ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #49 : การตัดสินใจของเจ้าเมืองชินโจว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17.93K
      1.49K
      7 ก.ค. 62

    เมื่อได้ยินคำพูดของที่ปรึกษาชรา หลิวชิงหวินที่แสดงสีหน้าเคร่งเครียดก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ราวกับใช้พลังชีวิตหมดไปมากมาย  ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของทายาทตระกูลฉินตั้งแต่ฉินหลิงเริ่มเผาร้านค้าทาสภายในเมืองของเขาไปจนถึงบทสนทนาที่ชายหนุ่มชวนเขาเข้าร่วมเพื่อกำจัดสถานะออกจากแคว้นแห่งนี้ และเรื่องที่เขาส่งขุนนางตระกูลเกาจากเมืองหลวงไปลองใจเด็กหนุ่มจนถูกทำร้ายกลับมาและทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตเช่นนี้

     

    หลังเอ่ยจบหลิวซีอิงที่เงียบมาตลอดก็แสดงท่าทางตื่นตกใจอย่างยิ่งกับความสามารถในการคิดของชายหนุ่มซึ่งที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ แต่ความสามารถในคิดไม่แตกต่างจากเหล่าขุนนางเจ้าเล่ห์ในเมืองหลวงเลย

     

    ที่ปรึกษาหวังเหม่อมองออกไปข้างนอกพลางกล่าว “ ดูท่าแล้วเจ้าหนูนี้คงเก็บซ่อนเขี้ยวเล็บเป็นอย่างดีเป็นเวลานานมาแล้ว  ถึงขนาดทนให้ผู้คนทั่วทั้งแคว้นกล่าวว่าร้ายป้ายสีและเก็บตัวตนที่แท้จริงไว้เป็นความลับ  เรื่องแบบนี้แม้แต่ข้าก็ไม่อาจทำได้  ดูแล้วจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทายาทตระกูลฉินผู้นี้คงต้องการให้เจ้าเลือกแล้วละว่าต้องการอยู่ฝั่งไหน ”

     

    ได้ยินคำจากที่ปรึกษาชรา เจ้าเมืองชินโจวก็กุมมือแล้วครุ่นคิดไปมาก่อนเอ่ยถาม   ที่ปรึกษาหวัง พวกเราควรจะร่วมมือกับฉินหลิงดีรึไม่  ” เพราะในคราแรกเขาก็สนใจในข้อเสนอของชายหนุ่มไม่น้อย แต่เมื่อกลับมาคิดดูดีๆ หากเขายังคงความเป็นกลางไว้เขาก็สามารถรักษาเมืองแห่งนี้และลูกหลานไว้ได้

     

    ชายชราแซ่หวังเผยรอยยิ้มออกมาแล้วมองเจ้าเมืองชินโจวด้วยสีหน้าเอ็นดูราวกับเป็นบุตรหลานตนเอง “ เรื่องนี้ข้าไม่อาจตัดสินใจแทนเจ้าได้  เพียงแต่เจ้าก็รับของขวัญและความหวังดีมาจากอีกฝ่ายแล้วมิใช่รึ หากเจ้าต้องการเป็นกลางเช่นนั้นเจ้าจะรับสินน้ำใจของอีกฝ่ายมาทำไมละ ?

     

    เมื่อคำว่าของขวัญถูกเอ่ยออกมาจากปากของชายชรา หลิวชิงหวินก็เบิกตากว้างก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเก็บของก่อนจะหยิบกระดาษใบหนึ่งที่ถูกแอบไว้อย่างดี แล้วนำมาส่งให้ที่ปรึกษาดูแล้วเอ่ยถาม  “ นี้คือแบบแปลนที่เจ้าเด็กนั้นเอามาให้ข้า  แต่หลังจากข้าดูละเอียดแล้ว มันไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าตะปู น็อต สกรู มันคืออะไรกัน ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้าเลยคิดว่าเจ้าเด็กนั้นมันอาจจะล้อข้าเล่น ดังนั้นข้าเลยโมโหและส่งชายหนุ่มที่มาจากตระกูลเกาไปแกล้งคืน แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวมันจะเลยเถิดไปเช่นนี้”

     

    ในตอนแรกที่ปรึกษาหวังก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่เมื่อเขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นแล้วมองลงไป มือที่จับกระดาษใบนั้นสั่นเทา ดวงตาเบิกกว้างที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตัวเขาเองเป็นที่ปรึกษามาตั้งแต่เจ้าเมืองคนก่อน ซึ่งเป็นบิดาที่เสียไปแล้วของหลิวชิงหวิน  เพราะในอดีตเป็นเขาและบิดาของหลิงชิงหวินเป็นคนสร้างเมืองท่าแห่งนี้ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ ซึ่งคนรุ่นใหม่ๆอย่างเจ้าเมืองคนนี้คงไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนลำบากลำบนขนาดไหน ถึงกับเดินทางไปต่างแคว้นที่อยู่ห่างไกลหลายหมื่นลี้กว่าจะได้แบบแปลนเรือประมงมา และยังไม่รวมเงินทองที่ต้องเสียไปมากมายไม่รู้เท่าไหร่เพราะแบบแปลนใบเดียว  แต่พวกเขาที่ยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อต้องการวางรากฐานที่มั่นคงให้แก่ลูกหลาน แต่เจ้าเมืองรุ่นปัจจุบันกลับโง่เขลาขนาดที่มีคนแสดงความจริงใจมากเพียงนี้ เขากลับยังกล้าไปหาเรื่องกลั้นแกล้งอีกฝ่ายที่มีอายุรุ่นลูกอีก

     

    เสียงสั่นเทาของที่ปรึกษาหวังที่ดังขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังเจ้าเมือง “ จะ...เจ้าเด็กสารเลว เจ้าไม่รู้ถึงคุณค่าแบบแปลนนี้แม้แต่น้อย แล้วเจ้ายังบอกอีกว่านายน้อยผู้นั้นยั่วยุเจ้าเช่นนั้นรึ หากไม่ใช่ข้าแก่แล้ว ข้าจะเอาไม้ไล่ทุบตีเจ้าให้ตาย นึกถึงอดีตข้ากับบิดาเจ้าเดินทางไกลกว่าจะหาแบบแปลนนี้ได้ลำบากยากเย็นขนาดไหน เจ้า...เจ้ามันโง่เหมือนไก่ได้พลอยชัดๆ ”

     

    หลิวชิงหวินที่พึ่งเคยเห็นชายชราแซ่หวังโกรธก็รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง เพราะตั้งแต่เขายังเด็ก ชายชราผู้นี้เป็นคนที่ใจดีและใจเย็นมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นแล้ว จึงทำให้เขาเคารพชายชราแซ่หวังผู้นี้ไม่ต่างจากบิดาแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อเขาได้เห็นความโกรธของอาวุโสผู้นี้เขาจึงทำได้เพียงก้มหัวยอมรับผิด ซึ่งหากมีคนได้ยินว่าจอมยุทธยอมก้มหัวให้คนธรรมดาคงเป็นที่หัวเราะของชาวบ้านเป็นแน่  แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าเมืองชินโจวผู้นี้ก็คงไม่สนใจอยู่ดี

     

    เมื่อเห็นผู้เป็นบิดาโดนท่านปู่ที่เธอนับถือดุด่า หลิวซีอิงก็เดินเข้าไปหาที่ปรึกษาหวังแล้วเอ่ยเสียงหวาน “ ท่านปู่หวังอย่าพึ่งโกรธไปเลยเจ้าคะ  ท่านพ่อก็สำนึกผิดแล้ว ท่านใจเย็นก่อนนะถือว่าอิงเอ๋อร์ขอร้อง ”

     

    เมื่อได้ยินคำออดอ้อนเสียงหวานของหลิวซีอิงที่เปรียบเสมือนหลานสาวแท้ๆของเขา ชายชราแซ่หวังก็สงบอารมณ์โกรธลง แต่ใบหน้ายังแฝงไปด้วยความครุ่นเคืองก่อนจะพูดอธิบายเจ้าเมืองหลิวด้วยน้ำเสียงจริงจัง  “ เจ้าสิ่งที่เรียกว่าตะปูหรือน๊อตอะไรนั้น หากข้าเดาไม่ผิดมันน่าจะเป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้เพื่อยึดส่วนประกอบของเรือให้ติดไว้ด้วยกันได้  ดังนั้นที่นายน้อยฉินผู้นั้นไม่มีวิธีการผลิตให้เจ้าก็ไม่แปลก เพราะเขาคงอยากเก็บกระบวนการผลิตไว้เป็นความลับ ซึ่งหากเจ้าไม่เข้าร่วมกับเจ้าหนุ่มผู้นี้ เจ้าก็จะมีเพียงแค่แบบแปลนที่ไร้ประโยชน์ยังไงละ ”

     

    “ แล้วข้าควรจะทำเช่นไรต่อไปดี ” คราวนี้เจ้าเมืองหลิวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงถ่อมตนเพราะเรื่องราวมันเกิดจากความไม่รู้ของเขาจริงๆ

     

    ชายชราหวังนั่งครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังสาวน้อยที่ยืนด้านข้างจึงปรากฏรอยยิ้มออกมา “ ข้าว่าหากให้เลือกขุมอำนาจจริงๆ ข้าอยากให้เจ้าสนับสนุนเจ้าเด็กแซ่ฉินผู้นี้ หากข้าเดาไม่ผิดการที่แม่ทัพใหญ่ส่งเจ้าเด็กคนนี้ออกมา คงต้องเตรียมการใหญ่อะไรบางอย่างเป็นแน่  ซึ่งหากว่าสาวน้อยได้เกี่ยวดองกับชายผู้นั้นคงดีไม่น้อย ”

     

    “ ไม่ ข้าไม่แต่งเด็ดขาด กับเจ้าผู้ชายชั่วคนนั้น ข้าไม่มีทางแต่งด้วยเป็นแน่ ”  หลิวซีอิงเอ่ยอย่างหนักแน่นโดยลืมนึกไปเลยว่า ไม่รู้อีกฝ่ายจะสนใจเธอรึไม่

     

    ชายทั้งสองที่เห็นสาวน้อยเป็นเช่นนี้ก็ทำได้เพียงถอนหายใจ พลางคิดในใจว่าคงไม่มีใครอยากแต่งกับชายที่มีชื่อเสียงเลวร้ายเช่นนี้ให้เป็นขี้ปากชาวบ้านหรอกนะ

     

    “เอาละ ถ้าเจ้าไม่ต้องการก็ถือว่าข้าไม่ได้พูดออกไป เพียงแต่เสียดายชายหนุ่มที่มีความฉลาดล้ำลึกขนาดนี้ หากเขาเกิดมาในรัชสมัยก่อน ไม่แน่ราชวงศ์ปัจจุบันอาจจะไม่ใช่แซ่หลี่ก็เป็นได้” ชายแซ่หวังเอ่ยพลางนึกถึงอดีตในช่วงก่อตั้งแคว้นต้าเหยียนขึ้นมา หากตระกูลฉินต้องการครองบัลลังก์จริงๆ บางทีตระกูลหลี่อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็ได้

     

    “ เช่นนั้น ข้าจัดการเรื่องฉินหลิงเอง พวกเราเมืองชินโจวจะสนับสนุนตระกูลฉินอย่างเต็มกำลัง หวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของข้าจะไม่ผิดพลาด ” หลิวชิงหวินเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะเขามาถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างตระกูลแม่ทัพใหญ่กับขุมอำนาจในเมืองหลวง

     

    ผ่านไปหลายวัน ห่างออกจากเมืองท่าชินโจว ขบวนรถม้ายาวเหยียดที่มีคนงานและองครักษ์คุ้มกันมากมายกำลังพยายามเปิดทางเข้าไปยังพื้นที่ชายทะเลที่ฉินหลิงได้มาจากมือผู้เป็นเจ้าชินโจวภายในเย็นวันนั้นหลังจากเขาส่งซากชายทั้งสามไปยังจวนเจ้าเมือง โดยที่เจ้าเมืองหลิวไม่รับเงินจากเขาแม้แต่แดงเดียวและเอ่ยเพียงขอบคุณพิมพ์เขียวเรือสำเภา

     

    นอกจากนั้นเขายังถามหาตะปู น๊อต ซึ่งทำให้ฉินหลิงรู้ทันทีว่าที่แห่งนี้ยังไม่มีการหลอมโลหะเพื่อใช้สร้างของพวกนี้ ฉินหลิงจึงบอกกลับไปยังเจ้าเมืองว่าเขาจะเป็นคนจัดเตรียมของเหล่านี้ไว้ให้ทีหลัง

     

    เมื่อจบจากเรื่องของเจ้าเมืองหลิว ฉินหลิงจึงได้เตรียมตัวออกเดินทางหลังจากการอวี้ฟานซือได้เดินทางนำไปก่อน เพื่อเขาจะได้ตระเตรียมก่อสร้างบ้านเรือนง่ายๆไว้เป็นที่พักให้นายน้อยผู้นี้ ดังนั้นหลังจากเจ้านายแห่งหอการค้าตะวันฉายออกเดินทางเปิดเส้นทางไปก่อนห้าวัน ฉินหลิงจึงเริ่มต้นเดินทางตามไปทีหลัง

     

    ระหว่างทางเดินที่พวกเขาผ่านมา หากไม่มีร่องรอยการเดินรถม้าที่มาก่อนห้าวัน  เขาคงคิดว่าพื้นที่นี้ไม่ต่างจากการเดินเข้าป่าแม้แต่น้อย เพราะหญ้าที่ขึ้นสูงถึงเข่า ต้นไม้สูงใหญ่ที่มีอายุนับร้อยปี ด้วยบรรยากาศธรรมชาติรายล้อมเช่นนี้ จึงทำให้การเดินทางยากลำบาก เขานึกไม่ออกเลยว่าอวี้ฟานซือที่เป็นคนเดินเปิดเส้นทางต้องลำบากขนาดไหน

     

    หลังจากใช้เวลาเดินทางไปทั้งวันพวกเขาก็ถึงจุดหมาย ซึ่งยามนี้มีเหล่าทาสกว่าสองร้อยคนและคนงานที่เดินทางมาในรอบแรกต่างกำลังขนหินและตัดไม้มาก่อสร้างเป็นที่พักอย่างง่ายๆ

     

    ฉินหลิงและคณะที่อยู่บนเนินเขาก็สังเกตเห็นคนของอวี้ฟานซือเหมือนเป็นมดตัวเล็กๆเดินไปมา แต่เมื่อพวกเขามองออกไปไกลก็เห็นถึงท้องทะเลสีฟ้าครามสดใสที่มีสายลมอ่อนๆจากทะเล และกลิ่นเค็มโชยออกมา จึงทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจากการเดินทางไกลไม่น้อย

     

    เมื่อลงมาจากบนเขาฉินหลิงก็สังเกตเห็นบ้านพักหลังใหญ่สุดที่อยู่ตรงกลางซึ่งมีชายร่างอ้วนยืนอยู่พลางโบกมือไปมาด้วยสีหน้าดีใจก่อนจะวิ่งเข้ามาทัก  “ การเดินทางเป็นเช่นไรบ้างขอรับ ”

     

    ฉินหลิงพยักเบาๆให้อีกฝ่าย “ ก็ปกติดี เพียงแต่คงต้องหาคนมาทำถนนเพิ่มอีกไม่น้อยเลย แต่ถือว่าโชคดีท่านอาหวินยกที่ดินแผ่นนี้ให้ ทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ไม่น้อยเลย ”

     

    “ ถือว่าโชคดีมากเลยขอรับ  เช่นนั้นท่านเข้ามาพักข้างในก่อนเถอะ” อวี้ฟานซือเอ่ยชวนให้อีกฝ่ายเข้าไปพักหลังจากต้องเดินทางมาอย่างยากลำบาก เพราะเขากลัวว่านายน้อยจากตระกูลใหญ่อาจจะไม่สามารถทนความลำบากจากการเดินทางได้เหมือนพวกพ่อค้าเช่นเขาได้

     

    เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากฉินหลิงตื่นขึ้นมาเขาก็เดินออกสำรวจอาณาเขตโดยรอบของพื้นที่พร้อมสมุดจด โดยมีองครักษ์หมิงเดินตามดูแลความปลอดภัยในระยะใกล้ชิด

     

    ในระหว่างการเดินสำรวจ เหล่าคนงานและทาสที่ได้มาจากร้านค้าทาสต่างมองชายหนุ่มด้วยความเลื่อมใสซึ่งทุกคนในที่แห่งนี้ต่างโค้งคำนับอีกฝ่ายเมื่อพบเจอ จนฉินหลิงรู้สึกลำบากใจไม่น้อย

     

    หลังจากวางแผนเสร็จสิ้น ฉินหลิงก็ได้เอ่ยบอกให้อวี้ฟานซือจัดการตามแผนที่เขาวางไว้ ไม่ว่าจะเป็นขนาดของบ่อนาเกลือหรือทิศทางที่ตั้งของที่พักคนงาน

     

    “ แล้วเราจะขนน้ำทะเลเข้ามายังไงรึขอรับ หากจะให้เหล่าทาสขนมา ข้าว่าคงใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว ” หลังจากได้แบบแผนมาจากนายน้อยฉิน อวี้ฟานซือก็เอ่ยออกมาด้วยความกังวลเพราะขนาดของนาเกลือใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้มาก ดังนั้นการจะขนน้ำทะเลมายังบ่อที่กำลังขุดอยู่ตอนนี้ทำได้ยากลำบากอย่างยิ่ง

     

    เมื่อได้ยินปัญหาของเจ้าของหอการค้าผู้นี้ ฉินหลิงก็ยิ้มออกมา “ ถ้าเป็นเรื่องท่านไม่ต้องกังวล ข้าได้เตรียมวิธีแก้ปัญหาเอาไว้แล้ว ท่านจำของที่ข้าให้ท่าขนมาด้วยได้รึไม่ ตอนนี้นำมาให้ข้าได้แล้ว ”

     

    หลังจากรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้เตรียมวิธีไว้แล้ว อวี้ฟานซือรู้สึกดีใจอย่างยิ่งพลางนึกไปถึงพิมพ์เขียวของชายหนุ่มที่เขาได้ให้บุตรชายไปตระเตรียมไว้ ก็เข้าใจทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้คิดถึงเรื่องนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

     

    หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป รถม้าสามคันที่ขนไม้ยาวขนาดใหญ่จนล้นออกมาได้เดินมาถึงหน้าบ้านพักหลังใหญ่ของฉินหลิง

     

    เมื่อเห็นอุปกรณ์ต่างๆ ฉินหลิงก็รู้สึกตื่นเต้นพลางเอ่ยให้ทาสรับใช้และคนงานของหอการค้าประกอบตามคำสั่ง

     

    หลังจากผ่านไปกว่าสองชั่วยาม ด้วยความร่วมมือของหลายคน จึงทำให้สิ่งที่เหมือนกังหันน้ำซึ่งมีส่วนประกอบต่างๆทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่ปรากฏออกมา

     

    “ นายน้อย สิ่งนี้มันคืออะไรรึขอรับ ” หนึ่งในคนงานของหอการค้าตะวันฉายเอ่ยถามด้วยความสงสัย

     

    “ สิ่งนี้มันมีชื่อเรียกว่า ระหัดวิดน้ำ  เราสามารถใช้เจ้าสิ่งนี้ดูดน้ำจากทะเลมาใส่ยังบ่อนาเกลือของเราได้โดยอาศัยแรงลม จากที่เจ้าเห็นแผ่นหนังที่ถูกตึงไว้นั้นเมื่อลมถูกพัดมาจะทำให้เกิดแรงหมุน และเมื่อมีแรงหมุนที่มาพอจะช่วยให้ท่อด้านล่างดูดน้ำทะเลไปได้ยังไง”

     

    จากที่ได้ฟังสิ่งที่นายน้อยฉินพูดออกมา เหล่าคนงานต่างไม่มีเข้าใจแต่พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงความสุดยอดของเจ้าสิ่งที่เรียกว่า ระหัดวิดน้ำ และแย่งกันเอ่ยชมนายน้อยฉินจนทำให้เจ้าตัวหน้าบานไม่หุบเลยทีเดียว

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×