คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : คุยการค้า (2)
เมื่อได้ยินคำตอบของชายอ้วนเบื้องหน้าก็ทำให้ฉินหลิงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
เพราะขนาดหอการค้าที่ใหญ่โตอย่างหอการค้าตะวันฉายซึ่งมีลูกน้องหลายร้อยคนยังหาเงินได้เพียงไม่กี่พันตำลึงทองต่อปี
แล้วเขาจะเอาปัญญาไหนไปหาเงินมาจ่ายหนี้ให้จวนเจ้าเมืองได้เล่า
“ถ้านายน้อยเดือดร้อนเรื่องเงิน
ข้าก็พอมีให้ยืมได้ขอรับ” ที่พูดพลางไปยิ้มไปเพราะหากเขาสามารถสานสัมพันธ์กับนายน้อยตระกูลฉินได้ต่อไปการค้าของตระกูลอวี้ต้องรุ่งเรื่องเป็นแน่
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉินหลิงที่ห่อเหี่ยวก็ถูกปลุกขึ้นมาอย่างฉับพลันแล้วมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าคาดหวัง
“เช่นนั้นเจ้าให้ข้ายืมสักหมื่นตำทองได้รึไม่”
เมื่อได้ยินจำนวนที่ฝ่ายตรงข้ามขอยืมก็ทำให้ผู้เป็นเจ้าของหอการเหงื่อไหลเต็มใบหน้า
“แหะๆ ต้องขออภัยด้วยที่หอการค้าของข้าไม่มีเงินขนาดนั้น”
ฉินหลิงก็ถอนหายใจออกมา “นั้นสินะ
เงินมากมายขนาดนั้น ใช่ว่าจะหาง่ายๆ แล้วท่านมีธุรกิจอะไรแนะนำข้าบ้างรึไม่ที่สามารถหาเงินได้เยอะๆในเวลาระยะสั้น”
“ธุรกิจ มันคืออันใดรึขอรับ ?” อวี้ฟานซือถามออกมาด้วยสีหน้างุนงงกับศัพท์ที่ไม่เคยได้ยิน
“เอ่อ.. มันหมายถึงการค้านะ
ท่านมีการค้าอะไรที่สามารถแนะนำข้าได้บ้าง”
อวี้ฟานซื้อหลับตาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยแนะนำ
“อ่อ การค้านี่เอง ถ้าพูดถึงการค้าที่ทำเงินได้เร็วและใช้เวลาสั้นก็ต้องเป็นการค้าอาวุธขอรับ
ไม่ว่ากระบี่ ดาบ ธนู อาวุธเหล่านี้สามารถทำกำไรได้มากสุดแล้ว ยิ่งท่านที่เป็นหลานชายท่านแม่ทัพน่าจะสามารถซื้อขายอาวุธได้สะดวกขึ้น ข้าแนะนำให้ท่าการค้าชนิดนี้น่าจะเหมาะกับท่านที่สุด”
หากข้าไม่โดนไล่ออกจากจวนข้าคงไม่มีปัญหาหรอกที่จะการค้าอาวุธ
ประกอบกับเงินทุนของจวนเจ้าเมืองเขาคงสามารถสร้างหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ได้โดยไม่มีปัญหา
แต่ยามนี้ในกระเป๋าเขามีเงินติดอยู่เพียง 5ตำลึงทองกับ3ตำลึงเงิน แล้วจะให้ข้าไปลงทุนทำอะไรได้เล่า (10 ตำลึงเงิน = 1 ตำลึงทอง)
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบกลับผู้เป็นหัวหน้าหอการค้าก็คิดว่าคำแนะนำของเขาอาจจะไม่สะดวกสำหรับนายน้อย
ก่อนที่เขาจะคิดการค้าแบบใหม่แล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าท่านไม่สะดวกที่จะทำการค้าอาวุธเช่นนั้นทำไมท่านไม่ลองเปิดสำนักแล้วเปิดกองกำลังทหารรับจ้างดูละ
โดยชื่อเสียงของท่านแม่ทัพย่อมทำให้มีคนมาขอเข้าร่วมเป็นจำนวนมากและเวลาในการทำภารกิจต่างๆเหล่าทหารรับจ้างก็น่าจะลดการปะทะกับเหล่าโจรร้ายได้พอสมควร
เพราะถึงอย่างไรก็คงมีคนไม่มากที่คิดจะมาต่อกรกับท่านแม่ทัพใหญ่เป็นแน่
ซึ่งท่านที่เป็นเจ้าของก็สามารถรับเงินได้สบายๆแลกกับสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของตระกูลฉิน
ข้าว่าเช่นนี้ก็น่าจะเป็นการหาเงินได้ไม่น้อยแล้วขอรับ”
ฉินหลิงที่มองไปยังชายเบื้องหน้าอย่างตั้งใจเพราะเขาคิดไม่ถึงว่าชายอ้วนคนนี้จะมีความสามารถในการค้าไม่เลวเลย
สามารถแนะนำการค้าต่างๆให้เขาได้พร้อมทั้งนำข้อดีที่มีมาเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด
แต่ช่างโชคร้ายนักที่ตอนนี้เขาไม่มีตระกูลฉินที่ยิ่งใหญ่หนุนหลังอีกแล้ว
“เอาละ ข้าจะบอกท่านตามตรง
ตอนนี้ข้าไปทำให้ท่านปู่โมโหมากเลยโดนไล่ออกจากบ้านนะ ดังนั้นตอนนี้ข้าเลยไม่มีเงินติดตัวเลย”
“เอ่อ ท่านไปทำอะไรให้ท่านแม่ทัพไม่พอใจมากขนาดนั้นรึขอรับ”
อวี้ฟานซือเบิกตากว้าง เพราะตั้งแต่เขาเข้ามาทำการค้าในเมืองไผ่เขียว จนกระทั้งตั้งรกรากได้ในเมืองแห่งนี้
เขาก็ได้ยินข่าวลืออันเลวร้ายของนายน้อยเบื้องหน้าเขามามากมาย แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นท่านแม่ทัพลงโทษอะไรหลานชายผู้เลวร้ายคนนี้เลย
แต่ตอนนี้เจ้าเด็กสารเลวนี้กับทำให้ท่านแม่ทัพโมโหจนขับไล่ออกจากจวน
ทำไมเขาอดสงสัยอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อได้ยินคำถามจากชายตรงหน้า
เขาก็อดถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านช่วยไปเอาสุรามาได้รึไม่
วันนี้ข้ารู้สึกอยากดื่ม แล้วก็คงต้องรบกวนที่พักท่านซักคืน”
อวี้ฟานซือพยักหน้าอย่างเร็วก่อนเรียกบุตรชาย
“หยวนเอ๋อ เจ้าไปเตรียมห้องพักให้คุณชายฉิน
แล้วบอกให้บ่าวเตรียมสุราที่ดีที่สุดมาด้วย วันนี้ข้าจะดื่มกับคุณชายฉิน”
ฉินหลิงที่พยักหน้าพอใจกับชายตรงหน้า
เพราะถึงอย่างไรจิตวิญญาณของตัวเขาที่จากมาโลกเก่าก็อายุปาไปสามสิบกว่าแล้ว และการดื่มสุรากับชายวัยกลางคนเบื้องหน้า
ย่อมสามารถสนทนากันเข้าใจมากกว่าคุยกับเหล่าหนุ่มสาว
หลังจากผ่านไปชั่วครู่
มีบ่าวนำสุราไหใหญ่และจอกสุราขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะให้ผู้เป็นนายก่อนจะเดินออกไป
เหลือเพียงฉินหลิงและเจ้าของหอการค้าแห่งนี้ หลังจากนั้นอวี้ฟานซือก็รินสุราแล้วส่งให้ชายหนุ่มเบื้องหน้า
ฉินหลิงรับจอกสุราและยิ้มออกมาเล็กน้อย
“รบกวนท่านแล้ว ”
ที่เจ้าของหอการค้ายังทำดีกับเขาอยู่ทั้งที่รู้ว่าเขาโดนไล่ออกจากจวนเจ้าเมืองไปแล้ว
แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่และรู้จักมองการณ์ไกลทะลุถึงไปยังอนาคต
เพราะเขายังคงเข้าใจว่าตระกูลฉินที่มีเขาเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว ยังไงท่านแม่ทัพก็คงต้องรับเขากลับตระกูลไปอยู่ดี
เพียงแต่เวลานี้นายน้อยฉินอาจทำให้ผู้เป็นปู่โกรธ เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ย่อมต้องขึ้นมาดูแลตระกูลฉินต่อไป
ดังนั้นการช่วยคนยามตกต่ำดีกว่ามาประจบยามเขาขึ้นสู่จุดสูงสุด
และฉินหลิงก็เข้าใจความหมายการกระทำของเจ้าของหอการค้าเบื้องหน้าดี
“ท่านไม่ต้องเกรงใจไปหรอก
ถึงหอการค้าของเราไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่เราถือว่าท่านเป็นแขกคนสำคัญ
ท่านจะพักนานแค่ไหนก็ได้”
“ขอบคุณท่านมาก เช่นนั้นถ้าไม่รบกวนเกินไป ข้าต้องการสนทนากับท่านเป็นการส่วนตัว”
เอ่ยจบเขาก็ส่งแววตาคมกริบแก่ชายเบื้องหน้า เพราะเขารู้สึกถึงคนเฝ้าคุ้มกันชายอ้วนผู้นี้อยู่
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าพวกเขาแอบอยู่ตรงไหนแต่เขามีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้เหมือนตอนที่เขาพบว่าหัวหน้าครูฝึกได้คอยตามเขาไปเมื่อตอนเข้าไปหมู่บ้านโคเขียวครานั้น
อวี้ฟานซือที่เบิกตากว้างตกใจก่อนจะสูดหายใจเข้า
“พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้าจะอยู่กับนายน้อยฉินเพียงลำพัง”
หลังจากเจ้าของหอการค้าร่างอ้วนเอ่ยเสร็จ
เขาก็หันมาพิจารณาบุคคลเบื้องหน้าใหม่อีกครั้ง เพราะตั้งแต่เขารู้จักชายคนนี้
เขารู้สึกเพียงว่าบุคคลเบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่มีเพียงตระกูลใหญ่หนุนหลังเท่านั้น
แต่เมื่อชายหนุ่มคนนี้สามารถรู้สึกได้ถึงองครักษ์ที่เขาจ้างมาด้วยราคาสูงลิบได้
เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ไม่แน่ข่าวลือต่างๆที่มี อาจจะมีจุดประสงค์เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเขา
และไม่แน่วันนี้เขาอาจจะได้รู้จักชายหนุ่มเบื้องหน้ามากขึ้น
ฉินหลิงที่ไม่รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาอีกก็หันมายิ้มแล้วเอ่ย
“เอาละ...เช่นนั้นมาพูดเรื่องของเรากันเถอะ
ท่านรู้จักองค์หญิงหลิงเหมยรึไม่”
เมื่อได้ยินคำถาม พ่อค้าตัวอ้วนก็พยักหน้า
“ข้ารู้จักขอรับ องค์หญิงหลิงเหมย องค์หญิงเพียงพระองค์เดียวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนี้
และเป็นคนที่ฮ่องเต้รักมากที่สุดเช่นกันคงเป็นเพราะองค์หญิงทรงเสียพระมารดาตั้งแต่ยังเด็กทำให้ฮ่องเต้รู้สึกผิดจนในปัจจุบันก็ยังไม่มีใครมาดำรงตำแหน่งกุ๊ยเฟยที่เป็นมารดาขององค์หญิงหลิงเหมยเลย
นอกจากนั้นก็มีข่าวลือกันว่างดงามมากถึงขนาดแคว้นต่างๆแห่กันมาสู่ขอ แต่ก็ยังไม่มีเคยมีใครได้ยลโฉมใบหน้าที่แท้จริงของนางเลย
”
ฉินหลิงได้ยินเช่นนั้นก็นึกถึงที่ปู่เขาเคยเล่าให้ฟังว่ามารดาขององค์หญิงผู้นี้ถูกเซียนพาตัวไปก็ทำให้เขารู้สึกสงสารองค์หญิงหลิงเหมยเล็กน้อย
เมื่อเอ่ยจบเขาก็ปากสั่นแล้วหันมามองชายหนุ่มเบื้องหน้า
“หรือว่า ท่านแม่ทัพจะให้ท่านแต่งกับองค์หญิงหลิงเหมย”
ฉินหลิงก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวเบาๆ
“ท่านปู่ต้องการให้ข้าเข้าไปจีบองค์หญิงผู้นี้ แต่ข้าปฏิเสธไปเพราะข้ามีหญิงที่รักแล้ว
ดังนั้นเลยทำให้ท่านปู่กริ้วข้าอย่างหนักแล้วข้าก็ออกจากจวนมาพร้อมกับรับปากว่าจะหาเงินที่ข้าเคยใช้จ่ายทั้งหมดไปคืน”
อวี้ฟานซือที่ได้ยินเรื่องราวก็อ้าปากค้าง
“ห๊ะ.. นี้ท่านปฏิเสธที่จะแต่งกับองค์หญิง แล้วออกจากจวนเจ้าเมืองเพื่อสตรีคนอื่น
หรือข่าวลือที่ว่าท่านต้องการตบแต่งหญิงกับคณิกาเป็นความจริง?”
ขณะได้ยินชายอ้วนกล่าวว่าสตรีของเขาเป็นหญิงคณิกา
ดวงตาเขาก็เปล่งประกายเยือกเย็นและเอ่ยเสียงเรียบ “นางไม่ใช่สตรีคณิกา ถึงแม้นางจะเป็นชาวบ้านธรรมดา
แต่นางก็เป็นคนที่ข้าจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อปกป้องนาง
แม้แต่องค์หญิงอะไรนั้นก็ไม่อาจเทียบได้”
เมื่ออวี้ฟานซือสบตากับชายหนุ่มตรงหน้าก็ทำให้เขาสั่นสะท้านราวกับไม่ได้คุยกับคนแต่กำลังเผชิญหน้ากับอสูรร้ายก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสั่น
“ขะ..ขออภัยด้วย ข้ามันปากไม่ดีเอง ข้ารู้อยู่แล้วว่าสตรีที่ท่านเลือกต้องไม่ธรรมดา”
ใครจะคิดละชายหนุ่มเบื้องหน้ายามโมโหจะน่ากลัวขนาดนี้
ถ้าเมื่อครู่ข้าไปต่อว่าสตรีผู้นั้นอีกไม่แน่เขาอาจจะตายคามือชายผู้นี้ก็เป็นได้
ฉินหลิงมองชายตรงหน้าที่หน้าตาซีดขาวก่อนจะเอ่ย
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ตอนข้าเดินขึ้นมาข้าเห็นเกลือที่ท่านขายอยู่
ทำไมท่านไม่นำเข้าเกลือทะเลเข้ามาละ ข้าพอรู้มาว่าชายแดนทางใต้ของแคว้นเราติดทะเลมิใช่รึ”
อวี้ฟานซือมองชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยแววตางุนงง
“อะไรคือเกลือทะเลรึ
ถึงทะเลมันจะเค็มแต่มันไม่ใช่เกลือขอรับ
วิธีการผลิตเกลือมันต้องขุดแหล่งที่มีแร่เกลือแล้วเอามาบด
ข้าเองก็เคยเห็นหลายครั้งยามไปติดต่อการค้า ข้าว่านายน้อยคงเข้าใจผิดเป็นแน่”
ยามได้ยินคำตอบของชายวัยกลางคนและเบิกตากว้างก่อนจะเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง
“เช่นนั้นเจ้าไม่รู้จักเกลือที่ทำมาจากน้ำทะเลหรอกรึ”
ใครจะรู้เมื่อได้ยินที่นายน้อยฉินพูดออกมาก็ทำให้เจ้าของหอการค้าหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าๆ นายน้อยต้องล้อข้าเล่นเป็นแน่ มุขตลกของท่านไม่เลวเลย ข้าขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอกขอรับ”
ฉินหลิงก็ตระหนักได้ทันทีว่าโลกใบนี้ยังไม่ค้นพบวิธีการทำนาเกลือจากทะเลเป็นแน่
ทำให้ดวงตาเขาเปร่งประกายแล้วยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
ความคิดเห็น