ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #42 : เมืองท่าชินโจว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.33K
      1.45K
      1 ก.ค. 62


    หลังจากอวี้ฟานซือได้พบกับฉินหลิงเมื่อครั้งกลับจากไปดูที่ดินติดชายทะเล  เขาก็ได้สั่งให้บุตรชายรับหน้าที่ดูแลการสร้างสิ่งของตามแบบแปลนที่นายน้อยฉินมอบให้มา ส่วนตัวเขาก็จัดการงานเอกสารบัญชีอย่างเร่งด่วนเพราะครั้งนี้เขาต้องเดินทางไปพร้อมฉินหลิงอีกคราเพื่อลงทุนการค้าเกลือครั้งใหญ่  ซึ่งในตอนแรกเขาก็กังวลใจไม่น้อยว่าเงินทุนของหอการค้าตะวันฉายจะเพียงพอหรือไม่และเริ่มไม่อยากเสี่ยงกับการค้าเกลือที่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงรึไม่  แต่หลังจากได้เห็นปาฏิหาริย์ที่ชายหนุ่มผู้นั้นสร้างขึ้นเขาก็เชื่อสนิทใจเลยว่าการทำให้ทะเลกลายเป็นเกลือนั้นไม่ใช่การกล่าวคำเท็จแน่นอน

     

    ห้าวันผ่านไป หน้าบ้านหลังใหญ่ทางทิศตะวันตกของเมืองไผ่เขียวที่แขวนไว้ด้วยป้ายไม้สลักอักษรตัวใหญ่ด้วยคำว่า ตระกูลฉิน มีรถม้าและเกวียนลากอีกนับสิบที่มีธงรูปดวงตะวันสีแดงจอดอยู่ด้านหน้าประตู

     

    ผ่านไปชั่วครู่ ประตูบานใหญ่เปิดออกมีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา ซึ่งสร้างความสนใจให้แก่เหล่าคนงานและทหารรับจ้างที่เจ้าของหอการค้าตะวันฉายจ้างมาคุ้มกันขบวนการค้าในครานี้ไม่น้อย

     

    ชายหนุ่มร่างผอมที่มีหน้าตาค่อนข้างหล่อเหลาซึ่งก็คือฉินหลิงเดินนำออกมา ตามติดมาด้วยองครักษ์ประจำตัวหมิงฮ่าวที่เดินตามมาอย่างใกล้ชิด และสตรีทั้งสามที่อาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน

     

    เมื่อเดินออกมาภายนอกบ้านหลังใหญ่ ลมหนาวที่พัดเข้ามาทำให้ฉินหลิงรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันที ก่อนจะหันกลับไปมองถานอวี้จี้แล้วเอ่ย “เจ้ามาส่งข้าแค่นี้ก็พอแล้ว อากาศด้านนอกหนาวยิ่งนักเจ้าเข้าไปผิงไฟในเรือนเถอะ”

     

    ถานอวี้จี้หยิบผ้าพันคอสีส้มที่สวยงามผืนหนึ่งมาโอบรอบคอของชายหนุ่มก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “ท่านเดินทางดีๆนะเจ้าคะ ข้ารู้ว่าเป็นเพราะข้า ท่านจึงต้องออกมาลำบากมากมายขนาดนี้ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครองท่านให้ปลอดภัย”

     

    ฉินหลิงส่ายหัวเบาๆราวกับไม่เชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆก่อนจะเข้าไปโอบกอดหญิงสาวแล้วเอ่ยเบาๆที่ใบหู “เพื่อให้เจ้าได้อยู่สุขสบายถึงจะเหนื่อยลำบากมากกว่านี้ข้าก็ยอม ครั้งนี้ข้าอาจไปเป็นเวลานานเจ้าจงรักษาตัวให้ดี”  เอ่ยเสร็จฉินหลิงก็หันหลังเดินขึ้นรถม้าคันใหญ่ทันทีเพราะเขาไม่อยากเห็นหยดน้ำตาของหญิงสาวผู้เป็นที่รักของเขา

     

    หลังรถม้าเคลื่อนไปจนสิ้นสุดสายตา ถานอวี้จี้ที่อดกลั้นมานานก็ปล่อยหยดน้ำออกมาพลางเข้าไปกอดผู้เป็นมารดา “นายน้อยฉินเขาต้องลำบากเพราะข้ามากมาย ท่านแม่ข้ารู้สึกผิดต่อเขายิ่งนัก”

     

    ถานฮูหยินลูบหัวบุตรสาวเบาๆก่อนจะเอ่ย “เจ้าโชคดีมากแล้วรู้รึไม่ จะมีบุรุษสักกี่คนที่ยอมเสียสละทุกสิ่งเพียงเพื่อสตรีผู้หนึ่งได้ โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ผู้ชายสามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้ ตระกูลฉินไม่ธรรมดาเลยจริงๆที่สามารถเลี้ยงเด็กเช่นนี้มาได้ ”

     

    หลังจากถานซงอวิ้นได้สังเกตุเห็นว่าที่ลูกเขยพยายามทดลองทำสิ่งแปลกๆภายในเรือนมากมาย คราแรกเธอเองก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเธอและเสี่ยวหลู่ก็บังเอิญรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าสบู่เมื่อครั้งพวกเธอได้ไปเดินเล่นภายในเมืองไผ่เขียว ซึ่งฉินหลิงได้ให้พวกเธอได้ทดลองใช้กันมาก่อนจะเอามาขายหลายวันแล้ว พวกเธอก็อดนึกไม่ได้เลยว่าสบู่ที่พวกเธอใช้กันจะทำเงินให้ฉินหลิงมากเท่าใดกันนะ ในคราแรกถานซงอวิ้นก็รู้สึกประทับใจกับความสามารถมหัศจรรย์และกลิ่นหอมของเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่อย่างยิ่ง เพราะขนาดในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ไม่มีสิ่งประดิษฐ์เช่นนี้ จึงทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้ถึงกับมีความสามารถมากมายนักรวมไปถึงการที่เด็กหนุ่มจะเดินทางไปเมืองทางเพื่อทำการค้าเกลือ ซึ่งเธอได้ยินมาจากปากฉินหลิงเองว่าเขาสามารถเปลี่ยนทะเลเป็นเกลือได้  ยิ่งทำให้เธอตกตะลึงเพราะในช่วงเวลาที่เธอยังเป็นผู้ฝึกตนอยู่เธอเองก็ยังไม่เคยเห็นผู้ฝึกตนคนใดที่สามารถเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นเกลือได้ แล้วเพราะเหตุใดมนุษย์ปุถุชนผู้หนึ่งถึงมีความสามารถมากมายถึงเพียงนี้

     

    ภายในรถม้าคันใหญ่มีบุรุษสองคนนั่งอยู่ด้วยกันซึ่งก็คืออดีตนายน้อยตระกูลฉินและหมิงฮ่าวที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้เป็นนาย

     

    “พี่หมิง ท่านไปจัดการเรื่องที่ข้าบอกเรียบร้อยรึยัง ?

     

    “ข้าได้ทำการว่าจ้างทหารรับจ้างฝีมือดีให้ทำการการคุ้มกันโดยรอบบ้านพักของเราแล้วขอรับ”

     

    “แล้วทหารรับจ้างเหล่านั้นเชื่อถือได้รึไม่ ?” ฉินหลิงเอ่ยด้วยสีหน้ากังวลใจอย่างยิ่งเพราะเขาต้องเดินทางไกลทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจที่ไม่มีคนคอยอยู่ดูแลภายในเรือนของเขา จึงใช้ให้องครักษ์หมิงไปหาคนมาคุ้มกันในช่วงเวลาที่เขากำลังเดินทางไปเมืองท่าชินโจว

     

    หมิงฮ่าวหยักหน้ายืนยันให้แก่ผู้เป็นนาย “ไม่ต้องกังวลขอรับ ทหารรับจ้างเหล่านั้นเป็นมือดีที่เชื่อถือได้ มีครั้งหนึ่งที่ทางจวนเจ้าเมืองได้ส่งข้าออกไปทำภารกิจ ข้าจึงได้มีโอกาสรู้จักและสนิทสนมกับหัวหน้าทหารรับจ้างผู้นั้น ดังนั้นข้ารับรองได้เลยว่าจะไม่มีอันตรายใดกับนายหญิงน้อยได้แน่นอนขอรับ”

     

    เมื่อได้รับคำยืนยันจากหมิงฮ่าว ฉินหลิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเพียงแต่มองออกไปนอกรถม้าที่ไม่มีความหรูหราดั่งเช่นรถม้าตระกูลฉินที่เขาเคยนั่งอยู่เป็นประจำและมีเจ้าบ่าวตัวน้อยลู่ชิงนั่งตะโกนไร้สาระอยู่ด้านหน้า

     

    ผ่านไปสี่วันอย่างรวดเร็ว การเดินทางของขบวนการค้าก็ใกล้ถึงเมืองท่าชินโจวแล้ว เพียงแต่ยามนี้ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ในรถม้าคันใหญ่แทนที่จะเป็นอวี้ฟานซือผู้เป็นเจ้าของกิจการหอการค้าตะวันฉายซึ่งสร้างความงุนงงให้แก่ทหารรับจ้างที่เดินทางมาคุ้มกันไม่น้อย แต่สำหรับคนงานของหอการค้าต่างก็รับรู้อยู่ภายในใจแล้วว่าเจ้านายตนทำงานให้แก่อดีตนายน้อยตระกูลฉินผู้นี้จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรออกมา

     

    อวี้ฟานซือมองดูนายน้อยฉินที่ยามนี้กำลังเอามือไปเล่นทราย แลดูอาการดีใจที่ไม่ต่างจากเด็กน้อยผู้หนึ่งก็ทำให้เขาสับสนนักพลางคิดในใจ บ้านท่านไม่มีทรายให้เล่นรึยังไง ถึงมาดีใจกับการได้เจอทรายแบบนี้

     

    เมื่อมองไปโดยรอบก็พบพื้นที่แห้งแล้งแห่งหนึ่งที่มีหญ้าขึ้นเป็นหย่อมๆ แต่ก็ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติเพราะพื้นที่แห่งนี้ก็ไม่ได้ไกลจากชายฝั่งทะเลนัก ดังนั้นการจะพบดินทรายแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร แต่นายน้อยฉินผู้นี้ต้องผิดปกติเป็นแน่ กับการเห็นทรายขาวแล้วดีอกดีใจมากขนาดนี้

     

    เจ้าของหอการค้าที่เห็นขบวนรถม้าหยุดนานแล้วจึงเดินลงไปหาฉินหลิงพร้อมกับฝืนยิ้มออกมา

    “นายน้อยฉิน มีอะไรกับพื้นที่แห่งนี้รึขอรับ” อวี้ฟานซือเอ่ยถามอย่างมีมารยาทถึงแม้ภายในใจอยากจะบ่นออกมาว่าการเดินทางครั้งนี้ก็ช้ามากอยู่แล้ว ทำไมท่านถึงยังมีอารมณ์มาดูดินทรายที่แห้งแล้งแห่งนี้อีก

     

    “ข้าต้องการที่ดินแห่งนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีทรายขาวพวกนี้” ฉินหลิงเอ่ยออกมาโดยไม่ได้หันไปดูใบหน้าที่บิดเบี้ยวของอวี้ฟานซือแม้แต่น้อย

     

    “ท่านต้องการที่แห่งนี้ไปทำไมกัน แม้แต่หญ้ายังโตไม่ได้เลย แล้วเราจะเอาไปปลูกอะไรได้ขอรับ” ชายอ้วนเอ่ยออกมาอย่างสงสัยเพราะเหตุใดชายหนุ่มถึงได้ให้ความสำคัญกับทรายขาวพวกนี้นัก แต่ในยุคสมัยนี้การมีที่ดินส่วนมากหากไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่เพื่อสร้างที่พัก ก็เอาไว้สำหรับเพาะปลูกพืชเท่านั้น ดังนั้นภาษีสำหรับพื้นที่เพาะปลูกที่ต้องจ่ายให้ทางการก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของดิน ยิ่งดินมีสีดำเข้มภาษีที่ต้องจ่ายก็สูงเพราะถือว่าเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ แต่ก็มักคุ้มค่ากับผลผลิตที่ได้รับ ดังนั้นแล้วดินทรายที่ไม่สามารถปลูกอะไรได้เลยจึงไม่มีผู้คนให้ความสนใจ

     

    “ข้าได้สินค้าชนิดใหม่อีกแล้วละ” ฉินหลิงยิ้มออกมาพลางมองออกไปไกล  

     

    เมื่อได้ยินคำกล่าวของชายหนุ่ม อวี้ฟานซือก็เบิกตากว้างอย่างช่วยไม่ได้ ครั้งที่แล้วก่อนที่เขาจะออกเดินทางเขาก็ได้ยินแบบนี้ก่อนเดินทางและเมื่อยามกลับมาชายหนุ่มก็สร้างความตกตะลึงให้แก่เขาจนแทบหัวใจวาย และตอนนี้เขาก็ยังได้ยินกล่าวนี้อีกครั้ง

     

    เสียงสั่นของอวี้ฟานซือเอ่ยขึ้น “ทะ...ท่านต้องการทำอะไรอีกรึขอรับ ?

     

    ฉินหลิงหัวเราะเบาๆก่อนจะเอ่ยตอบ “ทรายพวกนี้มีชื่อเรียกว่า ทรายแก้ว มันเป็นส่วนผสมหลักสำหรับทำกระจกหรือแก้วไงละ”

     

    หมิงฮ่าวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เผยสีหน้าสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม “กระจกทำจากทองเหลืองมิใช่รึขอรับ ส่วนแก้วก็ส่วนมากทำจากไม้หรือไม่ก็พวกเครื่องดินเผาที่ตระกูลร่ำรวยเขาใช้กัน แล้วทรายขาวแบบนี้จะทำกระจกหรือแก้วได้อย่างไรขอรับ ?

     

    “มันมิได้เรียกว่าทรายขาว แต่มันคือทรายแก้วต่างหาก ส่วนวิธีการผลิตเอาไว้ทดลองอีกครั้ง ในที่สุดข้าก็ได้ขวดไว้ใส่น้ำหอมซักที การเดินทางครั้งนี้ได้ประโยชน์มากกว่าที่คาดแล้ว” ฉินหลิงเอ่ยพลางเอามือลูบคางไปมาราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง

     

    หมิงฮ่าวและอวี้ฟานซือต่างก็ไม่เข้าใจในตัวฉินหลิงแม้แต่น้อย แต่พวกเขาย่อมทราบดีว่านายน้อยผู้นี้ย่อมไม่ได้มีการคิดอ่านเฉกเช่นคนธรรมดา  ดังนั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงทำตามสิ่งที่ชายหนุ่มสั่งเท่านั้น

     

    “เช่นนั้นหลังจากท่านเดินทางไปถึงเมืองท่าชินโจว ท่านก็ไปทำเรื่องซื้อที่ดินแห่งนี้ในที่ทำการก็แล้วกัน ข้าว่าที่ดินไร้ประโยชน์เช่นนี้ราคาคงไม่สูงนัก ไม่แน่เจ้าเมืองอาจจะยกให้ท่านเลยก็ได้ เพราะจะได้เก็บภาษีเพิ่มขึ้น” อวี้ฟานซือเอ่ยแนะนำออกมาเพราะเขาพอเข้าใจได้ว่าเจ้าเมืองชินโจวคงอยากได้เงินเพิ่มไม่น้อยเพียงแต่ที่ดินแห้งแล้งแถมยังไม่ติดชายทะเลจะมีซักกี่คนที่ต้องการที่ดินที่ไร้ประโยชน์แบบนี้

     

    “เอาละ ช้ามามากแล้ว เราไปกันต่อเถอะ” เอ่ยจบฉินหลิงเดินทางขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้อวี้ฟานซือและหมิงฮ่าวยืนงงอยู่ว่าเหตุใดท่านคิดจะลงก็ลงมาดูอย่างฉับพลันปล่อยให้ขบวนรถม้าหยุดรอแล้วพอจะไปก็ไปอย่างรวดเร็วจนเหล่าคนงานทำตามไม่ทัน ทำไมอารมณ์ท่านถึงแปรปรวนเร็วนัก

     

    ผ่านไปอีกหนึ่งคืน ยามเหม่า(05.00 -  06.59 น.) ขบวนรถม้าก็ได้เดินทางมาถึงเมืองท่าชินโจว  เมืองที่ใหญ่มากสุดที่ติดอยู่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของแคว้นต้าเหยียน

     

    สายลมอ่อนๆที่แฝงไปด้วยความหนาวเย็นของฤดูเหมันต์และกลิ่นอายความเค็มจากท้องทะเลที่พัดเข้ามาสู่ใบหน้าของผู้คน ทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นอย่างหนึ่ง

     

    รถม้าขบวนใหญ่ที่เดินเข้ามาภายในเมืองท่าชินโจว ซึ่งภายในเมืองแห่งนี้ไม่มีการเก็บค่าเข้าเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ชาวประมงที่ต้องการนำเรือมาขึ้นท่าต้องจ่ายภาษีและนั้นก็เป็นเหตุให้ราคาอาหารทะเลสูงขึ้นเพราะภาษีมักถูกนับไปในตัวอาหารทะเลแล้ว

     

    เมืองท่าชินโจวไม่ได้เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบดั่งเช่นเมืองไผ่เขียวแต่เป็นเมืองที่สร้างไว้สำหรับเป็นท่าเทียบเรือ ซึ่งก็มีเรือน้อยใหญ่ต่างกัน แต่เรือขนาดใหญ่สุดก็ใหญ่เพียงสามารถจุคนได้ไม่กี่สิบคนเท่านั้น ในเวลานี้เขาเองก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมแคว้นต่างๆถึงไม่นิยมสงครามทางท้องทะเล เพราะความสามารถในการต่อเรือของคนในโลกแห่งนี้มีน้อยเกินไป

     

    หลังจากฝากรถม้าและทรัพย์สินต่างๆไว้ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งซึ่งเขาได้สั่งให้เหมาเอาไว้เป็นเวลาหนึ่งเดือนก็สร้างความดีอกดีใจให้เถ้าแก่อย่างยิ่ง  เขากับหมิงฮ่าวจึงเดินออกจากโรงเตี๊ยมกันเพียงลำพัง ปล่อยให้อวี้ฟานซือเป็นคนจัดการเรื่องอื่นๆไป

     

    ผ่านไปไม่นานแสงแดดก็สาดส่องออกมาทำให้อุณหภูมิที่หนาวเย็นของฤดูหนาวอบอุ่นขึ้น ส่งผลให้ผู้คนออกมาค้าขายกันเต็มท่าเทียบเรือ เพียงชั่วครู่จากท่าเทียบเรือที่เงียบเหงาซึ่งมีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่เดินอยู่ก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากเสียงตะโกนของชาวบ้านที่เริ่มทำมาค้าขายกัน

     

    ภาพบรรยากาศการค้าขายชนิดนี้ก็สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้แก่ชายหนุ่มไม่น้อย เพราะตัวเขาเองก็เคยเป็นพนักงานขายของบริษัทแห่งหนึ่งเช่นกัน แต่เขากลับยังไม่เคยลองไปเดินขายของหรือเปิดร้านขายสินค้าเฉกเช่นเหล่าชาวบ้านในเมืองท่าแห่งนี้เลย

     

    หมิงฮ่าวที่เห็นผู้คนเดินกันพลุงพล่านก็เดินเข้ามาเบื้องหน้าฉินหลิง “ผู้คนมากมายนัก ข้าว่าเรากลับกันก่อนดีรึไม่”

    ฉินหลิงยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่เป็นไรหรอก ส่วนมากก็เป็นชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เราไปเดินเล่นผ่อนคลายกันเถอะ อยู่บนรถม้านานๆก็ปวดเมื่อยไม่น้อย ”

     

    เมื่อเห็นผู้เป็นนายไม่เห็นด้วยหมิงฮ่าวก็พยักหน้าด้วยความจนใจพลางมองไปรอบๆด้วยความระวังเพราะเขาไม่ต้องการให้เกิดการลอบสังหารขึ้นอีก

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×