ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #39 : พ่อลูกตระกูลอวี้

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.01K
      1.52K
      28 มิ.ย. 62


    ผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากหอการค้าตะวันฉายได้เริ่มเปิดขายสินค้าชนิดใหม่

     

    สินค้าที่เป็นที่พูดถึงของเหล่าชาวเมืองก็คือ สบู่ ซึ่งมีขายเฉพาะเมืองไผ่เขียวนั้นเองโดยเฉพาะการใช้งานที่เพิ่มความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตให้แก่ชาวบ้านทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่เหล่าขุนนางหรือคหบดีที่ร่ำรวยต่างก็ติดใจกับการใช้สบู่ฟอกตัวเวลาอาบน้ำอย่างยิ่ง

     

    รถม้าคันใหญ่มีตรารูปดวงตะวันสีแดงสดใสเดินทางเข้าในเมืองด้วยความเร่งรีบและหยุดเมื่อถึงประตูด่านตรวจเข้าเมืองไผ่เขียว เมื่อเหล่าชาวบ้านหันมามองรถม้าคันใหญ่ด้วยท่าทางตื่นเต้นและสนทนาออกมาเสียงดัง

     

    “โอ้ นี้มันเครื่องหมายของหอการค้าตะวันฉายที่เป็นผู้ขายสบู่”

     

    “ใช่แล้ว เมียข้าติดใจเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่ยิ่งนัก”

     

    “ไม่ใช่สบู่ มันเรียกว่าสบู่จี้หลิงต่างหาก เจ้าโง่”

     

    “บัดซบ  เมียข้าบังคับให้ข้าซื้อไอเจ้าสบู่กลิ่นดอกเหมย เงินที่ข้าต้องเดินทางไกลเพื่อไปทำงานกลับหมดไปกับเจ้าก้อนขาวๆนั้น”

     

    “ฮ่าๆ ยามนี้บ้านไหนไม่มีสบู่จี้หลิงใช้ก็คงอับอายเพื่อนบ้านกันแล้ว”


    ภายในรถม้าคันใหญ่ที่อวี้ฟานซือนั่งอยู่ด้วยสีหน้าอ่อนล้ายิ่งนักเพราะเขารีบเดินทางจนใช้เวลาเดินทางไปกลับจากเมืองท่าชินโจวเป็นเวลาสามอาทิตย์เท่านั้นจากกำหนดการเดิมคือหนึ่งเดือน แต่เมื่อกลับมาถึงเมืองไผ่เขียวเขาก็ได้ยินเสียงของชาวบ้านพูดถึงหอการค้าตะวันฉายและสิ่งที่เรียกว่าสบู่ก็ทำให้เขาอดรู้สึกแปลกประหลาดใจไม่ได้

     

    อวี้ฟานซือที่สงสัยจึงเปิดประตูรถม้าแล้วลงไปก็พบเห็นหัวหน้าทหารยามที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูซึ่งเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันดีกับเขา

     

    “นายท่านอวี้นี้เอง ไม่เห็นหน้าหลายวันคงยุ่งอยู่สินะ เมียข้าติดใจสบู่ของท่านยิ่งนัก”  หัวหน้ายามเห็นผู้เป็นเจ้าของหอการค้าตะวันฉายก็เขาไปทักอย่างสนิทสนม เพราะหากเขาได้สบู่กลิ่นเหมยหรือกุหราบที่มีราคาสูงจากสหายผู้นี้บ้างก็คงทำให้เมียเขาดีอกดีใจไม่น้อย

     

    นายท่านอวี้ที่ยามนี้แสดงหน้าตามึนงงอย่างชัดเจนว่าเขาจากเมืองไผ่เขียวไปไม่ถึงเดือน ทำไมชาวเมืองเหล่านี้ถึงเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว

     

    สิ่งที่เรียกว่า สบู่จี้หลิง มันคืออะไร แม้แต่ชื่อข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

     

    หัวหน้ายามที่เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกประหลาดและดูเหนื่อยล้าจึงเข้าไปตบบ่าเบาๆ  “สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยสู้ดีนัก เจ้าพักผ่อนบ้างเถอะ ข้ารู้ว่าตอนนี้สบู่ของเจ้าขายดีอย่างยิ่งแต่ถ้าหากเจ้าป่วยขึ้นมามันจะไม่มีคนดูแลหอการค้า”

     

    รอยฝืนยิ้มของชายวัยกลางคนร่างอ้วนปรากฏขึ้นทั้งที่ยังมึนงงอยู่ “ขอบคุณเจ้ามาก ไว้ว่างๆข้าค่อยชวนเจ้าไปดื่มกัน”

     

    “ฮ่าๆ เจ้ารับปากแล้วนะสหายอวี้ ไว้ว่างๆค่อยไปดื่มกัน”

     

    อวี้ฟานซือสับสนกับท่าทางของสหายของตนที่ทำงานเป็นยามเฝ้าประตูนักว่าทำไมถึงต้องมาทำตัวสนิทสนมกับเขาขนาดนั้น ทั้งที่เมื่อก่อนหากเขาขนสินค้าเข้าเมืองเกินกำหนดแม้แต่นิดเดียวก็หาเรื่องปรับเงินเขาเสียแล้ว  แต่เวลานี้ไม่เพียงจะพูดอย่างสนิทสนมยังมีท่าทางราวกับประจบอีก

     

    เวลานี้เขาสงสัยนักช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นกับหอการค้าตะวันฉายกันแน่

     

     “นายท่าน เกิดอะไรขึ้นกับหอการค้าของเรากันแน่ขอรับ ทำไมมีชาวบ้านมากมายถึงรู้จักกับหอการค้าเราได้และไอเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่นั้นอีก ? บ่าวคนสนิทที่เดินตามขึ้นรถม้าเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหอการค้าของพวกเขาก็อยู่เพียงระดับกลางๆออกจะไปทางระดับล่างเท่านั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่จนผู้คนจดจำกันได้ แต่ยามนี้ไม่เพียงคนเห็นธงบนรถม้าก็จดจำได้แล้วว่าคือหอการค้าตะวันฉาย และยังเจ้าสิ่งที่ชาวบ้านเอ่ยเรียกกันว่าสบู่จี้หลิงอีก

     

    “ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราจากไปเพียงไม่นานก็เกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้แล้ว” ผู้เป็นเจ้าของหอการค้ามองไปทิศทางหอการค้าของตนเองด้วยท่าทางประหลาดใจพร้อมทั้งนึกถึงภาพชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ตนเองได้สนทนาในคืนนั้นก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปยังเมืองท่าขึ้นมาและคำพูดที่ชายหนุ่มได้ทิ้งเอาไว้

     

    ทำสินค้าชนิดใหม่ เพิ่มรายได้ให้หอการค้าของเราไงละ

     

    ผ่านไปไม่นานรถม้าของอวี้ฟานซือก็เดินทางมาถึงหอการค้าของเขาเอง เพียงแต่ยามนี้รถม้าไม่สามารถแทรกฝูงชนที่ต่อแถวยาวเหยียดได้

     

    “นายท่านอวี้ ดูท่ารถม้าเราคงเลื่อนเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้วขอรับ” คนขับรถม้าตะโกนออกมาจากด้านหน้าให้ผู้เป็นนายตัดสินใจ

     

    อวี้ฟานซือเบิกตากว้างกับจำนวนผู้คนที่มาซื้อของภายในหอการค้าตน “เจ้าเอารถม้าอ้อมไปเก็บด้านหลัง ข้าจะเดินไปเอง” เอ่ยจบชายวัยกลางคนร่างอ้วนก็เดินลงจารถม้าอย่างคล่องแคล่วและเดินไปยังทิศทางที่มีเหล่าชาวบ้านต่อแถวกันอยู่

     

    เดินได้ระยะหนึ่งเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นอย่างชัดเจนทำให้เจ้าของหอการค้าตะวันฉายรู้ว่าเป็นเสียงบุตรชายตน

     

    “ต่อแถวให้เป็นระเบียบด้วย หากมีการแซงคิวจะถูกขึ้นบัญชีดำห้ามซื้อสบู่อีกเลย!!!

     

    “เพื่อฉลองหอการค้าตะวันฉายครบรอบห้าสิบปี  ใครซื้อสบู่สองก้อนขึ้นไปแถวฟรีทันทีอีกหนึ่งก้อน ใครพลาดครั้งนี้ไม่มีโอกาสหน้าอีกแล้ว !

     

    “สำหรับสบู่กลิ่นเหมยและกุหลาบ เราก็ลดราคาสองในสิบส่วนอีกด้วย สัมผัสกลิ่นหอมราวกับเป็นเทพเซียนได้เพียงแค่ทุกท่านใช้สบู่คุณภาพสูงของเรา”

     

    อวี้ฟานซือได้ยินเสียงตะโกนของบุตรชายก็ทำให้เขาเหงื่อไหลโชกทันที บิดาพึ่งสร้างหอการค้าแห่งนี้มาก่อนเจ้าเกิดไม่กี่ปีแล้วมันไปครบรอบห้าสิบปีได้ตอนไหนกัน

     

    ผู้เป็นบิดาที่ตอนนี้ทนไม่ได้กับคำโม้เกินจริงของลูกชายก็รีบเดินอย่างไวก่อนจะไปกระชากคอเสื้อแล้วลากเข้าไปในร้านทันที

     

     “โอ้ ท่านพ่อนี้เอง ท่านกล......!!” อวี้หยวนที่มองเห็นบิดาเดินเข้ามาก็ทักทายอย่างปกติแต่บิดาตนกลับลากคอเขาเข้าไปในร้านอย่างรุนแรงราวกับเขาไม่ใช่ลูกชาย

     

    เมื่อเขามาในห้องส่วนตัวชั้นสอง อวี้ฟานซือก็เดินไปนั่งที่ประจำของตนเองที่ยามนี้มีเอกสารกองอยู่ไม่ต่างจากวันที่ฉินหลิงเข้ามาขอพบนัก

     

    “นั่งลงแล้วเล่ามา เรื่องราวมันเป็นเช่นใด ทำไมมีผู้คนมาหอการค้าเรามากมายนักและสบู่จี้หลิงมันคืออันใดกันแน่ ?

     

    เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของผู้เป็นบิดาก็ทำให้อวี้หยวนรู้สึกกดดันเล็กน้อยก่อนจะทำสีหน้าเรียบเฉยตามที่นายน้อยฉินได้เคยสอนมาว่าต้องไม่ให้ผู้ใดดูออกว่าเรากำลังคิดอันใดยามที่ต้องสนทนากับคู่ค้า

     

    อวี้ฟานซือที่เห็นบุตรชายปรับสีหน้าได้เรียบเฉยราวกับไม่เกรงกลัวตนเองแม้แต่น้อยก็รู้สึกตกใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่าบุตรชายของเขาคนนี้ถูกเขาเลี้ยงดูมาอย่างตามใจซึ่งทำให้การแสดงออกถึงท่าทางต่างๆย่อมออกมาอย่างชัดเจน บางทีเห็นเพียงหน้าก็รู้แล้วว่าเจ้าเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่ แต่เขาไม่อยู่เพียงไม่กี่วันทำไมลูกชายเขากลับเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้

     

    อะแฮ่ม!

     

    เสียงไอของผู้เป็นบุตรปลุกสติของบิดาขึ้น “เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อตอนท่านพ่อเดินทางออกไปทำการค้าที่เกี่ยวกับที่ท่านได้คุยคุณชายฉิน  ท่านจำได้รึไม่ก่อนจากไปคุณชายฉินเขาเรียกขอของแปลกๆกับท่าน นั้นแหละเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวครั้งนี้” เอ่ยจบอวี้หยวนก็หยิบน้ำชาก่อนจะค่อยๆจิบอย่างพิถีพิถัน

     

    อวี้ฟานซือที่กำลังตั้งใจฟังก็พบว่าผู้เป็นบุตรกลับหยุดเล่าแล้วทำท่าจิบชาราวกับเป็นพวกบัณฑิตหน้าขาวนั้นอีก  แล้วเจ้าจะมาทำเก๊กท่าต่อหน้าข้าเพื่ออะไร

     

    อวี้หยวนที่มองหน้าผู้เป็นบิดาที่กำลังหงุดหงิดก็อดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “แค่นี้ท่านก็คุมสติไม่ได้แล้ว ต่อไปท่านจะดูแลหอการค้าตะวันฉายยังไงไหว ไม่สู้มอบให้ข้าดีกว่าหรอกรึ ?

     

    เมื่อได้ยินผู้เป็นบุตรมาทำทางทางเอ่ยสั่งสอนก็ทำให้อวี้ฟานซือที่ตอนแรกอารมณ์กำลังใกล้เดือดเต็มทนก็ระเบิดออกทันทีพร้อมทั้งคว้าหนังสือกองโตขว้างไปยังที่นั่งของลูกชาย

     

    “บัดซบ เจ้าเด็กสารเลว ข้าจากไปเพียงไม่กี่วันก็ทำตัวอวดดีขึ้นมาแล้วรึ ?

     

    จำนวนหนังสือมากมายที่ผู้เป็นบิดโยนใส่ลูกชายก็มีหนังสือเล่มใหญ่หล่นไปยังหัวเจ้าอ้วนอวี้หยวนอย่างบังเอิญ

     

    “โอ๊ยๆ เจ็บ ท่านจะฆ่าข้ารึยังไง” อวี้หยวนที่ร้องออกมาเสียงดังและนอนดิ้นไปมาไม่สนอะไร ซึ่งแตกต่างกับเมื่อครู่ที่ทำท่าทางราวกับผู้ทรงความรู้อย่างยิ่ง

     

    เมื่อเห็นลูกชายนอนกลิ้งไปมาบนพื้นก็ทำให้ผู้เป็นบิดาอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย

     

    อวี้หยวนเอามือลูบศีรษะที่ยามนี้มีลูกมะนาวลูกโตตั้งอยู่พร้อมมองไปทางบิดาพร้อมบ่นพึมพำ “เป็นอย่างที่คุณชายฉินเคยว่าไว้จริงด้วย คุยกับคนขาดสติมิสู้คุยกับคนบ้าดีกว่าหรอกรึ!

     

    เส้นเลือดโป่งพองสั่นขึ้นลงบนศีรษะของอวี้ฟานซือ “เจ้ากล้าด่าว่าข้าเป็นยิ่งกว่าคนบ้ารึ ?

     

    “ฮ่าๆ ไม่มีอันใด ท่านหูแว่วไปเองแล้ว”

     

    อวี้ฟานซือมองไปยังบุตรชายก่อนเอ่ยด้วยท่าทีจริง “เล่าต่อมาได้แล้ว เรื่องมันเป็นเช่นไรต่อหลังจากนายน้อยฉินสั่งของแปลกๆ”

     

    เมื่อเห็นสายตาของผู้เป็นบิดา อวี้หยวนก็รู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อยเพราะท่าทางที่จริงของบิดาเขาก็ไม่ค่อยได้เห็นนัก “ของแปลกๆที่คุณชายฉินสั่งนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของนรกที่แท้จริง เพราะหลังจากท่านออกเดินทางไป ข้าก็ไปรับใช้ตามที่ท่านสั่งแต่นายน้อยฉินผู้นี้กลับสั่งให้ข้ารวบรวมพืชและสัตว์แปลกๆหลากหลายชนิดมากมาย ถึงขนาดบางอย่างเป็นหญ้าข้างทางที่แม้แต่วัวควายก็ยังไม่กิน ข้าต้องรวบรวมลูกน้องมากมายไปรวบรวมวัตถุดิบต่างๆให้คุณชายฉิน เรียกว่าแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว”

     

    ครันนึกถึงความรู้แปลกประหลาดของชายหนุ่มก็ทำให้พอเข้าใจว่าชายหนุ่มผู้นี้ต้องมีความรู้มากมายเป็นแน่เพราะสังเกตจากการให้ลูกชายเขารวบรวมสิ่งของมากมายเพื่อทำสินค้าชนิดซึ่งบ่งบอกได้อย่างดีเลยว่านายน้อยฉินผู้นี้ย่อมต้องรู้ถึงคุณสมบัติของสิ่งที่ตนรวบรวมไว้อยู่แล้ว

     

    “แล้วเรื่องของเจ้าสิ่งที่เรียกว่า สบู่จี้หลิง มันเป็นมาอย่างไร ?

     

    อวี้หยวนหัวเราะเสียงดังก่อนเงียบ  “ฮ่าๆ ข้าไม่รู้”

     

    เมื่อเห็นสีหน้าของบิดาแดงขึ้นมา อวี้หยวนก็รีบเอ่ยขึ้น “ก็ข้าไม่รู้จริงๆขอรับ  หลังจากคุณชายฉินได้ส่วนผสมแปลกๆก็สร้างเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่จี้หลิงขึ้นมา แล้วกำหนดราคาซึ่งทางคุณชายฉินได้เจ็ดส่วนทางเราได้สามส่วน ซึ่งวัตถุดิบต่างๆคุณชายฉินก็ให้ทางเราจัดหามาให้”

     

    อวี้ฟานซือพยักหน้าเข้าใจว่ามันเป็นความลับในการผลิตเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่ พร้อมครุ่นคิดในใจว่าทำไมเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งถึงมีความรู้ต่างๆมากมายนักไม่เพียงแต่รู้วิธีเปลี่ยนทะเลเป็นเกลือ ยังวิธีทำเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่อีก “แล้วตกลงเจ้าสบู่จี้หลิงมันคืออะไรกันแน่ ?

     

    เมื่อได้ยินคำถามก็ทำไมผู้เป็นบุตรชายเบิกตากว้างก่อนจะส่ายหัวไปมาทำท่าทางราวกับเอือมระอาบิดา “ท่านไปอยู่หลุมไหนมา ทำไมถึงไม่รู้จักคุณค่าของสบู่จี้หลิง”

     

    เมื่อได้ยินคำยอกย้อยของบุตรชาย อวี้ฟานซือก็กัดฟันแน่นก่อนเอ่ย “เช่นนั้นเบี้ยเลี้ยงเดือนนี้ เจ้าหาเองแล้วกันนะ!

     

    ได้ยินว่าบิดาจะหักเงินก็ทำให้อวี้หยวนตกใจอย่างมากก่อนจะวิ่งมาด้านหลังบิดาแล้วนวดไหล่ไปมา “ฮ่าๆ ท่านล้อข้าเล่นแล้ว สบู่จี้หลิงมีสองประเภทคือเอาไว้ทำความสะอาดเสื้อผ้าหรือเครื่องเรือนและอีกชนิดเอาไว้ชำระร่างกายให้สะอาด ไม่เชื่อท่านพ่อลองดมข้าดูสิ มีกลิ่นหอมอ่อนๆติดอยู่ด้วย”

     

    อวี้ฟานซือพยักหน้าให้ผู้เป็นบุตรชายเพราะเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆมาจากร่างกายบุตรชายจริงๆทั้งที่ปกติด้วยร่างกายของคนอ้วนทำให้เหงื่อไคลที่ไหลออกมาสะสมจึงทำให้มีกลิ่นเหม็นที่ไม่พึงต้องการออกมา แต่ยามนี้ไม่เพียงไม่มีกลิ่นเหม็นใดออกมาจากร่างกายอวี้หยวนแต่ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกเหมยอีกด้วย

     

    “แล้วการค้าเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่เป็นเช่นไรบ้าง ?

     

    เมื่อได้ยินคำถามของบิดาก็ทำให้อวี้หยวนหัวเราะออกมา “ได้ยินแล้วท่านอย่าตกใจไปละ”

     

    “ทำไมรึ ? อวี้ฟานซือเงยหน้าขึ้นไปมองบุตรชายด้วยท่าทีประหลาด

     

    “เราขายสบู่ได้ทั้งหมดห้าพันตำลึงทอง ท่านเข้าใจรึไม่ เพียงหนึ่งอาทิตย์เราขายได้ถึงห้าพันตำลังทอง พอๆกับจำนวนที่เราทำการค้าทั้งปีเลยขอรับ”

     

    เสียงเก้าอี้ตัวโปรดล้มลงดังขึ้นเพราะผู้เป็นเจ้าของหอการค้าตะวันฉายลุกขึ้นทันทีเมื่อได้ยินถึงจำนวนเงินที่ขายสบู่ได้ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่แล้วมองลูกชาย  “ข้าจะไปพบนายน้อยฉิน ตอนนี้เลย!

     

    อวี้หยวนเอ่ยแนะนำบิดา “ท่านจะรีบไปไหน ข้าว่าท่านไปอาบน้ำแล้วลองใช้สบู่จี้หลิงดูก่อนแล้วค่อยไปก็ได้”

     

    “ได้ๆ ข้าจะรีบไปจัดการ เจ้าก็ให้คนเตรียมรถม้ารอไว้เลย” เอ่ยจบอวี้ฟานซือเดินออกจากห้องอย่างว่องไว

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×