คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #57 : การวิวาทครั้งเเรกภายในเมืองหลวง (2)
หนึ่งในคนคุ้มกันทั้งสองที่อยู่ด้านหลังฉินหลิงก็ปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบก่อนจะใช้ฝักกระบี่โจมตีไปยังใบหน้าของทหารในชุดเกราะอย่างรวดเร็ว
เมื่อออร่าสีฟ้าที่ถูกปกคลุมบนชายวัยกลางคนปรากฏขึ้นพร้อมกับองครักษ์ด้านหน้าฉินหลิงกว่าสามคนต่างก็ล้มลง
จึงทำให้องค์ชายสามและชายชุดขุนนางรู้สึกตกใจ
ก่อนจะมีความคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ธรรมดาดั่งที่เห็นและพวกเขาอาจเตะตอเข้าให้แล้ว
ทางด้านทหารองครักษ์ที่เห็นสหายล้มลงไปหลายคนก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วก่อนจะกระจายตัวล้อมจอมยุทธด้วยสีหน้าจริงจัง
กระบี่นับสิบของทหารองครักษ์ถูกฟาดฟันไปยังผู้คุ้มของฉินหลิงด้วยกระบวนท่าที่แตกต่างกัน
เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่อาจมีคมกระบี่ไหนเลยที่ทะลวงการป้องกันของจอมยุทธได้
หลังจากบรรลุขั้นหลอมกายาเข้าสู่พลังยุทธขั้นเซียนเทียนได้แล้ว
นอกจากจะสามารถปลดปล่อยพลังปราณออกนอกร่างกายเพื่อโจมตีศัตรู
ยังสามารถนำพลังปราณมาปกคลุมรอบตัวเพื่อป้องกันอันตรายได้อีกหลายส่วน
ซึ่งสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเลยว่าขอเพียงพลังปราณไม่หมดไปเสียก่อนการจะจัดการกับผู้มีพลังหลอมกายาก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ดังที่มีคำพูดว่าเมื่อท่านสำเร็จเป็นจอมยุทธแล้วจะรู้ว่า หนึ่งจอมยุทธปะทะร้อยหลอมกายก็มิใช่ปัญหา
ควับ!
เสียงกระบี่ของทหารองครักษ์หลายสิบคนที่ปะทะเข้ากับปลอกกระบี่ที่ถูกเคลือบด้วยพลังปราณสีฟ้าของคนคุ้มฉินหลิง
ปัง!!!
ปลอกกระบี่อันเดิมของจอมยุทธกระแทกเข้าบริเวณข้อต่อของชุดเกราะอย่างแม่นยำราวกับถูกจับวาง
ส่งผลให้ทหารในชุดเกราะที่โดนจู่โจมล้มลงนอนไปกับพื้นและร้องครวนครางไปด้วยความเจ็บปวด
ในร่างกายของผู้ฝึกยุทธขั้นหลอมกายานั้นยังไม่อาจสร้างพลังปราณให้ไหลเวียนไปตามชีพจรได้
ดังนั้นการที่ถูกพลังปราณแทรกเข้าไปยังภายในร่างกายก็เปรียบเสมือนร่างกายถูกพิษเข้าไปโดยตรงซึ่งสร้างความเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกชกต่อยโดยตรงเสียอีก
ฉินหลิงที่กำลังยืนลูบหัวพลางเอ่ยปลอบความเข้าใจผิดของถานอวี้จี้
ก็ต้องหันมาสังเกตการต่อสู้ของคนคุ้มกันของเขา
เพราะถึงอย่างไรเขาเองก็พึ่งบรรลุขั้นเซียนเทียน
ดังนั้นความเข้าใจในกระบวนท่าหรือการใช้ออกของพลังปราณยังคงไม่กระจ่างชัดนัก
และเมื่อมีโอกาสได้สังเกตเห็นการต่อสู้ในระยะใกล้ชิดเพียงนี้
เขาย่อมไม่พลาดเป็นแน่
ส่วนเหตุผลที่ทำไมเขาถึงมีคนคุ้มกันเป็นจอมยุทธมากมายนัก
คงต้องยกความดีความชอบให้กับซูเยว่และหมิงฮ่าว
เพราะจอมยุทธแต่ละคนต่างก็มีศักดิ์ศรีค้ำคอกันทั้งสิ้น หากไม่เดือดร้อนจริงๆก็คงไม่ยินยอมให้ตัวเองมาเป็นคนคุ้มกันผู้อื่น
แต่บางครั้งแม้แต่จอมยุทธก็ประสบปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้เช่นกัน
อย่างจอมยุทธที่กำลังต่อสู้อยู่ผู้นี้
เขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกรวบรวมมาโดยผู้ดูแลซูเยว่
เพราะบุตรสาวเพียงคนเดียวคนผู้นี้ถูกพิษจากน้ำมือศัตรู ทำให้เขาสิ้นหวังและรู้สึกไร้ที่พึ่งเมื่อต้องมองดูบุตรสาวจะตายจากไปโดยไม่อาจช่วยอะไรได้
และเมื่อซูเยว่ได้ทราบข่าวจึงคิดหาวิธีช่วยต่างๆนาๆ
จนรู้ถึงวิธีรักษาที่ต้องใช้สมุนไพรหายากบางชนิด
ซึ่งทำให้ผู้ดูแลซูต้องใช้จ่ายเงินไปกว่าสามพันตำลึงทองจึงรักษาชีวิตบุตรสาวจอมยุทธผู้นี้ได้
และต่อมาจอมยุทธผู้นี้จึงยอมอยู่ภายใต้ชื่อของ จี้หลิง
ส่วนจอมยุทธท่านอื่นๆที่เข้าร่วมกับจี้หลิงก็เป็นเพราะความช่วยเหลือของ จี้หลิง
ที่คล้ายคลึงกันกับจอมยุทธผู้นี้ที่ไม่อาจจัดการได้จนจำเป็นต้องขอยืมมือกลุ่มการค้าจี้หลิงและเกิดเป็นหนี้บุญคุณ
เมื่อมีจอมยุทธหลายท่านเข้าร่วมกัน
ก็ทำให้ฉินหลิงคิดวิธีการที่พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เกิดปัญหา
ซึ่งเขาก็ใช้วิธีเก็บคะแนนจากภารกิจและใช้รูปแบบคล้ายคลึงกับเหล่าสำนักฝึกยุทธ
เพียงแต่เปลี่ยนจากจำนวนเงินที่ได้รับตอบแทนเป็นเม็ดยาโอสถเพื่อเพิ่มพลังยุทธแทน ซึ่งสิ่งนี้สร้างความสนใจให้กับเหล่าจอมยุทธได้ยิ่งกว่าและทำให้จอทยุทธต่างๆก็เข้าร่วมกลุ่มจี้หลิงโดยสมัครใจยิ่งขึ้น
ผ่านไปไม่นาน
เหล่าทหารองครักษ์ที่ล้อมฉินหลิงในคราแรกต่างล้มนอนไปกับพื้นจน
อาจจะเป็นเพราะเหล่าองครักษ์พวกนี้มีพลังยุทธเพียงหลอมกายาขั้นกลางและมีหลอมกายาขั้นปลายเพียงผู้เดียวที่เป็นหัวหน้า
จึงทำให้จอมยุทธที่ทำหน้าที่คุ้มกันฉินหลิงลงมือแบบออมแรงไว้ได้
ซึ่งหากว่าในทหารยามเหล่านี้มีหลอมกายาขั้นปลายหลายคนหน่อย
อาจจะทำให้กระบี่ของจอมยุทธผู้นี้ถูกชักออกมาและมีการบาดเจ็บเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ทางด้านองค์ชายสามเผยสีหน้าเผยความหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อองครักษ์ของเขาถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เพราะนี้เป็นครั้งแรกของเขา
ที่ถูกคนข่มขู่ทั้งที่อยู่ภายในอาณาเขตเมืองหลวงซึ่งเหมือนกับพื้นที่อาณาเขตของราชวงศ์ ซึ่งหากพวกพี่ชายทั้งสองของเขารับรู้เข้า
เขาคงถูกล้อเลียนให้เขาอับอายเป็นแน่
ฉินหลิงที่เห็นคนคุ้มกันของเขาจัดการเหล่าทหารชุดเกราะเสร็จเรียบร้อย
ก็เดินไปยังชายหนุ่มสองคนที่ยืนสั่นไปด้วยความหวาดกลัวแล้วส่ายหัวเบาๆก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย “ ข้าเตือนพวกเจ้าแล้วว่าคนที่ข่มขู่ข้ามักมีจุดจบที่ไม่สวยนัก
ทำไมเจ้าไม่ฟังกันบ้างเลยนะ ”
หลังจากฉินหลิงพูดจบ
ชายชราในชุดดำปรากฎขึ้นอย่างรวดเร็วด้านข้างของชายหนุ่มสวมชุดหรูหราสีม่วงและปล่อยพลังปราณสีฟ้าคลุมรอบกายมองมาที่ฉินหลิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ในแววตาฉินหลิงปรากฏแสงสีเขียว
ก่อนจะหายไปภายในพริบตา เมื่อเห็นว่าชายชราที่ปรากฎตัวยังไม่ได้ลงมืออะไร
“ พวกเจ้าจงหยุดเพียงเท่านี้เถิด
ก่อนที่อะไรจะสายเกินไปจะดีกว่า แล้วข้าจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ” เสียงแหบแห้งของชายชราดังขึ้นพร้อมเอ่ยเตือนฉินหลิงให้หยุดมือ
ส่วนด้านองค์ชายที่เห็นชายชราปรากฏตัวขึ้นก็เผยสีหน้าดีใจขึ้นก่อนจะชี้หน้าฉินหลิงและเอ่ยกับชายชราที่โผล่เข้ามาช่วย
“ ท่านอาจารย์ มันผู้นี้ลบหลู่ดูหมิ่นข้า
ท่านต้องจัดการมันให้ข้า ”
ชายชราชุดดำมองไปที่ฉินหลิงแล้วส่ายหัวปฏิเสธคำขอขององค์ชายก่อนจะเอ่ย
“ ข้าเพียงทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ท่านเท่านั้น
เรื่องอื่นข้าจะไม่ก้าวก่าย ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของผู้เป็นอาจารย์
องค์ชายสามจึงทำได้เพียงกำหมัดแน่นแล้วหันมาจ้องหน้าฉินหลิงอย่างแค้นเคืองก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงข่มขู่
“ ฝากไว้ก่อนเถอะ
วันหน้าข้าจะมาจัดการกับเจ้าแน่ ”
เอ่ยจบองค์ชายก็หันหลังกลับทันทีเพราะเขาทนรับความอับอายที่เกิดขึ้นไม่ได้และต้องการกลับไปยังราชวังเพื่อหาทางแก้แค้นชายหนุ่มผู้นี้
ไม่เช่นนั้นเหล่าพี่น้องของเขาต้องล้อเลียนที่เขาถูกชาวบ้านข่มขู่เป็นแน่
“ เฮ้...ข้าบอกตอนไหนว่าให้เจ้าไปได้แล้ว ” ฉินหลิงพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันหลังกลับไป
“ เจ้าหนู การที่เจ้ามีจอมยุทธเป็นคนคุ้มกันก็แสดงว่าเจ้าเองก็ไม่ธรรมดา
แต่บางครั้งก็อย่าได้กระทำอะไรเกินเลยนัก ไม่เช่นนั้นผลที่ตามมาเจ้าจะรับไม่ไหว ” ชายชราเอ่ยเตือนด้วยใบหน้าที่ราบเฉย
“ ข้าก็อยากรู้เช่นกัน
หากข้าจะสั่งสอนเจ้าเด็กสารเลวผู้นี้แทนบิดาที่ไม่ได้ความของมัน ใครจะขวางข้าได้ ”
หลังฉินหลิงเอ่ยจบ
ไม่เพียงชายชราชุดดำที่สีหน้าเรียบเฉยมาตลอดกับเบิกตากว้าง
แต่เหล่าชาวบ้านที่รู้สถานะของชายชุดม่วงที่กำลังมองดูการต่อสู้อยู่ตลอดต่างก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงกับคำพูดของชายหนุ่มผู้นี้
โดยเพราะคำพูดที่ฉินหลิงด่าบิดาไม่ได้ความของชายหนุ่มชุดม่วงนั้นย่อมหมายถึงเจ้าด่าองค์ฮ่องเต้ไม่ได้เรื่อง
องค์ชายสามที่ได้ยินก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาก่อนจะหันหน้ามามองฉินหลิงที่กำลังชกมาบนใบหน้าชายหนุ่มอย่างเชื่องช้า
“ บังอาจ! ”
เสียงชายชราดังขึ้นพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลที่ส่งไปยังบนตัวฉินหลิงพร้อมกับปล่อยพลังเข้าใส่ตัวชายหนุ่มที่พูดลบหลู่องค์ฮ่องเต้อย่างไร้ปราณี
แต่แทนที่พลังปราณสีฟ้าจะเข้าปะทะกับชายหนุ่มกับโดนชายวัยกลางคนอีกคนที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาผู้หนึ่งเข้ามาขวางไว้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งหากสังเกตให้ดีจะพบว่าชายผู้นี้คือคนคุ้มกันอีกคนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างถานอวี้จี้และฉินหลิง
ใบหน้าของชายชราปรากฏความตกตะลึงขึ้น
เพราะตอนที่เขาลงมือ
เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าจอมยุทธที่เป็นคนคุ้มกันของฉินหลิงพึ่งต่อสู้กับองครักษ์ชุดเกราะ
คงไม่สามารถมาขัดขวางเขาได้เป็นแน่
เพราะเมื่อยามต่อสู้กับคนคุ้มกันชุดเกราะขององค์ชายสามชาย คนผู้นั้นยับยั้งพลังปราณและคงสูญเสียพลังปราณไปไม่น้อย
จึงทำให้เขาตัดสินใจโจมตีฉินหลิงโดยไม่หวาดกลัวจอมยุทธผู้นั้น
แต่แทนที่พลังปราณของเขาจะสัมผัสโดนชายหนุ่มที่กล้าด่าทอฮ่องเต้กลับมีจอมยุทธอีกคนปรากฎตัวขึ้น
เมื่อเห็นจอมยุทธอีกคนปรากฏขึ้น ชายชราก็กระโดดถอยออกมาอย่างตั้งหลักจนลืมไปว่ายามนี้องค์ชายสามกำลังโดนหมัดขวาตรงไปยังเบ้าตา
ตอนที่จอมยุทธชราปล่อยพลังปราณออกมา
ด้านฉินหลิงก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็วแล้ว เพียงแต่เขาไม่ได้ปลดปล่อยพลังปราณออกมา
เพียงแต่ส่งหมัดธรรมดาที่เชื่องช้าเหมือนคนธรรมดาเท่านั้น
และให้สัญญาณคนคุ้มกันอีกคนรับมือชายชรา
ปัง!!
ใบหน้าที่ล้ำค่าขององค์ชายสาม
ยามนี้ถูกประทับไปด้วยหมัดของฉินหลิงจนเบ้าตาปรากฏรอยช้ำสีม่วงขึ้นอย่างฉับพลันและกระเด็นออกไปไกล
องค์ชายสามที่ไม่เคยรับความเจ็บปวดใดๆมาก่อนก็ร้องเสียงดังลั่นพลางเอามือมากุมใบหน้าที่ถูกชายหนุ่มที่ตนเองคิดว่าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา
เมื่อเห็นว่าชายในชุดม่วงร้องครวญคราง
ฉินหลิงก็เดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเตะไปยังใบหน้าชายหนุ่มอย่างรุนแรงจนเลือดไหลออกมาเต็มปาก
แล้วจึงเหยียบบนหน้าอกของผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นองค์ชายก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา
“ จงจำไว้ให้ดี ทีหลังอย่าทำให้ข้าโกรธ
เพราะแม้แต่ข้ายังกลัวตัวเองเลย ”
ชายในชุดขุนนางที่ยืนสั่นก็มีของเหลวสีเหลืองไหลลงไปตามกางเกง
ขณะมองดูองค์ชายสามที่ตนเองตามประสบโดนทุบตีโดยไม่อาจช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย
ในระหว่างชายชราชุดดำกำลังปะทะกับคนคุ้มกันของฉินหลิงก็มองเห็นถึงสิ่งที่ฉินหลิงทำกับองค์ชายสามก็เผลอเสียสมาธิและโดนฝ่ามือกระแทกเข้ากลางอกจนกระเด็นออกไปและมีเลือดไหลออกมาริมปาก
ด้วยอายุที่สูงวัยของชายชราจึงทำให้ร่างกายเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนคนคุ้มกันของฉินหลิง และเมื่อโดนฝ่ามือเข้ากลางอกจึงทำให้บาดเจ็บหนัก
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะฝืนร่างกายไว้ได้ แต่ก็คงได้ไม่นานที่อาการบาดเจ็บจะแสดงออกมา
เมื่อฉินหลิงมองไปโดยรอบและสังเกตเห็นว่าชาวบ้านต่างมองมาที่ตนเองด้วยความหวาดกลัว
จึงหันไปมองยังชายชราที่ตอนนี้กำลังกะอักเลือด ก่อนจะนึกถึงท่านปู่
เพราะด้วยอายุของชายชราผู้นี้กับท่านปู่คงไม่ห่างกันนักและความต้องการที่จะปกป้องชายหนุ่มชุดม่วงก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าชายชราชุดดำผู้นี้คล้ายกับท่านปู่ที่เขาไม่ได้พบเจอมาเป็นปียิ่งขึ้น
ฉินหลิงมองไปยังชายชุดม่วงที่ในแววตาปรากฏแววตาหวาดกลัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ เห็นแก่อาจารย์ที่สู้โดยไม่ห่วงชีวิตเพื่อเจ้า
วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป หากวันหน้าเจ้ายังกล้ามาอวดดีเช่นนี้ต่อหน้าข้าอีก
วันนั้นอาจจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตเจ้า ” เอ่ยจบฉินหลิงก็เดินออกจากร้านโดยไม่สนใจสายตาที่มองมาของชาวบ้านแม้แต่น้อย
ชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่คุ้มกันฉินหลิงซึ่งกำลังต่อสู้อยู่สังเกตเห็นผู้เป็นเจ้านายเดินจากไปก็หันไปยกมือคารวะชายชราชุดดำก่อนจะเดินตามฉินหลิงไป “ ขอบคุณผู้อาวุโสที่ออมมือ
”
เมื่อเห็นกลุ่มคนของฉินหลิงเดินจากไป
ชายชราชุดดำที่เป็นอาจารย์ขององค์ชายสามก็พ่นเลือดที่อดกลั้นไว้ออกมากองโต
ก่อนจะฝืนเดินไปยังร่างองค์ชายสามที่ยามนี้ใบหน้าบวมเป่งและเผยสีหน้าหวาดกลัว
ชายชราที่เห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าขององค์ชายสามก็สั่งให้องครักษ์ที่พอขยับตัวได้แล้วให้นำองค์ชายไปรักษาตัว
ก่อนที่เขาจะมองไปยังทิศทางที่ฉินหลิงเดินจากแล้วถอนหายใจออกมาด้วยแววตาที่ซับซ้อน
ความคิดเห็น