ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #57 : การวิวาทครั้งเเรกภายในเมืองหลวง (2)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17.9K
      1.54K
      11 ก.ค. 62

    หนึ่งในคนคุ้มกันทั้งสองที่อยู่ด้านหลังฉินหลิงก็ปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบก่อนจะใช้ฝักกระบี่โจมตีไปยังใบหน้าของทหารในชุดเกราะอย่างรวดเร็ว

     

    เมื่อออร่าสีฟ้าที่ถูกปกคลุมบนชายวัยกลางคนปรากฏขึ้นพร้อมกับองครักษ์ด้านหน้าฉินหลิงกว่าสามคนต่างก็ล้มลง จึงทำให้องค์ชายสามและชายชุดขุนนางรู้สึกตกใจ ก่อนจะมีความคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ธรรมดาดั่งที่เห็นและพวกเขาอาจเตะตอเข้าให้แล้ว

     

    ทางด้านทหารองครักษ์ที่เห็นสหายล้มลงไปหลายคนก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วก่อนจะกระจายตัวล้อมจอมยุทธด้วยสีหน้าจริงจัง

     

    กระบี่นับสิบของทหารองครักษ์ถูกฟาดฟันไปยังผู้คุ้มของฉินหลิงด้วยกระบวนท่าที่แตกต่างกัน เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่อาจมีคมกระบี่ไหนเลยที่ทะลวงการป้องกันของจอมยุทธได้

     

    หลังจากบรรลุขั้นหลอมกายาเข้าสู่พลังยุทธขั้นเซียนเทียนได้แล้ว นอกจากจะสามารถปลดปล่อยพลังปราณออกนอกร่างกายเพื่อโจมตีศัตรู ยังสามารถนำพลังปราณมาปกคลุมรอบตัวเพื่อป้องกันอันตรายได้อีกหลายส่วน ซึ่งสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเลยว่าขอเพียงพลังปราณไม่หมดไปเสียก่อนการจะจัดการกับผู้มีพลังหลอมกายาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ดังที่มีคำพูดว่าเมื่อท่านสำเร็จเป็นจอมยุทธแล้วจะรู้ว่า  หนึ่งจอมยุทธปะทะร้อยหลอมกายก็มิใช่ปัญหา

     

    ควับ!

     

    เสียงกระบี่ของทหารองครักษ์หลายสิบคนที่ปะทะเข้ากับปลอกกระบี่ที่ถูกเคลือบด้วยพลังปราณสีฟ้าของคนคุ้มฉินหลิง

     

    ปัง!!!

     

    ปลอกกระบี่อันเดิมของจอมยุทธกระแทกเข้าบริเวณข้อต่อของชุดเกราะอย่างแม่นยำราวกับถูกจับวาง ส่งผลให้ทหารในชุดเกราะที่โดนจู่โจมล้มลงนอนไปกับพื้นและร้องครวนครางไปด้วยความเจ็บปวด

     

    ในร่างกายของผู้ฝึกยุทธขั้นหลอมกายานั้นยังไม่อาจสร้างพลังปราณให้ไหลเวียนไปตามชีพจรได้ ดังนั้นการที่ถูกพลังปราณแทรกเข้าไปยังภายในร่างกายก็เปรียบเสมือนร่างกายถูกพิษเข้าไปโดยตรงซึ่งสร้างความเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกชกต่อยโดยตรงเสียอีก

     

    ฉินหลิงที่กำลังยืนลูบหัวพลางเอ่ยปลอบความเข้าใจผิดของถานอวี้จี้ ก็ต้องหันมาสังเกตการต่อสู้ของคนคุ้มกันของเขา เพราะถึงอย่างไรเขาเองก็พึ่งบรรลุขั้นเซียนเทียน ดังนั้นความเข้าใจในกระบวนท่าหรือการใช้ออกของพลังปราณยังคงไม่กระจ่างชัดนัก และเมื่อมีโอกาสได้สังเกตเห็นการต่อสู้ในระยะใกล้ชิดเพียงนี้ เขาย่อมไม่พลาดเป็นแน่

     

    ส่วนเหตุผลที่ทำไมเขาถึงมีคนคุ้มกันเป็นจอมยุทธมากมายนัก คงต้องยกความดีความชอบให้กับซูเยว่และหมิงฮ่าว เพราะจอมยุทธแต่ละคนต่างก็มีศักดิ์ศรีค้ำคอกันทั้งสิ้น หากไม่เดือดร้อนจริงๆก็คงไม่ยินยอมให้ตัวเองมาเป็นคนคุ้มกันผู้อื่น แต่บางครั้งแม้แต่จอมยุทธก็ประสบปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้เช่นกัน อย่างจอมยุทธที่กำลังต่อสู้อยู่ผู้นี้ เขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกรวบรวมมาโดยผู้ดูแลซูเยว่ เพราะบุตรสาวเพียงคนเดียวคนผู้นี้ถูกพิษจากน้ำมือศัตรู ทำให้เขาสิ้นหวังและรู้สึกไร้ที่พึ่งเมื่อต้องมองดูบุตรสาวจะตายจากไปโดยไม่อาจช่วยอะไรได้ และเมื่อซูเยว่ได้ทราบข่าวจึงคิดหาวิธีช่วยต่างๆนาๆ จนรู้ถึงวิธีรักษาที่ต้องใช้สมุนไพรหายากบางชนิด ซึ่งทำให้ผู้ดูแลซูต้องใช้จ่ายเงินไปกว่าสามพันตำลึงทองจึงรักษาชีวิตบุตรสาวจอมยุทธผู้นี้ได้ และต่อมาจอมยุทธผู้นี้จึงยอมอยู่ภายใต้ชื่อของ จี้หลิง ส่วนจอมยุทธท่านอื่นๆที่เข้าร่วมกับจี้หลิงก็เป็นเพราะความช่วยเหลือของ จี้หลิง ที่คล้ายคลึงกันกับจอมยุทธผู้นี้ที่ไม่อาจจัดการได้จนจำเป็นต้องขอยืมมือกลุ่มการค้าจี้หลิงและเกิดเป็นหนี้บุญคุณ

     

    เมื่อมีจอมยุทธหลายท่านเข้าร่วมกัน ก็ทำให้ฉินหลิงคิดวิธีการที่พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เกิดปัญหา ซึ่งเขาก็ใช้วิธีเก็บคะแนนจากภารกิจและใช้รูปแบบคล้ายคลึงกับเหล่าสำนักฝึกยุทธ เพียงแต่เปลี่ยนจากจำนวนเงินที่ได้รับตอบแทนเป็นเม็ดยาโอสถเพื่อเพิ่มพลังยุทธแทน ซึ่งสิ่งนี้สร้างความสนใจให้กับเหล่าจอมยุทธได้ยิ่งกว่าและทำให้จอทยุทธต่างๆก็เข้าร่วมกลุ่มจี้หลิงโดยสมัครใจยิ่งขึ้น

     

    ผ่านไปไม่นาน เหล่าทหารองครักษ์ที่ล้อมฉินหลิงในคราแรกต่างล้มนอนไปกับพื้นจน อาจจะเป็นเพราะเหล่าองครักษ์พวกนี้มีพลังยุทธเพียงหลอมกายาขั้นกลางและมีหลอมกายาขั้นปลายเพียงผู้เดียวที่เป็นหัวหน้า จึงทำให้จอมยุทธที่ทำหน้าที่คุ้มกันฉินหลิงลงมือแบบออมแรงไว้ได้  ซึ่งหากว่าในทหารยามเหล่านี้มีหลอมกายาขั้นปลายหลายคนหน่อย อาจจะทำให้กระบี่ของจอมยุทธผู้นี้ถูกชักออกมาและมีการบาดเจ็บเพิ่มขึ้นไม่น้อย

     

    ทางด้านองค์ชายสามเผยสีหน้าเผยความหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อองครักษ์ของเขาถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เพราะนี้เป็นครั้งแรกของเขา ที่ถูกคนข่มขู่ทั้งที่อยู่ภายในอาณาเขตเมืองหลวงซึ่งเหมือนกับพื้นที่อาณาเขตของราชวงศ์  ซึ่งหากพวกพี่ชายทั้งสองของเขารับรู้เข้า เขาคงถูกล้อเลียนให้เขาอับอายเป็นแน่

     

    ฉินหลิงที่เห็นคนคุ้มกันของเขาจัดการเหล่าทหารชุดเกราะเสร็จเรียบร้อย ก็เดินไปยังชายหนุ่มสองคนที่ยืนสั่นไปด้วยความหวาดกลัวแล้วส่ายหัวเบาๆก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย  ข้าเตือนพวกเจ้าแล้วว่าคนที่ข่มขู่ข้ามักมีจุดจบที่ไม่สวยนัก ทำไมเจ้าไม่ฟังกันบ้างเลยนะ

     

    หลังจากฉินหลิงพูดจบ ชายชราในชุดดำปรากฎขึ้นอย่างรวดเร็วด้านข้างของชายหนุ่มสวมชุดหรูหราสีม่วงและปล่อยพลังปราณสีฟ้าคลุมรอบกายมองมาที่ฉินหลิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย

     

    ในแววตาฉินหลิงปรากฏแสงสีเขียว ก่อนจะหายไปภายในพริบตา เมื่อเห็นว่าชายชราที่ปรากฎตัวยังไม่ได้ลงมืออะไร

     

    พวกเจ้าจงหยุดเพียงเท่านี้เถิด ก่อนที่อะไรจะสายเกินไปจะดีกว่า แล้วข้าจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เสียงแหบแห้งของชายชราดังขึ้นพร้อมเอ่ยเตือนฉินหลิงให้หยุดมือ

     

    ส่วนด้านองค์ชายที่เห็นชายชราปรากฏตัวขึ้นก็เผยสีหน้าดีใจขึ้นก่อนจะชี้หน้าฉินหลิงและเอ่ยกับชายชราที่โผล่เข้ามาช่วย ท่านอาจารย์ มันผู้นี้ลบหลู่ดูหมิ่นข้า ท่านต้องจัดการมันให้ข้า

     

    ชายชราชุดดำมองไปที่ฉินหลิงแล้วส่ายหัวปฏิเสธคำขอขององค์ชายก่อนจะเอ่ย ข้าเพียงทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ท่านเท่านั้น เรื่องอื่นข้าจะไม่ก้าวก่าย

     

    เมื่อได้ยินคำกล่าวของผู้เป็นอาจารย์ องค์ชายสามจึงทำได้เพียงกำหมัดแน่นแล้วหันมาจ้องหน้าฉินหลิงอย่างแค้นเคืองก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงข่มขู่ ฝากไว้ก่อนเถอะ  วันหน้าข้าจะมาจัดการกับเจ้าแน่ เอ่ยจบองค์ชายก็หันหลังกลับทันทีเพราะเขาทนรับความอับอายที่เกิดขึ้นไม่ได้และต้องการกลับไปยังราชวังเพื่อหาทางแก้แค้นชายหนุ่มผู้นี้ ไม่เช่นนั้นเหล่าพี่น้องของเขาต้องล้อเลียนที่เขาถูกชาวบ้านข่มขู่เป็นแน่

     

    เฮ้...ข้าบอกตอนไหนว่าให้เจ้าไปได้แล้ว ฉินหลิงพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันหลังกลับไป

     

    เจ้าหนู การที่เจ้ามีจอมยุทธเป็นคนคุ้มกันก็แสดงว่าเจ้าเองก็ไม่ธรรมดา แต่บางครั้งก็อย่าได้กระทำอะไรเกินเลยนัก ไม่เช่นนั้นผลที่ตามมาเจ้าจะรับไม่ไหว ชายชราเอ่ยเตือนด้วยใบหน้าที่ราบเฉย

     

    ข้าก็อยากรู้เช่นกัน หากข้าจะสั่งสอนเจ้าเด็กสารเลวผู้นี้แทนบิดาที่ไม่ได้ความของมัน ใครจะขวางข้าได้

     

    หลังฉินหลิงเอ่ยจบ ไม่เพียงชายชราชุดดำที่สีหน้าเรียบเฉยมาตลอดกับเบิกตากว้าง  แต่เหล่าชาวบ้านที่รู้สถานะของชายชุดม่วงที่กำลังมองดูการต่อสู้อยู่ตลอดต่างก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงกับคำพูดของชายหนุ่มผู้นี้ โดยเพราะคำพูดที่ฉินหลิงด่าบิดาไม่ได้ความของชายหนุ่มชุดม่วงนั้นย่อมหมายถึงเจ้าด่าองค์ฮ่องเต้ไม่ได้เรื่อง

     

    องค์ชายสามที่ได้ยินก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาก่อนจะหันหน้ามามองฉินหลิงที่กำลังชกมาบนใบหน้าชายหนุ่มอย่างเชื่องช้า

     

    บังอาจ! ” เสียงชายชราดังขึ้นพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลที่ส่งไปยังบนตัวฉินหลิงพร้อมกับปล่อยพลังเข้าใส่ตัวชายหนุ่มที่พูดลบหลู่องค์ฮ่องเต้อย่างไร้ปราณี

     

    แต่แทนที่พลังปราณสีฟ้าจะเข้าปะทะกับชายหนุ่มกับโดนชายวัยกลางคนอีกคนที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาผู้หนึ่งเข้ามาขวางไว้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหากสังเกตให้ดีจะพบว่าชายผู้นี้คือคนคุ้มกันอีกคนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างถานอวี้จี้และฉินหลิง

     

    ใบหน้าของชายชราปรากฏความตกตะลึงขึ้น เพราะตอนที่เขาลงมือ เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าจอมยุทธที่เป็นคนคุ้มกันของฉินหลิงพึ่งต่อสู้กับองครักษ์ชุดเกราะ คงไม่สามารถมาขัดขวางเขาได้เป็นแน่ เพราะเมื่อยามต่อสู้กับคนคุ้มกันชุดเกราะขององค์ชายสามชาย  คนผู้นั้นยับยั้งพลังปราณและคงสูญเสียพลังปราณไปไม่น้อย จึงทำให้เขาตัดสินใจโจมตีฉินหลิงโดยไม่หวาดกลัวจอมยุทธผู้นั้น แต่แทนที่พลังปราณของเขาจะสัมผัสโดนชายหนุ่มที่กล้าด่าทอฮ่องเต้กลับมีจอมยุทธอีกคนปรากฎตัวขึ้น

     

    เมื่อเห็นจอมยุทธอีกคนปรากฏขึ้น ชายชราก็กระโดดถอยออกมาอย่างตั้งหลักจนลืมไปว่ายามนี้องค์ชายสามกำลังโดนหมัดขวาตรงไปยังเบ้าตา

     

    ตอนที่จอมยุทธชราปล่อยพลังปราณออกมา ด้านฉินหลิงก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็วแล้ว เพียงแต่เขาไม่ได้ปลดปล่อยพลังปราณออกมา เพียงแต่ส่งหมัดธรรมดาที่เชื่องช้าเหมือนคนธรรมดาเท่านั้น และให้สัญญาณคนคุ้มกันอีกคนรับมือชายชรา

     

    ปัง!!

     

    ใบหน้าที่ล้ำค่าขององค์ชายสาม ยามนี้ถูกประทับไปด้วยหมัดของฉินหลิงจนเบ้าตาปรากฏรอยช้ำสีม่วงขึ้นอย่างฉับพลันและกระเด็นออกไปไกล

     

    องค์ชายสามที่ไม่เคยรับความเจ็บปวดใดๆมาก่อนก็ร้องเสียงดังลั่นพลางเอามือมากุมใบหน้าที่ถูกชายหนุ่มที่ตนเองคิดว่าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา

     

    เมื่อเห็นว่าชายในชุดม่วงร้องครวญคราง ฉินหลิงก็เดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเตะไปยังใบหน้าชายหนุ่มอย่างรุนแรงจนเลือดไหลออกมาเต็มปาก แล้วจึงเหยียบบนหน้าอกของผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นองค์ชายก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา จงจำไว้ให้ดี ทีหลังอย่าทำให้ข้าโกรธ เพราะแม้แต่ข้ายังกลัวตัวเองเลย

     

    ชายในชุดขุนนางที่ยืนสั่นก็มีของเหลวสีเหลืองไหลลงไปตามกางเกง ขณะมองดูองค์ชายสามที่ตนเองตามประสบโดนทุบตีโดยไม่อาจช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย

     

    ในระหว่างชายชราชุดดำกำลังปะทะกับคนคุ้มกันของฉินหลิงก็มองเห็นถึงสิ่งที่ฉินหลิงทำกับองค์ชายสามก็เผลอเสียสมาธิและโดนฝ่ามือกระแทกเข้ากลางอกจนกระเด็นออกไปและมีเลือดไหลออกมาริมปาก

     

    ด้วยอายุที่สูงวัยของชายชราจึงทำให้ร่างกายเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนคนคุ้มกันของฉินหลิง  และเมื่อโดนฝ่ามือเข้ากลางอกจึงทำให้บาดเจ็บหนัก ถึงแม้ตอนนี้เขาจะฝืนร่างกายไว้ได้ แต่ก็คงได้ไม่นานที่อาการบาดเจ็บจะแสดงออกมา

     

    เมื่อฉินหลิงมองไปโดยรอบและสังเกตเห็นว่าชาวบ้านต่างมองมาที่ตนเองด้วยความหวาดกลัว จึงหันไปมองยังชายชราที่ตอนนี้กำลังกะอักเลือด ก่อนจะนึกถึงท่านปู่ เพราะด้วยอายุของชายชราผู้นี้กับท่านปู่คงไม่ห่างกันนักและความต้องการที่จะปกป้องชายหนุ่มชุดม่วงก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าชายชราชุดดำผู้นี้คล้ายกับท่านปู่ที่เขาไม่ได้พบเจอมาเป็นปียิ่งขึ้น

     

    ฉินหลิงมองไปยังชายชุดม่วงที่ในแววตาปรากฏแววตาหวาดกลัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย เห็นแก่อาจารย์ที่สู้โดยไม่ห่วงชีวิตเพื่อเจ้า วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป หากวันหน้าเจ้ายังกล้ามาอวดดีเช่นนี้ต่อหน้าข้าอีก วันนั้นอาจจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตเจ้า เอ่ยจบฉินหลิงก็เดินออกจากร้านโดยไม่สนใจสายตาที่มองมาของชาวบ้านแม้แต่น้อย

    ชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่คุ้มกันฉินหลิงซึ่งกำลังต่อสู้อยู่สังเกตเห็นผู้เป็นเจ้านายเดินจากไปก็หันไปยกมือคารวะชายชราชุดดำก่อนจะเดินตามฉินหลิงไป  ขอบคุณผู้อาวุโสที่ออมมือ

     

    เมื่อเห็นกลุ่มคนของฉินหลิงเดินจากไป ชายชราชุดดำที่เป็นอาจารย์ขององค์ชายสามก็พ่นเลือดที่อดกลั้นไว้ออกมากองโต ก่อนจะฝืนเดินไปยังร่างองค์ชายสามที่ยามนี้ใบหน้าบวมเป่งและเผยสีหน้าหวาดกลัว

     

    ชายชราที่เห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าขององค์ชายสามก็สั่งให้องครักษ์ที่พอขยับตัวได้แล้วให้นำองค์ชายไปรักษาตัว ก่อนที่เขาจะมองไปยังทิศทางที่ฉินหลิงเดินจากแล้วถอนหายใจออกมาด้วยแววตาที่ซับซ้อน

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×