ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #41 : การเอาคืนของฉินหลิง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.53K
      1.56K
      1 ก.ค. 62

    แคว้นต้าเหยียน จวนเจ้าเมืองไผ่เขียว

     

    แม่ทัพใหญ่ฉินเจินหลังจากเดินทางออกจากเมืองหลวงก็ได้แวะไปตรวจตรารอบเขตชายแดนที่ติดกับแคว้นต้าชิง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดการปะทะกันหลายครั้งในปีที่ผ่านมา ดังนั้นในฐานะของขุนพลใหญ่เขาจึงจำเป็นต้องเดินทางไปเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารและวางแผนการรบเพื่อป้องกันเหตุสงครามที่อาจปะทุได้ตลอดเวลาซึ่งกินเวลาไปหลานคืนกว่าเขาจะได้เดินทางกลับเมืองไผ่เขียว

     

    หลังจากได้กลับมายังเมืองในอาณาเขตของตนเอง ฉินเจินก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง จึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดเขาไม่อยู่เพียงไม่นานทำไมในเมืองแห่งนี้ถึงได้ครึกครื้นเช่นนี้

     

    ฉินเจินเดินลงจากรถม้าคันใหญ่ซึ่งมีทหารคุ้มกันมากมายที่มีธงตราพยัคฆ์โบกสะบัดพัดไปมา ก่อนจะเข้าไปนั่งพักภายในจวนเจ้าเมือง

     

    “พ่อบ้านอัน ในเมืองยามนี้เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ ?” แม่ทัพใหญ่เอ่ยถามผู้เป็นพ่อบ้านซึ่งเป็นคนทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยภายเมืองไผ่เขียวยามที่เขาไม่อยู่ด้วยความสงสัย

     

    พ่อบ้านอันรินน้ำชาให้ผู้เป็นนายก่อนจะเดินออกมาด้านข้างแล้วเอ่ย “ยามนี้ที่เมืองไผ่เขียวครึกครื้นเป็นเพราะมีหอการค้าแห่งหนึ่งคิดค้นสินค้ามหัศจรรย์ชนิดหนึ่งได้ขอรับ”

     

    “โอ้...มีเรื่องราวเช่นนี้ตอนที่ข้าไม่อยู่ด้วยรึ ?

     

    “ใช่แล้วขอรับ สิ่งนี้เรียกว่าสบู่จี้หลิง มันช่วยให้ชาวบ้านสะดวกสบายขึ้นและยังช่วยป้องกันโรคภัยได้ด้วย ผู้คิดค้นเจ้าสิ่งนี้ราวกับเป็นเทพเซียน และยังขายในราคาที่เหล่าชาวบ้านคนธรรมดาสามารถใช้จ่ายได้” พ่อบ้านอันเอ่ยด้วยสีหน้าที่แสดงความนับถือแก่เจ้าของสินค้ามหัศจรรย์ชนิดนี้

     

    ฉินเจินเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดกับท่าทีของพ่อบ้านอัน  ก่อนจะนึกสงสัยว่าทำไมพ่อค้าผู้นี้ถึงต้องทำอะไรเช่นนี้ด้วย เพราะส่วนมากพวกพ่อค้าหน้าเลือดเหล่านั้นต่างก็ต้องการผลกำไรมากที่สุดอยู่แล้ว เหตุใดถึงต้องขายสินค้าที่ดีเช่นนี้ให้กับผู้คนทั่วไปด้วย ซึ่งโดยทั่วไปหากไม่มีเขาที่เป็นเจ้าเมืองคอยควบคุมราคาบางประเภทเอาไว้ชาวบ้านก็คงถูกหอการค้าขูดรีดเงินทองเป็นจำนวนมาก

     

    “แล้วเหตุใดหอการค้าแห่งนั้นจึงไม่ขายเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่จี้หลิง ในราคาสูงเล่า ในเมื่อมันมีคุณค่ามากมายตามที่เจ้าว่ามา ?

     

     เมื่อเห็นผู้เป็นนายมีสีหน้าสงสัย พ่อบ้านยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วอธิบายออกมา “สิ่งที่เรียกว่า สบู่จี้หลิง นั้นมีสองชนิดคือชนิดที่เอาไว้ทำความสะอาดเสื้อผ้าและสิ่งของเครื่องใช้ซึ่งเจ้าสิ่งนี้ช่วยให้เหล่าชาวบ้านและบ่าวสตรีได้อย่างยิ่ง แถมยังช่วยให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมอ่อนๆโดยไม่ต้องใช้เครื่องหอมอีกด้วย และอีกชนิดหนึ่งคือสบู่ที่เป็นที่นิยมอย่างมากซึ่งเอาไว้ใช้ถูตัวทำความสะอาดร่างกาย จากคำบอกกล่าวของหอการค้าแห่งนี้ได้เอ่ยว่าสามารถทำลายสิ่งที่เรียกว่าเชื้อโรคได้อีกด้วยขอรับ”

     

     “เชื้อโรครึ มันคือสิ่งใด เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” ฉินเจินถามออกมาอย่างสงสัยเพราะตัวเขาที่อยู่มาอย่างยาวนานกับไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งที่เรียกว่า เชื้อโรค แม้แต่ครั้งเดียว แล้วเหตุใดหอการค้าเล็กๆแห่งหนึ่งถึงรู้จักเจ้าสิ่งนี้ได้ หรือจะกุเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกลวงชาวบ้าน

     

    “ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินเช่นกันขอรับ  แต่จากคำกล่าวอ้างที่หอการค้าแห่งนั้นเอ่ยคือ เจ้าสิ่งที่เรียกว่าเชื้อโรค มันคือสิ่งที่ก่อโรคทำให้ผู้คนเจ็บป่วย”

     

    ดวงตาของแม่ทัพใหญ่เบิกกว้างด้วยความตกใจเพราะโรคภัยไข้เจ็บมักเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างช้านานและเป็นสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ แต่แล้วอยู่ๆมีคนมากล่าวขานว่าสามารถกำจัดสิ่งที่คอยทำให้ผู้คนเจ็บป่วยได้ย่อมต้องสร้างความตกตะลึงแก่ผู้เป็นแม่ทัพ

     

    ด้วยความเชื่อจากธาตุทั้งห้าภายในร่างกายมนุษย์ หากมีธาตุใดขาดความสมดุลก็จะก่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บและต้องปรับสมดุลด้วยการกินยาหรือสมุนไพรต่างๆเพื่อให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม จากคำสอนที่มีมากว่านับพันปีกลับถูกหอการค้าแห่งหนึ่งมาทำลายโดยกล่าวอ้างว่าสิ่งที่เรียกว่า เชื้อโรค ต่างหากเป็นตัวทำให้ก่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา

     

    ฉินเจินสูดลมหายใจแน่นก่อนเอ่ยถามพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วเรื่องราวมันเป็นเช่นไร มันสามารถรักษาโรคได้จริงรึไม่ ?

     

    พ่อบ้านอันส่ายหัวเล็กน้อย “จากที่ผู้ผลิตบอกมาสิ่งที่เรียกว่าสบู่จี้หลิงนั้น ไม่สามารถรักษาโรคได้ขอรับ เพียงแต่ช่วยป้องกันได้ แต่มีคนผู้หนึ่งที่เป็นหมาเฟินปิ้ง (โรคเรื้อน) ที่เหล่าชาวบ้านต่างรังเกียจและไม่อยากอยู่ใกล้  ซึ่งแม้แต่หมอชื่อดังก็ไม่อาจรักษาหาย ได้ลองใช้เจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่จี้หลิง จนรอยแผลที่น่ารังเกียจตามตัวต่างก็เริ่มหายไป จึงทำให้คนผู้นั้นไปคุกเข่าหน้าหอการค้าแห่งนั้น สร้างความตื่นตกตะลึงแก่ผู้คนเป็นอย่างยิ่งขอรับ ”

     

    ฉินเจินเองก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เรียกขานกันว่าสบู่อย่างยิ่งก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุใดพวกเขาเหล่านั้นถึงต้องเอาของวิเศษเช่นนั้นมาขายในราคาต่ำด้วย ?

     

    “เรื่องนี้ข้าก็มิทราบ  แต่จากการที่หอการค้าแห่งนี้ขายสินค้าในราคาไม่สูง ก็ทำให้ได้รับความนับหน้าถือตาจากผู้คนอย่างยิ่ง ”

     

    “หรือว่าจะเป็นเพราะต้องการชื่อเสียง แล้วหอการค้าแห่งนี้ มีที่มาเป็นเช่นไร ?

     

    “หอการค้าแห่งนี้มีชื่อว่า หอการค้าตะวันฉาย เปิดในเมืองไผ่เขียวมาสิบกว่าปีและเป็นเพียงหอการค้าธรรมดาแห่งหนึ่ง ที่ดีหน่อยก็คือสามารถทำการค้าเกลือกับเหมืองแร่เกลือแห่งหนึ่งได้เท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษขอรับ”

     

    จากคำอธิบายของพ่อบ้านอันก็ทำให้ผู้เป็นแม่ทัพสับสนยิ่งขึ้น หอการค้าแห่งหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองไผ่เขียวมาอย่างสงบเป็นสิบปี แต่เหตุใดถึงคิดค้นสิ่งที่มหัศจรรย์เช่นนี้ได้ หรือเจ้าของหอการค้าผู้นี้บังเอิญค้นพบสมบัติจากเหล่าเทพเซียนขึ้นมา เพราะนี้พอจะเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่พออธิบายถึงอภินิหารต่างๆจากสินค้าชนิดนี้ได้

     

    “เอาเถอะ เรื่องนี้หากไม่ได้ก่อเกิดผลเสียอะไรก็ดีแล้ว แถมการขายในราคาไม่สูงเช่นนี้ยังเป็นการช่วยผู้คนและเหล่าชาวบ้านก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้าของหอการค้าผู้นี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ”

     

    เมื่อเห็นผู้เป็นนายตัดสินใจเช่นนี้ก็ทำให้พ่อบ้านอันยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ย “ข้าก็เห็นด้วยขอรับ เจ้าของหอการค้าผู้นี้ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง มิเช่นนั้นเขาคงไม่ขายสินค้ามหัศจรรย์ในราคาถูกเช่นนี้ และหอการค้าได้ส่งสบู่จี้หลิงมาให้ท่านลองใช้ด้วยขอรับ แถมเอ่ยย้ำกับข้าอีกว่าให้เฉพาะท่านแม่ทัพเท่านั้น ข้าว่าสบู่ที่ส่งมาคงพิเศษไม่น้อยเลยทีเดียว”

     

    ฉินเจินได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเบาๆก่อนคิดว่าเจ้าของหอการค้าผู้นี้ก็ไม่เลวเลย รู้จักประจบเขาที่เป็นคนดูแลเมืองไผ่เขียว

     

    เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายยิ้มและพยักหน้าพอใจ พ่อบ้านก็เอ่ยขึ้นมา “นายท่านเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย เช่นนั้นไปอาบน้ำก่อนเถอะขอรับ ข้าได้เตรียมน้ำไว้แล้ว”

     

    ในห้องอาบน้ำใหญ่โตภายในจวนเจ้าเมือง มีอ่างไม้ขนาดใหญ่ตั้งไว้อยู่ใจกลางห้อง แต่ขาดคนคอยดูแลอาบน้ำให้ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ซึ่งแตกต่างจากตระกูลอื่นๆอย่างยิ่ง เพราะฉินเจินเติบโตมาจากครอบครัวชาวบ้านธรรมดาและเป็นทหารจึงรู้สึกว่าการที่ต้องมีคนมาอาบน้ำให้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนคนพิการที่ทำอะไรเองไม่เป็น จึงออกเป็นกฎบ้านว่าผู้เป็นนายในตระกูลฉินห้ามให้บ่าวปรนนิบัติภายในห้องอาบน้ำ ดังนั้นคนตระกูลฉินจึงไม่มีบ่าวรับใช้ในเวลาอาบน้ำสักคน

     

    แม่ทัพใหญ่มองดูก้อนสีชมพูอ่อนที่เรียกว่าสบู่จี้หลิงด้วยความสนใจ ก่อนจะพรมน้ำให้ร่างกายเปียกชื้นแล้วจึงน้ำสบู่ทั้งก้อนมาถูตามตัว

     

    กลิ่นหอมอ่อนๆของกุหลาบระเหยออกมาทำให้ผู้เป็นแม่ทัพรู้สึกชื่นชอบนัก เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้คนถึงติดใจกับสิ่งที่เรียกว่าสบู่นี้นัก

     

    เมื่อทั้งตัวของฉินเจินเต็มไปด้วยฟองสีขาว ความรู้สึกเหมือนมีมดแมลงไต่ไปมาตามลำตัวก็ทำให้ผู้เป็นแม่ทัพรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พลางคิดว่านี้อาจจะเป็นสรรพคุณพิเศษของสบู่ชนิดนี้

     

    ผ่านไปชั่วครู่อาการคันก็หนักยิ่งขึ้นจนผู้เป็นแม่ทัพใหญ่เริ่มทนไม่ไหวจนต้องเอามือเกาไปทั่วทั้งตัว และคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขาฟอกตัวไว้นานเกินจึงรีบตักเอาน้ำมาล้างตัวอย่างรวดเร็ว

     

    หลังจากล้างตัวเสร็จสิ้น อาการคันก็ไม่ได้หายไปแม้แต่น้อย แต่ยิ่งคันมากขึ้นไปอีกจนฉินเจินต้องเอามือเกาไปทั่วทั้งตัว จนร่างกายที่เต็มไปด้วยหมัดกล้ามของผู้เป็นแม่ทัพแดงเถือกขึ้นมา

     

    ตู้มมม!!!

     

    ด้วยความเจ็บปวดที่ทำให้เขาคันจนแทบไม่ไหวก็ปลดปล่อยพลังปราณสีน้ำเงินเข้มออกมา ส่งผลให้เครื่องมือเครื่องใช้และอ่างไม้ใบใหญ่ภายในห้องอาบน้ำกระเด็นทุกทิศทางและแตกหัก

     

    พ่อบ้านอันและเหล่าข้ารับใช้ที่ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นภายในห้องอาบน้ำก็พากันตื่นตกใจ  พ่อบ้านอันที่ได้สติอย่างรวดเร็วที่สุดก็รีบวิ่งเข้าไปกระแทกประตูห้องน้ำด้วยพลังปราณสีฟ้าจนส่งผลให้ประตูห้องน้ำระเบิดออกมา ทำให้เศษไม้กระเด็นไปทุกทิศทาง แต่ภายในห้องอาบน้ำสิ่งที่ปรากฏขึ้นคือ ผู้เป็นนายของตนที่เปลือยกายกำลังเกาไปมาทั่วร่างกายด้วยสีหน้าทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง และรอบกายมีเศษซากที่เกิดจากการระเบิดพลังของแม่ทัพใหญ่

     

    “นะ...นายท่าน เกิดอะไรขึ้นขอรับ ?” พ่อบ้านเอ่ยถามด้วยความสับสนเมื่อเห็นร่างกายผู้เป็นนายเต็มไปด้วยรอยเล็บที่เกาไปมาทั่วทั้งตัว

     

    “คัน  ข้าคันอย่างยิ่ง คันไปทั่วทั้งกาย  เจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่มันกำลังจะฆ่าข้าแล้ว” ฉินเจินตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงเต็มไปมาด้วยความทุกข์ทรมาน

     

    “นายท่านลองปล่อยปราณออกทางผิวกายรึยังขอรับ ?

     

    เมื่อได้ยินคำแนะนำจากผู้เป็นพ่อบ้าน ฉินเจินก็ปล่อยพลังปราณออกจากภายในร่างกายเพื่อขับพิษที่รอบผิวกาย หลังจากเขาปล่อยพลังไปชั่วครู่อาการคันก็หายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างรวดเร็ว

     

    เมื่อเห็นผู้เป็นนายอาการหายเป็นปกติก็ทำให้พ่อบ้านถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะยามที่เขาได้ยินเสียงระเบิดพลังในห้องอาบน้ำ ทำให้เขาตกใจอย่างยิ่งและคิดว่ามีคนมาลอบสังหารผู้เป็นเจ้านายตน จึงเผลอปลดปล่อยพลังออกมาจนทำให้เหล่าบ่าวรับใช้ที่เป็นเพียงคนธรรมดาสลบไม่ได้สติไปหลายคน

     

    “ไปรอหน้าห้องโถง ข้าแต่งกายเสร็จแล้วจะตามออกไป”  ฉินเจินเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าดำคล้ำราวกับเบื้องหน้าคือศัตรูตัวฉกาจที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีกต่อไป

     

    ผ่านไปไม่นาน ฉินเจินที่แต่งกายเสร็จสิ้นก็เดินออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึมซึ่งขัดกับทั่วทั้งร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน หากจะกล่าวว่าแม่ทัพใหญ่ไปกัดกับสุนัขมาก็แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย

     

    “ข้าจะไปถล่มหอการแห่งนั้น บังอาจส่งยาพิษมาลอบสังหารข้า”

     

    พ่อบ้านอันเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าลังเล “ใจเย็นก่อนขอรับนายท่าน อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้ขอรับ สบู่จี้หลิงมีการใช้ทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดเกิดเหตุเช่นท่านเลยนะขอรับ”

     

    ฉินเจินขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา “สบู่จี้หลิง...หลิง  ฉินหลิง ” เอ่ยจบผู้เป็นแม่ทัพก็หันไปทางพ่อบ้านแล้วเอ่ยเสียงดัง “สตรีของเจ้าหลานสารเลวที่ข้าให้เจ้าไปสืบมามีชื่อว่าอะไร ?

     

    เมื่อได้ยินคำถามของผู้เป็นนาย พ่อบ้านประจำจวนเจ้าเมืองก็เอ่ยออกมา “สตรีผู้นั้นมีนามว่าถานอวี้จี้ บ้านเดิมอยู่หมู่บ้านโคเขียวห่างจากเมืองไผ่เขียวไม่ไกลนัก เกิดจากมารดานางที่คิดว่าลี้ภัยจากสงครามแต่สูญเสียบิดาไป หน้าตางดงามราวกับนางเซียนสวรรค์ ข้าคิดว่าไม่น่าจะใช้สายลับจากแคว้นศัตรูขอรับ”

     

    คำอธิบายของพ่อบ้านไม่ได้เข้าหูของแม่ทัพเลยแม้แต่น้อยหลังจากได้ยินชื่อของถานอวี้จี้

     

    ปัง!!! โต๊ะไม้เนื้อดีแตกหักออกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากแม่ทัพกระแทกมือลงโต๊ะด้วยสีหน้ามืดครึ้มส่งผลให้เหล่าบ่าวรับใช้โดยรอบเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา

     

    ฉินเจินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สบู่จี้หลิง  จี้จากถานอวี้จี้ หลิงจากฉินหลิง เจ้าต้องการบอกข้าเช่นนี้สินะเจ้าเด็กน้อย”

     

    พ่อบ้านอันที่ยืนอยู่ด้านข้างจากสีหน้าสงบก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงพร้อมคิดไม่ถึงเลยว่าสินค้ามหัศจรรย์เช่นนี้จะมีที่ไปที่มาจากนายน้อยของตนเอง พร้อมนึกถึงข้อความสุดท้ายก่อนที่ฉินหลิงจะออกจากเมืองไผ่เขียว

     

    ตาแก่ฉินเจิน ท่านกล้าทำแบบนี้กับข้า รอการเอาคืนจากข้าได้เลย

     

    ผ่านไปชั่วครู่ ผู้เป็นเจ้าของเมืองไผ่เขียวถอนหายใจแล้วยิ้มบิดเบี้ยวออกมาพลางเอ่ยกับตัวเอง “พยัคฆ์เฒ่าอย่างข้าโดนเสือตัวน้อยอย่างเจ้าลอบกัดเข้าให้แล้วสินะ ช่างขายหน้าเสียจริง”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×