คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #39 : พ่อลูกตระกูลอวี้
ผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากหอการค้าตะวันฉายได้เริ่มเปิดขายสินค้าชนิดใหม่
สินค้าที่เป็นที่พูดถึงของเหล่าชาวเมืองก็คือ
สบู่ ซึ่งมีขายเฉพาะเมืองไผ่เขียวนั้นเองโดยเฉพาะการใช้งานที่เพิ่มความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตให้แก่ชาวบ้านทั่วไป
ไม่เว้นแม้แต่เหล่าขุนนางหรือคหบดีที่ร่ำรวยต่างก็ติดใจกับการใช้สบู่ฟอกตัวเวลาอาบน้ำอย่างยิ่ง
รถม้าคันใหญ่มีตรารูปดวงตะวันสีแดงสดใสเดินทางเข้าในเมืองด้วยความเร่งรีบและหยุดเมื่อถึงประตูด่านตรวจเข้าเมืองไผ่เขียว
เมื่อเหล่าชาวบ้านหันมามองรถม้าคันใหญ่ด้วยท่าทางตื่นเต้นและสนทนาออกมาเสียงดัง
“โอ้
นี้มันเครื่องหมายของหอการค้าตะวันฉายที่เป็นผู้ขายสบู่”
“ใช่แล้ว
เมียข้าติดใจเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่ยิ่งนัก”
“ไม่ใช่สบู่
มันเรียกว่าสบู่จี้หลิงต่างหาก เจ้าโง่”
“บัดซบ
เมียข้าบังคับให้ข้าซื้อไอเจ้าสบู่กลิ่นดอกเหมย
เงินที่ข้าต้องเดินทางไกลเพื่อไปทำงานกลับหมดไปกับเจ้าก้อนขาวๆนั้น”
“ฮ่าๆ
ยามนี้บ้านไหนไม่มีสบู่จี้หลิงใช้ก็คงอับอายเพื่อนบ้านกันแล้ว”
ภายในรถม้าคันใหญ่ที่อวี้ฟานซือนั่งอยู่ด้วยสีหน้าอ่อนล้ายิ่งนักเพราะเขารีบเดินทางจนใช้เวลาเดินทางไปกลับจากเมืองท่าชินโจวเป็นเวลาสามอาทิตย์เท่านั้นจากกำหนดการเดิมคือหนึ่งเดือน
แต่เมื่อกลับมาถึงเมืองไผ่เขียวเขาก็ได้ยินเสียงของชาวบ้านพูดถึงหอการค้าตะวันฉายและสิ่งที่เรียกว่าสบู่ก็ทำให้เขาอดรู้สึกแปลกประหลาดใจไม่ได้
อวี้ฟานซือที่สงสัยจึงเปิดประตูรถม้าแล้วลงไปก็พบเห็นหัวหน้าทหารยามที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูซึ่งเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันดีกับเขา
“นายท่านอวี้นี้เอง
ไม่เห็นหน้าหลายวันคงยุ่งอยู่สินะ เมียข้าติดใจสบู่ของท่านยิ่งนัก” หัวหน้ายามเห็นผู้เป็นเจ้าของหอการค้าตะวันฉายก็เขาไปทักอย่างสนิทสนม
เพราะหากเขาได้สบู่กลิ่นเหมยหรือกุหราบที่มีราคาสูงจากสหายผู้นี้บ้างก็คงทำให้เมียเขาดีอกดีใจไม่น้อย
นายท่านอวี้ที่ยามนี้แสดงหน้าตามึนงงอย่างชัดเจนว่าเขาจากเมืองไผ่เขียวไปไม่ถึงเดือน
ทำไมชาวเมืองเหล่านี้ถึงเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว
‘สิ่งที่เรียกว่า สบู่จี้หลิง มันคืออะไร แม้แต่ชื่อข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน’
หัวหน้ายามที่เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกประหลาดและดูเหนื่อยล้าจึงเข้าไปตบบ่าเบาๆ
“สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยสู้ดีนัก เจ้าพักผ่อนบ้างเถอะ
ข้ารู้ว่าตอนนี้สบู่ของเจ้าขายดีอย่างยิ่งแต่ถ้าหากเจ้าป่วยขึ้นมามันจะไม่มีคนดูแลหอการค้า”
รอยฝืนยิ้มของชายวัยกลางคนร่างอ้วนปรากฏขึ้นทั้งที่ยังมึนงงอยู่
“ขอบคุณเจ้ามาก ไว้ว่างๆข้าค่อยชวนเจ้าไปดื่มกัน”
“ฮ่าๆ
เจ้ารับปากแล้วนะสหายอวี้ ไว้ว่างๆค่อยไปดื่มกัน”
อวี้ฟานซือสับสนกับท่าทางของสหายของตนที่ทำงานเป็นยามเฝ้าประตูนักว่าทำไมถึงต้องมาทำตัวสนิทสนมกับเขาขนาดนั้น
ทั้งที่เมื่อก่อนหากเขาขนสินค้าเข้าเมืองเกินกำหนดแม้แต่นิดเดียวก็หาเรื่องปรับเงินเขาเสียแล้ว แต่เวลานี้ไม่เพียงจะพูดอย่างสนิทสนมยังมีท่าทางราวกับประจบอีก
เวลานี้เขาสงสัยนักช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นกับหอการค้าตะวันฉายกันแน่
“นายท่าน
เกิดอะไรขึ้นกับหอการค้าของเรากันแน่ขอรับ ทำไมมีชาวบ้านมากมายถึงรู้จักกับหอการค้าเราได้และไอเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่นั้นอีก
? ” บ่าวคนสนิทที่เดินตามขึ้นรถม้าเอ่ยถามอย่างสงสัย
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหอการค้าของพวกเขาก็อยู่เพียงระดับกลางๆออกจะไปทางระดับล่างเท่านั้น
ไม่ได้ยิ่งใหญ่จนผู้คนจดจำกันได้ แต่ยามนี้ไม่เพียงคนเห็นธงบนรถม้าก็จดจำได้แล้วว่าคือหอการค้าตะวันฉาย
และยังเจ้าสิ่งที่ชาวบ้านเอ่ยเรียกกันว่าสบู่จี้หลิงอีก
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเราจากไปเพียงไม่นานก็เกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้แล้ว” ผู้เป็นเจ้าของหอการค้ามองไปทิศทางหอการค้าของตนเองด้วยท่าทางประหลาดใจพร้อมทั้งนึกถึงภาพชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ตนเองได้สนทนาในคืนนั้นก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปยังเมืองท่าขึ้นมาและคำพูดที่ชายหนุ่มได้ทิ้งเอาไว้
‘ทำสินค้าชนิดใหม่ เพิ่มรายได้ให้หอการค้าของเราไงละ’
ผ่านไปไม่นานรถม้าของอวี้ฟานซือก็เดินทางมาถึงหอการค้าของเขาเอง
เพียงแต่ยามนี้รถม้าไม่สามารถแทรกฝูงชนที่ต่อแถวยาวเหยียดได้
“นายท่านอวี้
ดูท่ารถม้าเราคงเลื่อนเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้วขอรับ”
คนขับรถม้าตะโกนออกมาจากด้านหน้าให้ผู้เป็นนายตัดสินใจ
อวี้ฟานซือเบิกตากว้างกับจำนวนผู้คนที่มาซื้อของภายในหอการค้าตน
“เจ้าเอารถม้าอ้อมไปเก็บด้านหลัง ข้าจะเดินไปเอง” เอ่ยจบชายวัยกลางคนร่างอ้วนก็เดินลงจารถม้าอย่างคล่องแคล่วและเดินไปยังทิศทางที่มีเหล่าชาวบ้านต่อแถวกันอยู่
เดินได้ระยะหนึ่งเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นอย่างชัดเจนทำให้เจ้าของหอการค้าตะวันฉายรู้ว่าเป็นเสียงบุตรชายตน
“ต่อแถวให้เป็นระเบียบด้วย
หากมีการแซงคิวจะถูกขึ้นบัญชีดำห้ามซื้อสบู่อีกเลย!!!”
“เพื่อฉลองหอการค้าตะวันฉายครบรอบห้าสิบปี ใครซื้อสบู่สองก้อนขึ้นไปแถวฟรีทันทีอีกหนึ่งก้อน
ใครพลาดครั้งนี้ไม่มีโอกาสหน้าอีกแล้ว !”
“สำหรับสบู่กลิ่นเหมยและกุหลาบ
เราก็ลดราคาสองในสิบส่วนอีกด้วย สัมผัสกลิ่นหอมราวกับเป็นเทพเซียนได้เพียงแค่ทุกท่านใช้สบู่คุณภาพสูงของเรา”
อวี้ฟานซือได้ยินเสียงตะโกนของบุตรชายก็ทำให้เขาเหงื่อไหลโชกทันที
บิดาพึ่งสร้างหอการค้าแห่งนี้มาก่อนเจ้าเกิดไม่กี่ปีแล้วมันไปครบรอบห้าสิบปีได้ตอนไหนกัน
ผู้เป็นบิดาที่ตอนนี้ทนไม่ได้กับคำโม้เกินจริงของลูกชายก็รีบเดินอย่างไวก่อนจะไปกระชากคอเสื้อแล้วลากเข้าไปในร้านทันที
“โอ้ ท่านพ่อนี้เอง ท่านกล......!!” อวี้หยวนที่มองเห็นบิดาเดินเข้ามาก็ทักทายอย่างปกติแต่บิดาตนกลับลากคอเขาเข้าไปในร้านอย่างรุนแรงราวกับเขาไม่ใช่ลูกชาย
เมื่อเขามาในห้องส่วนตัวชั้นสอง
อวี้ฟานซือก็เดินไปนั่งที่ประจำของตนเองที่ยามนี้มีเอกสารกองอยู่ไม่ต่างจากวันที่ฉินหลิงเข้ามาขอพบนัก
“นั่งลงแล้วเล่ามา
เรื่องราวมันเป็นเช่นใด ทำไมมีผู้คนมาหอการค้าเรามากมายนักและสบู่จี้หลิงมันคืออันใดกันแน่
?”
เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของผู้เป็นบิดาก็ทำให้อวี้หยวนรู้สึกกดดันเล็กน้อยก่อนจะทำสีหน้าเรียบเฉยตามที่นายน้อยฉินได้เคยสอนมาว่าต้องไม่ให้ผู้ใดดูออกว่าเรากำลังคิดอันใดยามที่ต้องสนทนากับคู่ค้า
อวี้ฟานซือที่เห็นบุตรชายปรับสีหน้าได้เรียบเฉยราวกับไม่เกรงกลัวตนเองแม้แต่น้อยก็รู้สึกตกใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เพราะเขารู้ดีว่าบุตรชายของเขาคนนี้ถูกเขาเลี้ยงดูมาอย่างตามใจซึ่งทำให้การแสดงออกถึงท่าทางต่างๆย่อมออกมาอย่างชัดเจน
บางทีเห็นเพียงหน้าก็รู้แล้วว่าเจ้าเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่
แต่เขาไม่อยู่เพียงไม่กี่วันทำไมลูกชายเขากลับเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้
อะแฮ่ม!
เสียงไอของผู้เป็นบุตรปลุกสติของบิดาขึ้น
“เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อตอนท่านพ่อเดินทางออกไปทำการค้าที่เกี่ยวกับที่ท่านได้คุยคุณชายฉิน
ท่านจำได้รึไม่ก่อนจากไปคุณชายฉินเขาเรียกขอของแปลกๆกับท่าน
นั้นแหละเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวครั้งนี้”
เอ่ยจบอวี้หยวนก็หยิบน้ำชาก่อนจะค่อยๆจิบอย่างพิถีพิถัน
อวี้ฟานซือที่กำลังตั้งใจฟังก็พบว่าผู้เป็นบุตรกลับหยุดเล่าแล้วทำท่าจิบชาราวกับเป็นพวกบัณฑิตหน้าขาวนั้นอีก แล้วเจ้าจะมาทำเก๊กท่าต่อหน้าข้าเพื่ออะไร
อวี้หยวนที่มองหน้าผู้เป็นบิดาที่กำลังหงุดหงิดก็อดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
“แค่นี้ท่านก็คุมสติไม่ได้แล้ว ต่อไปท่านจะดูแลหอการค้าตะวันฉายยังไงไหว
ไม่สู้มอบให้ข้าดีกว่าหรอกรึ ?”
เมื่อได้ยินผู้เป็นบุตรมาทำทางทางเอ่ยสั่งสอนก็ทำให้อวี้ฟานซือที่ตอนแรกอารมณ์กำลังใกล้เดือดเต็มทนก็ระเบิดออกทันทีพร้อมทั้งคว้าหนังสือกองโตขว้างไปยังที่นั่งของลูกชาย
“บัดซบ
เจ้าเด็กสารเลว ข้าจากไปเพียงไม่กี่วันก็ทำตัวอวดดีขึ้นมาแล้วรึ ?”
จำนวนหนังสือมากมายที่ผู้เป็นบิดโยนใส่ลูกชายก็มีหนังสือเล่มใหญ่หล่นไปยังหัวเจ้าอ้วนอวี้หยวนอย่างบังเอิญ
“โอ๊ยๆ
เจ็บ ท่านจะฆ่าข้ารึยังไง” อวี้หยวนที่ร้องออกมาเสียงดังและนอนดิ้นไปมาไม่สนอะไร ซึ่งแตกต่างกับเมื่อครู่ที่ทำท่าทางราวกับผู้ทรงความรู้อย่างยิ่ง
เมื่อเห็นลูกชายนอนกลิ้งไปมาบนพื้นก็ทำให้ผู้เป็นบิดาอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
อวี้หยวนเอามือลูบศีรษะที่ยามนี้มีลูกมะนาวลูกโตตั้งอยู่พร้อมมองไปทางบิดาพร้อมบ่นพึมพำ
“เป็นอย่างที่คุณชายฉินเคยว่าไว้จริงด้วย คุยกับคนขาดสติมิสู้คุยกับคนบ้าดีกว่าหรอกรึ!”
เส้นเลือดโป่งพองสั่นขึ้นลงบนศีรษะของอวี้ฟานซือ
“เจ้ากล้าด่าว่าข้าเป็นยิ่งกว่าคนบ้ารึ ?”
“ฮ่าๆ
ไม่มีอันใด ท่านหูแว่วไปเองแล้ว”
อวี้ฟานซือมองไปยังบุตรชายก่อนเอ่ยด้วยท่าทีจริง
“เล่าต่อมาได้แล้ว เรื่องมันเป็นเช่นไรต่อหลังจากนายน้อยฉินสั่งของแปลกๆ”
เมื่อเห็นสายตาของผู้เป็นบิดา
อวี้หยวนก็รู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อยเพราะท่าทางที่จริงของบิดาเขาก็ไม่ค่อยได้เห็นนัก
“ของแปลกๆที่คุณชายฉินสั่งนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของนรกที่แท้จริง
เพราะหลังจากท่านออกเดินทางไป ข้าก็ไปรับใช้ตามที่ท่านสั่งแต่นายน้อยฉินผู้นี้กลับสั่งให้ข้ารวบรวมพืชและสัตว์แปลกๆหลากหลายชนิดมากมาย
ถึงขนาดบางอย่างเป็นหญ้าข้างทางที่แม้แต่วัวควายก็ยังไม่กิน
ข้าต้องรวบรวมลูกน้องมากมายไปรวบรวมวัตถุดิบต่างๆให้คุณชายฉิน
เรียกว่าแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว”
ครันนึกถึงความรู้แปลกประหลาดของชายหนุ่มก็ทำให้พอเข้าใจว่าชายหนุ่มผู้นี้ต้องมีความรู้มากมายเป็นแน่เพราะสังเกตจากการให้ลูกชายเขารวบรวมสิ่งของมากมายเพื่อทำสินค้าชนิดซึ่งบ่งบอกได้อย่างดีเลยว่านายน้อยฉินผู้นี้ย่อมต้องรู้ถึงคุณสมบัติของสิ่งที่ตนรวบรวมไว้อยู่แล้ว
“แล้วเรื่องของเจ้าสิ่งที่เรียกว่า
สบู่จี้หลิง มันเป็นมาอย่างไร ?”
อวี้หยวนหัวเราะเสียงดังก่อนเงียบ
“ฮ่าๆ ข้าไม่รู้”
เมื่อเห็นสีหน้าของบิดาแดงขึ้นมา
อวี้หยวนก็รีบเอ่ยขึ้น “ก็ข้าไม่รู้จริงๆขอรับ หลังจากคุณชายฉินได้ส่วนผสมแปลกๆก็สร้างเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่จี้หลิงขึ้นมา
แล้วกำหนดราคาซึ่งทางคุณชายฉินได้เจ็ดส่วนทางเราได้สามส่วน
ซึ่งวัตถุดิบต่างๆคุณชายฉินก็ให้ทางเราจัดหามาให้”
อวี้ฟานซือพยักหน้าเข้าใจว่ามันเป็นความลับในการผลิตเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่
พร้อมครุ่นคิดในใจว่าทำไมเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งถึงมีความรู้ต่างๆมากมายนักไม่เพียงแต่รู้วิธีเปลี่ยนทะเลเป็นเกลือ
ยังวิธีทำเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่อีก “แล้วตกลงเจ้าสบู่จี้หลิงมันคืออะไรกันแน่ ?”
เมื่อได้ยินคำถามก็ทำไมผู้เป็นบุตรชายเบิกตากว้างก่อนจะส่ายหัวไปมาทำท่าทางราวกับเอือมระอาบิดา
“ท่านไปอยู่หลุมไหนมา ทำไมถึงไม่รู้จักคุณค่าของสบู่จี้หลิง”
เมื่อได้ยินคำยอกย้อยของบุตรชาย
อวี้ฟานซือก็กัดฟันแน่นก่อนเอ่ย “เช่นนั้นเบี้ยเลี้ยงเดือนนี้ เจ้าหาเองแล้วกันนะ!”
ได้ยินว่าบิดาจะหักเงินก็ทำให้อวี้หยวนตกใจอย่างมากก่อนจะวิ่งมาด้านหลังบิดาแล้วนวดไหล่ไปมา
“ฮ่าๆ ท่านล้อข้าเล่นแล้ว สบู่จี้หลิงมีสองประเภทคือเอาไว้ทำความสะอาดเสื้อผ้าหรือเครื่องเรือนและอีกชนิดเอาไว้ชำระร่างกายให้สะอาด
ไม่เชื่อท่านพ่อลองดมข้าดูสิ มีกลิ่นหอมอ่อนๆติดอยู่ด้วย”
อวี้ฟานซือพยักหน้าให้ผู้เป็นบุตรชายเพราะเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆมาจากร่างกายบุตรชายจริงๆทั้งที่ปกติด้วยร่างกายของคนอ้วนทำให้เหงื่อไคลที่ไหลออกมาสะสมจึงทำให้มีกลิ่นเหม็นที่ไม่พึงต้องการออกมา
แต่ยามนี้ไม่เพียงไม่มีกลิ่นเหม็นใดออกมาจากร่างกายอวี้หยวนแต่ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกเหมยอีกด้วย
“แล้วการค้าเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่เป็นเช่นไรบ้าง
?”
เมื่อได้ยินคำถามของบิดาก็ทำให้อวี้หยวนหัวเราะออกมา
“ได้ยินแล้วท่านอย่าตกใจไปละ”
“ทำไมรึ
?” อวี้ฟานซือเงยหน้าขึ้นไปมองบุตรชายด้วยท่าทีประหลาด
“เราขายสบู่ได้ทั้งหมดห้าพันตำลึงทอง
ท่านเข้าใจรึไม่ เพียงหนึ่งอาทิตย์เราขายได้ถึงห้าพันตำลังทอง
พอๆกับจำนวนที่เราทำการค้าทั้งปีเลยขอรับ”
เสียงเก้าอี้ตัวโปรดล้มลงดังขึ้นเพราะผู้เป็นเจ้าของหอการค้าตะวันฉายลุกขึ้นทันทีเมื่อได้ยินถึงจำนวนเงินที่ขายสบู่ได้ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่แล้วมองลูกชาย
“ข้าจะไปพบนายน้อยฉิน ตอนนี้เลย!”
อวี้หยวนเอ่ยแนะนำบิดา
“ท่านจะรีบไปไหน ข้าว่าท่านไปอาบน้ำแล้วลองใช้สบู่จี้หลิงดูก่อนแล้วค่อยไปก็ได้”
“ได้ๆ
ข้าจะรีบไปจัดการ เจ้าก็ให้คนเตรียมรถม้ารอไว้เลย” เอ่ยจบอวี้ฟานซือเดินออกจากห้องอย่างว่องไว
ความคิดเห็น