ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #52 : ระดับพลังยุทธของฉินหลิง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.73K
      1.54K
      9 ก.ค. 62

    หลังจากสั่งการให้หมิงฮ่าวไปตระเตรียมกำลังคน  ฉินหลิงเองก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าการที่เขาจะเดินเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ เขาจะก่อพายุลูกใหญ่ขึ้นในเมืองหลวงอย่างแน่นอน ดังนั้นตั้งแต่เขากลับมาจากเมืองท่าชินโจวเมื่อปีที่แล้ว เขาจึงให้หมิงฮ่าวรับหน้าที่ฝึกฝนกองกำลังส่วนตัวของเขาเอง ด้วยกำลังทรัพย์และความเข้มงวดในการฝึกของหมิงฮ่าวจึงทำให้กองกำลังส่วนตัวของฉินหลิงแข็งแกร่งไม่ด้อยกว่าผู้ใด

     

    “ เจ้าได้ข่าวมาบ้างรึไม่ว่าตอนนี้ท่านปู่ของข้าอยู่ที่ไหน ?  ฉินหลิงเอ่ยถามซูเยว่หญิงสาวที่ทำหน้าที่แทนเขาในการดูแลเรื่องการค้าถึงเรื่องของแม่ทัพใหญ่ฉินเจินด้วยความเป็นกังวล เพราะเขาเองก็ไม่ได้รับข่าวคราวอะไรของผู้เป็นปู่จากภายในเมืองไผ่เขียวในช่วงนี้เลย ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงท่านปู่ผู้นี้  ถึงอย่างไรแม่ทัพใหญ่ของแคว้นต้าเหยียนผู้นี้ก็อายุไม่น้อยแล้ว  หากไม่อาศัยความแข็งแกร่งและประสบการณ์ที่มีอยู่อย่างมากมายคงไม่อาจรักษาตำแหน่งไว้ได้เป็นแน่

     

    “ ในปีที่ผ่านมาแคว้นต้าเหยียนได้มีศึกกับต้าชิงอยู่บ่อยครั้ง จนดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และท่านแม่ทัพใหญ่ดูเหมือนจำเป็นต้องไปอยู่ดูแลความเรียบร้อยบริเวณชายแดน และบางครั้งก็มีข่าวว่าท่านแม่ทัพใหญ่เดินทางไปเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้งเช่นกันเจ้าคะ ” ซูเยว่เอ่ยข้อมูลที่เธอรู้มาให้ชายหนุ่มฟัง ซึ่งข้อมูลต่างๆที่เธอได้รับมาพวกนี้นั้นต่างเกิดขึ้นจากความคิดของเจ้านายเบื้องหน้าเธอทั้งสิ้น  ซึ่งในตอนแรกการหาข่าวพวกนี้มีจุดประสงค์เพื่อสืบหาข้อมูลของแต่ละพื้นที่ โดยจุดสำคัญของการหาข้อมูลคือเพื่อให้ฉินหลิงได้วางแผนสำหรับเส้นทางการค้าหรือใช้ตอบโต้คู่แข่ง แต่เมื่อการค้าของพวกเขายิ่งใหญ่ขึ้นและมีผู้ฝึกยุทธเข้าร่วมมากมายก็ทำให้ความสามารถในการสืบข่าวสามารถลงลึกไปจนถึงจุดที่เรียกได้ว่าน่ากลัวเลยทีเดียว

     

    เมื่อได้รับรู้ว่าผู้เป็นปู่ของเขาต้องออกไปสู้รบ ก็ทำให้ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกกังวลเผยออกมา ก่อนจะเอ่ยสั่งซีเยว่ “ จำเอาไว้ หากมีข่าวสำคัญของท่านปู่ให้รีบมารายงานข้าโดยด่วน ”

     

    “เจ้าคะ”

     

    ฉินหลิงพยักหน้าเบาๆให้อีกฝ่าย  “ ถ้าไม่มีอะไรอีก เช่นนั้นเจ้าก็ไปพักเถอะ ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยาก

    เมื่อซีเยว่โค้งให้ฉินหลิงก่อนเดินออกไปและพบกับถานอวี้จี้ที่ยืนรออยู่ด้านหน้า เมื่อทั้งสองสาวสังเกตเห็นอีกฝ่าย ต่างก็ยิ้มให้กันเล็กน้อย

     

    ทางด้านซีเยว่เมื่อเห็นหญิงงามเบื้องหน้าก็ยิ้มออกมาก่อนก้มหัวเคารพให้ เพราะเธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นฮูหยินน้อยของฉินหลิง ซึ่งเธอเองยังจำได้ดีถึงคราแรกที่เธอพบกับแม่นางถานผู้นี้ได้เลย ในฐานะที่เธอเองก็เป็นสตรีที่มีใบหน้าที่สวยงามไม่น้อยกว่าใคร แต่เธอยังต้องรู้สึกอับอายเมื่อเอาความสวยไปเปรียบเทียบกับความงามของหญิงตรงหน้า และเธอเข้าใจได้ทันทีเลยว่าทำไมยามนั้นตอนที่อยู่ในเขตของเมืองท่าชินโจว ผู้เป็นเจ้านายของเธอถึงไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเธอแม้แต่น้อย เพราะเขามีสาวงามขนาดนี้รออยู่ที่เรือนนี้เอง และสิ่งสำคัญที่เธอมาทราบทีหลังจากหมิงฮ่าวที่คอยคุ้มครองเธออยู่บ่อยๆว่าสินค้าจี้หลิงที่เธอทำหน้าที่ดูแลอยู่นั้น เกิดขึ้นเพราะเจ้านายเธอต้องการเพื่อหาเงินมาให้ท่านแม่ทัพใหญ่ยอมรับในความรักของเขา

     

    “ ขอบคุณท่านมากที่เหน็ดเหนื่อย ” ถานอวี้จี้เอ่ยกับซีเยว่ด้วยความจริงใจ เพราะเธอเองก็ทราบว่าหญิงสาวคนนี้เป็นคนดูแลกิจการของฉินหลิงทั้งหมดและต้องคอยจัดการภาระต่างๆมากมายรวมทั้งถูกปองร้ายอยู่หลายครั้ง

     

    “มิได้เจ้าคะ มันเป็นหน้าที่ของข้าเอง เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน มีเรื่องต้องจัดการอยู่อีกมาก” เอ่ยเสร็จซีเยว่โค้งให้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

     

    ถานอวี้จี้มองตามไปยังหญิงสาวพลางมีความคิดในใจบางอย่างก่อนจะเดินเข้าในห้อง ก็สังเกตุเห็นฉินหลิงกำลังนั่งครุ่นคิดบางอย่างด้วยสีหน้าที่ดูไม่สู้ดีนัก

     

    “ มีปัญหาเกิดขึ้นรึเจ้าคะ ?

     

    ฉินหลิงส่ายศีรษะ “ ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ช่วงนี้มีสงครามกับแคว้นต้าชิงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ข้าเลยอดเป็นห่วงท่านปู่ไม่ได้นะ ”

     

    ถานอวี้จี้เดินเขาไปกุมมือของชายหนุ่มพลางเอ่ยให้กำลังใจ “ ท่านไม่ต้องกังวล ท่านแม่ทัพเก่งกาจขนาดนั้นย่อมสามารถจัดการปัญหาได้เป็นแน่เจ้าคะ ”

     

    ฉินหลิงยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าเบาๆแต่ในแววตายังมีความกังวลปรากฏอยู่ “ หากจบเรื่องสงครามครั้งนี้ ข้าจะให้ท่านปู่ถอนตัวจากกองทัพเสียที แล้วเราก็มีเจ้าตัวเล็กให้ท่านปู่สักสองสามคนดีรึไม่ ”

     

    เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ถานอวี้จี้ก็ดึงมือที่กุมมือชายหนุ่มกับมาแล้วบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย “ ท่านก็ช่างหน้าไม่อาย พวกเรายังไม่ได้แต่งกันเลย แล้วจะมีเด็กน้อยได้ยังไงเจ้าคะ ”

     

    ครั้นเห็นท่าทีเขินอายของหญิงสาว ฉินหลิงก็หัวเราะออกมาด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นก่อนจะเอ่ย “ ใช่แล้วละ ข้าจะเดินทางไปเมืองหลวงเร็วๆนี้ ”

     

    ใบหน้าที่เขินอายในตอนแรกของถานอวี้จี้แปรเปลี่ยนไปเป็นความกังวลอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยอย่างร้อนรน “ ท่านจะไปเมื่อใดเจ้าคะ ไม่ไปได้รึไม่ ข้าเคยได้ยินมาว่าคนในเมืองล้วนน่ากลัว ”

     

    “ น่าจะภายในเดือนนี้แหละ แล้วก็ไม่ต้องกังวล คราวนี้ข้าเองก็ว่าจะพาเจ้าไปด้วย ตั้งแต่เราได้พบกันและมาอยู่ที่นี้ ข้ายังไม่เคยพาเจ้าออกไปเที่ยวไหนเลย ข้าเลยถือโอกาสนี้พาเจ้าออกท่องโลกกว้างไปด้วยกัน ”

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายต้องการให้เธอไปด้วย ถานอวี้จี้ก็รู้สึกใจเต้นอย่างแปลกประหลาดก่อนจะเอ่ยออกมา “ เช่นนั้น ข้าจะไปบอกให้พี่เสี่ยวหลู่เตรียมตัวเลยนะเจ้าคะ ” เอ่ยจบถานอวี้จี้ก็วิ่งออกไปพร้อมรอยยิ้มด้วยความตื่นเต้น เพราะถึงอย่างไรยามนี้เธอเองก็เป็นหญิงสาวที่พึ่งมีอายุสิบเจ็ดเท่านั้น คงจะไม่แปลกอะไรที่เธอยังคงนิสัยซุกซนอยู่บ้าง แต่ในโลกใบนี้สตรีที่มีอายุเท่าถานอวี้จี้ต่างก็ตบแต่งกันจนมีลูกคนที่สองไปแล้ว ซึ่งขัดกับความคิดของฉินหลิงที่เดินทางมาจากอีกโลก ซึ่งมีความคิดแตกต่างกันและคงทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดเป็นแน่ หากเขาต้องกระทำเกินเลยกับหญิงสาวอายุต่ำกว่าสิบแปด

     

    ระหว่างถานอวี้จี้กำลังออกไปวิ่ง เธอก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะคุยกับชายหนุ่มจึงเท่าให้เธอหยุดด้านหน้าประตูก่อนจะหันมาเอ่ยกับฉินหลิง “ ข้าว่าแม่นางซูก็อายุไม่น้อยแล้ว และนางเองก็ไม่มีครอบครัว ข้าเห็นว่านางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หมิงไม่น้อย ทำไมท่านไม่ทาบทามให้พวกเขาตบแต่งกันละเจ้าคะ ”

     

    ถึงภายนอกจะไม่ได้แสดงออกอะไรออกมา แต่ภายในใจของถานอวี้กับรู้สึกเป็นกังวลเรื่องของซูเยว่อยู่ไม่น้อย เพราะถึงอย่างไรการที่ให้หญิงสาวที่มีใบหน้าสวยงามต้องมาอยู่กับผู้ชายของเธอก็ทำให้เธอเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง และเป็นกังวลว่าชายหนุ่มจะรับหญิงผู้อื่นมาเป็นภรรยา ถึงแม้ชายหนุ่มจะเคยรับปากกับเธอแล้วว่าจะไม่มีหญิงอื่นอีกแต่ใครจะรู้ได้เล่าว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเท่าทันเล่ห์กลของสตรีหรือไม่ หากข้าวสารเปลี่ยนเป็นข้าวสุกไปแล้ว คงทำให้เธอรู้สึกเสียใจภายหลัง โดยเฉพาะเมื่อในอนาคตคงมีคนรู้ถึงความยอดเยี่ยมของฉินหลิงและต้องการให้บุตรหลานของตนเข้ามาตบแต่งในตระกูลฉินมากมายเป็นแน่

     

    เมื่อเห็นสีหน้ากังวล ฉินหลิงก็คิดว่าถานอวี้จี้คงเป็นห่วงองครักษ์ของเขาที่อายุยี่สิบกว่าแล้วยังไม่ได้ตบแต่งจึงรู้สึกเป็นห่วง เขาจึงยิ้มให้หญิงสาวก่อนเอ่ย “ ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวไว้ข้าถามความคิดเห็นของพี่หมิงและซูเยว่ หากทั้งสองรักใคร่กัน ข้าจะสนับสนุนเอง ”

     

    หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งเดือน ขบวนรถม้าที่เต็มไปด้วยทหารคุ้มกันที่มีออร่าน่ากลัวสิบคนยืนรออยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ใกล้เมืองไผ่เขียวด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งหากผู้อื่นรู้เข้าว่ากว่าครึ่งของทหารคุ้มกันขบวนรถม้ามีพลังยุทธขั้นเซียนเทียนคงตกใจจนหัวใจวายตายก็เป็นได้

     

    เมื่อฉินหลิงและถานอวี้จี้เดินออกมาจากตัวบ้าน คนคุ้มกันทั้งสิบก็ยกมือคารวะชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาด้วยความเคารพก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะในขณะนี้สิ่งที่เขาเห็นก็คือพวกเขาทั้งสิบไม่อาจสังเกตระดับพลังยุทธของชายหนุ่มผู้นี้ได้อีกแล้ว

     

    มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่จะสามารถปิดบังพลังยุทธของตัวเองได้ ซึ่งก็คือต้องบรรลุขั้นพลังยุทธระดับเซียนเทียนแล้วเท่านั้น แม้แต่ขั้นหลอมกายาขั้นสูงสุดก็ไม่สามารถปิดบังขั้นพลังของตนเองได้ แต่เมื่อมาคิดว่าชายหนุ่มวัยสิบหกผู้หนึ่งกลับสามารถบรรลุขั้นหลอมกายาเข้าสู่การเป็นจอมยุทธอย่างเต็มตัวได้ อดไม่ได้ที่ทำให้พวกเขารู้สึกสั่นเทาขึ้นมาพร้อมกับคิดว่าการไปเมืองหลวงครานี้คงมีเภทภัยเกิดขึ้นกับหลายตระกูลเป็นแน่

     

    คนคุ้มกันทั้งสิบก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวชายหนุ่มตรงหน้า เพราะขนาดหมิงฮ่าวที่เป็นจอมยุทธเมื่อตอนอายุยี่สิบกว่าปีก็พอที่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วทั้งแคว้นแล้ว แต่หากมีผู้รู้ว่าหลานชายแม่ทัพใหญ่กับมีความในด้านฝึกยุทธเหนือยิ่งกว่าหมิงฮ่าวอีก คงก่อให้เกิดภัยพิบัติขนาดใหญ่เป็นแน่ เพราะที่ขุมอำนาจใหญ่โตไม่ได้เพ่งเล็งมายังฉินหลิงเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ให้คุณค่าอะไรกับชายหนุ่มไร้ค่าผู้นี้นักและรอเพียงให้ฉินเจินตายจากไป เมื่อนั้นสิ่งต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นของตระกูลฉินก็ถูกกระจายให้แก่ขุมอำนาจต่างๆ  แต่พวกเขาคงไม่อาจคิดได้เลยว่ามดตัวเล็กๆที่พวกเขาไม่เห็นค่าในอดีต ยามนี้กลับกลายเป็นมัจจุราชไปเสียแล้ว

     

    ฉินหลิงที่สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคนคุ้มกันทั้งสิบ เขาก็ทราบได้อย่างรวดเร็วว่าชายทั้งกลุ่มที่ทำหน้าเป็นคนคุ้มกันให้เขาคงทราบแล้วว่าเขามีพลังยุทธระดับเซียนเทียน

     

     

    หากจะให้พูดถึงว่าทำไมเขาถึงบรรลุระดับด้วยความเร็วถึงเพียงนี้ เขาเองก็ยังไม่เข้าใจอยู่เช่นกัน เพราะตั้งแต่เขากลับจากเมืองท่าชินโจวเมื่อครานั้น ตัวเขาเองก็ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนแม้แต่คอขวดของขั้นเซียนเทียนก็ไม่อาจขวางกั้นไว้ได้และทำให้เขาบรรลุเป็นจอมยุทธตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา

     

    แต่ทุกครั้งที่เขาจะบรรลุพลัง  ฉินหลิงรู้สึกถึงความแปลกประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจและถูกแรงดึงดูดที่เขาไม่อาจขัดได้ดูดให้เขามีความรู้สึกอยากเข้าไปอยู่ภายในป่าและหาที่เงียบสงบเพื่อบรรลุพลัง ในตอนแรกเขาเองก็ไม่คุ้นชินกับความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้ แต่เมื่อเวลาผ่าน​ไป​เขาเริ่มชินกับการอยู่ในป่าลึก  และ​เขากลับมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติจนถึงบางครั้งเขาหายเข้าไปในป่าหลายวัน

     

    ความรู้สึกที่ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเช่นนี้ เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเขาไปทำนาเกลือที่เมืองชินโจว ในตอนแรกเขาเองก็คิดว่ามันคงไม่มีอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขากลับรู้สึกว่าอาการแบบนี้กับเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆจนบางเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และปรารถนาให้ตัวเองได้กลับไปอยู่อย่างสงบท่ามกลางธรรมชาติ

     

    “ออกเดินทางกันเลยเถอะ”  ฉินหลิงเอ่ยเตือนสติกับคนคุ้มกันทั้งสิบที่กำลังตื่นตกใจกับพลังยุทธของเขา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×