ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #34 : ผลิตสินค้าใหม่ (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.34K
      1.45K
      24 มิ.ย. 62

     

    ถานอวีจี้มึนงงเล็กน้อยก่อนจะถามซ้ำ “ท่านต้องการมาพักด้วย หมายความเช่นไรหรือเจ้าคะ”

     

    ฉินหลิงพยักหน้ายืนยันเล็กน้อย “ข้าต้องการมาอาศัยอยู่กับเจ้าด้วยนะ”

     

    หญิงงามก็เอ่ยถามออกไป “ไม่ใช่ว่าท่านพักอยู่ในเมืองไผ่เขียวหรือเจ้าคะ ?


    ฉินหลิงได้แต่หัวเราะแห้งๆออกไปแล้วเอ่ย “แหะๆ เมื่อก่อนนะใช่ เเต่ตอนนี้ข้าไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้ว”

     

    เมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มไม่มีที่พักก็ทำให้หญิงสาวเอามือปิดปากด้วยความตกใจ “มีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับท่านรึ ?

     

    ฉินหลิงก็ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วตอบอย่างอับอาย “ไม่มีอะไรไม่ดีหรอก เพียงเเค่ข้าหนีออกมาจากบ้านเองนะ”

     

    “เช่นนั้นเชิญเข้ามาก่อนเจ้าคะ เดี๋ยวข้าไปเตรียมน้ำชาให้” กล่าวจบถานอวี้จี้ก็หันไปมองชายอ้วนที่ยืนอยู่ด้านหลังฉินหลิงด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อย เพราะเธอไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อนและเขาก็ไม่ใช่ลู่ชิงที่ติดตามนายน้อยฉินเป็นประจำอีกด้วย

     

    เจ้าอ้วนอวี้หยวนที่กำลังอ้าปากค้างกับรูปโฉมที่งดงามของถานอวี้จี้ เเละทำให้เขารู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่าทำไมนายน้อยฉินผู้นี้ถึงขั้นยอมทะเลาะกับแม่ทัพใหญ่ผู้เป็นปู่ของตนเองเพื่อสตรีนางนี้ หากจะให้กล่าวคงไม่พ้นต้องใช้คำว่างามล้มเมืองจริงๆ หากเขาได้สตรีคนนี้มาเป็นภรรยาต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับใครเขาก็ยอมทั้งสิ้น จากนั้นก็หันไปมองฉินหลิงพร้อมกับนับถือในใจกับความสามารถในการครอบครองสตรีที่งดงามเช่นนี้ได้

     

    อวี้หยวนเดินเข้าไปกระซิบข้างหูของฉินหลิง “นายน้อยฉิน ท่านสุดยอดไปเลยที่สามารถหาสาวงามขนาดนี้มาเป็นฮูหยินได้ ข้าน้อยนับถือ”

     

    ครั้นได้ยินคำพูดของเจ้าอ้วนก็ทำให้ฉินหลิงพยักหน้าด้วยความพอใจในการประจบของอีกฝ่ายแล้วเดินเข้าไปบ้านและนั่งรอน้ำชาที่หญิงงามของเขากำลังไปเตรียมอยู่และไล่เจ้าอ้วนกลับไป ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวหลู่ที่กำลังเช็ดพื้นอย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเข้ามาในห้องแล้ว

     

    ผ่านไปชั่วครู่เสี่ยวหลู่ที่รู้สึกว่ามีคนจ้องก็หันกลับมาแล้วพบฉินหลิงจึงยิ้มออกมาและกล่าวทักทาย “อรุณสวัสดิ์เจ้าคะ นายน้อยฉินมาหาน้องถานหรือ”

     

    “ใช่แล้ว และข้าจะมาพักอยู่ที่นี้ด้วย รบกวนเจ้าช่วยเตรียมห้องให้ข้าด้วย”

     

    เมื่อได้ยินคำร้องขอของชายหนุ่มก็ทำให้เสี่ยวหลู่ตกใจก่อนจะถามอย่างสงสัย “ทำไมท่านถึงมาพักที่นี้ ไม่ใช่ว่าท่านพักอยู่ในจวนเจ้าเมืองจะสบายหรอเจ้าคะ ?

     

     “เจ้ามีอะไรไม่สะดวกรึเปล่า เช่นนั้นพวกเราไม่รบกวนบ้านพักแห่งนี้ก็ได้ ” เสียงของสตรีอีกคนก็ดังขึ้นมา ซึ่งก็คือถานฮูหยินที่ยามนี้กำลังเดินออกมาพร้อมกับบุตรสาวที่กำลังถือกาน้ำชา และถามด้วยความสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มผู้นี้ถึงต้องการมาพักกับพวกนางทั้งที่เขามีที่พักใหญ่โตในเมืองไผ่เขียว

     

    ใครจะคิดเล่าว่าถานฮูหยินจะเอ่ยถามเขาก่อนเช่นนี้ เขาก็ได้แต่หัวเราะแห้งแล้วเอ่ยอธิบายถานฮูหยินไป “ข้าทะเลาะกับท่านปู่นิดหน่อย เลยหนีออกจากบ้าน ดังนั้นตอนนี้ข้าไม่มีที่พักและเงินทองมาเลยขอรับ”

     

    ฉินหลิงจะกล้าพูดได้อย่างไรว่าเขาโดนบังคับจ่ายค่าออกจากเมืองถึงห้าตำลึงทองทำให้เขาไม่มีเงินเหลือเลย

     

    “เจ้าทะเลาะกับท่านแม่ทัพเพราะเรื่องของบุตรสาวข้าใช่รึไม่ ?” ถานฮูหยินที่เป็นผู้ใหญ่ก็ตระหนักได้ว่านายน้อยเบื้องหน้าต้องมีเรื่องราวบางอย่างที่สำคัญถึงกับต้องออกมาจากจวนและไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบุตรสาวตนจึงทำให้เธอถามไปอย่างจริงจัง 

     

    หญิงสาวทั้งสองที่ได้ยินคำถามของถานฮูหยินก็เบิกกตาตกใจออกมาก่อนจะจ้องชายหนุ่มด้วยสายตาจริงจัง

     

    ฉินหลิงที่เห็นหญิงทั้งสามจ้องเช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นออกมาเพราะเขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงของเขามากังวลเรื่องนี้ และอาจจะทำให้นางเครียดยิ่งกว่าเดิม

     

    ผ่านไปชั่วครู่ฉินหลิงก็พยักหน้าอย่างจนใจพร้อมเอ่ย “ท่านปู่ต้องการให้ข้าไปพบองค์หญิงหลิงเหมย แต่ข้าไม่ต้องการไป ดังนั้นพวกเราจึงทะเลาะกันและข้าก็เลยออกจากจวนเจ้าเมืองมา ไม่ต้องกังวลข้าเพียงขอพักชั่วคราว ตอนนี้ข้าได้เริ่มทำการค้ากับหอการค้าตะวันฉายแล้ว คาดว่าอีกไม่นานก็คงได้เงินมาใช้จ่าย ดังนั้นช่วงนี้ต้องรบกวนทุกคนแล้ว”

     

    ฉินหลิงที่กล่าวออกไปก็มองเห็นถานอวี้จี้วิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาตกใจและเตรียมจะลุกเดินตามไปแต่เสียงของถานฮูหยินขัดขึ้นมา  “นายน้อยฉิน ท่านปล่อยอวี้จี้ไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า ”

     

    “ทำไมรึขอรับ ให้ข้าได้ไปอธิบายกับนางก่อนว่าไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล และข้าก็ไม่เคยคิดอะไรกับองค์หญิงผู้นั้นเลย ข้าเชื่อว่านางต้องเข้าใจเป็นแน่”

     

    ถานฮูหยินยิ้มให้กับชายหนุ่มเล็กน้อย “ข้าต้องขอบใจสำหรับทุกสิ่งที่เจ้าทำเพื่อบุตรสาวข้า แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจด้วยว่าพวกเราตอนนี้เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านที่ไม่ได้มีตระกูลใหญ่โตหนุนหลัง และเจ้าที่เป็นถึงหลานชายของแม่ทัพใหญ่ผู้ที่เป็นรองเพียงตระกูลเดียวและเหนือกว่าคนนับหมื่น ดังนั้นการที่เจ้าต้องการจะแต่งกับนาง มันถือว่าเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย และปู่ของเจ้าก็หวังดีต่อเจ้า ขอให้เจ้าจงเข้าใจด้วยว่าในโลกใบนี้ความแข็งแกร่งเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง เจ้าจะทำอะไรตามใจไม่ได้หรอกนะ”

     

    ยามได้ยินคำของสตรีตรงหน้าก็ต้องทำให้เขาครุ่นคิดอย่างหนักเพราะอย่างไรที่นี้ก็ไม่ใช่โลกที่เขาเคยอยู่ ความคิดและค่านิยมมันต่างกัน เขาที่เคยทำอะไรตามใจได้เพราะมีท่านปู่คอยคุ้มครองแต่หากเขายังคงดื้อรั้นต่อไปก็มีแต่คนลำบากใจไม่ว่าจะเป็นท่านปู่หรือตัวถานอวี้จี้เอง แต่เป็นความรู้สึกในใจของเขาเองที่ไม่ยินยอมให้ทำเช่นนั้น  เขาไม่สามารถทนเห็นหญิงที่เขารักต้องมาดูเขาตบแต่งกับสตรีอื่น

     

    ฉินหลิงที่ตัดสินได้แน่วแน่ก็หันไปมองมารดาของถานอวี้จี้อย่างจริงจังก่อนเอ่ย “ขอบคุณสำหรับท่านแม่ที่หวังดี แต่ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่ายังไงข้าจะแต่งกับอวี้จี้ให้จงได้  ต่อให้เส้นทางที่ข้าจะเดินเต็มไปขวางหนามแต่ข้าจะไม่ย่อท้อ ได้โปรดอย่าขัดข้าอีกเลย”

     

    คำพูดของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้ถานซงอวิ้นสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ด้วยความซื่อสัตย์ที่ชายหนุ่มมีให้ลูกสาวตน จนเธอเองก็ต้องยอมแพ้ที่จะกล่าวอะไรออกมาพลางเงยหน้ามองชายหนุ่ม “ลูกข้าช่างโชคดีนัก ที่เจ้ารักนางมากมาย เช่นนั้นข้าไม่ขอก้าวก่ายเรื่องของพวกเจ้าทั้งสองอีก แต่จงจำให้ดีอย่าทำให้อวี้จี้เสียใจเป็นอันขาดไม่เช่นนั้นต่อให้ข้าจะต้องตาย ข้าก็จะลากเจ้าไปตายด้วย”

     

    เวลาผ่านไปฉินหลิงที่ยังไม่ได้สติจากการข่มขู่ของผู้เป็นแม่ยายที่เดินจากไปแล้ว 


    เสียงเสี่ยวหลู่เอ่ยทักขึ้นมาปลุกสติฉินหลิง  “นายน้อย  ท่านเป็นอะไรรึไม่ ?

     

    ฉินหลิงส่ายหัวไปเล็กน้อยให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินออกนอกบ้าน แล้วพบถานอวี้จี้ที่ยืนอย่างโดเดี่ยวอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่กำลังสะบัดไปมาตามสายลม

     

    ฉินหลิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะเดินเข้าไปหาสาวงามเบื้องหน้า “ทำไมเจ้าถึงวิ่งหนีออกมาเช่นนั้นรึ”

     

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ได้ตอบอะไร เขาก็เดินไปข้างหน้าอีกจนไหล่ชิดกัน ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยแล้วหันหน้าไปมองบนฟ้า “หรือว่าเจ้ารังเกียจข้าที่ไม่ได้เป็นคุณชายน้อยตระกูลฉิน และต้องการทิ้งข้าไปอย่างนั้นรึ ?

     

    เสียงสั่นเครือของสาวงามก็ดังขึ้น “ไม่ใช่เจ้าคะ ข้าไม่เคยรังเกียจท่าน ไม่ว่าท่านจะเป็นใครหรืออะไร ดังเช่นยามที่ท่านสวมหน้ากากขาวใบนั้นข้าก็ยังคงรักท่านมากที่สุด แต่แป็นเพราะข้า ข้าทำให้ท่านเดือดร้อน ข้าไม่ต้องการเช่นนี้เลย  เช่นนั้นท่านได้โปรดไปพบองค์หญิงที่ท่านแม่ทัพต้องการเถิด  ข้ารู้ตัวดีว่าข้านั้นไม่อาจคู่ครองท่านได้ ข้าขอเพียงแค่ได้อยู่ดูแลท่านเพียงเท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว”

     

    ใครจะรู้ว่าคำตอบที่ได้ยินจากหญิงสาวผู้นี้จะทำให้เขาเจ็บปวดได้ขนาดนี้ ทั้งที่นางเคยเจ็บปวดเพราะตัวเขามามากแล้ว นางยังต้องการเสียสละตัวเองเพื่อให้เขาไม่ต้องผิดใจกับผู้เป็นปู่อีก

     

    ฉินหลิงเดินไปด้านหน้าแล้วหันหน้าจ้องดวงตาที่แดงกล่ำของหญิงสาวแล้วจับไหล่ทั้งสอง  “เจ้าถามใจเจ้าดูว่าเจ้าต้องการให้ข้าไปแต่งกับหญิงอื่นได้จริงๆรึ  ข้าขอให้เจ้าเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ได้รึไม่อวี้จี้ อย่าได้คิดถึงเพียงแต่ข้า ให้ข้าได้ปกป้องเจ้าเถอะนะ”

     

    กล่าวจบฉินหลิงคว้าหญิงสาวเบื้องหน้าเข้ามากอดทันควันโดยไม่ให้นางได้เอ่ยอะไรออกมามีเพียงเสียงร้องไห้เบาๆดังขึ้นบนอกของเขาเท่านั้น

     

    ถานฮูหยินที่ยืนห่างออกไปมองสองชายหญิงที่กอดกันก็ยิ้มออกมาแต่ในตาปรากฏเพียงความโศกเศร้าและเงยขึ้นมองบนฟ้าก่อนพึมพำกับตัวเอง “ท่านพี่ ท่านยังคงจดจำข้าได้อยู่รึไม่  ท่านจะรู้รึไม่ว่าพวกเรามีบุตรสาวด้วยกัน ตอนนั้นทำไมท่านถึงไม่มาช่วยข้า หรือท่านต้องการให้ข้าสิ้นใจไปจริงๆ”

     

    เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากฉินหลิงได้พักอยู่ที่บ้านหลังใหม่ก็ทำให้เขาไม่ค่อยชินเท่าไหร่นักเพราะเขาต้องพักอยู่กับสตรีถึงสามคน จึงทำให้เขากระวนกะวายใจไม่น้อย ส่วนเจ้าอ้วนอวี้หยวน เขาได้ใช้ให้ไปดูแลหอการค้าต่อเพราะถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าอ้วนก็เป็นผู้สืบทอดหอการค้าของตะวันฉาย ดังนั้นเขาเพียงแนะนำเทคนิคการขายบางอย่างไปให้เจ้าอ้วนเรียนรู้และลองใช้จริง นอกจากนั้นเขายังสั่งให้เจ้าอ้วนนำอาหารมาส่งทุกๆสามวัน ดังนั้นเรื่องการกินเขาก็สบายใจไปได้ เหลือเพียงรออวี้ฟานซือกลับมาจากเมืองท่าเขาก็จะเริ่มทำการค้าเกลืออย่างจริงจัง

     

    หลังจากทานอาหารเสร็จเขาก็เดินเข้ามาในครัวพร้อมกับเสี่ยวหลู่และถานอวี้จี้

     

    “นายน้อยต้องการจะทำอะไรรึเจ้าคะ ถึงได้แบกไขมันสัตว์มามากมายเพียงนี้”

     

    ได้ยินคำถามของเสี่ยวหลู่ก็ทำให้ฉินหลิงยิ้มออกมาเล็กน้อย “ทำสินค้าชนิดใหม่ที่จะพลิกการค้าของแคว้นเราไงละ”

     

    สองสาวได้ยินก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “แล้วเช่นนั้น ท่านจะทำอะไรรึเจ้าคะ”

     

    ฉินหลิงพูดออกมาพร้อมยิ้ม “เดี๋ยวพวกเจ้าก็เห็นเอง ส่วนเจ้าได้เตรียมขี้เถ้าไว้ให้ข้าแล้วใช่รึไม่ ?

     

    ได้ยินคำถามจากชายหนุ่ม เสี่ยวหลู่ก็พยักหน้าอย่างงงๆเพราะเธอก็ยังไม่เข้าใจว่าไขมันสัตว์กับขี้เถ้าที่เหลือจากการเผาไม้จะทำอะไรได้

     

    ฉินหลิงที่เคยเป็นตัวแทนขายสินค้ามามากมายหลากหลายชนิดจึงทำให้เขารู้ถึงองค์ประกอบต่างๆของสินค้าเป็นอย่างดี เพราะเขาต้องมีความรู้มากพอไม่เช่นนั้นเวลาลูกค้าถามเขาจะตอบได้อย่างไรและหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เขาเคยจัดจำหน่ายก็มีสบู่อยู่ด้วย ซึ่งเขาก็รู้ถึงส่วนผสมที่ซับซ้อนของมันอย่างดีแต่ด้วยในยุคสมัยนี้ทำให้เขาไม่อาจรวบรวมได้ส่วนประกอบที่ซับซ้อนได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาคิดมีเพียงการนำไขมันสัตว์มาต้มรวมกับขี้เถ้า และจะทำให้เกิดก้อนสีขาวขึ้น ซึ่งนั้นก็คือการทำสบู่ในสมัยโบราณ

     

    หลังจากทดลองมาหลายรูปแบบของไขมันสัตว์ชนิดต่างๆฉินหลิงก็พบว่าใช้ไขมันแพะเหมาะสมที่สุดและคิดที่จะเพิ่มกลิ่นหอมโดยการสกัดน้ำหอมเข้าไป แต่การทดลองของเขาก็ต้องหยุดชะงักลงก่อนเพราะขี้เถ้าจากไม้ที่เสี่ยวหลู่เตรียมไว้หมดลง ดังนั้นเขาจึงต้องจำใจออกจากในครัวในสภาพมอมแมมและเป็นที่หัวเราะของหญิงสาวทั้งสอง

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×