ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #30 : คุยการค้า (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.25K
      1.46K
      21 มิ.ย. 62


    เมื่อได้ยินคำตอบของชายอ้วนเบื้องหน้าก็ทำให้ฉินหลิงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เพราะขนาดหอการค้าที่ใหญ่โตอย่างหอการค้าตะวันฉายซึ่งมีลูกน้องหลายร้อยคนยังหาเงินได้เพียงไม่กี่พันตำลึงทองต่อปี แล้วเขาจะเอาปัญญาไหนไปหาเงินมาจ่ายหนี้ให้จวนเจ้าเมืองได้เล่า

     

     “ถ้านายน้อยเดือดร้อนเรื่องเงิน ข้าก็พอมีให้ยืมได้ขอรับ” ที่พูดพลางไปยิ้มไปเพราะหากเขาสามารถสานสัมพันธ์กับนายน้อยตระกูลฉินได้ต่อไปการค้าของตระกูลอวี้ต้องรุ่งเรื่องเป็นแน่

     

    เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉินหลิงที่ห่อเหี่ยวก็ถูกปลุกขึ้นมาอย่างฉับพลันแล้วมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าคาดหวัง “เช่นนั้นเจ้าให้ข้ายืมสักหมื่นตำทองได้รึไม่”

     

    เมื่อได้ยินจำนวนที่ฝ่ายตรงข้ามขอยืมก็ทำให้ผู้เป็นเจ้าของหอการเหงื่อไหลเต็มใบหน้า “แหะๆ ต้องขออภัยด้วยที่หอการค้าของข้าไม่มีเงินขนาดนั้น”

     

    ฉินหลิงก็ถอนหายใจออกมา “นั้นสินะ เงินมากมายขนาดนั้น ใช่ว่าจะหาง่ายๆ แล้วท่านมีธุรกิจอะไรแนะนำข้าบ้างรึไม่ที่สามารถหาเงินได้เยอะๆในเวลาระยะสั้น”

     

    “ธุรกิจ มันคืออันใดรึขอรับ ?” อวี้ฟานซือถามออกมาด้วยสีหน้างุนงงกับศัพท์ที่ไม่เคยได้ยิน

     

    “เอ่อ.. มันหมายถึงการค้านะ ท่านมีการค้าอะไรที่สามารถแนะนำข้าได้บ้าง”

     

    อวี้ฟานซื้อหลับตาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยแนะนำ “อ่อ การค้านี่เอง ถ้าพูดถึงการค้าที่ทำเงินได้เร็วและใช้เวลาสั้นก็ต้องเป็นการค้าอาวุธขอรับ ไม่ว่ากระบี่ ดาบ ธนู อาวุธเหล่านี้สามารถทำกำไรได้มากสุดแล้ว ยิ่งท่านที่เป็นหลานชายท่านแม่ทัพน่าจะสามารถซื้อขายอาวุธได้สะดวกขึ้น  ข้าแนะนำให้ท่าการค้าชนิดนี้น่าจะเหมาะกับท่านที่สุด”

     

    หากข้าไม่โดนไล่ออกจากจวนข้าคงไม่มีปัญหาหรอกที่จะการค้าอาวุธ ประกอบกับเงินทุนของจวนเจ้าเมืองเขาคงสามารถสร้างหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ได้โดยไม่มีปัญหา แต่ยามนี้ในกระเป๋าเขามีเงินติดอยู่เพียง 5ตำลึงทองกับ3ตำลึงเงิน แล้วจะให้ข้าไปลงทุนทำอะไรได้เล่า (10 ตำลึงเงิน = 1 ตำลึงทอง)

     

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบกลับผู้เป็นหัวหน้าหอการค้าก็คิดว่าคำแนะนำของเขาอาจจะไม่สะดวกสำหรับนายน้อย ก่อนที่เขาจะคิดการค้าแบบใหม่แล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าท่านไม่สะดวกที่จะทำการค้าอาวุธเช่นนั้นทำไมท่านไม่ลองเปิดสำนักแล้วเปิดกองกำลังทหารรับจ้างดูละ โดยชื่อเสียงของท่านแม่ทัพย่อมทำให้มีคนมาขอเข้าร่วมเป็นจำนวนมากและเวลาในการทำภารกิจต่างๆเหล่าทหารรับจ้างก็น่าจะลดการปะทะกับเหล่าโจรร้ายได้พอสมควร เพราะถึงอย่างไรก็คงมีคนไม่มากที่คิดจะมาต่อกรกับท่านแม่ทัพใหญ่เป็นแน่ ซึ่งท่านที่เป็นเจ้าของก็สามารถรับเงินได้สบายๆแลกกับสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของตระกูลฉิน ข้าว่าเช่นนี้ก็น่าจะเป็นการหาเงินได้ไม่น้อยแล้วขอรับ”

     

    ฉินหลิงที่มองไปยังชายเบื้องหน้าอย่างตั้งใจเพราะเขาคิดไม่ถึงว่าชายอ้วนคนนี้จะมีความสามารถในการค้าไม่เลวเลย สามารถแนะนำการค้าต่างๆให้เขาได้พร้อมทั้งนำข้อดีที่มีมาเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด แต่ช่างโชคร้ายนักที่ตอนนี้เขาไม่มีตระกูลฉินที่ยิ่งใหญ่หนุนหลังอีกแล้ว

     

    “เอาละ ข้าจะบอกท่านตามตรง ตอนนี้ข้าไปทำให้ท่านปู่โมโหมากเลยโดนไล่ออกจากบ้านนะ ดังนั้นตอนนี้ข้าเลยไม่มีเงินติดตัวเลย”

     

    “เอ่อ ท่านไปทำอะไรให้ท่านแม่ทัพไม่พอใจมากขนาดนั้นรึขอรับ” อวี้ฟานซือเบิกตากว้าง เพราะตั้งแต่เขาเข้ามาทำการค้าในเมืองไผ่เขียว จนกระทั้งตั้งรกรากได้ในเมืองแห่งนี้ เขาก็ได้ยินข่าวลืออันเลวร้ายของนายน้อยเบื้องหน้าเขามามากมาย แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นท่านแม่ทัพลงโทษอะไรหลานชายผู้เลวร้ายคนนี้เลย แต่ตอนนี้เจ้าเด็กสารเลวนี้กับทำให้ท่านแม่ทัพโมโหจนขับไล่ออกจากจวน ทำไมเขาอดสงสัยอย่างช่วยไม่ได้

     

    เมื่อได้ยินคำถามจากชายตรงหน้า เขาก็อดถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้  “ท่านช่วยไปเอาสุรามาได้รึไม่ วันนี้ข้ารู้สึกอยากดื่ม แล้วก็คงต้องรบกวนที่พักท่านซักคืน”

     

    อวี้ฟานซือพยักหน้าอย่างเร็วก่อนเรียกบุตรชาย “หยวนเอ๋อ เจ้าไปเตรียมห้องพักให้คุณชายฉิน แล้วบอกให้บ่าวเตรียมสุราที่ดีที่สุดมาด้วย วันนี้ข้าจะดื่มกับคุณชายฉิน”

     

    ฉินหลิงที่พยักหน้าพอใจกับชายตรงหน้า เพราะถึงอย่างไรจิตวิญญาณของตัวเขาที่จากมาโลกเก่าก็อายุปาไปสามสิบกว่าแล้ว และการดื่มสุรากับชายวัยกลางคนเบื้องหน้า ย่อมสามารถสนทนากันเข้าใจมากกว่าคุยกับเหล่าหนุ่มสาว

     

    หลังจากผ่านไปชั่วครู่ มีบ่าวนำสุราไหใหญ่และจอกสุราขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะให้ผู้เป็นนายก่อนจะเดินออกไป เหลือเพียงฉินหลิงและเจ้าของหอการค้าแห่งนี้ หลังจากนั้นอวี้ฟานซือก็รินสุราแล้วส่งให้ชายหนุ่มเบื้องหน้า

     

    ฉินหลิงรับจอกสุราและยิ้มออกมาเล็กน้อย “รบกวนท่านแล้ว ”

     

    ที่เจ้าของหอการค้ายังทำดีกับเขาอยู่ทั้งที่รู้ว่าเขาโดนไล่ออกจากจวนเจ้าเมืองไปแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่และรู้จักมองการณ์ไกลทะลุถึงไปยังอนาคต เพราะเขายังคงเข้าใจว่าตระกูลฉินที่มีเขาเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว ยังไงท่านแม่ทัพก็คงต้องรับเขากลับตระกูลไปอยู่ดี เพียงแต่เวลานี้นายน้อยฉินอาจทำให้ผู้เป็นปู่โกรธ เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ย่อมต้องขึ้นมาดูแลตระกูลฉินต่อไป ดังนั้นการช่วยคนยามตกต่ำดีกว่ามาประจบยามเขาขึ้นสู่จุดสูงสุด และฉินหลิงก็เข้าใจความหมายการกระทำของเจ้าของหอการค้าเบื้องหน้าดี

     

    “ท่านไม่ต้องเกรงใจไปหรอก ถึงหอการค้าของเราไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่เราถือว่าท่านเป็นแขกคนสำคัญ ท่านจะพักนานแค่ไหนก็ได้”

     

    “ขอบคุณท่านมาก  เช่นนั้นถ้าไม่รบกวนเกินไป ข้าต้องการสนทนากับท่านเป็นการส่วนตัว” เอ่ยจบเขาก็ส่งแววตาคมกริบแก่ชายเบื้องหน้า เพราะเขารู้สึกถึงคนเฝ้าคุ้มกันชายอ้วนผู้นี้อยู่ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าพวกเขาแอบอยู่ตรงไหนแต่เขามีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้เหมือนตอนที่เขาพบว่าหัวหน้าครูฝึกได้คอยตามเขาไปเมื่อตอนเข้าไปหมู่บ้านโคเขียวครานั้น

     

    อวี้ฟานซือที่เบิกตากว้างตกใจก่อนจะสูดหายใจเข้า “พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้าจะอยู่กับนายน้อยฉินเพียงลำพัง”

     

    หลังจากเจ้าของหอการค้าร่างอ้วนเอ่ยเสร็จ เขาก็หันมาพิจารณาบุคคลเบื้องหน้าใหม่อีกครั้ง เพราะตั้งแต่เขารู้จักชายคนนี้ เขารู้สึกเพียงว่าบุคคลเบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่มีเพียงตระกูลใหญ่หนุนหลังเท่านั้น แต่เมื่อชายหนุ่มคนนี้สามารถรู้สึกได้ถึงองครักษ์ที่เขาจ้างมาด้วยราคาสูงลิบได้ เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ไม่แน่ข่าวลือต่างๆที่มี อาจจะมีจุดประสงค์เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเขา และไม่แน่วันนี้เขาอาจจะได้รู้จักชายหนุ่มเบื้องหน้ามากขึ้น

     

    ฉินหลิงที่ไม่รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาอีกก็หันมายิ้มแล้วเอ่ย  “เอาละ...เช่นนั้นมาพูดเรื่องของเรากันเถอะ ท่านรู้จักองค์หญิงหลิงเหมยรึไม่”

     

    เมื่อได้ยินคำถาม พ่อค้าตัวอ้วนก็พยักหน้า “ข้ารู้จักขอรับ องค์หญิงหลิงเหมย องค์หญิงเพียงพระองค์เดียวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนี้ และเป็นคนที่ฮ่องเต้รักมากที่สุดเช่นกันคงเป็นเพราะองค์หญิงทรงเสียพระมารดาตั้งแต่ยังเด็กทำให้ฮ่องเต้รู้สึกผิดจนในปัจจุบันก็ยังไม่มีใครมาดำรงตำแหน่งกุ๊ยเฟยที่เป็นมารดาขององค์หญิงหลิงเหมยเลย นอกจากนั้นก็มีข่าวลือกันว่างดงามมากถึงขนาดแคว้นต่างๆแห่กันมาสู่ขอ แต่ก็ยังไม่มีเคยมีใครได้ยลโฉมใบหน้าที่แท้จริงของนางเลย  


    ฉินหลิงได้ยินเช่นนั้นก็นึกถึงที่ปู่เขาเคยเล่าให้ฟังว่ามารดาขององค์หญิงผู้นี้ถูกเซียนพาตัวไปก็ทำให้เขารู้สึกสงสารองค์หญิงหลิงเหมยเล็กน้อย

     

    เมื่อเอ่ยจบเขาก็ปากสั่นแล้วหันมามองชายหนุ่มเบื้องหน้า “หรือว่า ท่านแม่ทัพจะให้ท่านแต่งกับองค์หญิงหลิงเหมย”


    ฉินหลิงก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวเบาๆ “ท่านปู่ต้องการให้ข้าเข้าไปจีบองค์หญิงผู้นี้ แต่ข้าปฏิเสธไปเพราะข้ามีหญิงที่รักแล้ว ดังนั้นเลยทำให้ท่านปู่กริ้วข้าอย่างหนักแล้วข้าก็ออกจากจวนมาพร้อมกับรับปากว่าจะหาเงินที่ข้าเคยใช้จ่ายทั้งหมดไปคืน”

     

    อวี้ฟานซือที่ได้ยินเรื่องราวก็อ้าปากค้าง “ห๊ะ.. นี้ท่านปฏิเสธที่จะแต่งกับองค์หญิง แล้วออกจากจวนเจ้าเมืองเพื่อสตรีคนอื่น หรือข่าวลือที่ว่าท่านต้องการตบแต่งหญิงกับคณิกาเป็นความจริง?

     

    ขณะได้ยินชายอ้วนกล่าวว่าสตรีของเขาเป็นหญิงคณิกา ดวงตาเขาก็เปล่งประกายเยือกเย็นและเอ่ยเสียงเรียบ “นางไม่ใช่สตรีคณิกา ถึงแม้นางจะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่นางก็เป็นคนที่ข้าจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อปกป้องนาง แม้แต่องค์หญิงอะไรนั้นก็ไม่อาจเทียบได้”

     

    เมื่ออวี้ฟานซือสบตากับชายหนุ่มตรงหน้าก็ทำให้เขาสั่นสะท้านราวกับไม่ได้คุยกับคนแต่กำลังเผชิญหน้ากับอสูรร้ายก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสั่น “ขะ..ขออภัยด้วย ข้ามันปากไม่ดีเอง ข้ารู้อยู่แล้วว่าสตรีที่ท่านเลือกต้องไม่ธรรมดา”

     

    ใครจะคิดละชายหนุ่มเบื้องหน้ายามโมโหจะน่ากลัวขนาดนี้ ถ้าเมื่อครู่ข้าไปต่อว่าสตรีผู้นั้นอีกไม่แน่เขาอาจจะตายคามือชายผู้นี้ก็เป็นได้

     

    ฉินหลิงมองชายตรงหน้าที่หน้าตาซีดขาวก่อนจะเอ่ย “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ตอนข้าเดินขึ้นมาข้าเห็นเกลือที่ท่านขายอยู่ ทำไมท่านไม่นำเข้าเกลือทะเลเข้ามาละ ข้าพอรู้มาว่าชายแดนทางใต้ของแคว้นเราติดทะเลมิใช่รึ”


    อวี้ฟานซือมองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยแววตางุนงง “อะไรคือเกลือทะเลรึ  ถึงทะเลมันจะเค็มแต่มันไม่ใช่เกลือขอรับ  วิธีการผลิตเกลือมันต้องขุดแหล่งที่มีแร่เกลือแล้วเอามาบด ข้าเองก็เคยเห็นหลายครั้งยามไปติดต่อการค้า ข้าว่านายน้อยคงเข้าใจผิดเป็นแน่”

     

    ยามได้ยินคำตอบของชายวัยกลางคนและเบิกตากว้างก่อนจะเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง “เช่นนั้นเจ้าไม่รู้จักเกลือที่ทำมาจากน้ำทะเลหรอกรึ”

     

    ใครจะรู้เมื่อได้ยินที่นายน้อยฉินพูดออกมาก็ทำให้เจ้าของหอการค้าหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆ  นายน้อยต้องล้อข้าเล่นเป็นแน่  มุขตลกของท่านไม่เลวเลย  ข้าขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอกขอรับ”

     

    ฉินหลิงก็ตระหนักได้ทันทีว่าโลกใบนี้ยังไม่ค้นพบวิธีการทำนาเกลือจากทะเลเป็นแน่  ทำให้ดวงตาเขาเปร่งประกายแล้วยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×