ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #35 : ผลิตสินค้าใหม่ (2)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18K
      1.47K
      24 มิ.ย. 62


    สามวันผ่านไป หลังจากฉินหลิงได้ทดลองทำสบู่หลากหลายรูปแบบ จนเขาได้รูปแบบที่ต้องการซึ่งมีด้วยอยู่สองประเภทคือสบู่ที่เป็นก้อนหยาบและให้ฟองเยอะซึ่งเหมาะสำหรับนำไปซักเสื้อผ้าหรือล้างสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ และอีกชนิดคือแบบที่ผิวเรียบเนียนและปริมาณฟองน้อยกว่าชนิดแรกซึ่งเหมาะกับการมาใช้มาชำระล้างร่างกายแต่ด้วยที่ว่ามันทำจากไขมันสัตว์ทำให้มันมีกลิ่นเหม็นหืนติดอยู่ ซึ่งทำให้เขาต้องคิดหาวิธีเพื่อให้กลิ่นที่ไม่ต้องการนี้ออกไปเเละเพิ่มกลิ่นหอมออกมาเเทน

     

    กลิ่นหอมที่เขาจะสกัดเขาต้องใช้ดอกไม้หลากหลายชนิดรวมทั้งต้องมีแอลกอฮอล์เป็นตัวสกัดที่สำคัญของการทำน้ำหอม จึงทำให้เขาคิดที่จะทำการค้าเกี่ยวกับสุราไปในคราเดียวกันเลย

     

    เวลานี้ฉินหลิงกำลังจดส่วนผสมที่ต้องการนานาชนิดให้กับเจ้าอ้วนอวี้หยวนที่กำลังมองมาทางเขาด้วยสีหน้าสงสัย

     

    “นายน้อย ท่านจะเอาของมากมายนี้ไปทำอะไรรึขอรับ”

     

    ฉินหลิงกำลังเขียนสิ่งที่ต้องการเอ่ยไปโดยไม่มองหน้าอีก “ข้าจะทำการค้าสินค้าชนิดใหม่ และจะเปิดการค้าสินค้านี้กับหอการค้าของเจ้าเป็นที่แรก”

     

     “แล้วมันจะทำอะไรได้รึขอรับ ?” อวี้หยวนที่กำลังแอบเหลือบดูรายการของที่ฉินหลิงต้องการยาวเป็นหางว่าวด้วยความสงสัย เพราะถึงอย่างไรเขาก็นึกไม่ออกจริงๆว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าต้องการทำอะไรกันแน่ ถึงกับต้องใช้ของมากมายเพียงนี้ ถึงบางอย่างจะไม่มีราคาแต่ก็ไม่มีคนเขาขายเช่นกัน อย่างเช่นดอกไม้ใบหญ้าบางชนิดที่เขาเคยเห็นข้างทาง เขาก็ไม่เขาใจจริงๆว่าทำไมนายน้อยฉินผู้นี้ถึงอยากได้ของไร้ค่าพวกนี้เป็นจำนวนมาก

     

    ฉินหลิงยิ้มและเงยขึ้นมองอีกฝ่าย  “มันจะทำเงินให้กับเจ้าได้มหาศาลไงละ เพราะของที่ข้าทำขึ้นมีกลุ่มเป้าหมายเพื่อขายให้ตระกูลขุนนางและพวกที่ร่ำรวยเป็นหลักไงละ”

     

    “แล้วท่านต้องการด่วนมากรึไม่ ?

     

    “เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วก็รบกวนเจ้าหาคนมาทำโรงงานตรงที่ว่างด้านข้างบ้านข้าด้วย”

     

    “เช่นนั้นท่านจะทำโรงงานอะไรรึขอรับ ? อวี้หยวนขมวดคิ้วแน่นอย่างงุนงงเพราะชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงต้องการสินค้าจำนวนมากยังต้องการเปิดโรงงานอีก

     

    ฉินหลิงวางพู่กันลงหลังจดรายการที่ต้องการเสร็จแล้วยิ้มเล็กน้อยให้อีกฝ่าย  “ข้าจะทำโรงบ่มสุรานะ”

     

    เมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายเจ้าอ้วนอวี้หยวนก็เบิกตาค้างอย่างตกใจ “ทะ...ท่านหมักสุราเป็นด้วยรึขอรับ ?”

     

    เจ้าอ้วนอวี้หยวนที่เมื่อรู้ว่าตัวนายน้อยตระกูลฉินหมักสุราเป็นก็ตกใจไม่น้อยเพราะอย่างไรการหมักสุราก็เป็นเรื่องที่คนส่วนน้อยจะสามารถทำได้ ถึงขนาดบางตระกูลฆ่ากันตายเพื่อสูตรหมักสุรา ดังนั้นการที่ชายหนุ่มมีสูตรหมักสุราจึงสร้างความตกใจให้เขายิ่งนัก โดยเฉพาะหากสุราที่นายน้อยผู้นี้บ่มขึ้นมีรสชาติดี ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าจะสามารถสร้างรายให้หอการค้าของเขาเพิ่มขึ้นขนาดไหน

     

    “มีอะไรแปลกรึ ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปก็บ่มสุราหรอกรึ ? เอ่ยจบเขาตระหนักได้ถึงท่าทางที่ตกใจจนเกินเหตุของอวี้หยวน เพราะอย่างไรเขาก็ได้ยินมาจากถานอวี้จี้ว่าครอบครัวนางบ่มสุรากุ๊ยฮวาจึงทำให้เขาเข้าใจว่าชาวบ้านทั่วไปมักจะบ่มสุรากันโดยเป็นปกติ ซึ่งขัดกับเจ้าอ้วนอวี้หยวนที่กำลังสาปแช่งและนินทาอีกฝ่ายอยู่ในใจว่า สูตรบ่มสุรามันจะหาง่ายได้ขนาดนั้นเชียวรึ  ไม่เช่นนั้นจะมีคนทดลองกันมามากมายแต่ประสบความล้มเหลวจนไม่รู้สูญเสียเงินทองกันไม่รู้ไปเท่าไหร่แล้วหรอกรึ

     

    เจ้าอ้วนแสดงรอยยิ้มบิดเบี้ยวออกมาก่อนก่อนอธิบาย “นายน้อยฉิน ไม่มีชาวบ้านทั่วไปที่ไหนเขาบ่มสุราได้หรอกขอรับ ถึงสุราจะมีราคาไม่สูงนักแต่จำนวนผู้ที่ผลิตสุราได้จริงๆมีน้อยนิด และส่วนมากมักเป็นหอการค้าใหญ่ๆที่มีคนชำนาญในการบ่มสุราโดยเฉพาะ ซึ่งรายได้ที่ได้จากการผลิตสุราก็ไม่อาจเทียบได้กับหอการค้าเล็กๆของเราได้เลย นี้ยังไม่รวมสุราบางชนิดที่แม้เเต่มีเงินก็ไม่สามารถซื้อได้อีก”

     

    หลังจากได้ยินคำอธิบายของเจ้าอ้วนก็ทำให้เขาตกใจไม่น้อยเพราะจากที่เขาเคยลิ้มรสสุราที่โลกใบนี้ จึงพบว่าสุราส่วนมากจะเป็นเพียงสุราที่บ่มหยาบๆเท่านั้น ทำให้ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่มีไม่อาจเทียบได้เลยกับสุราที่เขากำลังจะทดลองบ่ม

     

    เมื่อนึกถึงคำพูดของอวี้หยวนที่กล่าวว่าชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถบ่มสุราได้ก็ทำให้เขานึกถึงถานอวี้จี้ขึ้นมาก่อนจะหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสงสัย

     

    เมื่อเห็นชายหนุ่มจ้องก็ทำให้เธอสงสัย  “มีอะไรรึเจ้าคะ”

     

    ฉินหลิงพยักหน้าเบาๆก่อนเอ่ยถาม “เจ้าเคยบอกข้าว่าเจ้าบ่มสุรากุ๊ยฮวาเองใช่รึไม่”

     

    หญิงสาวที่ได้ยินคำถามของอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบรับ  “ใช่แล้วเจ้าคะ ท่านแม่เป็นคนสอนข้าบ่มสุราเองกับมือ แต่ปกติข้ากับท่านแม่ก็ไม่ค่อยชอบดื่มกันเท่าไหร่นัก ดังนั้นเลยบ่มทิ้งไว้เฉยๆ 

     

    ฉินหลิงที่นึกถึงถานฮูหยินก็อดแปลกใจไม่ได้กับความรู้ความสามารถของสตรีนางนี้ ทำให้เขารู้ว่าจริงๆแล้วนางต้องไม่ใช่สตรีชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่และมีความลับบางอย่างที่ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะบังคับให้อีกฝ่ายเล่าออกมาเพราะอย่างไรนางก็คือมารดาของสตรีที่เขารักจึงถือว่าเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นหากนางเดือดร้อนเขาก็เพียงช่วยสุดความสามารถเท่านั้น

     

     ระหว่างฉินหลิงกำลังครุ่นคิด ถานอวี้จี้ก็ยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยชวนอีกฝ่าย “ท่านเอ่ยถามเรื่องสุราทำให้ข้านึกขึ้นมาได้ ข้ายังไม่ได้เลี้ยงสุราตอบแทนท่านที่ท่านช่วยท่านแม่ข้าเลย คืนนี้ไว้เรามาดื่มกันนะเจ้าคะ”

     

    “เช่นนั้น คืนนี้รบกวนเจ้าแล้ว” ฉินหลิงยิ้มและพยักหน้าตอบรับหญิงสาว

     

    เจ้าอ้วนอวี้หยวนสูดลมหายใจลึกและตระหนักได้ทันทีว่าสตรีของนายน้อยฉินผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาเฉกเช่นหน้าตาของเธอ เพราะว่าคงไม่มีชาวบ้านตระกูลที่ไหนสามารถมีสูตรบ่มสุราเองได้ ยิ่งเขาได้รู้จักนายน้อยผู้นี้เขาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น และเข้าใจทันทีว่าทำไมบิดาถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องติดตามชายหนุ่มผู้นี้ให้ดี เพราะชายหนุ่มผู้นี้มันต่างจากแหล่งทำเงินเดินได้เลย

     

    ผ่านไปชั่วครู่ฉินหลิงที่คิดไม่ออกแล้วว่าต้องการอะไรอีกก็ส่งใบรายการให้อีกฝ่ายก่อนจะย้ำ “ข้าต้องการด่วนที่สุด เพราะข้าต้องการจัดการให้เสร็จก่อนที่บิดาเจ้าจะกลับมา”

     

     “ข้าจะรีบจัดการให้ขอรับ เเล้วท่านทราบรึขอรับว่าท่านพ่อไปทำการค้าอะไร ?” อวี้หยวนที่ยามนี้มั่นใจแล้วว่าที่บิดาเขาเร่งรีบเดินทางไปทำการค้าสำคัญย่อมต้องเกี่ยวกับชายหนุ่มเบื้องหน้าเป็นแน่

     

    เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย ฉินหลิงก็เพียงยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินจากไป ที่เขาไม่บอกแก่เจ้าอวี้หยวนเพราะอย่างไรเขาก็อยากจะเก็บเรื่องนี้ให้เป็นความลับมากที่สุด เพราะขนาดบิดาแท้ๆของเจ้าอ้วนยังไม่ได้บอกกล่าวอะไรก็ทำให้เขามั่นใจว่าอวี้ฟานซือต้องการดำเนินเรื่องราวให้เงียบสนิทที่สุดไม่เว้นแม้แต่บุตรชาย

     

     อวี้หยวนมองแผ่นหลังชายหนุ่มที่เดินจากไปโดยไม่บอกอะไร ทำให้เขารู้สึกคันระยิบระยับในใจนัก แต่ผ่านไปชั่วครู่เขาก็นึกถึงสิ่งที่อีกฝ่ายเคยสอนให้เขาสุขุมและทำอะไรให้รอบคอบ จึงทำให้นึกขึ้นได้ว่าที่บิดาและนายน้อยฉินไม่ได้กล่าวบอกตนอาจเป็นเพราะเรื่องที่พวกเขากระทำอาจจะสำคัญยิ่งและเป็นตัวชี้ชะตาสำคัญแก่หอการค้าของตนก็เป็นได้ ไม่เช่นนั้นบิดาเขาคงไม่คิดยกหอการค้าให้อีกฝ่ายถึงครึ่งนึง

     

    ................................

     

    ศาลาจิ้นโหลว ภายในวังหลวง ฮ่องเต้ที่ยามนี้กำลังนั่งร่ำสุรากับแม่ทัพเฒ่าผู้ที่เป็นดั่งสหายและอาจารย์ของเขา โดยมีเหล่านางรำกำลังร่ายรำด้วยท่วงท่าที่สวยงามและน่าหลงใหล แต่ใบหน้าของขุนพลเฒ่ากับแสดงออกอย่างไม่สู้ดีนัก

     

    “พี่เจิน ท่านทำหน้าตาเคร่งเครียดแบบนี้เป็นอะไรรึ ” ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเพราะอีกฝ่ายมาขอเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วนทำให้เขาตกใจไม่น้อย ก่อนจะรีบเอ่ยถามเเละทราบว่าไม่ได้เกี่ยวพันกับเรื่องศึกสงคราม จึงทำให้เขาเบาใจไม่น้อย เเละเชิญอีกฝ่ายมาร่ำสุราด้วยกัน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าไม่สบายใจก็ทำให้ฮ่องเต้กังวลอย่างมาก

     

    ฉินเจินถอนหายใจออกมาแล้วหันมาคารวะฮ่องเต้อย่างจริงจัง “เรื่องนี้เป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมต้องทูลขออภัยพระองค์อย่างยิ่ง”

     

    ฮ่องเต้มองอีกฝ่ายอย่างสงสัย  “ท่านไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้โกรธท่านหรอกแล้วมีอะไรเกิดขึ้นรึ ?

     

    “พระองค์จำที่หม่อมฉันได้ทูลขอองค์หญิงให้หลานชายกระหม่อมได้รึไม่”

     

    ฮ่องเต้พยักหน้ายืนยัน  “ข้าจำได้ และข้าได้นัดให้ทั้งคู่มาดูตัว ทำความรู้จักกันแล้ว มีอะไรอีกรึ?

     

    แม่ทัพเฒ่าหลบหน้าฮ่องเต้ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “คะ..คือว่าเจ้าหลานสารเลวของหม่อมฉันมันไม่ต้องการมาพบองค์หญิงหลิงเหมยพะยะคะ”

     

    เมื่อได้ยินดังนั้นฮ่องเต้ก็เบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะเขาพึ่งเคยได้ยินว่ามีคนไม่สนใจธิดาของตนเป็นครั้งแรก จากคำร่ำลือถึงความงามก็ทำให้มีผู้คนมากมายไม่เว้นแม้แต่เหล่าองค์ชายต่างแดนที่ต้องการเพียงได้พบหน้าธิดาของตนก็ยังไม่มีโอกาสและบางคนถึงขั้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลกันมามากมายเพื่อให้ได้เชยชมความงามขององค์หญิงแคว้นต้าเหยียน แต่หลานชายของชายชราเบื้องหน้ากับไม่สนใจที่จะสานสัมพันธ์กับธิดาเขา

     

    ใครจะรู้ตอนแรกเขาก็นึกหาโอกาสปฏิเสธหลานชายของผู้เป็นแม่ทัพอย่างถนอมน้ำใจอย่างมากมายหลายวิธี แต่เขากลับไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายไม่ต้องพบองค์หญิงผู้เป็นบุตรสาวของตนซะเอง ทั้งที่มันก็เป็นไปตามความตั้งใจของฮ่องเต้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก

     

    ฮ่องเต้สงบอารมณ์ชั่วครู่ก่อนปรับอารมณ์อย่างรวดเร็วและยิ้มออกมา “พี่เจินไม่ต้องเกรงใจไป หลานชายท่านไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร แต่ท่านบอกเหตุผลแก่ข้าได้รึไม่”

     

    ฮ่องเต้ยิ้มออกมาแต่ภายในใจกลับนึกถึงข่าวลือต่างๆของผู้เป็นหลานชายของแม่ทัพ ที่มีฉายานามว่าเป็นถึงปีศาจจอมราคะ จึงทำให้เขาอดแปลกใจอย่างช่วยไม่ได้ว่าบุคคลที่มีข่าวลือเช่นนั้นและมีโอกาสได้พบองค์หญิงที่รูปโฉมงดงาม แต่ทำไมกลับปฏิเสธที่มาดูตัวกับสาวงามขนาดนี้ หรือคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ฮ่องเต้ที่กำลังสับสนในความคิดกับผู้เป็นหลานชายของบุคคลตรงหน้า

     

    เมื่อได้ยินคำถามขององค์ฮ่องเต้ก็ทำให้ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ยิ้มออกมาอย่างบิดเบี้ยวก่อนเอ่ย “หลานชายของกระหม่อมได้ไปหลงรักหญิงชาวบ้านผู้หนึ่งและต้องการแต่งนางเป็นภรรยาเอก ซึ่งหม่อมฉันที่ไม่ยินยอมและคัดค้านออกมา สรุปพวกเราทั้งคู่ก็เลยทะเลาะกันและเจ้าเด็กสารเลวนั้นก็หนีออกจากจวน เพื่อไปอยู่กับหญิงสาวนางนั้น และบอกว่าจะคืนเงินที่เคยใช้ให้หมดภายในสองปี ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องแบกหน้าแก่ๆใบนี้มาขออภัยฝ่าบาทด้วยอย่างยิ่ง”

     

    ฮ่องเต้ที่ยามนี้อ้าปากกว้างด้วยความตกใจซึ่งเป็นเวลาหลายปีแล้วที่เขาไม่เคยเจอเรื่องที่ถึงขั้นทำให้หลุดอากัปกริยาได้ แต่เจ้าหลานชายของขุนพลเฒ่าผู้นี้กับทำให้เขาตกตะลึงได้จนเขารู้สึกอยากจะพบหน้าเจ้าเด็กคนนี้ไม่น้อย

     

    ฉินเจินที่เห็นฮ่องเต้ตกใจก็ทำได้เพียงเม้มปากแน่นแล้วก้มหน้าต่อไป

     

    ผ่านไปชั่วครู่ฮ่องเต้ที่รู้สึกตัวก็หัวเราะออกมาดังลั่น “ฮาๆ ไม่ธรรมดาจริงๆ พยัคฆ์ตระกูลฉินสมคำร่ำลือนัก ที่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดคงเป็นจริง พี่เจินไม่ต้องเกรงใจไปหรอก เอาละลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเถอะ ให้ข้าดื่มเพื่อท่านซักจอกหนึ่งก็แล้วกัน”

     

    หลังจากจบงานเลี้ยง ฮ่องเต้ที่ยามนี้กำลังยืนมือไพล่หลังแล้วเหม่อมองออกไปไกลโดยไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่เป็นแน่ จนผ่านไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา  “ฝูกงกง เจ้าไปแจ้งองค์หญิงเรื่องยกเลิกนัดกับหลานชายตระกูลฉินเเละเเจ้งตามความจริง แล้วก็ไปสืบประวัติของเจ้าเด็กฉินหลิงมาให้ข้าด้วย ถ้าเป็นไปตามที่แม่ทัพฉินกล่าวออกมา ตระกูลฉินคงไม่ได้จบสิ้นที่รุ่นนี้ซะแล้ว”

     

    “น้อมรับพระบัญชาพะยะคะ” ชายชราผมขาวที่อยู่ในชุดขันที คารวะก่อนเดินออกไป

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×