี้ข้าก็คงไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×