คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #52 : ระดับพลังยุทธของฉินหลิง
หลังจากสั่งการให้หมิงฮ่าวไปตระเตรียมกำลังคน
ฉินหลิงเองก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าการที่เขาจะเดินเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ เขาจะก่อพายุลูกใหญ่ขึ้นในเมืองหลวงอย่างแน่นอน
ดังนั้นตั้งแต่เขากลับมาจากเมืองท่าชินโจวเมื่อปีที่แล้ว เขาจึงให้หมิงฮ่าวรับหน้าที่ฝึกฝนกองกำลังส่วนตัวของเขาเอง
ด้วยกำลังทรัพย์และความเข้มงวดในการฝึกของหมิงฮ่าวจึงทำให้กองกำลังส่วนตัวของฉินหลิงแข็งแกร่งไม่ด้อยกว่าผู้ใด
“ เจ้าได้ข่าวมาบ้างรึไม่ว่าตอนนี้ท่านปู่ของข้าอยู่ที่ไหน ? ” ฉินหลิงเอ่ยถามซูเยว่หญิงสาวที่ทำหน้าที่แทนเขาในการดูแลเรื่องการค้าถึงเรื่องของแม่ทัพใหญ่ฉินเจินด้วยความเป็นกังวล เพราะเขาเองก็ไม่ได้รับข่าวคราวอะไรของผู้เป็นปู่จากภายในเมืองไผ่เขียวในช่วงนี้เลย ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงท่านปู่ผู้นี้ ถึงอย่างไรแม่ทัพใหญ่ของแคว้นต้าเหยียนผู้นี้ก็อายุไม่น้อยแล้ว หากไม่อาศัยความแข็งแกร่งและประสบการณ์ที่มีอยู่อย่างมากมายคงไม่อาจรักษาตำแหน่งไว้ได้เป็นแน่
“
ในปีที่ผ่านมาแคว้นต้าเหยียนได้มีศึกกับต้าชิงอยู่บ่อยครั้ง
จนดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
และท่านแม่ทัพใหญ่ดูเหมือนจำเป็นต้องไปอยู่ดูแลความเรียบร้อยบริเวณชายแดน
และบางครั้งก็มีข่าวว่าท่านแม่ทัพใหญ่เดินทางไปเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้งเช่นกันเจ้าคะ
” ซูเยว่เอ่ยข้อมูลที่เธอรู้มาให้ชายหนุ่มฟัง
ซึ่งข้อมูลต่างๆที่เธอได้รับมาพวกนี้นั้นต่างเกิดขึ้นจากความคิดของเจ้านายเบื้องหน้าเธอทั้งสิ้น
ซึ่งในตอนแรกการหาข่าวพวกนี้มีจุดประสงค์เพื่อสืบหาข้อมูลของแต่ละพื้นที่ โดยจุดสำคัญของการหาข้อมูลคือเพื่อให้ฉินหลิงได้วางแผนสำหรับเส้นทางการค้าหรือใช้ตอบโต้คู่แข่ง
แต่เมื่อการค้าของพวกเขายิ่งใหญ่ขึ้นและมีผู้ฝึกยุทธเข้าร่วมมากมายก็ทำให้ความสามารถในการสืบข่าวสามารถลงลึกไปจนถึงจุดที่เรียกได้ว่าน่ากลัวเลยทีเดียว
เมื่อได้รับรู้ว่าผู้เป็นปู่ของเขาต้องออกไปสู้รบ
ก็ทำให้ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกกังวลเผยออกมา ก่อนจะเอ่ยสั่งซีเยว่ “
จำเอาไว้ หากมีข่าวสำคัญของท่านปู่ให้รีบมารายงานข้าโดยด่วน ”
“เจ้าคะ”
ฉินหลิงพยักหน้าเบาๆให้อีกฝ่าย “ ถ้าไม่มีอะไรอีก เช่นนั้นเจ้าก็ไปพักเถอะ ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยาก
”
เมื่อซีเยว่โค้งให้ฉินหลิงก่อนเดินออกไปและพบกับถานอวี้จี้ที่ยืนรออยู่ด้านหน้า
เมื่อทั้งสองสาวสังเกตเห็นอีกฝ่าย ต่างก็ยิ้มให้กันเล็กน้อย
ทางด้านซีเยว่เมื่อเห็นหญิงงามเบื้องหน้าก็ยิ้มออกมาก่อนก้มหัวเคารพให้
เพราะเธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นฮูหยินน้อยของฉินหลิง ซึ่งเธอเองยังจำได้ดีถึงคราแรกที่เธอพบกับแม่นางถานผู้นี้ได้เลย
ในฐานะที่เธอเองก็เป็นสตรีที่มีใบหน้าที่สวยงามไม่น้อยกว่าใคร แต่เธอยังต้องรู้สึกอับอายเมื่อเอาความสวยไปเปรียบเทียบกับความงามของหญิงตรงหน้า
และเธอเข้าใจได้ทันทีเลยว่าทำไมยามนั้นตอนที่อยู่ในเขตของเมืองท่าชินโจว ผู้เป็นเจ้านายของเธอถึงไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเธอแม้แต่น้อย
เพราะเขามีสาวงามขนาดนี้รออยู่ที่เรือนนี้เอง
และสิ่งสำคัญที่เธอมาทราบทีหลังจากหมิงฮ่าวที่คอยคุ้มครองเธออยู่บ่อยๆว่าสินค้าจี้หลิงที่เธอทำหน้าที่ดูแลอยู่นั้น
เกิดขึ้นเพราะเจ้านายเธอต้องการเพื่อหาเงินมาให้ท่านแม่ทัพใหญ่ยอมรับในความรักของเขา
“ ขอบคุณท่านมากที่เหน็ดเหนื่อย ”
ถานอวี้จี้เอ่ยกับซีเยว่ด้วยความจริงใจ เพราะเธอเองก็ทราบว่าหญิงสาวคนนี้เป็นคนดูแลกิจการของฉินหลิงทั้งหมดและต้องคอยจัดการภาระต่างๆมากมายรวมทั้งถูกปองร้ายอยู่หลายครั้ง
“มิได้เจ้าคะ มันเป็นหน้าที่ของข้าเอง
เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน มีเรื่องต้องจัดการอยู่อีกมาก” เอ่ยเสร็จซีเยว่โค้งให้อีกฝ่าย
ก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ถานอวี้จี้มองตามไปยังหญิงสาวพลางมีความคิดในใจบางอย่างก่อนจะเดินเข้าในห้อง
ก็สังเกตุเห็นฉินหลิงกำลังนั่งครุ่นคิดบางอย่างด้วยสีหน้าที่ดูไม่สู้ดีนัก
“ มีปัญหาเกิดขึ้นรึเจ้าคะ ? ”
ฉินหลิงส่ายศีรษะ “ ไม่มีอะไรหรอก
เพียงแต่ช่วงนี้มีสงครามกับแคว้นต้าชิงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ข้าเลยอดเป็นห่วงท่านปู่ไม่ได้นะ
”
ถานอวี้จี้เดินเขาไปกุมมือของชายหนุ่มพลางเอ่ยให้กำลังใจ
“ ท่านไม่ต้องกังวล
ท่านแม่ทัพเก่งกาจขนาดนั้นย่อมสามารถจัดการปัญหาได้เป็นแน่เจ้าคะ ”
ฉินหลิงยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าเบาๆแต่ในแววตายังมีความกังวลปรากฏอยู่
“ หากจบเรื่องสงครามครั้งนี้ ข้าจะให้ท่านปู่ถอนตัวจากกองทัพเสียที
แล้วเราก็มีเจ้าตัวเล็กให้ท่านปู่สักสองสามคนดีรึไม่ ”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม
ถานอวี้จี้ก็ดึงมือที่กุมมือชายหนุ่มกับมาแล้วบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย “
ท่านก็ช่างหน้าไม่อาย พวกเรายังไม่ได้แต่งกันเลย แล้วจะมีเด็กน้อยได้ยังไงเจ้าคะ ”
ครั้นเห็นท่าทีเขินอายของหญิงสาว
ฉินหลิงก็หัวเราะออกมาด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นก่อนจะเอ่ย “ ใช่แล้วละ
ข้าจะเดินทางไปเมืองหลวงเร็วๆนี้ ”
ใบหน้าที่เขินอายในตอนแรกของถานอวี้จี้แปรเปลี่ยนไปเป็นความกังวลอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยอย่างร้อนรน
“ ท่านจะไปเมื่อใดเจ้าคะ ไม่ไปได้รึไม่ ข้าเคยได้ยินมาว่าคนในเมืองล้วนน่ากลัว ”
“ น่าจะภายในเดือนนี้แหละ
แล้วก็ไม่ต้องกังวล คราวนี้ข้าเองก็ว่าจะพาเจ้าไปด้วย ตั้งแต่เราได้พบกันและมาอยู่ที่นี้
ข้ายังไม่เคยพาเจ้าออกไปเที่ยวไหนเลย ข้าเลยถือโอกาสนี้พาเจ้าออกท่องโลกกว้างไปด้วยกัน
”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายต้องการให้เธอไปด้วย
ถานอวี้จี้ก็รู้สึกใจเต้นอย่างแปลกประหลาดก่อนจะเอ่ยออกมา “ เช่นนั้น
ข้าจะไปบอกให้พี่เสี่ยวหลู่เตรียมตัวเลยนะเจ้าคะ ”
เอ่ยจบถานอวี้จี้ก็วิ่งออกไปพร้อมรอยยิ้มด้วยความตื่นเต้น
เพราะถึงอย่างไรยามนี้เธอเองก็เป็นหญิงสาวที่พึ่งมีอายุสิบเจ็ดเท่านั้น คงจะไม่แปลกอะไรที่เธอยังคงนิสัยซุกซนอยู่บ้าง
แต่ในโลกใบนี้สตรีที่มีอายุเท่าถานอวี้จี้ต่างก็ตบแต่งกันจนมีลูกคนที่สองไปแล้ว
ซึ่งขัดกับความคิดของฉินหลิงที่เดินทางมาจากอีกโลก ซึ่งมีความคิดแตกต่างกันและคงทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดเป็นแน่
หากเขาต้องกระทำเกินเลยกับหญิงสาวอายุต่ำกว่าสิบแปด
ระหว่างถานอวี้จี้กำลังออกไปวิ่ง
เธอก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะคุยกับชายหนุ่มจึงเท่าให้เธอหยุดด้านหน้าประตูก่อนจะหันมาเอ่ยกับฉินหลิง
“ ข้าว่าแม่นางซูก็อายุไม่น้อยแล้ว และนางเองก็ไม่มีครอบครัว
ข้าเห็นว่านางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หมิงไม่น้อย ทำไมท่านไม่ทาบทามให้พวกเขาตบแต่งกันละเจ้าคะ
”
ถึงภายนอกจะไม่ได้แสดงออกอะไรออกมา แต่ภายในใจของถานอวี้กับรู้สึกเป็นกังวลเรื่องของซูเยว่อยู่ไม่น้อย เพราะถึงอย่างไรการที่ให้หญิงสาวที่มีใบหน้าสวยงามต้องมาอยู่กับผู้ชายของเธอก็ทำให้เธอเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง
และเป็นกังวลว่าชายหนุ่มจะรับหญิงผู้อื่นมาเป็นภรรยา ถึงแม้ชายหนุ่มจะเคยรับปากกับเธอแล้วว่าจะไม่มีหญิงอื่นอีกแต่ใครจะรู้ได้เล่าว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเท่าทันเล่ห์กลของสตรีหรือไม่
หากข้าวสารเปลี่ยนเป็นข้าวสุกไปแล้ว คงทำให้เธอรู้สึกเสียใจภายหลัง โดยเฉพาะเมื่อในอนาคตคงมีคนรู้ถึงความยอดเยี่ยมของฉินหลิงและต้องการให้บุตรหลานของตนเข้ามาตบแต่งในตระกูลฉินมากมายเป็นแน่
เมื่อเห็นสีหน้ากังวล
ฉินหลิงก็คิดว่าถานอวี้จี้คงเป็นห่วงองครักษ์ของเขาที่อายุยี่สิบกว่าแล้วยังไม่ได้ตบแต่งจึงรู้สึกเป็นห่วง
เขาจึงยิ้มให้หญิงสาวก่อนเอ่ย “ ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวไว้ข้าถามความคิดเห็นของพี่หมิงและซูเยว่
หากทั้งสองรักใคร่กัน ข้าจะสนับสนุนเอง ”
หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งเดือน
ขบวนรถม้าที่เต็มไปด้วยทหารคุ้มกันที่มีออร่าน่ากลัวสิบคนยืนรออยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ใกล้เมืองไผ่เขียวด้วยสีหน้าจริงจัง
ซึ่งหากผู้อื่นรู้เข้าว่ากว่าครึ่งของทหารคุ้มกันขบวนรถม้ามีพลังยุทธขั้นเซียนเทียนคงตกใจจนหัวใจวายตายก็เป็นได้
เมื่อฉินหลิงและถานอวี้จี้เดินออกมาจากตัวบ้าน คนคุ้มกันทั้งสิบก็ยกมือคารวะชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาด้วยความเคารพก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะในขณะนี้สิ่งที่เขาเห็นก็คือพวกเขาทั้งสิบไม่อาจสังเกตระดับพลังยุทธของชายหนุ่มผู้นี้ได้อีกแล้ว
มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่จะสามารถปิดบังพลังยุทธของตัวเองได้ ซึ่งก็คือต้องบรรลุขั้นพลังยุทธระดับเซียนเทียนแล้วเท่านั้น
แม้แต่ขั้นหลอมกายาขั้นสูงสุดก็ไม่สามารถปิดบังขั้นพลังของตนเองได้
แต่เมื่อมาคิดว่าชายหนุ่มวัยสิบหกผู้หนึ่งกลับสามารถบรรลุขั้นหลอมกายาเข้าสู่การเป็นจอมยุทธอย่างเต็มตัวได้
อดไม่ได้ที่ทำให้พวกเขารู้สึกสั่นเทาขึ้นมาพร้อมกับคิดว่าการไปเมืองหลวงครานี้คงมีเภทภัยเกิดขึ้นกับหลายตระกูลเป็นแน่
คนคุ้มกันทั้งสิบก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวชายหนุ่มตรงหน้า
เพราะขนาดหมิงฮ่าวที่เป็นจอมยุทธเมื่อตอนอายุยี่สิบกว่าปีก็พอที่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วทั้งแคว้นแล้ว
แต่หากมีผู้รู้ว่าหลานชายแม่ทัพใหญ่กับมีความในด้านฝึกยุทธเหนือยิ่งกว่าหมิงฮ่าวอีก
คงก่อให้เกิดภัยพิบัติขนาดใหญ่เป็นแน่ เพราะที่ขุมอำนาจใหญ่โตไม่ได้เพ่งเล็งมายังฉินหลิงเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ให้คุณค่าอะไรกับชายหนุ่มไร้ค่าผู้นี้นักและรอเพียงให้ฉินเจินตายจากไป
เมื่อนั้นสิ่งต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นของตระกูลฉินก็ถูกกระจายให้แก่ขุมอำนาจต่างๆ แต่พวกเขาคงไม่อาจคิดได้เลยว่ามดตัวเล็กๆที่พวกเขาไม่เห็นค่าในอดีต
ยามนี้กลับกลายเป็นมัจจุราชไปเสียแล้ว
ฉินหลิงที่สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคนคุ้มกันทั้งสิบ
เขาก็ทราบได้อย่างรวดเร็วว่าชายทั้งกลุ่มที่ทำหน้าเป็นคนคุ้มกันให้เขาคงทราบแล้วว่าเขามีพลังยุทธระดับเซียนเทียน
หากจะให้พูดถึงว่าทำไมเขาถึงบรรลุระดับด้วยความเร็วถึงเพียงนี้
เขาเองก็ยังไม่เข้าใจอยู่เช่นกัน เพราะตั้งแต่เขากลับจากเมืองท่าชินโจวเมื่อครานั้น
ตัวเขาเองก็ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนแม้แต่คอขวดของขั้นเซียนเทียนก็ไม่อาจขวางกั้นไว้ได้และทำให้เขาบรรลุเป็นจอมยุทธตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา
แต่ทุกครั้งที่เขาจะบรรลุพลัง ฉินหลิงรู้สึกถึงความแปลกประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจและถูกแรงดึงดูดที่เขาไม่อาจขัดได้ดูดให้เขามีความรู้สึกอยากเข้าไปอยู่ภายในป่าและหาที่เงียบสงบเพื่อบรรลุพลัง
ในตอนแรกเขาเองก็ไม่คุ้นชินกับความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาเริ่มชินกับการอยู่ในป่าลึก และเขากลับมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติจนถึงบางครั้งเขาหายเข้าไปในป่าหลายวัน
ความรู้สึกที่ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเช่นนี้
เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเขาไปทำนาเกลือที่เมืองชินโจว ในตอนแรกเขาเองก็คิดว่ามันคงไม่มีอะไร
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขากลับรู้สึกว่าอาการแบบนี้กับเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆจนบางเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
และปรารถนาให้ตัวเองได้กลับไปอยู่อย่างสงบท่ามกลางธรรมชาติ
“ออกเดินทางกันเลยเถอะ” ฉินหลิงเอ่ยเตือนสติกับคนคุ้มกันทั้งสิบที่กำลังตื่นตกใจกับพลังยุทธของเขา
ความคิดเห็น